Thursday, 4 July 2024
NewsFeed

‘เจ้าสาว’ ระทึก!! ‘ออร์แกไนซ์’ เทงานในวันแต่งงาน โชคดี!! มีออร์แกไนซ์อีกเจ้ามาช่วยจัดงานได้ทันเวลา

(16 พ.ค.67) สมาชิก TikTok @pangorganizer0624416965 ซึ่งเป็นออร์แกไนซ์จัดงานแต่ง ได้รับงานด่วนมาช่วยเจ้าสาวที่ถูกออร์แกไนซ์เจ้าหนึ่งใน จ.นครศรีธรรมราช ทิ้งงาน โดยระบุว่า… 

“มีเวลาทำ 1:30 ชม. ปลุกทีมงานตอนตี 4 ทีมงานกว่า 15 ชีวิต….กรี๊ดหนักมาก แต่เราคือมืออาชีพ ทีมงานอัญมณีทองนครศรีธรรมราช #อัญมณีทองนครศรีธรรมราช #อัญมณีทองนครศรีธรรมราช #รับจัดงานแต่ง #จัดงานแต่งครบวงจร”

ซึ่งในคลิปเป็นช่วงที่ทางทีมงานรีบเร่งจัดดอกไม้และเตรียมพื้นที่สำหรับงานแต่ง โดยมีขบวนขันหมากกำลังเดินเข้ามาในพิธี และต้องเร่งจัดให้ทัน ทีมงานทุกคนต่างเร่งสุดฝีมือเพื่อให้งานผ่านไปได้ด้วยดี จนกระทั่งทันเวลา

ซึ่งผู้โพสต์บอกว่า “เป็นทีมงานของอัญมณีทอง เนื่องจากมีออร์แกไนซ์ 1 เจ้าเทงานเจ้าสาว ทางเราก็เลยมาช่วย ซึ่งทีมงานตอนนี้ก็ยังไม่ได้นอน มาช่วยเจ้าสาวรวมกว่า 15 ชีวิต ซึ่งทันเวลาพอดี เรามาถึงหน้างานตอนตี 5 ครึ่ง แล้วพิธีสงฆ์ตอน 7 โมงเช้า กระชั้นชิดมาก”

‘หมอเหรียญทอง’ ยัน!! ไม่ได้ยัดยาใส่ถุงเสื้อผ้าเด็ก 14 ปี จ่อดำเนินคดีผู้ที่แพร่ข่าว-ใส่ร้าย เหตุทำให้เสียชื่อเสียง

(16 พ.ค.67) จากกรณี นพ.พล.ต.เหรียญทอง แน่นหนา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ ตบหน้าเด็กอายุ 14 ปี หลังฝ่าฝืนสูบบุหรี่ในโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ และทนายรัชพล พาแม่และเด็กไปวัย 14 ปี เข้าแจ้งความฐานหมิ่นประมาท ด้วยการโฆษณา หลังเรียกเด็กวัย 14 ปี ว่า ‘ไอกุ๊ย’ แล้วนั้น กระทั่งเมื่อวานนี้พบยาเสพติดบรรจุใส่ถุงใส อยู่ในถุงเสื้อผ้าของเด็กวัย 14 ปี จนกลายเป็นกระแสขึ้นมาบางส่วนว่าหมอยัดยาหรือไม่

ล่าสุดวันนี้ นพ.พล.ต.เหรียญทอง กล่าวว่า สำหรับประเด็นที่ประชาชนบางราย ตั้งข้อสงสัยว่าทางโรงพยาบาลยัดยาเสพติดใส่ถุงเสื้อผ้า ของเด็กวัย 14 ปี นั้น ยืนยันไม่ได้ยัดยา ซึ่งส่วนตัว รู้สึกโกรธกับเรื่องดังกล่าวเพราะถือเป็นเรื่องเท็จ เสมือนใส่ร้ายหมิ่นประมาท

ซึ่งจากนี้เตรียมดำเนินคดีกับบุคคลที่เผยแพร่ข่าวและใส่ร้าย เพราะทำให้ชื่อเสียงของโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะและตนเองรวมถึงบุคลากรเสียหาย

ซึ่งต้นตอของเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น ส่วนหนึ่งมีความผิดมาจากการเลี้ยงบุตรดูที่ไม่ถูกวิธี และทอดทิ้งไม่ใส่ใจลูกของแม่เด็ก จนส่งผลทำให้เด็กเยาวชนวัย 14 ปี มาสร้างความเดือดร้อนให้สังคม

อาทิ เรื่องครอบครองยาเสพติด และสูบบุหรี่ในสถานพยาบาล ซึ่งแม่เด็กต้องมีส่วนรับผิดชอบ และยืนยันว่าจากนี้จะเริ่มปฏิบัติการโต้ตอบแม่เด็กอย่างรุนแรง ซึ่งจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด ไม่ยอมความ หรือเจรจาไกล่เกลี่ยแน่นอน

ส่วนประเด็นที่ ทนายรัชพล ศิริสาคร จะพาแม่และเด็กไปวัย 14 ปี เข้าแจ้งความฐานหมิ่นประมาท ด้วยการโฆษณา หลังตัวเองเรียกเด็กวัย 14 ปี ว่าไอกุ๊ย นั้นนายแพทย์เหรียญทอง บอกว่า ไม่กังวลใจ และยินดีให้ดำเนินการตามกฎหมาย

โดยสาเหตุที่เรียกเพราะไม่รู้จักชื่อ อีกทั้งความหมายของคำว่า กุ๊ย คือ คนพาล คนไม่รู้กาลเทศะ ซึ่งก็ตรงกับพฤติกรรมของเด็กคนนี้ ส่วนบุคคลที่แสดงความเห็นถึง คำว่า ไอกุ๊ย หรือขยะสังคม ไม่เหมาะสม ส่วนตัวไม่สนใจ

นายแพทย์เหรียญทอง กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับประเด็นที่มีบุคคลอยากให้ตนติดคุก ออกหมายจับ โดยไม่ออกหมายเรียก ส่วนตัวไม่รู้สึกกลัว หากตัวเองทำผิดจริง ก็พร้อมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม

ด้านของ สส.พรรคก้าวไกล ที่มาช่วยแม่เด็กและเยาวชนวัย 14 ปี จะเข้าข่ายโจมตีตัวเองหรือไม่ นั้น ยอมรับ น่าสงสัย หลังพรรคการเมืองนี้ มีอุดมการณ์ต่างจากตัวเอง และส่วนตัวก็ไม่ได้ใส่ใจกับพรรคการเมืองดังกล่าว

ยืนยันไม่ได้กล่าวหา สส.พรรคก้าวไกล อยู่เบื้องหลัง สส.พรรคก้าวไกล อาจต้องการช่วยประชาชน พร้อมเตือนนักการเมืองกลุ่มนี้ว่า ต้องการช่วยสังคมหรือช่วย บุคคลที่เปรียบเสมือนขยะสังคม ให้มีมากขึ้น

ขณะเดียวกัน ช่วงบ่ายที่ผ่านมา กลุ่มเพื่อนนายแพทย์เหรียญทองจำนวนมาก ได้นำดอกไม้ มามอบให้ นายแพทย์เหรียญทอง เพื่อให้กำลังใจ

รวมพลคนตาบอดเมืองตรัง เปิดร้านนวดเพื่อสุขภาพ ลูกค้าถูกใจ ราคาไม่แพง ช่วยสร้างงานให้คนพิการ

(16 พ.ค.67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ร้านอารมณ์นวดแผนไทยเพื่อสุขภาพ ถนนพัทลุง ซอย 7 (ซอยโกข้ม) ซึ่งเป็นซอยที่อยู่ตรงข้ามกับ สภ.เมืองตรัง มีคนตาบอด 4-5 คนรวมตัวกันเปิดร้านนวดเพื่อสุขภาพ โดย 2 วันแรก (14-15 พ.ค.) เปิดให้บริการฟรี เพื่อให้ลูกค้าได้มาทดลอง จับเส้น นวดคลายเส้น บรรเทาอาการปวดข้อเข่า คอเคล็ด ไหลยึดและอาการต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับเส้นประสาทส่วนต่าง ๆ หรือจะนวดเพื่อผ่อนคลาย ช่วยให้เลือดลมไหลเวียนได้ดีขึ้น โดยคิดค่าบริการชั่วโมงละ 150-200 บาท และนอกสถานที่คิดชั่วโมงละ 250 บาท

สำหรับลูกค้ามีทุกเพศทุกวัย ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนวัยทำงานที่มีปัญหาโรคออฟฟิศซินโดรม ปัญหาเกี่ยวกับข้อเข่า เส้นเอ็นและนวดเพื่อสุขภาพ โดยคนตาบอดกลุ่มนี้ ผ่านการอบรมหลักสูตรการนวดแผนไทย ได้รับใบประกาศนียบัตรมาแล้วทุกคน ประสบการณ์นานกว่า 5-10 ปี บางคนทำงานนวดเพื่อสุขภาพจนสามารถส่งลูกเรียนจบระดับปริญญาตรีได้ และมีลูกค้าขาประจำกระจายอยู่ในหลายจังหวัดภาคใต้ 

โดยก่อนหน้านี้ นางอารมณ์ มีแก้ว ประธานกลุ่มคนตาบอดนวดเพื่อสุขภาพ ได้เปิดร้านนวดอยู่ที่ จ.นครศรีธรรมราช แต่เมื่ออายุมากขึ้น จึงคิดอยากจะกลับมาอยู่บ้านเกิดที่ จ.ตรัง โดยได้ชักชวนสมาชิกคนตาบอดที่มีความสนใจมาร่วมงานด้วย ซึ่ง 2 วันแรกปรากฎว่าได้รับผลตอบรับจากประชาชนเป็นอย่างดี และมีการบริจาคเงินให้ส่วนหนึ่ง เพื่อให้กลุ่มคนตาบอดกลุ่มนี้ได้มีงานทำอย่างต่อเนื่อง 

โดยร้านจะเปิดให้บริการทุกวันตั้งแต่เวลา 08.00 -20.00 น. พร้อมบริการน้ำดื่ม ชา กาแฟ ลูกอมฟรี และรับจองคิวล่วงหน้าสำหรับผู้ที่สนใจ โดยติดต่อได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 082-6257162 และ 083-9182707 

ขณะที่นายเกรียงศักดิ์ กีรติกรพิสุทธิ์ อายุ 73 ปีลูกค้ารายหนึ่ง กล่าวว่า ปกติตนก็จะไปนวดทุกที่ แต่เมื่อวานได้ข่าวว่าที่นี่เปิดร้านนวดคนตาบอดและให้นวดฟรี 2 วันตนจึงตั้งใจมาลองดู เมื่อนวดไปแล้วอาการที่ตนเป็นอยู่มันดีขึ้น อาการที่ชัดเจนที่สุดคือ ตนขึ้นลงบันไดแล้วปวดเข่า กินยามาสักอาทิตย์หนึ่งแล้วก็ยังไม่ดีขึ้น ตั้งใจว่าจะไปโรงพยาบาล แต่พอได้ข่าวว่ามีการนวดจึงตัดสินใจว่ามาลองนวดก่อน ถ้านวดแล้วไม่ดีจะไปหาหมออีกที แต่พอนวดไปแล้วบอกตรง ๆ ว่าลงจากเตียงขี่มอเตอร์ไซค์กลับบ้านได้สบาย รู้สึกว่าตำแหน่งที่เราปวด มันหายไป

ด้านนางอารมณ์ มีแก้ว ประธานกลุ่มคนตาบอดนวดเพื่อสุขภาพ จ.ตรัง กล่าวว่า ค่าบริการคิดชั่วโมงละ 150-200 บาท นอกสถานที่ 250 บาท ที่เปิดให้บริการฟรี 2 วันแรกเพราะยังไม่รู้จักลูกค้าเพิ่งมาอยู่ ลูกค้าวันแรกมีอยู่ วันนี้วันที่ 2 ได้ 3-4 คนแล้ว คนมานวดเขาบอกว่าเขาดีขึ้น หายทุกคน หนักสุดคือปวดขา มานวดใช้เวลาอาทิตย์ละครั้งก็หาย

‘กมธ.อุตฯ’ หารืออุปทูตจีน เห็นพ้องกำราบทุนจีนเทา ยัน!! มีนักลงทุนไม่กี่ราย ที่มาละเมิดกฎหมายไทย

กมธ.อุตฯ หารืออุปทูตจีน เห็นพ้องกำราบทุนจีนเทา หนุนการลงทุนด้านอุตสาหกรรมพลังงานสะอาด สร้างแพลตฟอร์มเพื่อหนุนการใช้ซัพพลายเชนของไทย จ่อหารือพาณิชย์ก่อนรับจดทะเบียนบริษัทจีน ต้องมีใบรับรองจากสถานทูตจีน

(16 พ.ค.67) ที่รัฐสภา นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ ประธานคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรม สส.ราชบุรี เขต 4 และโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) เปิดเผยภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ กับ นางสาวจาง เซียวเซียว (Ms. Zhang Xiaoxiao) อุปทูตด้านเศรษฐกิจและการค้าประจำสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย และคณะ เกี่ยวกับการค้าและการลงทุนด้านอุตสาหกรรมว่า ในการหารือครั้งนี้ ได้เน้นในเรื่องของการสร้างช่องทางการสื่อสารระหว่างสถานทูตจีนกับคณะกรรมาธิการอุตสาหกรรม ซึ่งจะสร้างความสัมพันธ์ร่วมกันในการค้าการลงทุนทางด้านอุตสาหกรรม

นายอัครเดช กล่าวต่อว่า ทางฝ่ายจีนได้ขอให้ไทยสนับสนุนการสร้างซับพลายเชน เพื่อให้จีนและไทยได้มีโอกาสสนับสนุนอุตสาหกรรมในประเทศ ซึ่งเป็นความต้องการของไทย เพราะปัจจุบันนักลงทุนของจีนที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทย ยังมีการใช้ทรัพยากรในไทยค่อนข้างน้อย จึงเป็นไปตามความคิดเห็นร่วมกันที่ทั้ง 2 ฝ่าย เสริมสร้างการลงทุนด้วยการ สร้างแพลตฟอร์มขึ้นมาในการใช้ซับพลายเชนของไทยมากขึ้น

นายอัครเดช บอกอีกว่า นอกจากนี้รัฐบาลจีน ยังต้องการพัฒนาอุตสาหกรรมพลังงานสะอาดเพิ่มเติม ซึ่งตรงกับนโยบายของรัฐบาลไทยที่ปัจจุบันนี้ พลังงานสะอาดยังมีส่วนที่ต่ำอยู่เพียง 10% โดยรัฐบาลจีนมีความต้องการที่จะลงทุนในเรื่องของพลังงานสะอาดมากขึ้น ถือว่าจะช่วยลด PM 2.5 ในไทยด้วย

ประธานคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรม กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ ทางสถานทูตจีน ยังได้หารือในเรื่องของแรงงาน โดยต้องการให้มีการเพิ่มความสะดวกในการขยาย หรือขอใบอนุญาตการทำงานของผู้เชี่ยวชาญด้านการติดตั้งเครื่องจักร หรือผู้เชี่ยวชาญด้านอุตสาหกรรม ซึ่งปัจจุบันนี้ใบอนุญาต จะต้องใช้เวลาในการขอค่อนข้างนาน โดยตนได้รับเรื่องมาปรึกษากับทางกรรมาธิการแรงงานและกระทรวงแรงงานเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้การค้า การลงทุนราบรื่นมากยิ่งขึ้น

“นักลงทุนจากจีน ส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนที่มีคุณภาพ และมีศักยภาพในการลงทุน ที่สามารถจะพัฒนาประเทศไทยและเสริมสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ แต่ก็มีนักลงทุนเพียงไม่กี่ราย ที่มาละเมิดกฎหมาย โดยจะได้มีการประสานงานร่วมกันระหว่างไทยและจีน ในการส่งข้อมูลของนักลงทุนจีนที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายไทย ให้ทางการจีนได้รับทราบ เพื่อร่วมกันควบคุม” นายอัครเดช กล่าว

นายอัครเดช บอกต่อว่า ในส่วนของนักลงทุนจีนที่มีคุณภาพและปฏิบัติตามกฎหมายไทยที่มีอยู่จำนวนมาก ก็พร้อมจะสนับสนุนให้มีการลงทุนมากขึ้นในอนาคต

นอกจากนี้ ยังได้มีการประสานกับกระทรวงพาณิชย์ เพื่อจดทะเบียนการค้า โดยต่อไปจะให้มีการไปรับทราบนโยบายของทางสถานทูตจีนก่อน ซึ่งตนจะเชิญกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เข้าหาหรือว่าก่อนจะรับจดทะเบียนนักลงทุนจากทางจีน จะต้องมีการขอใบแนะนำหรือใบส่งตัวจากทางสถานทูตจีน เพื่อให้กรมธุรกิจการค้าพิจารณาก่อนรับจดทะเบียน เพื่อเป็นการควบคุมนักธุรกิจจีนที่ไม่ปฏิบัติตามกฏหมาย จะทำให้การค้าการลงทุนระหว่าง 2 ประเทศราบรื่นมากยิ่งขึ้นในอนาคต

คณะทำงาน ‘ไทย-จีน’ ได้ข้อสรุป!! ไม่ยกเลิกสัญญา จ่อขยายสัญญา 1,200 วัน พร้อมติดเครื่องยนต์จีน

(16 พ.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าการเจรจาแก้ปัญหาเรือดำน้ำ ระหว่าง พลเอกสมศักดิ์ รุ่งสิตา ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กับตัวแทนหน่วยงานด้านยุทโธปกรณ์ ของกระทรวงกลาโหมจีน และตัวแทนบริษัท CSOC ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิต ที่กระทรวงกลาโหมเมื่อวันที่ 14-15 พฤษภาคม 2567 ได้เสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว และมีข้อสรุปเบื้องต้นว่าจะเดินหน้าโครงการจัดหาเรือดำน้ำจีนต่อ 

โดย นายสุทิน คลังแสง รมว.กลาโหม ได้เข้าร่วมรับฟังการประชุม ในวันที่ 14 พฤษภาคม 2567 ด้วย ทั้งนี้การเจรจาแก้ปัญหาเรือดำน้ำ ระหว่างไทยจีนดำเนินการมาแล้วหลายครั้ง แต่ที่ผ่านมาการเจรจาอาจจะล่าช้า เพราะทางฝ่ายจีน อยู่ในช่วงปรับโครงสร้างกองทัพ มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หลายหน่วยงาน แต่ขณะนี้ได้รวมศูนย์หน่วยงานด้านยุทโธปกรณ์ เป็นหน่วยงานเดียวขึ้นกับกระทรวงกลาโหมจีน ซึ่งได้เดินทางมาร่วมพูดคุย หาทางออกในครั้งนี้ด้วย

โดยหน่วยงานของจีนที่ส่งมาคือ The Bureau of Military Equipment and Technology Cooperation (BOMETEC) ซึ่งเป็นหน่วยงานรับรองการขายอาวุธที่มีใช้ในกองทัพจีนให้กับต่างประเทศ และ ‘The State administration of Science, Technology and Industry for national Defense (SASTIND)’ ซึ่งเป็นหน่วยงานรับรองบริษัทที่ขายอาวุธให้ต่างประเทศ 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับทางออกในการแก้ปัญหาโครงการเรือดำน้ำ มีเพียง 2 ทาง คือ 1. เดินหน้าต่อ หรือ 2. ยกเลิก ซึ่งหากการเปลี่ยนจากโครงการเรือดำน้ำ เป็นเรือฟริเกต หรือเรือ OPV ก็เท่ากับการยกเลิกโครงการเรือดำน้ำด้วยเช่นกัน ซึ่งจากการหารือ และประเมินข้อดี-ข้อเสียแล้วพบว่า การยกเลิกโครงการจะเกิดผลเสียมากกว่าผลดี โดยฝ่ายไทย อาจต้องฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายเรื่องเงินค่างวดที่จ่ายไปล่วงหน้า และอาจได้คืนเพียงบางส่วน ไม่ครบตามจำนวนที่จ่ายไปทั้งหมด ดังนั้น ทั้งสองฝ่ายจึงเลือกเดินหน้าโครงการจัดหาเรือดำน้ำต่อ เพื่อรักษาความสัมพันธ์ไทย-จีนที่มีมาอย่างยาวนาน

โดยทางฝ่ายจีนยินดีที่จะสนับสนุนทางการทหาร เช่น การสนับสนุนยุทโธปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับเรือดำน้ำ ทั้งเครื่องช่วยฝึก หรือ Simulator และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ รวมถึงเรื่องระบบประกัน / การฝึกศึกษา ซึ่งมีมูลค่าหลายร้อยล้านบาท แต่ทางจีนยังไม่ขอเปิดเผยในรายละเอียด เพราะต้องการให้ โครงการเรือดำน้ำเดินหน้าอย่างชัดเจนก่อน

สำหรับขั้นตอนต่อไป คือ กระทรวงกลาโหมจะสรุปผลการเจรจานำเสนอ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี พิจารณา เพื่อนำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพราะจะต้องมีการแก้สัญญา 2 ส่วน ได้แก่ การขยายเวลาสัญญาต่อเรือดำน้ำออกไปอีกราว 1,200 วัน และ การเปลี่ยนเครื่องยนต์จากเยอรมัน MTU 396 เป็นเครื่องยนต์จีน CHD620 เพื่อให้ ครม. เห็นชอบต่อไป

ทั้งนี้มีข้อมูลว่าเครื่องยนต์ CHD 620 ได้ผ่านมาตรฐานจากสมาคมจัดชั้นเรือของประเทศอังกฤษ และประเทศปากีสถาน ได้จัดซื้อเรือ ดำน้ำจีนที่ติดตั้งเครื่องยนต์ CHD 620 ซึ่งน่าจะได้เห็นประสิทธิภาพของเรือดำน้ำในอีกไม่นานนี้

แหล่งข่าวกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า ในการเจรจาครั้งนี้ หน่วยงานทางการจีนได้รับข้อเสนอของไทยในการเพิ่มเติมการสนับสนุน โดยไม่ได้ใช้คำว่าชดเชย และจะนำกลับไปพูดคุยกับคณะกรรมาธิการกลางทหารของจีนอีกครั้ง เช่นเดียวกับข้อแลกเปลี่ยนสินค้าทางด้านการเกษตรฯ แต่ที่สำคัญคือการจะเดินหน้าต่อ รัฐบาลไทยต้องมีมติในเรื่องการเดินหน้าโครงการเรือดำน้ำ และการเปลี่ยนเครื่องยนต์ ทำให้ทางไทยยังไม่เปิดเผยรายการที่ทางจีนจะให้กับไทยอย่างละเอียด

ขณะที่มี รายงานข่าวในกระทรวงกลาโหมว่า การเจรจากับสาธารณรัฐประชาชนจีนยังไม่จบทั้งหมด แต่ช่วงนี้คณะพูดคุยคงยังไม่เดินทางไปสาธารณรัฐประชาชนจีน และอาจจะไม่ไป เพราะจะคุยกันผ่านทางวิดีโอคอล คาดว่าน่าจะจบเร็ว ๆ นี้ และคงต้องไปหานายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่กำกับดูแล เพราะต้องไปรายงานเรื่องเรือดำน้ำ เมื่อมีความคืบหน้าในระดับหนึ่งเมื่อได้ทิศทางที่ชัดเจน

มส.16 เรียนรู้ เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา 8 วิสาหกิจชุมชนเกาะเกร็ด ส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ สู่ความยั่งยืน

วันที่ 15 พฤษภาคม ที่ห้องประชุมวัดปรมัยยิกาวาสวรวิหาร ต.เกาะเกร็ด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี นายภิรมย์ ชุมนุม นายอําเภอปากเกร็ด จ.นนทบุรี พร้อมด้วย พระครูพิพิธเจติยาบาล เจ้าอาวาสวัดปรมัยยิกาวาสวรวิหาร ผู้ใหญ่บ้าน อบต.เกาะเกร็ด ผู้อํานวยการโรงเรียน คณะครูโรงเรียนวัดปรมัยยิกาวาส และประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชน ให้การต้อนรับ พล.อ.ดร.มารุต ปัชโชตะสิงห์ ผู้อํานวยการหลักสูตร มส. พล.อ.ต.หญิง ผศ.ดร.พัชรี พิพิธสุขสันต์ รองผู้อํานวยการหลักสูตรฯ ดร.วรวุฒิ ไชยศร ผู้ช่วยผู้อํานวยการหลักสูตรฯ พร้อมคณาจารย์ และนักศึกษาหลักสูตร การบริหารจัดการด้านความมั่นคงขั้นสูง (มส.รุ่นที่16) ในการทำกิจกรรม CSR TO SUSTAIN มส.16 สร้างผู้นำด้านความรับผิดชอบต่อสังคมที่ยั่งยืน  บวร : บ้าน วัด โรงเรียน

สำหรับกิจกรรมต่างๆ ทางหลักสูตร ได้แบ่งนักศึกษาเป็น 10 กลุ่ม เพื่อลงพื้นที่ศึกษาเรียนรู้วิสาหกิจชุมชน 8 วิสาหกิจ คือ วิสาหกิจชุมชนผ้าบาติก วิสาหกิจชุมชนขนมหวาน วิสาหกิจชุมชนนวดแผนไทย วิสาหกิจชุมชนชารางแดง วิสาหกิจชุมชนขนมปังหน่อกะลา วิสาหกิจชุมชนเครื่องจักรสาน วิสาหกิจชุมชนหน่อกะลา วิสาหกิจชุมชนเครื่องปั้นดิน และพิพิธภัณฑ์ชุมชนวัดปรมัยยิกาวาส  โรงเรียนวัดปรมัยยิกาวาส เพื่อระดมสมอง สร้างสรรค์แนวคิด เพื่อพัฒนาวิสาหกิจชุมชน พิพิธภัณฑ์ชุมชน และโรงเรียนวัดปรมัยยิกาวาส ด้วยการนำเสนอโมเดลวิสาหกิจชุมชนยั่งยืน ด้วย Sustainable Business Model Canvas

นอกจากนี้ คณะนักศึกษาได้มอบป้ายแนะนำวิสาหกิจชุมชน พิพิธภัณฑ์ชุมชน และโรงเรียนวัดปรมัยยิกาวาส เพื่อเป็นสื่อประชาสัมพันธ์ ให้กับนักท่องเที่ยวที่มาเยือนได้เป็นข้อมูลความรู้ มอบและติดตั้งพัดลมให้โรงเรียนจำนวน 15 ชุด มอบตู้เย็นให้ 5 โรงเรียน พร้อมซ่อมแซมบ้านสำหรับผู้สูงอายุ อีก 1 หลัง

พล.อ.ดร.มารุต ปัชโชตะสิงห์ กล่าวว่า วันนี้นักศึกษา มส.รุ่นที่ 16 ภายใต้มูลนิธิการจัดการเพื่อความมั่นคง
ได้มาทำกิจกรรมดีๆเรื่องความรับผิดชอบต่อสังคมสู่ความยั่งยืน วันนี้คณะนักศึกษาได้ลงพื้นที่เกาะเกร็ด ใน 8 วิสาหกิจชุมชน รวมทั้ง วัด และโรงเรียน โดยได้แบ่งนักศึกษาออกเป็น 10 กลุ่ม ลงพื้นที่เพื่อเก็บข้อมูลที่เกี่ยวข้อง จากนั้นช่วงบ่ายนำผลที่ได้มาเข้าสู่ที่ประชุมเพื่อเสนอผลงานแต่ละวิสาหกิจชุมชน รวมถึงข้อเสนอแนะ พบว่าทุกกลุ่มได้นำเสนอผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม กับผลลัพธ์ที่ได้นำเสนอ คุ้มค่ากับการได้ร่วมกิจกรรมในวันนี้ และผลจากการลงพื้นที่ทางหลักสูตรจะรวบรวมข้อมูลส่งต่อให้นายอำเภอปากเกร็ด และทางพัฒนาการปากเกร็ด ได้นำไปใช้ประโยชน์ในวิสาหกิจชุมชน และวัด โรงเรียนต่อไป รวมทั้งจะนำผลในครั้งนี้ ส่งต่อให้กับหลักสูตรการจัดการความมั่นคงขั้นสูง รุ่นที่ 17 ที่จะเข้าศึกษาในไม่ช้า เพื่อได้รับการสานต่อและต่อไปในอนาคตสู่ความยั่งยืน

ด้าน ดร.วรวุฒิ ไชยศร กล่าวว่า
กิจกรรมครั้งนี้นับเป็นกิจกรรมที่ทำให้ นักศึกษา มส.16 ได้สัมผัสถึงวิถีชีวิตชุมชนชาวมอญเกาะเกร็ดได้หลากหลาย อีกทั้งได้มีโอกาส เรียนรู้ เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา วิสาหกิจชุมชนเกาะเกร็ด โรงเรียน และพิพิธภัณฑ์ชุมชน เพื่อช่วยกันสร้างสรรค์คุณค่าที่ยั่งยืนให้กับชุมชนเกาะเกร็ด รวมทั้งได้มีส่วนร่วมในการนำทักษะความรู้จากการอบรม และประสบการณ์ทำงาน มาสร้างความรับผิดชอบต่อสังคม ส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Soft Power) ให้ชุมชนเกาะเกร็ด เกิดความยั่งยืน

ทางด้าน นายจิรชาติ บุญสุข นักศึกษาหลักสูตร มส.15 กล่าวว่า จากกิจกรรมที่ดำเนินการได้เกิดการขับเคลื่อน ทั้งเรื่องการเปิดมุมมองโมเดลธุรกิจสมัยใหม่ เพื่อสร้างโอกาสการแข่งขันอย่างยั่งยืนให้กับวิสาหกิจชุมชนในเกาะเกร็ด เป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวเพื่อสร้างรายได้ให้ชุมชน อีกทั้งยังสร้างความภูมิใจ และแสดงศักยภาพของนักศึกษา มส.16 ที่ได้ช่วยเหลือ แบ่งปัน สังคม 3 ด้าน ได้แก่ วัด บ้าน และโรงเรียน อีกทั้งเกิดการทำงานร่วมกับหน่ายงานราชการในพื้นที่ ได้รับการยอมรับในกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ เพื่อสร้างความยั่งยืนอย่างแท้จริง

‘กัปตันเครื่องบิน’ เล่าประสบการณ์ ‘บั้งไฟ’ พุ่งเฉียดเครื่องบินสูง 8,000 ฟุต ยัน!! เข้าใจเรื่องประเพณี แต่ควรขอนุญาต-ไม่ควรผลิตให้พุ่งสูงขนาดนี้

(16 พ.ค.67) เพจเฟซบุ๊ก ‘บันทึกไม่ลับของคนขับเครื่องบิน’ ได้โพสต์เรื่องราวสุดช็อก เมื่อเจอบั้งไฟยิงผ่านเครื่องบินเกือบ 8,000 ฟุต โดยข้อความระบุว่า… 

"นอกจากทางทางเหนือมีโคมลอยแล้ว ทางภาคอีสานก็ยังมีบั้งไฟอีกที่เป็นอันตรายต่อการบินมาก

อันนี้ความเห็นส่วนตัวผมนะ เข้าใจว่ามันเป็นประเพณีที่ทำกันมายาวนาน แต่อยากให้ทุกคนที่มีส่วนร่วมกับประเพณีนี้ขอให้มีจิตสำนึกเรื่องความปลอดภัยของส่วนรวมด้วย เพราะมันอันตรายกับอากาศยานมาก รวมถึงผู้โดยสารบนเครื่องบินครับ

ถ้าจะปล่อยบั้งไฟขอให้ขออนุญาตหน่วยงานด้านการบินก่อน และทำการปล่อยในจุดที่ขออนุญาต รวมถึงการเล่นการพนันขันต่อว่าบั้งไฟลูกไหนจะสูงกว่ากัน เลิกเถอะครับเพราะอันนี้มันไม่ใช่ประเพณีแล้ว ยิ่งมีคนเดิมพัน คนยิ่งผลิตก็ยิ่งพัฒนาให้บั้งไฟสูงขึ้นไปอีก

อย่างวันนี้ผมเทคออฟจากอุบล จากพิกัด radial 266 จากสนามบิน เจอบั้งไฟห่างจากเครื่องบินผมไม่ถึง 200 เมตร ขนาดผมอยู่ที่ความสูง 6,000 ฟุต บั้งไฟยังขึ้นไปสูงกว่าผมอีก (มองด้วยสายตาน่าจะความสูง 8,000 ฟุต) ซึ่งมันอันตรายมาก หายนะเกิดได้ง่าย ๆ เลยกับการกระทำแบบนี้ เพราะผมแจ้งหอว่าบริเวณนี้มีการปล่อยบั้งไฟ และหอไม่มีการรายงานการขออนุญาตในเขตพื้นที่แถว ๆ นี้ หลังจากนั้นเครื่องบิน ATR ของกองทัพอากาศก็รีพอร์ตบั้งไฟลูกอื่น ๆ ตามมา หอบังคับการบินต้องให้คำแนะนำทิศทาศนักบินบินหลบกันอุตลุด คิดดูมันอันตรายแค่ไหนครับ”

“เชียงราย”จก.กร.ทบ. ร่วมกิจกรรมโครงการหมู่บ้านเข้มแข็งคู่ขนานตามแนวชายแดน ไทย – เมียนมา ของ ฉก.ทัพเจ้าตากในพื้นที่แม่สาย”

ในวันที่ 16 พฤษภาคม 2567 พลโท อานุภาพ ศิริมณฑล เจ้ากรมกิจการพลเรือนทหารบก พร้อมด้วย พันเอก ฌฑี  ทิมเสน ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจทัพเจ้าตาก ลงพื้นที่เข้าร่วมกิจกรรมโครงการหมู่บ้านเข้มแข็งคู่ขนานตามแนวชายแดนไทย – สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ระหว่างคู่หมู่บ้านปางห้า ตำบลเกาะช้าง  อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย กับ บ้านป่ากุ๊ก เมืองพง จังหวัดท่าขี้เหล็ก สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และคู่ของ บ้านป่าแดง ตำบลเกาะช้าง อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย กับ บ้านดินดำ เมืองพง จังหวัดท่าขี้เหล็ก สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ซึ่งจัดโดย หน่วยเฉพาะกิจทัพเจ้าตาก ร่วมกับ อำเภอแม่สาย และ หัวหน้าส่วนราชการ, กำนัน/ผู้ใหญ่บ้าน และประชาชนในพื้นที่ โดยมีกิจกรรมประกอบด้วย การพบปะพัฒนาสัมพันธ์, การเดินขบวนรณรงค์ป้องกันภัยชุมชน, การให้บริการทางการแพทย์, การให้บริการตัดผมฟรี, การแสดงศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้าน, การแข่งขันฟุตบอล, การแข่งขันกีฬาพื้นบ้าน ณ โรงเรียนบ้านปางห้า และ พิธีบวชป่า, กิจกรรมปลูกป่า พร้อมทั้งกิจกรรมจิตอาสาพัฒนา จุดผ่อนปรนการค้าบ้านปางห้า ตำบลเกาะช้าง อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย โดยมีประชาชนทั้งฝ่ายไทยและสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา เข้าร่วมกิจกรรม จำนวน 200 คน

สันติ วงศ์สุนันท์/หัวหน้าศูนย์ข่าวอำเภอแม่สายจังหวัดเชียงราย/รายงาน

เชียงใหม่-ตำรวจภูธรภาค 5 แถลงข่าวการจับกุมแก๊งวัยรุ่นก่อเหตุปล้นทรัพย์และทำร้ายร่างกายผู้อื่น และการจับกุมผู้ต้องหาก่อเหตุชิงทรัพย์ วิ่งราวทรัพย์ต่อเนื่องใน 5 พื้นที่

วันที่ 16 พ.ค.67 เวลา 11.00 น.พล.ต.ท.กฤตธาพล ยี่สาคร ผบช.ภ.5 พร้อมด้วย พล.ต.ต.ดุลเดชา อาชวสมิตระกูล รอง ผบช.ภ.5, รอง ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่ ,รอง ผบก.สส.ภ.5, ผกก.สภ.ภูพิงคราชนิเวศน์ และ ผกก.สส.1 บก.สส.ภ.5 ร่วมแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหาแก๊งวัยรุ่น จำนวน 3 คน ก่อเหตุปล้นทรัพย์และทำร้ายร่างกายผู้อื่น ในพื้นที่ สภ.ภูพิงคราชนิเวศน์ จ.เชียงใหม่ และการจับกุมผู้ต้องหาก่อเหตุชิงทรัพย์ วิ่งราวทรัพย์ต่อเนื่องใน  5  พื้นที่  ได้แก่ สภ.สันป่าตอง, หางดง, หนองตอง, ช้างเผือก จ.เชียงใหม่ และ สภ.เมืองลำพูน จ.ลำพูน ณ ห้องประชุมพระพุทธประทานยศบารมี ตำรวจภูธรภาค 5 อ.เมืองเชียงใหม่ จว.เชียงใหม่  

โดยมีรายละเอียด ดังนี้
คดีที่ 1  คดีปล้นทรัพย์ ฯ ของ สภ.ภูพิงคราชนิเวศน์  จับกุมผู้ต้องหา 3 คน คือ นายอนุเดช หรือ บังพีท นายพลาธิป หรือออคิด และ ด.ช.น้ำหนึ่ง  โดยเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2567  เวลาประมาณ 05.30 น. นายกังสชิต ฯ และนายทักษ์ดนัย ผู้เสียหาย จำนวน 2 คน เล่นสเก็ตพื้นที่ของเอกชน อยู่ที่เขต ต.สุเทพ อ.เมืองเชียงใหม่  ได้มีคนร้ายซึ่งเป็นชายวัยรุ่น จำนวน 3  คน ขับขี่รถจักรยานยนต์เข้ามาบริเวณลานสเก็ต หนึ่งในคนร้าย  ได้ใช้อาวุธมีดทำร้ายฟันผู้เสียหายบริเวณหน้าผาก  และทำร้ายร่างกายผู้เสียหายทั้งสองได้รับบาดเจ็บ และคนร้ายได้หยิบทรัพย์สินอื่นๆ ของผู้เสียหายที่ไปประกอบด้วย บุหรีไฟฟ้า, บุหรี่ยี่ห้อ LM แดง จำนวน 1 ซอง, น้ำดื่มเอสรสลิ้นจี่ จำนวน 2 ขวด, แก้วเยติ  จำนวน 1 ใบ

ต่อมาวันที่ 13 พ.ค.67 เวลาประมาณ 23.00 น. ได้ทำการสืบสวนทราบว่าคนร้ายทั้ง 3 คน คือ นายอนุเดช หรือ บังพีท นายพลาธิป หรือออคิด และ ด.ช.น้ำหนึ่ง  เจ้าหน้าที่ ตำรวจจึงได้นำตัวนายพลาธิปฯ และ ด.ช.น้ำหนึ่ง ฯ มาซักถามปากคำ โดยทั้ง 2 ยอมรับว่าได้ร่วมกันกับนายอนุเดช หรือ บังพีท ก่อเหตุจริง ต่อมาเมื่อวันที่ 15 พ.ค.67 ได้ทำการจับกุมตัวนายอนุเดช หรือบังพีช ตามหมายจับของ ศาลจังหวัดเชียงใหม่  พร้อมควบคุมตัวนายพลาธิป หรือออคิด และ ด.ช.น้ำหนึ่ง  มาดำเนินคดีตามกฎหมาย

คดีที่ 2 จับกุมตัวนายจักรกฤษ ฯ ภูมิลำเนา ต.ม่อนปิ่น อ.ฝาง จว.เชียงใหม่ ก่อเหตุวิ่งราวทรัพย์ จำนวน 5 ครั้ง ได้ทรัพย์สิน 1  ครั้ง เมื่อวันที่ 7 เม.ย.2567 ในพื้นที่ สภ.หนองตอง ครั้งแรก ใช้รถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นสกูปปี้ไอ สีชมพู ไปก่อเหตุที่เขต สภ.สันป่าตอง ไม่ได้ทรัพย์สิน 
ครั้งที่สอง ใช้รถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นสกูปปี้ไอฯ ไปก่อเหตุที่เขต สภ.หางดง จ.เชียงใหม่ ไม่ได้ทรัพย์สินไปแต่อย่างใด 

ครั้งที่สาม เมื่อวันที่ 7 เม.ย.2567 เวลาประมาณ 13.30น. ใช้รถจักรยานยนต์ ยี่ห้อฮอนด้าเวฟ สีดำ ไปใช้ก่อเหตุ ในเขตพื้นที่ สภ.หนองตอง จ.เชียงใหม่ เมื่อ ได้ทรัพย์สินเป็นสร้อยคอทองคำน้ำหนัก 1 บาท นำไปขายที่ร้านทองจำชื่อ ภายในห้างในพื้นที่ ต.ช้างเผือก ในวันเดียวกับวันที่ก่อเหตุ 
ครั้งที่สี่ เมื่อวันที่ 8 พ.ค.2567 เวลาประมาณ 16.00น. ใช้รถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้าเวฟ สีดำฯ ไปก่อเหตุในเขตพื้นที่ สภ.ช้างเผือกจ.เชียงใหม่ แต่ไม่ได้ทรัพย์สิน 
ครั้งที่ห้า เมื่อวันที่ 8 พ.ค.2567 เวลาประมาณ 18.50น. ใช้รถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้าเวฟ สีดำฯ ไปก่อเหตุในพื้นที่ สภ.เมืองลำพูน แต่ไม่ได้ทรัพย์สิน 
รวมก่อเหตุทั้งหมด 5 ครั้ง ได้ทรัพย์สินไปเพียงครั้งเดียว คือ เมื่อวันที่ 7 เม.ย.2567 ในพื้นที่ สภ.หนองตอง 

ตำรวจภูธรภาค 5 ขอยืนยันว่ามีความพร้อมในการดูแลรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินให้แก่พี่น้องประชาชนและยังคงเน้นย้ำในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมที่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชน ทั้งนี้หากพบเห็นอาชญากรรมหรือมีเบาะแสเกี่ยวกับการกระทำความผิดโปรดแจ้ง 191 ตลอดเวลา 24 ชั่วโมง หรือแจ้งผ่านไลน์ ผบช.ภ.5 ไอดี @police5 

'CHANGAN' ตั้งเป้าปีหน้าใช้ชิ้นส่วนในไทย 60% ป้อนโรงงาน คว้า 'ไทยซัมมิท-ซัมมิท-อาปิโก้' รับงานล็อตแรก 2 หมื่นล้าน

เมื่อวานนี้ (16 พ.ค.67) นายเซิน ซิงหัว กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฉางอาน ออโต้ เซาท์อีสเอเชีย จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายรถยนต์ยี่ห้อฉางอาน (CHANGAN) เปิดเผยว่า ได้จับมือกับผู้ผลิตชิ้นส่วนของไทย เช่น ซัมมิท, ไทยซัมมิท และอาปิโก้ โดยได้มีการวางแผนจัดซื้อรวมกว่า 20,000 ล้านบาท สำหรับการผลิตรถไฟฟ้ารุ่นแรกของเรา ซึ่งจะเริ่มผลิตในประเทศไทยตั้งแต่ต้นปีหน้าด้วย

ล่าสุดบริษัทเข้าร่วมงาน Subcon Thailand 2024 เพื่อช่วยสร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับผู้ผลิตชิ้นส่วนในประเทศ โดยเฉพาะ SMEs ไทย ให้เข้าไปสู่ซัพพลายเชนกลุ่มอุตสาหกรรมของฉางอาน เพื่อยกระดับให้ประเทศไทยก้าวไปสู่ศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าชั้นนำของโลกอีกด้วย

โดยงาน Subcon Thailand 2024 เป็นงานแสดงชิ้นส่วนอุตสาหกรรม และจับคู่ธุรกิจชั้นนำของอาเซียน โดยปีนี้ถือเป็นก้าวสำคัญสู่การเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรม โดยทางสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ BOI ได้นำ 7 ค่ายรถยนต์ไฟฟ้า รายใหญ่ที่ลงทุนในไทยเข้าร่วมงาน และฉางอานได้มีโอกาสร่วมแชร์ประสบการณ์ และเผยถึงทิศทางของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าผ่านกิจกรรม 'BOI Symposium : EV Supply Chain'

ปัจจุบันฉางอานมีการจัดตั้งบริษัทในประเทศไทย 3 แห่ง มีการลงทุนมูลค่าสูงถึง 8.8 พันล้านบาท ในส่วนฐานการผลิตจังหวัดระยอง ซึ่งจะครอบคลุมกระบวนการการผลิตยานยนต์ทั้งหมดตั้งแต่การเชื่อม การพ่นสี การประกอบแบตเตอรี่ไปจึงถึงการประกอบขั้นสุดท้าย โดยระยะที่ 1 มีกำลังการผลิตอยู่ 100,000 คันต่อปี ในไตรมาสแรกของปี 2025 และจะเพิ่มขึ้นเป็น 200,000 คันในปีถัดไป

ทั้งนี้ฉางอานวางเป้าหมายในอีก 5 ปีข้างหน้าจะเปิดตัวยานยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่มากกว่า 15 รุ่นให้กับผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าชาวไทย ภายใต้ยุทธศาสตร์ ในการขับเคลื่อนธุรกิจ คือการสร้างระบบห่วงโซ่อุปทานที่ยืดหยุ่นซึ่งมุ่งเน้นไปที่การทำธุรกิจในต่างประเทศ มีความเปิดกว้าง และโปร่งใส เป้าหมาย คือ เพื่อให้ห่วงโซ่อุปทานสามารถให้บริการทั้งตลาดในประเทศ และต่างประเทศ โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

บริษัทตั้งเป้าในการใช้ชิ้นส่วนในประเทศไทยเพิ่มขึ้นมากกว่า 60% และสนับสนุนผู้ผลิตชิ้นส่วนไทย และทำให้ประเทศไทยกลายเป็นห่วงโซ่อุปทานรถที่ใช้พลังงานใหม่ (New Energy Vehicle-NEV) ในอุตสาหกรรมนี้ด้วย


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top