Wednesday, 14 May 2025
NewsFeed

'อุ๊งอิ๊ง' จวกกฎหมาย ให้อิสระ 'แบงก์ชาติ' เป็นอุปสรรคแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ลั่น!! นโยบายการคลังถูกใช้งานข้างเดียวอย่างหนัก จนทำให้หนี้สูงขึ้นทุกปี

เมื่อวานนี้ (3 พ.ค. 67) พรรคเพื่อไทย (พท.) จัดงาน ‘10 เดือนที่ไม่รอ ทำต่อให้เต็ม 10’ ณ ที่ทำการพรรคเพื่อไทย สำนักงานใหญ่ มีการแสดงวิสัยทัศน์และความคืบหน้านโยบายต่าง ๆ ของพรรคเพื่อไทย หลังจากจัดตั้งรัฐบาลเข้าสู่เดือนที่ 9 พร้อมประกาศเป้าหมายการทำงานในอนาคต โดยภายในงานมี นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี, น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย, คณะรัฐมนตรีสัดส่วนของพรรคเพื่อไทย, กรรมการบริหารพรรค, ผู้บริหารพรรค, สส., ว่าที่ผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ของพรรคเพื่อไทย และบุคลากรของพรรค เข้าร่วมงานกันอย่างคับคั่ง

น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า ในนามหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ขอยืนยันว่า เราตัดสินใจถูกต้องมากที่จัดตั้งรัฐบาลผสมเมื่อ 10 เดือนที่แล้ว ปัญหาปัจจุบันที่หมักหมมไว้จากการปฏิวัติรัฐประหาร ทั้งระบบราชการที่โตเกินไป ความอืดอาดในการทำงาน ด้วยโครงสร้างที่ไม่ทันต่อเหตุการณ์ที่เปลี่ยนไป เทคโนโลยี เศรษฐกิจ และภัยคุกคามทางความมั่นคงที่พัฒนาไปเร็วมาก รวมถึงภัยต่อเยาวชนชาติจากยาเสพติด ทำให้ประชาชนของชาติอ่อนแอ ประชาชนขาดโอกาสในการทำมาหากิน เศรษฐกิจใต้ดินสูงเป็นประวัติการณ์

‘เพื่อไทย’ เป็นพรรคการเมืองที่มีประสบการณ์ในการบริหารประเทศมากที่สุด หากไม่เป็นแกนนำรัฐบาลผสม คงยากที่ปัญหาหมักหมมจะแก้ไขได้ กฎหมายพยายามจะให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นอิสระจากรัฐบาล เรื่องนี้เป็นปัญหาและอุปสรรคในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ เพราะนโยบายการคลังถูกใช้งานข้างเดียวอย่างหนัก จนทำให้หนี้สูงขึ้นทุกปี จากการตั้งงบประมาณขาดดุล 

ถ้านโยบายการเงินที่บริหารโดยธนาคารแห่งประเทศไทยไม่ยอมเข้าใจและร่วมมือ ประเทศจะไม่มีทางลดเพดานนี้ได้ 10 เดือนที่ผ่านมา เราใช้ความพยายามในการวิเคราะห์ เข้าใจ เพื่อแก้ปัญหาที่ยาก และซับซ้อน และก้าวเดินต่อในทุกมิติ เพราะเราเสียเวลาและโอกาสไปถึงเกือบ 2 ทศวรรษจากการรัฐประหาร เรามั่นใจว่าเราทำได้ และจะทำให้ได้คะแนนเต็ม 10 ก่อนการเลือกตั้งครั้งหน้า

น.ส.แพทองธาร กล่าวต่อว่า ในมิติทางเศรษฐกิจเริ่มต้นด้วยการเติมเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ เพราะเงินถูกดูดออกจากระบบไปมาก จึงเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้เศรษฐกิจโตต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศในอาเซียน และค่าแรงที่เพิ่มขึ้นเป็น 400 บาท จะทำให้ทุกคนต้องปรับตัว เพิ่มผลผลิตจากความพอกินของพนักงาน พรรคเพื่อไทยจะผลักดันเศรษฐกิจในทุกมิติ ไม่ใช่แค่เติมเงินและเพิ่มค่าแรง แต่รวมไปถึงเม็ดเงินใหม่จากต่างประเทศจะเข้ามาจากการลงทุนและการสร้างโอกาสให้คนไทยทุกคน โดยการนำของนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน

‘รัฐบาลเมียนมา’ ห้ามผู้ชายออกไปทำงานต่างแดนชั่วคราว คาด!! รักษาจำนวนเพื่อเกณฑ์ทหาร ท่ามกลางสงครามระอุ

(3 พ.ค.67) รัฐบาลทหารเมียนมา สั่งห้ามผู้ชายเดินทางไปทำงานนอกประเทศ ในขณะที่สาธารณชนวิตกกังวลเกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมายเกณฑ์ทหาร ท่ามกลางการต่อสู้ยืดเยื้อระหว่างฝ่ายกองทัพเมียนมาและฝ่ายต่อต้าน

นายญุน วิน ปลัดกระทรวงแรงงานเมียนมา ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวเรดิโอ ฟรี เอเชีย เมียนมา (RFA Burmese) เมื่อวานนี้ (2 พ.ค.) ว่า คำสั่งห้ามประชากรชายเดินทางไปทำงานในต่างประเทศ ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค.เป็นเพียงมาตรการชั่วคราว และจะยังคงมีผลบังคับใช้ต่อไปตามความจำเป็น

อย่างไรก็ดี นายญุน วิน ระบุว่า ผู้ชายที่ลงทะเบียนขอไปทำงานต่างประเทศภายในช่วงสิ้นเดือนเม.ย. จะได้รับการยกเว้นจากคำสั่งห้ามดังกล่าว เนื่องจากมีแรงงานจำนวนเล็กน้อยที่ได้เตรียมการผ่านกรมจัดหางานระหว่างรัฐ

โดม นายญุน วิน ไม่ได้ให้เหตุผลเกี่ยวกับการออกคำสั่งห้ามประชากรชายออกไปทำงานในต่างประเทศ หรือเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับกรอบเวลาในการบังคับใช้คำสั่งดังกล่าว

ด้านตัวแทนกรมจัดหางานในอำเภอทินกังยุน (Thingangyun) ของย่างกุ้ง เปิดเผยกับ เรดิโอ ฟรี เอเชีย เมื่อวานนี้ (2 พ.ค.) ว่า คำสั่งห้ามผู้ชายเดินทางไปทำงานต่างประเทศ อาจเป็นไปเพื่อป้องกันไม่ให้ประชากรชายเดินทางออกนอกประเทศในช่วงที่มีการเกณฑ์ทหาร

องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ประมาณการว่า มีประชากรสัญชาติเมียนมากว่า 4 ล้านคนที่ทำงานในต่างประเทศ โดยชายเมียนมาประมาณ 2 ล้านคน ทำงานอยู่ในประเทศไทยมากที่สุด แต่ไม่ชัดเจนว่ามีประชากรชายทำงานในต่างประเทศคิดเป็นสัดส่วนกี่เปอร์เซ็นต์

ขณะที่กลุ่มศึกษากิจการและความขัดแย้งเมียนมา (Burmese Affairs and Conflict Study) ตรวจพบในเดือนเม.ย.ว่า การกำหนดให้ผู้ชายและผู้หญิงอายุระหว่าง 18-35 ปีเข้ารับใช้กองทัพเมียนมาเป็นเวลา 2 ปี ส่งผลให้ประชาชนกว่า 100,000 รายหลบหนีออกจากบ้านเรือนเพื่อหลีกเลี่ยงการเกณฑ์ทหาร

‘กมธ.อุตฯ’ ยื่นร่าง พ.ร.บ. เพิ่มโทษอาญาทิ้ง ‘กาก-สารพิษ’ จำคุก 5 ปี และปรับเพิ่มจาก 2 แสนบาทเป็น 1 ล้านบาท

(3 พ.ค. 67) นายอัครเดช วงศ์พิทักษ์โรจน์ ประธานกรรมาธิการการอุตสาหกรรม สภาผู้แทนราษฎร และ สส.ราชบุรี เขต 4 พรรครวมไทยสร้างชาติ แถลงผลการประชุมเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2567 ที่ผ่านมาว่า สำหรับเหตุการณ์เพลิงไหม้โรงงานเก็บกากสารเคมีวินโพรเสส อ.บ้านค่าย จ.ระยอง นั้น กมธ.อุตสาหกรรม มีความเป็นห่วงต่อสถานการณ์ดังกล่าวเป็นอย่างมาก จึงเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาประชุม ประกอบด้วย กรมโรงงานอุตสาหกรรม สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม รองผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง รองอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ และนายอำเภอบ้านค่าย จ.ระยอง

นายอัครเดช บอกต่อว่า เหตุเพลิงไหม้โรงงานดังกล่าวกินระยะเวลา 3-5 วัน ซึ่งสร้างมลภาวะในพื้นที่ชุมชนรอบโรงงานอย่างรุนแรง และได้รับรายงานว่ามีผู้ป่วยลงทะเบียน 601 ราย โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่มีอาการเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าขณะนี้จะสามารถควบคุมเพลิงได้แล้ว 100% แต่ยังมีกลุ่มควันเกิดขึ้นบางส่วนในอาคาร 4 และอาคาร 3 มี Aluminum Dose จำนวน 5 ตัน ซึ่งเป็นลาวาและพร้อมที่จะปะทุ โดยขณะนี้อยู่ในช่วงเฝ้าระวัง และดูแลเยียวยาพี่น้องประชาชน ควบคู่ไปกับการฟื้นฟูสภาพแวดล้อมในที่เกิดเหตุ

“สิ่งที่น่าเป็นห่วงที่สุด คือ ประชาชนที่อยู่โดยรอบพื้นที่เกิดเหตุได้รับก๊าซพิษ และตรวจวัดพบว่าค่าสารหลายตัวเกินมาตรฐาน ดังนั้นสภาพอากาศรอบโรงงานช่วงนี้ยังไม่ปกติ กมธ.อุตสาหกรรม จึงขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเฝ้าระวัง และอย่าให้มีเหตุเพลิงไหม้ซ้ำอีก” นายอัครเดช กล่าว

นอกจากนี้ นายอัครเดช กล่าวต่อว่า สำหรับความเชื่อมโยงระหว่างโรงงานจังหวัดระยองกับโรงงานจังหวัดอยุธยานั้น ตอนเกิดเหตุเพลิงไหม้ที่ อ.ภาชี ตนและกมธ.อุตสาหกรรมยังไม่ทราบ เพราะเพลิงไหม้เกิดขึ้นในช่วงเย็น แต่ได้รับทราบว่าโรงงานทั้ง 2 แห่งมีความเชื่อมโยงกัน โดยเมื่อช่วงต้นปีได้ลงพื้นที่อำเภอภาชี เพราะได้รับการร้องเรียนจาก สส.ในพื้นที่ โดยพบว่ามีการเก็บสารอันตรายจำนวนมากไม่ถูกต้องตามหลักวิชาการและสิ่งแวดล้อม ซึ่งอธิบดีกรมโรงงานได้สั่งปิดโรงงาน ต่อมาก็มีเหตุเพลิงไหม้โดยมีสาเหตุคล้ายการวางเพลิง ดังนั้นในวันที่ 15 พ.ค.2567 ที่จะถึงนี้ กมธ.อุตสาหกรรม จึงเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาให้ข้อมูล เนื่องจากกรณีนี้ถือว่าไม่ปกติ

“เราทราบว่า โรงงานทั้ง 2 แห่ง มีความเชื่อมโยงกัน ส่วนจะเชื่อมโยงกันลักษณะใดจะทราบในวันที่ 15 พฤษภาคม 2567 ที่จะถึงนี้ รวมถึงจะดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดอย่างไรได้บ้าง เพราะเกรงว่าจะเกิดพฤติกรรมเลียนแบบกันอีก” นายอัครเดช กล่าว

นายอัครเดช กล่าวต่อว่า กมธ.อุตสาหกรรม ได้ยื่นร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) แก้ไขให้โรงงานอุตสาหกรรม เรื่องการทิ้งกากอุตสาหกรรม หรือสารเคมีตามกฎหมาย ซึ่งเดิมจะไม่มีโทษปรับ จึงทำให้ผู้ประกอบการไม่เกรงกลัว จึงได้เพิ่มความผิดอาญาโดยให้จำคุก 5 ปี และจากเดิมปรับ 200,000 บาท เพิ่มเป็น 1,000,000 บาท เพื่อให้ผู้ประกอบการเกิดความเกรงกลัวต่อการกระทำความผิดกฎหมาย

“การเกิดเพลิงไหม้นั้น เป็นการเลี่ยงกฎหมายใหม่หรือไม่ ซึ่งเป็นการตั้งข้อสังเกต เราจึงมีความเป็นห่วง และต้องให้หน่วยงานที่กำกับดูแลเข้าไปตรวจสอบโรงงานที่มีกากของเสียทุกแห่ง” นายอัครเดช ย้ำ

สำหรับปัญหาดังกล่าว นายอัครเดช ย้ำว่า ไม่ใช่เป็นเรื่องรับผิดชอบของกระทรวงอุตสาหกรรมเพียงแห่งเดียว โดยต้องมีความรับผิดชอบของหลายหน่วยงาน และหลายกระทรวงที่ต้องเข้าไปช่วยกันดูแล ทั้งกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข รวมถึงผู้ว่าราชการจังหวัด และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อีกทั้งปัญหานี้ถือว่าเป็นวาระแห่งชาติ ซึ่งตนได้เรียนท่านนายกรัฐมนตรีไปก่อนหน้านี้แล้ว เพราะไม่เช่นนั้นปัญหานี้ก็จะเกิดขึ้นซ้ำได้อีก

‘ทร.’ ประกาศผลผู้ผ่านการสอบคัดเลือกบุคคลพลเรือน เพื่อเข้าเป็น ‘นักเรียนเตรียมทหาร’ ประจำปี 2567

(3 พ.ค.67) เพจเฟซบุ๊ก ‘โรงเรียนนายเรือ RTNA’ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า…

ประกาศผลรอบสุดท้าย บุคคลตัวจริงและบุคคลสำรอง ผู้ผ่านการสอบคัดเลือกบุคคลพลเรือน เข้าเป็นนักเรียนเตรียมทหารในส่วนของกองทัพเรือ ประจำปีการศึกษา 2567

โดยสามารถตรวจสอบรายชื่อได้ที่ >> https://www.rtna.ac.th/index.php

และสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ : 0-2475-3995, 2475 7435 ระหว่างเวลา 08.00 น. ถึง 16.00 น. ทุกวันราชการ หรือ Email : [email protected]

“บิ๊กราญ” รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร. สั่งระดมทุกหน่วยปิดล้อมตรวจค้นเครือข่ายยาเสพติดทั่วประเทศ ห้วงเมษามหาสงกรานต์ จับผู้ต้องหา 321 คน ยึดทรัพย์กว่า 369 ล้านบาท

วันนี้ 3 พ.ค. 67 พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะ รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร. เป็นประธานแถลงผลการปิดล้อมตรวจค้นเครือข่ายยาเสพติดรายสำคัญ 300 เครือข่าย ทั่วประเทศ ในห้วงระหว่างวันที่ ๑๐ - ๓๐ เม.ย.๖๗ พร้อมระบุว่า การปราบปรามยาเสพติดในทุกพื้นที่เป็นวาระเร่งด่วนของรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ที่เน้นการใช้มาตรการทางกฎหมายอย่างเด็ดขาด เพื่อตัดวงจรและท่อน้ำเลี้ยง รวมทั้งทำลายเครือข่ายยาเสพติดทุกระดับทั้งระบบ ประกอบกับนโยบายของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. รรท.ผบ.ตร. ในฐานะ ผอ.ศอ.ปส.ตร. ให้ทุกหน่วยทำงานเชิงรุกปราบปรามจับกุมผู้ค้ายาเสพติดในทุกพื้นที่และสืบสวนขยายผล ทุกคดี เพื่อยึดอายัดทรัพย์สินที่ได้มาจากการค้ายาเสพติด ทั้งของผู้ค้ายาเสพติดเอง รวมทั้งผู้ช่วยเหลือและสนับสนุนเครือข่ายทั้งหมดมาตรวจสอบ พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะ รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร. จึงได้สั่งการให้ทุกหน่วยเปิดปฏิบัติการปิดล้อมตรวจค้นเครือข่ายยาเสพติดรายสำคัญ 300 เครือข่ายทั่วประเทศ ในห้วงระหว่างวันที่ ๑๐ - ๓๐ เม.ย.๖๗ ซึ่งหน่วยที่ปฏิบัติการประกอบด้วย ตำรวจภูธรภาค 1 – 9 , กองบัญชาการตำรวจนครบาล, กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด และเจ้าหน้าที่จาก ป.ป.ส. ร่วมปฏิบัติในทุกพื้นที่ โดยมีเป้าหมายเข้าตรวจค้น 703 เป้าหมาย และเป้าหมายจับ 209 หมายจับ ผลการปิดล้อมสามารถจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับ 142 คดี 143 คน จับกุมคดียาเสพติดรวม 421 คดี ผู้ต้องหา 465 คน ตรวจยึดยาเสพติดคือยาบ้า 11,833,925 เม็ด, ไอซ์ 936 กก. ,คีตามีน 0.591 กก, เฮโรอีน 22 กก., ยาอี 2 เม็ด และ อิริมินไฟท์ 80 เม็ด ตรวจยึดอายัดทรัพย์สิน ได้แก่ เงินสด 5,652,429 บาท, อาวุธปืน 47 กระบอก มูลค่า 1,751,501 บาท, เครื่องกระสุนปืน 418 รายการ มูลค่า 15,404 บาท,สิ่งปลูกสร้างพร้อมที่ดิน/ที่ดิน 76 รายการ มูลค่า 157,690,380 บาท, ทองรูปพรรณ 74 รายการ มูลค่า 4,981,358 บาท, รถยนต์ 191 รายการ  มูลค่า 13,898,000 บาท, รถจักรยานยนต์ 199 รายการ มูลค่า 13,902,890 บาท โทรศัพท์ 199 รายการ มูลค่า 2,413,239 บาท สมุดธนาคาร 96 รายการ และ อื่นๆ อาทิ เงินสดในบัญชีธนาคาร, เรือประมง, เรือหางโหง, คอมพิวเตอร์, Notebook, พระเครื่อง, นาฬิกา และ วิทยุสื่อสาร รวมทรัพย์สินที่ตรวจยึดได้ 172 รายการ มูลค่า69,460,752 บาท ตรวจยึดทรัพย์สินทั้งสิ้น 1,520 รายการ รวมมูลค่า 369,765,953 ล้านบาท

ซึ่ง พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. กล่าวว่า จากผลการปฏิบัติในห้วง 20 วัน ของการปิดล้อมตรวจค้นเครือข่ายยาเสพติดรายสำคัญ 300 เครือข่าย จะเห็นว่าตำรวจทั่วประเทศได้รุกอย่างหนักเป็นรูปธรรม ทำจริง จับจริง และยึดจริง จนทำให้เครือข่ายยาเสพติดรายสำคัญที่กระจายอยู่หลายพื้นที่สั่นสะเทือน โดยในขณะนี้ สำนักตำรวจแห่งชาติ มีนโยบายเน้นการปราบปรามผู้ค้ารายย่อยซึ่งมีผลกระทบโดยตรงกับประชาชนในชุมชนอย่างจริงจังและต่อเนื่อง จะเห็นได้ว่าผลการดำเนินการด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ในห้วง 7 เดือน ที่ผ่านมา (ต.ค. 66 – เม.ย.67) สามารถจับกุมผู้ค้ายาเสพติดได้ถึง 61,196 ราย เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว จำนวน 15,976 ราย หรือเพิ่มขึ้น 35.33 % ขณะเดียวกันได้เน้นการสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติด ทำให้สามารถสกัดกั้นจับกุมยาบ้าปริมาณ 100,000 – 500,000 เม็ด จับกุมได้ 149 คดี เพิ่มขึ้น 21 คดี คิดเป็น 16.41 %, ยาบ้าตั้งแต่ 500,000 เม็ด จับกุมได้ 137 คดี เพิ่มขึ้น 52 คดี คิดเป็น 61.18 % ทั้งนี้ สามารถตรวจยึดยาบ้ารวม 522,555,662 เม็ด เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 166 ล้านเม็ด คิดเป็น 47.56 %, ยาอี 115,665 เม็ด เพิ่มขึ้น 15,514 เม็ด คิดเป็น 15.49 %, ยึดไอซ์ 8,407 กก. เพิ่มขึ้น 390 กก. คิดเป็น 4.84 %, ยึดคีตามีน 3,807 กก. เพิ่มขึ้น 879 กก. คิดเป็น 30.02 %, ยึดเฮโรอีน 649.27 กก. เพิ่มขึ้น 223 กก. คิดเป็น 52.33 % และ ยึดโคเคน 20 กก. เพิ่มขึ้น 10 กก. คิดเป็น 95.32 % รวมทั้งเน้นการยึดทรัพย์สินซึ่งสามารถตรวจยึดทรัพย์สิน รวมมูลค่า 4,862,700,7475 บาท

เชียงใหม่-คณะแพทยศาสตร์ มช. เปิด “ศูนย์ปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดครบวงจร แห่งเดียวในภูมิภาค

คณะแพทยศาสตร์ มช. เปิด “ศูนย์ปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดครบวงจรแห่งเดียวในภูมิภาค ด้วยสเต็มเซลล์จากผู้อื่นที่ไม่ใช่พี่น้องในผู้ป่วยผู้ใหญ่”รองรับการบริการที่เป็นเลิศ

เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2567 เวลา 10.00 น. หน่วยโลหิตวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มช. เปิดศูนย์ปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดครบวงจร แห่งเดียวในภูมิภาค หลังปรับปรุงด้วยเทคโนโลยีให้ทันสมัยขึ้น เพื่อรองรับการให้บริการและการวิจัยที่เป็นเลิศ โดยมี ศ.(เชี่ยวชาญพิเศษ) นพ.บรรณกิจ โลจนาภิวัฒน์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ มช. เป็นประธานในพิธีเปิด ณ ศูนย์ปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือด ชั้น 11 อาคารศรีพัฒน์ โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่

ศ.(เชี่ยวชาญพิเศษ) นพ.บรรณกิจ โลจนาภิวัฒน์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) เปิดเผยว่า คณะแพทยศาสตร์ มช. ได้ปรับปรุงศูนย์ปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือด ทั้งโครงสร้างด้านสถาปัตยกรรม ระบบไฟฟ้าสื่อสาร ระบบสุขาภิบาล ระบบปรับอากาศ ระบายอากาศ และระบบก๊าซทางการแพทย์ เพื่อให้เป็นห้องปลอดเชื้อปลูกถ่ายไขกระดูกที่ทันสมัย ได้มาตรฐานระดับสากล ซึ่งห้องปลูกถ่ายเซลล์ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่นี้ ใช้ในการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือด มีความทันสมัยและปลอดภัยสูง เพื่อรองรับการรักษาผู้ป่วยที่มีความซับซ้อนมากขึ้น 

โดยเป็นลักษณะห้องแยกแบบปลอดเชื้อความดันบวก เครื่องกรองอากาศ มีการปรับอุณหภูมิและความชื้นจำนวน 10 ห้อง และห้องแยกแบบปลอดเชื้ออีก 1 ห้อง ที่มีลักษณะเป็นห้องทั้งความดันบวกและความดันลบ สามารถป้องกันโรคติดเชื้อทางเดินหายใจได้ นอกจากนี้ภายในห้องผู้ป่วยได้มีการตกแต่งอย่างสวยงามและมีสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ เนื่องจากผู้ป่วยที่เข้าทำการรักษาด้วยการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือด ต้องอยู่โรงพยาบาลเป็นเวลานาน ส่วนใหญ่มากกว่า 1 เดือน ดังนั้นห้องผู้ป่วยจึงต้องตกแต่งอย่างสวยงาม มีสิ่งอำนวยความสะดวก เพื่อช่วยลดความเครียดจากการรักษาเป็นระยะเวลานาน

ศูนย์ปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือด หน่วยโลหิตวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มช.ประกอบไปด้วยหน่วยย่อย ได้แก่ หอผู้ป่วยปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือด หน่วยคัดเก็บเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือด และหน่วยเก็บรักษาเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดด้วยความเย็น โดยปรับปรุงขึ้นใหม่จากพื้นที่หอผู้ป่วยเคมีบำบัดขนาดสูงเดิม ทำพิธีเปิดอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2557 และได้มีการพัฒนาการรักษาผู้ป่วยที่มากขึ้นตามลำดับ ทั้งให้การรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งอื่น ๆ ที่หลากหลาย 

เช่น มะเร็งต่อมน้ำเหลือง มะเร็งเม็ดเลือดขาวแบบ leukemia ทั้งแบบเฉียบพลันและเรื้อรัง รวมถึงโรคอื่น ๆ อีกทั้งยังพัฒนาชนิดของการปลูกถ่ายที่มีความซับซ้อนมากขึ้น โดยให้การรักษาผู้ป่วยเด็กรายแรกในปี 2562 ต่อมาได้ทำการปลูกถ่ายด้วยสเต็มเซลล์ผู้อื่นจากพี่น้อง (sibling allogeneic stem cell transplantation) ในปี 2562 และปลูกถ่ายด้วยสเต็มเซลล์จากผู้อื่นที่ไม่ใช่พี่น้อง (matched unrelated donor allogeneic stem cell transplantation) ในปี 2564

นอกจากนี้ในปี 2564 ยังได้รับการรับรองการพัฒนาเพื่อก้าวสู่การรับรองเฉพาะโรค/เฉพาะระบบ (Program Disease Specific Certification; PDSC) จากสถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (สรพ.) ด้วยพันธกิจและจุดมุ่งหมายของการดูแลผู้ป่วยที่ได้รับการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือด เพื่อเพิ่มการเข้าถึงการรักษาด้วยการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดแบบบูรณาการระดับมาตรฐานสากล โดยจุดเน้นของศูนย์เพื่อให้ผู้ป่วยหายขาดจากโรคที่เจ็บป่วย รวมถึงโรคมะเร็งต่าง ๆ ลดการเกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ พัฒนาทำให้ผู้ป่วยที่ได้รับการรักษา มีอัตราการรอดชีวิตเทียบเท่ากับต่างประเทศ ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีและกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติ สอดคล้องกับวิสัยทัศน์และพันธกิจของคณะแพทยศาสตร์ มช. ในการเป็น “โรงเรียนแพทย์ในดวงใจ เพื่อยกระดับสุขภาพและสุขภาวะที่ยั่งยืนของมนุษยชาติ”

นภาพร/เชียงใหม่ 

แฉ!! ยุทธวิธีปั่นกระแส - ใส่ร้ายทางการเมือง มักใช้คำสั้นๆ - ซ้ำๆ มากกว่าอธิบายความยาวๆ

เมื่อไม่นานมานี้ ผู้ใช้งานบัญชีติ๊กต็อกชื่อ 'พี่ลุงแมนไทยแลนด์แดนสวรรค์' (@plm89thailand) ได้เผยแพร่วิดีโอพร้อมระบุแคปชันว่า “เพราะคำใส่ร้าย มันสั้นกว่าคำอธิบายเสมอ”

ทั้งนี้ได้อธิบายความเพิ่มเติมว่า “เรามารู้ทันยุทธวิธีในการใช้โซเชียลปั่นกระแส เขาใช้วิธีใส่ร้ายป้ายสี วิธีใส่ร้ายป้ายสีหรือด้อยค่าด้วยถ้อยคําซ้ำ ๆ เพราะอะไรรู้ไหม? เพราะการใส่ร้าย มันสั้นกว่าคําอธิบายเสมอ เช่น เขาจะใส่ร้ายได้ประโยคซ้ำ ๆ เดิม ๆ ซ้ำ ๆ เดิม ๆ”

ผู้ใช้งานบัญชีติ๊กต็อกรายนี้ อธิบายต่อว่า “พวกเราสังเกตนะ คำซ้ำๆ เดิม ๆ คําใส่ร้ายสั้น ๆ อย่างเช่นว่า “ประยุทธ์ตรวจสอบไม่ได้” แค่นี้นะ ย้ำคำว่า “ตรวจสอบไม่ได้ ตรวจสอบไม่ได้” แต่เวลาอธิบายมันยาวกว่า คนจะไม่ฟัง ดังนั้น พี่น้องเวลาเสพข่าว ถ้าเห็นคนที่ใช้แค่ถ้อยคําสั้น ๆ เดิม ๆ ซ้ำ ๆ วนไปวนมา แล้วก็ไม่แสดงตัวตน อย่าไปสนใจ อย่าไปหลงเชื่อ เพราะเขาจะสะกดจิต เขาจะใช้คําซ้ำ ๆ ๆ สะกดจิต เพราะว่าเขารู้ว่าพี่น้องทํางานทําการ ไม่ค่อยมีเวลาดูการเมืองเยอะ ดังนั้นเขาจะใช้คําซ้ำ ๆ แค่นั้น

เพราะคําอธิบาย มันยาวกว่าคําใส่ร้ายเสมอ”

‘รัสเซีย’ มีรายได้จากการขาย ‘น้ำมัน-ก๊าซ’ พุ่งขึ้นเท่าตัว หลังใช้กลยุทธ์ ‘ลดราคา’ ขายให้ชาติพันธมิตร แม้จะถูกสหรัฐฯ คว่ำบาตร

(4 พ.ค. 67) รัสเซียมีรายได้จากการขายน้ำมันและก๊าซพุ่งขึ้นเท่าตัวในเดือนเมษายน 2024 แม้ว่าถูกสหรัฐฯ คว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ  โดยรัสเซียหาทางแก้ไขปัญหานี้ด้วยการขายน้ำมันให้กับชาติพันธมิตรในราคาที่ถูกลง นับตั้งแต่ปี 2022  แม้กระทั่งซาอุดีอาระเบียยังรับน้ำมันราคาถูกจากรัสเซีย  แล้วนำมาขายต่อให้กับยุโรปอีกทีเมื่อปี 2023  สิ่งนี้จึงช่วยให้รัสเซียยังมีเศรษฐกิจที่สมดุลอยู่ได้ และลอยตัวแม้ถูกสหรัฐฯ คว่ำบาตร

ด้านอินเดียก็เคยซื้อน้ำมันจากรัสเซีย ช่วยประหยัดงบไปถึง 7,000 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 259,000 ล้านบาท ในอัตราแลกเปลี่ยน เช่นเดียวกับจีนที่ซื้อน้ำมันจากรัสเซียในราคาที่ถูกกว่าที่อื่น และซื้อขายกันในรูปเงินหยวน  ทั้งหมดนี้บ่งชี้ให้เห็นว่ามาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ มีผลแค่เล็กน้อย หรือแทบไม่มีผลเลยกับเศรษฐกิจรัสเซีย

รายงานล่าสุดจากรอยเตอร์ ประเมินว่า รัสเซียจะมีรายได้จากการขายน้ำมันและก๊าซพุ่งขึ้นเท่าตัวในเดือนเมษายนนี้(2024 ) รายได้น้ำมันของรัสเซียเมื่อเดือนเมษายนปีที่แล้ว(2023 )อยู่ที่ 7,000 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 259,000 ล้านบาท  แต่ในปีนี้(2024 )น่าจะแตะ 14,000 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 518,000 ล้านบาท  เท่ากับว่าเพิ่มขึ้นมาร้อยเปอร์เซ็นต์ 

กลุ่มประเทศกำลังพัฒนาอื่น ๆ ยังได้ประโยชน์จากการซื้อน้ำมันรัสเซีย เพราะนอกจากจะมีราคาถูกกว่าที่อื่นแล้ว ยังใช้เงินสกุลท้องถิ่นซื้อได้ด้วย ไม่ต้องพึ่งดอลลาร์สหรัฐเลย  การทำเช่นนี้ ยังทำให้เศรษฐกิจของประเทศตัวเองแข็งแกร่งขึ้นด้วย กลายเป็นว่ามาตรการคว่ำบาตรนี้ กลับส่งผลดีต่อกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาเป็นส่วนใหญ่

ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคปอด ชี้ อย่ากังวลเรื่อง ‘วัคซีนแอสตร้า-ลิ่มเลือด’ เผย!! เรื่องนี้รู้มานาน 3 ปีแล้ว รวมทั้งวัคซีนตัวนี้ ก็ไม่มีใช้ฉีดกันแล้ว

(4 พ.ค. 67) นายแพทย์ธนีย์ ธนียวัน ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคปอด ซึ่งเป็นอาจารย์แพทย์อยู่ที่สหรัฐฯ ได้ออกมาโพสต์คลิปเกี่ยวกับ วัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า โดยได้ระบุว่า ...

วัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าเนี่ย มีนักวิชาการอาวุโสออกมายอมรับเป็นครั้งแรกว่า ทําให้เกิดลิ่มเลือด พร้อมกับเกล็ดเลือดดํา ซึ่งในเรื่องนี้เรารู้กันมาตั้งแต่ 3 ปีที่แล้ว แล้วครับผมก็เคยทําคลิปลงยูทูบไปเมื่อ 3 ปีก่อนหน้านี้ และที่สําคัญเมื่อกี้เนี่ยทางสมาคมโลหิตวิทยาเพิ่งจะออกมายืนยันบอกว่าเรื่องรู้กันมาตั้งนานแล้วนะครับ โอกาสในการเกิดก็คื อหนึ่งในแสนถึงหนึ่งในล้าน และมันจะเกิดขึ้นหลังจากการฉีดวัคซีนไปแล้วหนึ่งเดือน หรือมิฉะนั้นก็ภายใน 42 วัน ถ้าเกินนั้นไม่มีโอกาสเกิดขึ้นแล้วครับนะ แล้วปัจจุบันเราไม่มีวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าฉีดกันมาเป็นปีแล้ว ดังนั้นไม่มีความจําเป็นต้องกังวลแต่อย่างใด แล้วก็ไม่ต้องโยงไปวัคซีนเอ็มอาร์เอนะครับ เพราะว่ามันไม่เกี่ยว ที่สําคัญผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่า คนแก่คนเนี่ย แกตกข่าวหรือจงใจจะปั่นกระแสเพื่อผลประโยชน์อะไรสักอย่างรึเปล่า แต่แกเพี้ยนครับอย่าไปสนใจคนเพี้ยน ๆ แบบนี้เลย ข่าวแบบนี้มานานแล้ว เก่าแล้วใช้ไม่ได้นะครับ 

ชาวอเมริกันกว่า 50% เห็นด้วยให้แบน Tiktok ออกจากสหรัฐฯ หวั่น!! จีนใช้ 'จูงใจ-สร้างอิทธิพล-สอดแนมชีวิต' คนอเมริกัน

(4 พ.ค.67) Business Tomorrow เผยว่า ไม่นานมานี้ ทาง Reuters ร่วมกับบริษัทวิจัยผู้บริโภค Ipsos ได้สอบถามชาวอเมริกัน 1,022 คน ว่าคิดอย่างไรกับกรณีการแบน TikTok ของรัฐบาล?

- 58% เห็นด้วยว่า รัฐบาลจีนใช้ TikTok มาสร้างอิทธิพลต่อชาวอเมริกัน โดยกลุ่มตัวอย่างไม่เห็นด้วยกับข้อความนี้ 13%
- 50% เห็นด้วยกับการแบน TikTok, 32% ไม่เห็นด้วย และที่เหลือ 18% ตอบว่าไม่แน่ใจ
- 46% เห็นด้วยว่า รัฐบาลจีนใช้ TikTok สอดแนมชีวิตของคนอเมริกันทั่วไป
- 60% เห็นด้วยว่า การที่นักการเมืองอเมริกันใช้ TikTok ชักจูงคนไปเลือกตั้งเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม

ทั้งนี้ Reuters ได้ออกตัวก่อนว่า โพลดังกล่าวสอบถามเฉพาะวัยผู้ใหญ่ที่อายุเกิน 18 ปีขึ้นไปเท่านั้น ซึ่งอาจไม่สะท้อนมุมมองของวัยรุ่นต่ำกว่า 18 ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของ TikTok

ปัจจุบัน TikTok มีผู้ใช้งานในสหรัฐอเมริการาว 170 ล้านคน บริษัทมีเวลา 270 วันในการหาผู้ซื้อรายใหม่ ซึ่งบริษัทระบุว่าจะต่อสู้กับกฎหมายนี้ในชั้นศาล


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top