Wednesday, 14 May 2025
NewsFeed

‘ณณัฏฐ์’ สวน!! ‘ก้าวไกล’ ปมวิจารณ์นายกฯ ลงพื้นที่ จ.ระยอง ย้ำ!! รบ.ทำงานหวังผลสัมฤทธิ์ ไม่ใช่เพื่อแสง หรือใช้ปากทำงาน

เมื่อวานนี้ (2 พ.ค.67) นายณณัฏฐ์ หงษ์ชูเวช สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี นายชุติพงศ์ พิภพภิญโญ สส.ระยอง พรรคก้าวไกล วิจารณ์การลงพื้นที่โรงงานสารเคมีที่เกิดไฟไหม้ที่ อ.บ้านค่าย จ.ระยอง ของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 27 เม.ย.67 ว่า ไฮไลต์เดียวในการลงพื้นที่ คือการไปต่อว่าอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม จนประกาศลาออกในที่ประชุมคณะกรรมาธิการอุตสาหกรรม สภาผู้แทนราษฎร ว่า ก่อนการลงพื้นที่โรงงานไฟไหม้ที่ จ.ระยอง นายเศรษฐา ได้รับทราบข้อมูล และได้สั่งการไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดให้เร่งแก้ไขปัญหาเรียบร้อยแล้ว การไปลงพื้นที่ก็เพื่อติดตามผลการดำเนินงานด้วยตัวเอง ไม่ได้ต้องการทำให้ตัวเองเป็นข่าวกับทุกเรื่อง เพราะนายกฯ มุ่งเน้นที่ผลสัมฤทธิ์ของงานเป็นหลัก

“เข้าใจว่า คุณชุติพงศ์ อาจไม่มีประสบการณ์การทำงานเป็นรัฐบาลมาก่อน ทำให้ขาดความรู้ความเข้าใจ ในบทบาท หน้าที่ และโครงสร้างการทำงานว่า ขับเคลื่อนกันอย่างไร จนอาจจะเข้าใจผิดในเรื่องการบริหารงาน ว่าต้องลงไปทำเองทุกขั้นตอน โดยไม่พิจารณาผลลัพธ์ แต่หวังเพียงหน้าสื่อ แบบนั้นไม่เรียกว่าการบริหารงานแต่เรียกว่า หิวแสง ซึ่งไม่ใช่สไตล์การทำงานของท่านนายกฯ และรัฐบาลชุดนี้” นายณณัฏฐ์ ระบุ

นายณณัฏฐ์ กล่าวต่อว่า การทำงานของรัฐบาล ในฐานะฝ่ายบริหารนั้น มีโครงสร้าง มีการแบ่งส่วนงานรับผิดชอบ ทั้งฝ่ายนโยบาย และฝ่ายปฏิบัติ ในแต่ละกรม หรือกระทรวง รวมถึงการกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นเพื่อให้การทำงานสำเร็จรวดเร็วเพื่อแก้ไขปัญหาให้แก่พี่น้องประชาชน

“ส่วนเรื่องการใช้ปากทำงาน ผมในฐานะ สส.เพื่อไทย คงไม่อาจเอื้อมไปแข่งขันกับพรรคก้าวไกล เพราะในประเด็นนี้ เชื่อว่าเกินกึ่งหนึ่งในสภาฯ เห็นพ้องต้องกัน ว่าไม่มีใครเก่งไปกว่าพรรคก้าวไกลแล้ว และอยากฝากให้ สส.ก้าวไกล คำนึงไว้เสมอด้วยว่า แม้การใช้ปากทำงานจะเป็นชุดทักษะที่เหมาะสมกับการเป็นฝ่ายค้าน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า การเป็นฝ่ายค้าน จะทำให้พวกคุณมีบัตรผ่านฟรีพาส ที่จะใช้ปากโจมตีใครอย่างไรก็ได้อยู่ฝ่ายเดียว โดยไม่ต้องคำนึงถึงข้อเท็จจริง ไม่ต้องรับผิดชอบผลของการสร้างวาทกรรม ชี้นำสังคมอย่างที่ทำมาตลอด” นายณณัฏฐ์ กล่าว

'สว.สมชาย' ฟันธง 'พิชิต' ขาดคุณสมบัติ จี้!! กกต.ส่งศาล รธน.สั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่

(3 พ.ค. 67) นายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ถึงคุณสมบัติความเป็นรัฐมนตรีของ นายพิชิต ชื่นบาน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ว่า…

คุณสมบัติความเป็นรัฐมนตรีของนายพิชิต มีความเสี่ยงที่จะขาดคุณสมบัติและอาจขัดรัฐธรรมนูญ กกต. มีหน้าที่เร่งส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยและขอให้ศาลสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ไว้ก่อน

ตามที่ปรากฏข้อสงสัยในคุณสมบัติของความเป็นรัฐมนตรีนายพิชิตนั้น ขอเสนอข้อมูลข้อกฎหมายและข้อเสนอแนะนำเพื่อให้คณะกรรมการเลือกตั้งหรือ กกต. ที่มีหน้าที่เร่งเรื่องส่งไปศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรธน. มาตรา 82 ประกอบ มาตรา 170 วรรคสาม และ มาตรา 160 (4) โดยเร็ว เพื่อขอให้วินิจฉัยว่านายพิชิตขาดคุณสมบัติหรือไม่ ด้วยเหตุผลดังนี้

1) รัฐมนตรี ต้องมีคุณสมบัติครบถ้วนตามที่รัฐธรรมนูญมาตรา 160 กำหนดทุกอนุมาตรา ขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดมิได้ จะทำให้ขาดคุณสมบัติความเป็นรัฐมนตรีเฉพาะตัวมาตรา 17 ทันที

โดยเรื่องนี้มีประเด็นสงสัยตาม รธน. มาตรา 160 (4) (5) ในเรื่องความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์และการประพฤติผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรงหรือไม่

เพราะนายพิชิต เคยเป็นทนายความและเป็นจำเลยที่ 1 เคยต้องคำสั่งศาลให้จำคุก 6 เดือน

“ตามคำพิพากษาศาลฎีกาเรื่องละเมิดอำนาจศาลที่วินิจฉัยว่า การกระทำเป็นความผิดละเมิดอำนาจศาลโดย เห็นว่า เงินที่มอบให้ม.ล.ฐิติพงศ์ เพื่อนำไปแบ่งกันกับเจ้าหน้าที่ในแผนกมีจำนวนมากถึง 2,000,000 บาท มีเจตนาที่จูงใจให้ม.ล.ฐิติพงศ์และเจ้าหน้าที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง กระทำการอันมิชอบด้วยหน้าที่ ซึ่งอาจเชื่อมโยงไปเป็นประโยชน์แก่จำเลยในคดีหมายเลขดำที่ อม.1/2550 เป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยบริเวณศาล เป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 31 (1), 33 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 และน่าจะมีมูลความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 144 หรือความผิดอื่นต่อเจ้าพนักงาน การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาทั้งสาม เป็นการกระทำที่อุกอาจ ท้าทายและเกิดขึ้นที่ศาลฎีกา จึงลงโทษในสถานหนัก เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างอีกต่อไป ให้จำคุกผู้ถูกกล่าวหาทั้งสามคนละ 6 เดือน”

2) รมต. ต้องมีคุณสมบัติครบถ้วนตามรัฐธรรมนูญมาตรา 160 หาใช่มีคุณสมบัติเพียงแค่ที่ส่งไปถามให้กฤษฎีกาตีความแบบเฉพาะเจาะจงบางอนุมาตราใน รธน. มาตรา 160 แค่ (6) (7) หากยังต้องมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์และไม่ประพฤติผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตามมาตรา 160 (4) และ (5) ด้วย ปรากฏชัดตามหนังสือตอบที่เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ลับ ลงวันที่ 1 ก.ย. 66 ที่มีเลขาธิการ ครม. ถามไปเพียงแค่บางประเด็น หาใช่การตอบครอบคลุมถึงคุณสมบัติรัฐมนตรีทั้งหมด ตาม รธน. ทั้งมาตรา 160 กำหนดหรือตามที่นายกรัฐมนตรีกล่าวอ้างแต่ประการใด

3) กรณีมีข้อสงสัยว่าความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงหรือไม่ แม้เมื่อรัฐมนตรีเข้าสู่ตำแหน่งแล้ว แต่อาจมีเหตุที่ทำให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงได้ โดยเฉพาะกรณีที่รัฐมนตรีผู้นั้นขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ หรือกระทำการบางอย่างอันมีลักษณะเป็นการขัดกันแห่งประโยชน์ กกต. มีหน้าที่และมีผู้ไปร้องแล้ว จึงควรเร่งดำเนินการและควรร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ผู้ถูกร้อง ‘หยุดปฏิบัติหน้าที่’ จนกว่าศาลจะมีคำวินิจฉัยด้วยเพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นตามมา

#กกตมีหน้าที่ #ส่งศาลรธน

'จอร์แดน' เลือกข้าง!! ช่วยอิสราเอลจากการโจมตีของอิหร่าน สกัดกั้น 'ขีปนาวุธ-โดรน' จากอิหร่านที่ผ่านน่านฟ้าจอร์แดน

ถือเป็นการเปิดหน้าอย่างชัดเจน เมื่อจอร์แดนได้ช่วยเหลืออิสราเอลระหว่างการโจมตีของอิหร่าน ด้วยการสกัดกั้นขีปนาวุธทุกลูกและโดรนทุกลำจากอิหร่านที่มุ่งสู่อิสราเอลผ่านน่านฟ้าของจอร์แดน 

โดยรัฐบาลจอร์แดนภายใต้การปกครองของกษัตริย์อับดุลลาห์ที่ 2 กล่าวว่า “เราจะสกัดกั้นโดรนหรือขีปนาวุธทุกตัวที่ละเมิดน่านฟ้าของจอร์แดนเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายใด ๆ สิ่งใดก็ตามที่เป็นภัยคุกคามต่อจอร์แดนและความปลอดภัยของชาวจอร์แดน เราจะเผชิญหน้ากับมันด้วยความสามารถและทรัพยากรทั้งหมดของเรา”

นอกจากนี้ จอร์แดน ยังเปิดน่านฟ้าให้เครื่องบินรบของอิสราเอลและสหรัฐฯ ปฏิบัติการอีกด้วย โดยเจ้าหน้าที่กองทัพอากาศอิสราเอลนายหนึ่งกล่าวว่า จอร์แดนอนุญาตให้เครื่องบินรบของอิสราเอลบินในน่านฟ้าของตนเพื่อยิงสกัดขีปนาวุธและโดรนของอิหร่านให้ตก โดยกองทัพจอร์แดนและอิสราเอลได้รับการประสานงานจากกองทัพสหรัฐฯ ซึ่งนี่น่าจะเป็นครั้งแรกที่อิสราเอลและจอร์แดนทำการรบเคียงข้างกัน 

ทว่า การตัดสินพระทัยของกษัตริย์อับดุลลาห์ที่ 2 ในครั้งนี้ น่าจะทำให้ประชาชนชาวจอร์แดนที่เป็นมุสลิมกว่า 95% ของประชากรทั้งประเทศราว 10 ล้านคนไม่พอใจอย่างแน่นอน

‘คปท.’ จี้!! นายกฯ นำบุคคลขาดคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรีขึ้นทูลเกล้าฯ เป็นการกระทำผิดอย่างร้ายแรง ต้องรับผิดชอบ ทั้งทางอาญาและวินัย

(3 พ.ค. 67) มีประเด็นต่อเนื่องจากกรณีสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ขอให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ให้ความเห็นในปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของรัฐมนตรี เฉพาะตามมาตรา 160 (6) ประกอบกับมาตรา 98 (7) และมาตรา 160 (7) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 

โดยสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา มีหนังสือลงวันที่ 1 ก.ย.66 ตอบกลับเลขาธิการคณะรัฐมนตรี คือ เรื่องคุณสมบัติตาม มาตรา 160 (4) ‘มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์’ และ (5) ‘ไม่มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง’ ไม่ได้ตอบ เนื่องจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ไม่ได้ถามในประเด็นดังกล่าว

ต่อมานายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีมีการร้องเรียนให้มีการตรวจสอบคุณสมบัติของนายพิชิต ชื่นบาน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และร้องคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้ตรวจสอบวินัยร้ายแรงนายกรัฐมนตรี เพราะเป็นผู้เสนอชื่อ ว่า ก่อนจะเสนอชื่อ ได้ส่งรายชื่อให้ตรวจสอบ โดยคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว

ล่าสุดนายพิชิต ไชยมงคล แกนนำเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กแสดงความเห็นถึงเรื่องดังกล่าวว่า...

นายกฯ ผิดเต็มๆ

งานนี้นอกจาก พิชิต ชื่นบาน จะซวยแล้ว คนที่ผิดเต็มประตูคือ นายเศรษฐา ทวีสิน

คุณตั้งคำถามกับกฤษฎีกาแบบเลี่ยงบาลี เหมือนศรีธนญชัย คุณไม่ถามให้เต็มมาตรา 160 แต่คุณกลับถามเฉพาะ (6) (7) แล้วยังจะมาอ้างว่าถามกฤษฎีกาแล้ว

ดังนั้น นายกฯ นำบุคคลที่ขาดคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรีขึ้นทูลเกล้าฯ เป็นการกระทำผิดอย่างร้ายแรง ต้องรับผิดชอบ ทั้งทางอาญาและวินัย

รับใช้ทักษิณมาก ก็รับกรรมเพราะทักษิณ

อาทิตย์หน้า คปท. กองทัพธรรม ศปปส. จะไปยื่น ป.ป.ช.เอาผิด นายกฯ รัฐมนตรี

#Saveประเทศไทย

‘ทุเรียนไทย’ เสี่ยงไม่ได้ 'ยืนหนึ่ง' ตลาดจีน หลังหลายชาติทยอยรุกส่งออกกันไม่แผ่ว

(3 พ.ค.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ด่านโหย่วอี้กวนหรือด่านมิตรภาพบนพรมแดนจีน - เวียดนาม ณ เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วงทางตอนใต้ของจีน ได้รับรองการนำเข้าทุเรียนสดในไตรมาสแรก (มกราคม-มีนาคม) ของปีนี้รวม 48,000 ตัน คิดเป็นมูลค่า 1.85 พันล้านหยวน (ราว 9.25 พันล้านบาท)

ปริมาณการนำเข้าทุเรียนสดข้างต้นแบ่งเป็นนำเข้าจากเวียดนาม 35,000 ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 48.1 เมื่อเทียบปีต่อปี คิดเป็นมูลค่า 1.28 พันล้านหยวน (ราว 6.4 พันล้านบาท) และนำเข้าจากไทย 13,000 ตัน คิดเป็นมูลค่า 570 ล้านหยวน (ราว 2.85 พันล้านบาท) ซึ่งลดลงร้อยละ 59.5 และร้อยละ 63.5 เมื่อเทียบปีต่อปี

อนึ่ง ด่านโหย่วอี้กวนของกว่างซีจัดเป็นด่านบกขนาดใหญ่ที่สุดในการนำเข้าทุเรียนและจุดสังเกตกระแสการบริโภคทุเรียนของตลาดจีน โดยศุลกากรนครหนานหนิงระบุว่า มูลค่าการนำเข้าทุเรียนสดผ่านด่านแห่งนี้ในปี 2023 รวมอยู่ที่ 2.25 หมื่นล้านหยวน (ราว 1.12 แสนล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 353 เมื่อเทียบปีต่อปี

ด้านสำนักงานศุลกากรทั่วไปของจีนระบุว่า จีนนำเข้าทุเรียนสดในปี 2023 ราว 1.42 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่า 6.71 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 2.47 แสนล้านบาท) โดยปริมาณทุเรียนที่นำเข้าผ่านด่านโหย่วอี้กวนคิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของปริมาณทุเรียนนำเข้าทั้งหมดของจีน

บรรดาคนวงในอุตสาหกรรมมองว่าปริมาณทุเรียนสดนำเข้าจากไทยผ่านด่านโหย่วอี้กวนที่ลดลงในไตรมาสแรกของปีนี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากทุเรียนไทยเข้าสู่ตลาดจีนล่าช้ากว่าปกติ กอปรกับสภาพภูมิอากาศในท้องถิ่นไทยส่งผลกระทบต่อผลผลิตทุเรียน

ทั้งนี้ ข้อมูลการบริโภคทุเรียนของตลาดจีนชี้ว่าสถานะ ‘ผู้นำ’ ของทุเรียนไทยในตลาดจีนกำลังสั่นคลอน เนื่องด้วยผลกระทบจากการส่งออกทุเรียนสู่จีนของแหล่งผลิตทุเรียนที่พัฒนามาทีหลังอย่างเวียดนามและฟิลิปปินส์ ทำให้ทุเรียนไทยในตลาดจีนต้องเผชิญกับการแข่งขันอันดุเดือดยิ่งขึ้น

ช่ายเจิ้นอวี่ ผู้จัดการของบริษัท กว่างซี โอวเหิง อินเตอร์เนชันแนล โลจิสติกส์ จำกัด เผยว่า ช่วงก่อนปี 2023 บริษัทฯ นำเข้าทุเรียนจากไทยเท่านั้น แต่พอปี 2023 ทุเรียนที่นำเข้ามากกว่า 2,000 ตู้คอนเทนเนอร์ แบ่งเป็นทุเรียนไทยและทุเรียนเวียดนามอย่างละครึ่ง โดยบริษัทฯ เลือกแหล่งผลิตตามความต้องการของผู้บริโภคทั่วจีน

ช่ายกล่าวว่า การปลูกทุเรียนในไทยมักปลูกโดยครัวเรือนทั่วไปหรือกลุ่มหมู่บ้าน แต่การปลูกทุเรียนของเวียดนามมุ่งเน้นการเพาะปลูกขนานใหญ่ รวมถึงใช้ข้อได้เปรียบจากระยะทางขนส่งสั้น ความเป็นอุตสาหกรรมระดับสูง และต้นทุนต่ำกว่า ทำให้ทุเรียนเวียดนามมีโอกาสรุกเข้าท้าชิงส่วนแบ่งตลาดจีน

คนวงในอุตสาหกรรมเผยว่าช่วงไม่กี่ปีมานี้ หลายประเทศอาเซียนได้รับอนุญาตส่งออกทุเรียนสดสู่จีน ทำให้โครงสร้างตลาดทุเรียนของจีนเปลี่ยนแปลงไป โดยก่อนหน้านี้ทุเรียนไทยครองส่วนแบ่งตลาดจีนมากที่สุดเสมอจนกระทั่งเวียดนามสามารถส่งออกทุเรียนสดสู่จีนในเดือนกันยายน 2022 ทำให้ทุเรียนไทยครองส่วนแบ่งตลาดจีนลดลง

สำนักงานศุลกากรทั่วไปของจีนระบุว่าปี 2022 จีนนำเข้าทุเรียน 825,000 ตัน ซึ่งเป็นทุเรียนไทยมากกว่า 780,000 ตัน หรือคิดเป็นเกือบร้อยละ 95 ต่อมาปี 2023 จีนนำเข้าทุเรียน 1.42 ล้านตัน ซึ่งเป็นทุเรียนไทย 929,000 ตัน และทุเรียนเวียดนาม 493,000 ตัน ทำให้ทุเรียนเวียดนามครองส่วนแบ่งตลาดจีนเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 30 ภายในหนึ่งปีและยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น

ขณะเดียวกันแม้ปริมาณทุเรียนสดส่งออกจากฟิลิปปินส์สู่จีนไม่ได้สูงมากแต่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยศุลกากรนครหนานหนิงระบุว่าปริมาณการขนส่งทุเรียนด่วนผ่านท่าอากาศยานนานาชาติหนานหนิง อู๋ซวี ในไตรมาสแรกของปีนี้รวมอยู่ที่ 1,201 ตัน ซึ่งมาจากไทย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม โดยการนำเข้าทุเรียนฟิลิปปินส์เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบปีต่อปี

สวี่เฉียง รองผู้จัดการบริษัทที่ให้บริการขนส่งทุเรียนทางอากาศ เผยว่า มีการนำเข้าทุเรียนจากฟิลิปปินส์ทางอากาศทุกวัน คิดเฉลี่ยราว 4 ตันต่อเที่ยวบิน โดยต้นทุนการขนส่งไม่สูงเพราะเป็นเที่ยวบินขากลับ และการขนส่งทางอากาศช่วยการันตีรสชาติสดใหม่ด้วย

นอกจากเวียดนามและฟิลิปปินส์แล้ว ทุเรียนมาเลเซียกำลังบุกตลาดจีนเช่นกัน โดยมาเลเซียส่งออกผลิตภัณฑ์ทุเรียนแช่แข็งสู่จีนตั้งแต่ปี 2011 และส่งออกทุเรียนแช่แข็งทั้งลูกสู่จีนในปี 2019

ข้อมูลจากหอการค้าแห่งประเทศจีนเพื่อการนำเข้าและส่งออกอาหาร ผลผลิตพื้นเมือง ผลผลิตพลอยได้จากสัตว์ ระบุว่าปริมาณการส่งออกทุเรียนมาเลเซียแช่แข็งสู่จีนในปี 2023 อยู่ที่ 25,000 ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 47 เมื่อเทียบปีต่อปี คิดเป็นมูลค่า 270 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 9.96 พันล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 34 เมื่อเทียบปีต่อปี

ฟาทิล อิสมาอิล กงสุลใหญ่มาเลเซียประจำนครหนานหนิง กล่าวว่าจีนกลายเป็นตลาดแห่งสำคัญของทุเรียนมาเลเซียหลังจากพัฒนามานานหลายปี โดยปัจจุบันมาเลเซียและจีนกำลังทำงานร่วมกันเพื่อการส่งออกทุเรียนสดจากมาเลเซียสู่จีน

คนวงในอุตสาหกรรมทิ้งท้ายว่าตลาดผู้บริโภคทุเรียนของจีนมีขนาดใหญ่และความต้องการทุเรียนไทยจะยังคงเพิ่มขึ้น แต่ทุเรียนไทยกำลังเผชิญการแข่งขันกับอีกหลายประเทศ ทำให้ไทยต้องเร่งรักษาข้อได้เปรียบทางการแข่งขัน โดยนอกจากควบคุมคุณภาพอย่างเข้มงวด ต้องเพิ่มประสิทธิภาพของระบบขนส่งและโลจิสติกส์ ทุกภาคส่วนต้องทำงานร่วมกันเพื่อลดผลกระทบต่อสถานะ ‘ผู้นำ’ ในตลาดจีน

'อัษฎางค์' ยกย่องคอมเมนต์ชาวเน็ต ผู้กระจ่างในประเด็น 'ท่านอ้น' เคารพในความเป็นเลือดเนื้อเชื้อไข แต่ไม่เลยเถิดจนนำไปสู่ความแตกแยก

(3 พ.ค. 67) เอ็ดดี้ อัษฎางค์ ยมนาค ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

“เรื่องท่านอ้น 
ขอแบบเคลียร์ ๆ ชัด ๆ ตรงประเด็นไม่ต้องอ้อมค้อม

มีคอมเมนต์ที่แสดงความคิดเห็นได้ถูกต้องตรงตามเจตนารมณ์ที่ผมเขียนโพสต์เรื่องเหล่านี้หลายท่าน หนึ่งในนั้นคือท่านนี้...

**โดยส่วนตัว ผมไม่ได้รู้สึกยินดี ยินร้าย หลงใหล ได้ปลื้มหรือเกลียดชัง ต่อตัวท่านอ้นเลยนะครับ

**แต่ที่มาออกมาเสี่ยงโพสต์บทความต่าง ๆ เพราะเห็นคนไทยกลุ่มหนึ่ง คิดและทำอะไรเกินเลย และเลยเถิดไปมาก

**คนไทยบางกลุ่มแทบจะทำตัวเป็นผู้มีอำนาจแต่งตั้ง หรือพูดตรง ๆ ว่าทำตัวเป็นพระเจ้าแผ่นดินเสียเอง โดยการแต่งตั้งคุณอ้น ให้เป็นเจ้า ให้เป็นรัชทายาทไปแล้ว ซึ่งถือว่าเป็นการกระทำที่ไปกดดันเบื้องสูง ทำให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท ทั้งโดยตั้งใจหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์

เพราะฉะนั้น ผมจึงเสี่ยงชีวิตตัวเองออกมาเตือนสังคม

**อย่าคิดว่าผมจงเกลียดจงชังท่านอ้น ผมเปล่าเลย สมัยก่อนตอนท่านทั้ง 4 ยังเป็นเด็ก ๆ ผมเคยรู้สึกสงสาร เห็นใจท่านทั้ง 4 ด้วยซ้ำไป แต่ตอนนี้ท่านเป็นผู้ใหญ่มากแล้ว ท่านไม่ได้ต้องการความสงสารแล้ว

บางคนแทบไม่รู้จักหรือลืมประวัติศาสตร์ ความเป็นมาและเป็นไปของครอบครัวท่านด้วยซ้ำ

เช่นหนึ่งในคอมเมนต์ตัวอย่างนี้ นำท่านอ้นไปเปรียบเทียบกับในหลวงรัชกาลที่ 9 ซึ่งเป็นการมิบังควรอย่างยิ่ง ขนาดในหลวงรัชกาลที่ 10 พระองค์ยังไม่นำพระองค์ท่านไปเทียบรัชกาลที่ 9 เลย 

อย่านำใครไปเปรียบเทียบกับในหลวง ร.9 นะครับ ไม่มีใครสร้างสมบารมีได้เทียบเท่ากับพระองค์ท่าน 

คำที่ว่า ไม่มีใครคิดว่ารัชกาลที่ 9 จะได้ครองราชย์ นั้นเพราะท่านมีพี่ชายคือรัชกาลที่ 8 

รัชกาลที่ 8 เป็นรัชทายาทลำดับที่ 1 รัชกาลที่ 9 เป็นรัชทายาทลำดับที่ 2 มาตั้งแต่แผ่นดินรัชกาลที่ 7 แล้วเพราะพระราชบิดาของท่านเป็นเจ้าฟ้าที่เป็นรัชทายาท และพระมารดาเป็นภรรยาเจ้าที่ไดัรับการสมรสพระราชทาน

แม่ของท่านอ้นยิ่งเทียบไม่ได้กับสมเด็จย่า

สมเด็จย่าเป็นภรรยาหลวง ส่วนอีกท่านคือ ขออนุญาตพูดภาษาชาวบ้านว่า ท่านไม่ได้รับการแต่งตั้งเป็นภรรยาหลวง ไม่ได้เป็นภรรยาเจ้า ซึ่งพูดกันตรง ๆ ไปเลยตามข้อเท็จจริงว่า ทั้งครอบครัวและคนไทยทั้งประเทศ ไม่ยอมรับ สุดท้ายด้วยความเป็นตัวของตัวท่านเอง ทำให้ท่านต้องเลิกลาและต้องไปอยู่ในต่างประเทศ อันนี้ไม่ได้ลบหลู่ดูหมิ่นหรือให้ร้ายนะครับ แต่เป็นข้อเท็จจริง 

ส่วนเรื่องลูก ๆ นั้น ชาวเราทั้งหลายพูดกันหนาหู โดยว่ากันว่า พ่อก็ถามแล้วว่า ลูกจะเลือกอยู่กับใคร พวกลูก ๆ ก็เลือกอยู่กับแม่ ลูกทิ้งพ่อ ไม่ใช่พ่อทิ้งลูก นะครับ (ซึ่งเรื่องนี้ก็ไม่มีผิดไม่มีถูกนะครับ)

ที่พูดถึงเรื่องเหล่านี้ ก็ด้วยจุดประสงค์ที่ชัดเจนในการปกป้ององค์พระมหากษัตริย์ ที่ถูกคนนินทาว่าร้าย และชอบไปคิดว่าพ่อใจร้ายทิ้งลูก ความจริงมันตรงกันข้ามนะครับ

ที่ต้องพูดกันตรง ๆ ขนาดนี้ เพราะสังคมไทยกำลังจะเลยเถิดไปกันใหญ่โตมาก

ท่านอ้น ท่านจะมาเที่ยว หรือมาอยู่เมืองไทย จะมีแฟน จะมีภรรยา มีครอบครัว จะหย่า จะเลิก จะไม่เลิก หรือไม่อย่างไร ไม่มีปัญหาใด ๆ ผมไม่ได้ยินดีหรือยินร้ายอะไร ใด ๆ ทั้งสิ้น มันเป็นเรื่องส่วนตัวของท่าน

แต่ที่ผมเคลื่อนไหวในเรื่องนี้ เพราะมีคนไทยบางกลุ่มที่ คิดและทำอะไรเลยเถิดเกินไปมาก

หรืออาจจะพูดตรง ๆ ได้ว่า มีบางคนบางกลุ่ม กำลังใช้ท่านอ้นเป็นเครื่องมือทำมาหากินของตนเอง หรือภาษาชาวบ้านเรียกว่า โหนท่านอ้น โหนเจ้าหากิน

โปรดได้เข้าใจเจตนารมณ์ของผมให้ถูกต้องด้วยครับ

ถ้าเจอตัวท่านอ้น ผมก็คงเหมือนคนไทยทั่วไป คือ สามารถกราบไหว้ ท่านได้ด้วยใจเคารพในความเป็นเลือดเนื้อเชื้อไข

แต่ที่ผมเคลื่อนไหว เพื่อสะกิดหรือเตือนสติพี่น้องชาวไทยด้วยกัน ว่าท่านกำลังคิดและทำบางอย่างเลยเถิดมากเกินไป การที่ท่านทั้งหลายไปพูดถึงความเป็นไปได้ที่ท่านอ้นจะเป็นรัชทายาท คือการไปกดดันในหลวงหรือไม่

การใช้คำว่า ทรงพระเจริญ หรือที่เห็นบ่อยๆ ที่คนชอบนำมาโพสต์โดยการเน้นย้ำซ้ำ ๆ อยู่เสมอ ด้วยการเขียนหรือการโพสต์ว่า ท่านอ้นเป็นพระโอรส ซึ่งนั้นคือการมีจุดประสงค์แอบแฝง ในการอ้างเบื้องสูง เพื่อใช้เกิดเป็นผลประโยชน์ส่วนตัวหรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้เป็นการไม่สมควรอย่างยิ่งยวด

โปรดได้เข้าใจเจตนารมณ์ของผมให้ถูกต้องด้วยครับ

อัษฎางค์ ยมนาค

'ไทยสมายล์ บัส' ช่วยลดภาระค่าครองชีพประชาชน เด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี ขึ้นรถเมล์ฟรี ตลอดปี 2567

(3 พ.ค. 67) คุณกุลพรภัสร์ วงศ์มาจารภิญญา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทย สมายล์ บัส จำกัด หรือ TSB ผู้นำในธุรกิจบริการรถและเรือโดยสารพลังงานไฟฟ้า 100% ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล เปิดเผยว่า TSB ได้เล็งเห็นถึงปัญหาค่าครองชีพของครัวเรือนที่ยังคงปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง จากสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน อีกทั้งในช่วงกลางเดือนพฤษภาคมนี้กำลังจะเข้าสู่ช่วงเปิดภาคเรียนปีการศึกษาใหม่ ประจำปี 2567 ส่งผลให้ผู้ปกครองหลายคนต้องเผชิญภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น

ดังนั้น เพื่อเป็นการช่วยเหลือบรรเทาผลกระทบ และช่วยลดค่าใช้จ่ายให้กับพี่น้องประชาชน ทาง TSB จึงได้พิจารณานโยบายยกเว้นค่าโดยสาร สำหรับผู้โดยสารที่เดินทางด้วยรถเมล์พลังงานไฟฟ้าของไทย สมายล์ บัส โดยให้สิทธิเฉพาะเด็กแรกเกิด จนถึงเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี จากปัจจุบันที่มีอัตราการจัดเก็บค่าโดยสารอยู่ที่ 10-15-20-25 บาท โดยให้มีผลตั้งแต่วันนี้ 2 พฤษภาคม 2567 ต่อเนื่องไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2567

สำหรับผู้โดยสารที่ต้องการจะใช้สิทธิดังกล่าว ต้องแสดงบัตรประจำตัวประชาชน หรือ บัตรประจำตัวนักเรียนที่สามารถระบุตัวตนและอายุของผู้ถือบัตรนั้น ๆ ส่วนเด็กแรกเกิดหรือเด็กเล็ก บัสโฮสเตสจะพิจารณายกเว้นค่าโดยสารให้โดยอัตโนมัติ

ทั้งนี้ ในส่วนของประชาชนทั่วไป สามารถใช้บัตรโดยสาร HOP Card เพื่อจ่ายค่าโดยสารในราคาสุดคุ้มแบบ Daily Max Fare เหมาจ่ายค่าโดยสาร 40 บาทตลอดทั้งวัน ไม่จำกัดสาย ไม่จำกัดเที่ยว หรือหากเดินทางเชื่อมต่อเรือโดยสารพลังงานไฟฟ้า 100% ค่าโดยสารเหมาจ่าย 50 บาทตลอดทั้งวัน ไม่จำกัดสาย ไม่จำกัดเที่ยว สำหรับผู้ที่ยังไม่มีบัตรโดยสาร HOP Card สามารถซื้อผ่าน 3 ช่องทางจำหน่ายคือ Shopee Lazada และ Line : @tsbofficial ของไทย สมายล์ บัส

'มโหฬาร' ตำรวจ ปส. แถลงผลจับกุมและปูพรมปิดล้อมตรวจค้นเครือข่ายรายสำคัญ ยึดยาบ้ากว่า 33 ล้านเม็ด

ตามนโยบายการปราบปรามยาเสพติดของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เน้นใช้มาตรการทางกฎหมาย เพื่อทำลายเครือข่ายยาเสพติดอย่างจริงจังทั้งระบบ ประกอบกับนโยบายของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. รรท.ผบ.ตร. ในฐานะ ผอ.ศอ.ปส.ตร. และ พล.ต.ท.สำราญ นวลมา, พล.ต.ท.นิรันดร เหลื่อมศรี, พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร. รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร. มุ่งปราบปรามจับกุมผู้ค้ายาเสพติดในพื้นที่ และขยายผลเครือข่ายที่จับกุมได้ทุกระดับอย่างจริงจังทุกพื้นที่รวมทั้งการขยายผลเพื่อยึดอายัดทรัพย์สินที่ได้มาจากการค้ายาเสพติด ทั้งของผู้ค้า ผู้ช่วยเหลือและสนับสนุนเครือข่ายทั้งหมดมาตรวจสอบ                          

วันนี้ 3 พ.ค.67 เวลา 10.00 น. พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.ท.คีรีศักดิ์ ตันตินวะชัย ผบช.ปส., พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการ ป.ป.ส. พล.ต.ต.สมเกียรติ วัฒนพรมงคล, พล.ต.ต.สมบูรณ์ เทียนขาว, พล.ต.ต.ออมสิน ตรารุ่งเรือง ,พล.ต.ต.พลัฎฐ์ วิเศษสิงห์ รอง ผบช.ปส., พล.ต.ต.พรพิทักษ์ รู้ยืนยง รอง ผบช.ฯ, พล.ต.ต.นพสิทธิ์ มิตรภักดี ผบก.ปส.1, พล.ต.ต.ธนรัชน์ สอนกล้า ผบก.ปส.2, พล.ต.ต.อดิศ เจริญสวัสดิ์ ผบก.ปส.3, พล.ต.ต.พรศักดิ์ สุรสิทธิ์ ผบก.ปส.4, พล.ต.ต.อิทธิพล จันทร์ศรีบุตร ผบก.ขส. และพล.ต.ต.วิทัศน์ บริรักษ์ ผบก.สกส. ร่วมแถลงผลการสกัดกั้นเครือข่าย ยาเสพติดรายใหญ่ (นักบินตายแทน) ในห้วงเทศกาลสงกรานต์ได้จำนวน 8 เครือข่าย ผู้ต้องหา 22 คน ตรวจยึดยาบ้า 32,386,000 เม็ด และ ไอซ์ 4.5 กก. ตรวจยึดรถยนต์ที่ใช้ก่อเหตุได้ 15 คัน และ รถจักรยานยนต์ 2 คัน ยึดทรัพย์รวม 5,620,000 บาท โดยจะเรียงลำดับจากหน่วยที่มีการตรวจยึดปริมาณยาเสพติดจำนวนมากที่สุด ตามลำดับดังนี้

1. บก.ปส.3 
คดีแรก ตำรวจ กก.2. บก.ปส.๓ สืบสวนทราบว่าจะมีกลุ่มเครือข่ายลักลอบลำเลียงยาเสพติดจำนวนมากจากพื้นที่ อ.เชียงดาว จว.เชียงใหม่  เพื่อส่งต่อให้กับกลุ่มเครือข่ายในพื้นที่ อ.แม่แตง จว.เชียงใหม่ โดยใช้รถพิกอัพ กระทั่งกลางดึกวันที่ 19 เม.ย.67 พบรถพิกอัปเป้าหมาย 3 คัน บรรทุกสิ่งของลักษณะเป็นกระสอบจำนวนมาก บริเวณกระบะท้ายรถพิกอัป 2 คัน และขับติดตามกันเป็นขบวนมุ่งหน้า ต.แม่นะ อ.เชียงดาว จว.เชียงใหม่ โดยมีรถจักรยานยนต์หลายคันขับนำทาง ในทิศทางหลบเลี่ยงด่านตรวจยาเสพติดแก่งปันเต๊า ต.แม่นะ อ.เชียงดาว กระทั่งเวลา 01.40 น. ของวันที่ 20 เม.ย.67 สามารถจับกุม นายวิจิตร ได้ที่ริมถนนโยธาธิการเชียงใหม่ ต.อินทขิล อ.แม่แตง จว.เชียงใหม่ ตรวจค้นรถพิกอัปพบยาบ้ารวมจำนวน 14,648,000 เม็ด ส่วนผู้ต้องหา 1 คน ที่อาศัยความมืดหลบหนีไปได้ สามารถรถติดตามจับกุมที่บริเวณภายในเทศบาลตำบลอินทขิล ต.อินทขิล อ.แม่แตง จว.เชียงใหม่ คือ นายโกเอ๋อ

คดีที่ 2 ตำรวจ กก.2 บก.ปส.3 สืบสวนทราบว่า นายหน่อคำ พร้อมพวก จะลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่ อ.แม่แตง จว.เชียงใหม่ ไปส่งต่อให้กับกลุ่มลูกค้าในพื้นที่ภาคกลาง โดยการอำพรางด้วยพืชผลทางการเกษตร ตำรวจจึงจัดชุดเฝ้าติดตาม กระทั่งวันที่ 7 เม.ย.67 เวลา 22.50 น. พบ บริเวณกระบะท้ายของรถยนต์ที่เฝ้าระวังมีการบรรทุกกล้วยน้ำว้าดิบมาเต็มคันรถ ขับมุ่งหน้าไปทาง จว.ลำพูน ต่อมาวันที่ 8 เมษายน 2567 เวลาประมาณ 00.15 น. ก่อนถึงด่านตรวจแม่ทา ต.ทาสบเส้า อ.แม่ทา จว.ลำพูน ประมาณ 300 เมตร เจ้าหน้าที่พบรถต้องสงสัยชะลอความเร็วและจอดชิดข้างถนน จากนั้นนายหน่อคำ ได้ลงมาจากรถและมีรถยนต์ขับมารับตัวแล้วขับออกไปอย่างรวดเร็ว กระทั่งเวลา 01.30 ของวันเดียวกัน ตำรวจสกัดจับรถเก๋งได้ที่ด่านตรวจแม่ทา ถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ เชียงใหม่ - ลำปาง ต.ทาสบเส้า อ.แม่ทา ตรวจค้นรถพิกอัป พบยาบ้ารวม 5,800,000 เม็ด  

คดีที่ 3 ตำรวจ กก.2 บก.ปส.๓ สืบสวนจนทราบว่า นายสมศักดิ์ พร้อมพวก จะลำเลียงยาเสพติดจำนวนมากจากพื้นที่ชายแดน จว.เชียงใหม่ ไปส่งต่อให้กับกลุ่มเครือข่ายในพื้นที่ตอนในของประเทศ โดยใช้รถยนต์ ตำรวจจึงเฝ้าระวังความเคลื่อนไหว กระทั่งช่วงบ่ายของวันที่ 19 เม.ย.67 พบรถยนต์ที่เฝ้าระวัง 2 คัน ขับนำกันไปตามถนนหมายเลข 11 (ซุปเปอร์ไฮเวย์ เชียงใหม่ – ลำปาง) มุ่งหน้า จว.ลำพูน และตำรวจสกัดจับรถยนต์ 1 คัน ได้บริเวณด่านตรวจแม่ทา ต.ทาสบเส้า อ.แม่ทา จว.ลำพูน ภายในรถพบ นายสมศักดิ์ เป็นผู้ขับขี่ รับสารภาพว่าในรถมียาเสพติดจริง จึงนำตำรวจไปตรวจค้นพบยาบ้าซุกซ่อนอยู่ในช่องลับภายในรถจำนวน 95 แพค รวม 558,000 เม็ด และเวลาประมาณ 17.30 น. ของวันเดียวกัน ตำรวจติดตามรถยนต์อีก 1 คัน และได้จับกุมนายสมรักษ์ ซึ่งเป็นผู้ขับขี่ จากตำรวจได้ขยายผลไปตรวจยึดยาเสพติด คือยาบ้า 2,442,000 เม็ด และไอซ์ น้ำหนัก 4.5 กิโลกรัม ได้ที่บ้านเลขที่ 7/2 หมู่ 7 ต.ขี้เหล็ก อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ ต่อมาวันที่ 21 เม.ย.67  เวลา 14.00 น. ขยายผลจับกุม นายเอื้อน และ น.ส.ณชนก ซึ่งเป็นบุคคลในกลุ่มเครือข่ายได้อีก 2 คน บริเวณถนนกระดานป้าย - ดงจังหัน หมู่ 2 ต.เนินขี้เหล็ก อ.ลาดยาว จว.นครสวรรค์ รวมยาบ้า 3,000,000 เม็ด ไอซ์ 4.5 กิโลกรัม

คดีที่ 4 ตำรวจ กก.2 บก.ปส.3 สืบสวนจนพบว่าได้มีเครือข่ายลักลอบลำเลียงยาเสพติด นำของมาพักคอยในพื้นที่ อ.ฝาง จว.เชียงใหม่ เพื่อส่งต่อให้กับกลุ่มเครือข่ายในพื้นที่ตอนของประเทศ ตำรวจจึงเฝ้าดู กระทั่ง วันที่ 29 มี.ค.67 ทราบว่าจะส่งมอบยาเสพติดช่วงดึกของวันเดียวกัน จนพบนายเหยา ขับรถยนต์ต้องสงสัยออกมาจากบ้านหนองเต่า ต.ม่อนปิ่น อ.ฝาง จว.เชียงใหม่ ลักษณะบรรทุกสิ่งของมีน้ำหนัก โดยมีนายจะหา ขับขี่รถจักรยานยนต์ ตามหลังออกมาด้วย ก่อนไปจอดบริเวณแยกตลาดน้ำใจ ถนนเลี่ยงเมืองฝาง หมู่ 7 ต.เวียง อ.ฝาง จว.เชียงใหม่ ตำรวจจึงแสดงตัวขอตรวจค้นทันที ขณะนั้น นายเหยา ได้เปิดประตูรถวิ่งหลบหนีไปได้ ขณะเดียวกันตำรวจอีกส่วนหนึ่งได้เข้าสกัดรถจักรยานยนต์ ของนายจะหา และนำตัวมาตรวจค้นรถยนต์พบยาเสพติด 20 กระสอบ เป็นยาบ้ารวม 2,000,000 เม็ด   

คดีที่ 5 ตำรวจ กก.3 บก.ปส.๓ พบความเคลื่อนไหมของ นายณรงค์ศักดิ์ และพวก จะลำเลียงยาเสพติดจำนวนมากจากพื้นที่ จว.เชียงใหม่ ไปส่งในพื้นที่ อ.บ้านตาก จว.ตาก โดยใช้รถตู้ กระทั่งวันที่ 31 มี.ค.67 พบรถต้องสงสัยขับอยู่บนถนนพหลโยธินบริเวณหน้าโรงพยาบาลบ้านตาก เลี้ยวขับไปตามเส้น อ.บ้านตาก - อ.แม่ระมาด  ไปจอดอยู่ภายในบริเวณวัด พระบรมธาตุตาก วัดหลวงพ่อทันใจ) จากการเฝ้าดูของตำรวจ พบนายณรงค์ศักดิ์ ลงมาจากรถฝั่งคนขับเดินมาเปิดประตูด้านข้างห้องผู้โดยสาร จากนั้นรื้อผนังรถตู้ภายในห้องโดยสาร แล้วหยิบสิ่งของออกจากจุดที่รื้อลักษณะเป็นก้อนห่อหุ้มด้วย ฟรอยสีเงิน ส่งให้ น.ส.นิตยา ใส่ลงลังกระดาษสี่เหลี่ยมภายในห้องโดยสารรถตู้ ตำรวจจึงแสดงตัวเข้าตรวจสอบ พบยาบ้ารวม 698,000 เม็ด  

คดีที่ 6 จากการเฝ้าระวังบุคคลเป้าหมายของ ตำรวจ กก.2 บก.ปส.3 คือ นายจักรพันธ์ กับพวกพบว่าจะใช้รถกระบะตู้ทึบลำเลียงยาเสพติดจาก จ.เชียงราย ลงไปพื้นที่ภาคกลาง จนวันที่ 25 เม.ย.67 พบความเคลื่อนไหวของ นายจักรพันธ์ ขับรถยนต์เข้าพักที่รีสอร์ท ในพื้นที่ อ.แม่จัน จ.เชียงราย และพบรถกระบะตู้ทึบ 3 คัน เข้าพักที่เดียวกัน จากนั้นวันที่ 27 เม.ย.67 ผู้ต้องสงสัยทั้งหมดได้มาเข้าพักในพื้นที่ อ.เมืองเชียงราย กระทั่งออกเดินทาง ในเช้าวันที่ 28 เม.ย.2567       ชุดจับกุม จึงประสานกำลังตำรวจประจำด่านตรวจปูแกง สภ.พาน ทำการหยุดรถเพื่อตรวจสอบและจับกุมผู้ต้องหาได้ 5 คน ตรวจค้นรถ พบยาบ้า 300,000 เม็ด ที่ ระหว่างนั้นได้ประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวง อ.งาว เข้าจับกุม นายจันทวาส ซึ่งทำหน้าที่ขับรถยนต์สำรวจเส้นทางล่วงหน้า ได้บริเวณปั๊มน้ำมัน ปตท.งาว  

2. บก.ปส.2 

คดีที่ 7 ตำรวจ กก.1 บก.ปส.2 ได้ขยายผลเครือข่าย Vuitton และพบว่ายังมีรถในเครือข่ายที่ใช้ลำเลียงยาเสพติด ตำรวจจึงเฝ้าติดตามเครือข่ายดังกล่าว จนวันที่ 28 มี.ค.67 พบรถกระบะ หมายเลขทะเบียน ฒษ-35xx กทม. ซึ่งจะเดินทางจากพื้นที่กรุงเทพมหานคร ขึ้นไปยังพื้นที่ภาคอีสาน ด้าน จว.บึงกาฬ จึงสะกดรอยติดตาม ต่อมา วันที่ 29 มี.ค.67 พบรถเป้าหมายวิ่งบน ถ.ชยางกูร ในพื้นที่ ต.ชัยพร อ.เมืองบึงกาฬ  จว.บึงกาฬ แล้วใช้เส้นทางมุ่งหน้ากลับเข้าพื้นที่ตอนในโดยใช้เส้นทางรองผ่าน จว.บึงกาฬ - จว.สกลนคร - จว.อุดรธานี - จว.กาฬสินธุ์ - จว.มหาสารคาม โดยระหว่างการติดตามพบว่ารถคันดังกล่าวมีการใช้ถนนเส้นทางรองเพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ตำรวจ กระทั่งเวลา 01.20 น. ของวันที่ 30 มี.ค.67 ขณะที่ติดตามรถเป้าหมายจนถึงบริเวณสี่แยกสัญญาณไฟจราจร บ้านวังยาว ถ. ถีนานนท์ ต.เกิ้ง อ.เมืองมหาสารคาม จว.มหาสารคาม ตำรวจจึงแสดงตัวเพื่อจับกุมพบ นายหัสดี คนขับ และ นายพอเจตน์ นั่งข้างคนขับ ตรวจค้นด้านหลังกระบะ พบยาบ้า 5,250,000 เม็ด วางอยู่ท้ายรถ สอบถามผู้ต้องหา สารภาพว่าถูกว่าจ้างให้ขับรถยนต์ไปลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่ จว.บึงกาฬ ไปส่งยังพื้นที่ภาคกลาง จว.สมุทรปราการ 

3. บก.สกส.
คดีที่ 8 ตำรวจ บก.สกส. ร่วมกับ ตำรวจ บก.ขส. สืบทราบว่า นายปานวิไชย ซึ่งมีประวัติเกี่ยวกับยาเสพติด และนายอำพล จะร่วมกันลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่ชายแดนไทย-ลาว ด้าน จว.หนองคาย นำมาส่งให้ลูกค้าในพื้นที่ภาคกลางและปริมณฑล กระทั่งช่วงดึกของวันที่ 26 เม.ย.67 ตำรวจได้จับกุม นายปานวิไชย ได้ที่บริเวณริมถนนสายเอเชียฝั่งขาเข้า  

'ครู' ระบาย!! นักเรียนเจอร้อนแค่นี้ 'ทนไม่ได้-จะทำอะไรกิน' ลั่น!! เป็นห่วงอนาคตเด็กไทย ไม่รู้โตขึ้นจะเป็นยังไง

กลายเป็นกระแสร้อนในโลกออนไลน์ หลังเพจ ‘สมัครงาน สอบราชการ’ มีการเปิดเผยข้อความครูท่านหนึ่งได้ระบายความในใจถึงนักเรียนว่า…

“งง เด็กนักเรียนสมัยนี้มันเป็นอะไร เข้าแถวตากแดดร้องเพลงชาติ สวดมนต์ และฟังครูให้โอวาส บ่นกันว่าร้อน ถ้าเข้าแถวตากแดดฝึกความอดทนแค่นี้ ยังไม่ได้ โตขึ้นพวกเธอจะเรียนจบสูง ๆ หรือทำงานดี ๆ ได้ยังไง

สมัยครูเมื่อ 20 ปีที่แล้ว แดดแรงกว่านี้อีกยังทนกันได้ แต่สมัยนี้ โดนแดดนิด ๆ หน่อย ๆ บ่นว่าร้อน ตำหนิติติงอะไรก็ไม่ค่อยได้ ผู้ปกครองก็เรื่องเยอะ ถ้าเรื่องเยอะกันนักทำไมไม่สอนเองจะส่งให้เข้าโรงเรียนทำไม เป็นห่วงอนาคตเด็กไทยสมัยนี้ ไม่รู้โตขึ้นจะเป็นยังไง”

งานนี้เมื่อข้อความดังกล่าวแชร์ออกไป ทำเอาชาวเน็ตจำนวนไม่น้อย เข้ามาวิพากษ์วิจารณ์สนั่น ถึงประเด็นดังกล่าว โดยคอมเมนต์บางส่วน ดังนี้

-แดด 40° ให้บ่นหน่อยค่าาา
-ครูไม่รู้จักภาวะโลกเดือดเหรอครับ
-ตากแดด จะทำให้เรียนจบสูง ๆ ได้ทำงานดี ๆ หรอคะ

-การอดทนกับความร้อน ไม่ได้เกี่ยวกับการทำงานเลย
-แดดสมัยก่อนกับแดดสมัยนี้ มันคนละเรื่องกันนะค่ะครู

-1. ตัวเองลำบาก ไม่จำเป็นที่คนต้องลำบากแบบตัวเอง
2. เด็กที่อื่นที่ไม่เข้าแถวกลางแดด แต่ประสบความสำเร็จ มีเยอะแยะ แดดไม่ใช่ปัจจัยต่อความสำเร็จ
3. การถูกบังคับ ไม่ใช่ หนทางที่ดีเสมอไป
4. ถ้าตากแดดดีจัง ทำไมครูไปลงมาตากแดดด้วยกัน
5. แดดยุคนี้ 40 องศา + ฝุ่น pm อันตรายต่อสุขภาพ
6. แจ้งข่าวผ่าน homeroom ได้ครับ

สิ่งที่ท้ายที่อยากจะพูดคือ เด็ก ๆ ไปโรงเรียน เพื่อหาความรู้ครับ ไม่ได้ไปเพื่อโดนอำนาจนิยมกดขี่ ถ้าระบบการศึกษาที่ผ่านมา พาประเทศมาได้แค่นี้ เปลี่ยนบ้างก็ดีครับ ให้โรงเรียนเป็นที่ปลอดภัยของเด็ก ๆ เถอะ

นอกจากการเปรียบเทียบยุคสมัยของครูและเด็ก บางคนก็มองไปถึงการยกเลิกการเข้าแถวร้องเพลงชาติ รวมไปถึงเครื่องแบบนักเรียน ที่ไม่สัมพันธ์กับสภาพอากาศร้อนของบ้านเรา

ขณะเดียวกัน หลายคนยังตั้งคำถามถึงมาตรการการดูแลของโรงเรียน ในขณะที่โรงเรียนอื่น ๆ หรือหลายประเทศ เริ่มผ่อนคลาย คำนึงถึงความปลอดภัย ผลกระทบต่อสุขภาพของนักเรียน โดยการยกเลิกการเรียน ในช่วงร้อนระอุไปแล้วด้วย

'เพื่อไทย' ลั่น!! รถไฟฟ้าต้อง 20 บาททุกสาย ชี้!! นี่คือความกล้าหาญที่พรรคอื่นไม่กล้าทำ

(3 พ.ค.67) ในงาน ‘10 เดือนที่ไม่รอ ทำต่อให้เต็ม 10’ ของพรรคเพื่อไทย (พท.) งานแสดงวิสัยทัศน์ และความคืบหน้าในนโยบายต่าง ๆ พร้อมประกาศเป้าหมายการทำงานในอนาคต

นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ สส.กทม. กล่าวว่า นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย เป็นวิสัยทัศน์ของพรรคไทยรักไทย ตั้งแต่สมัย 2549 เพราะการเข้าถึงขนส่งสาธารณะเป็นสวัสดิการพื้นฐานของประชาชน วันนี้รัฐบาลภายใต้การนำของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม จะเดินหน้าเรื่องนี้อย่างเต็มที่ โดยทันทีที่เป็นรัฐบาล ไม่ถึงหนึ่งเดือนที่นายกรัฐมนตรีรับตำแหน่ง วันที่ 16 ตุลาคม 2566 รถไฟฟ้า 2 สาย คือสายสีแดง และสีม่วง ลดค่าบริการลงมาที่ราคา 20 บาท ได้สำเร็จ หลังจากลดค่าโดยสารลงแล้ว ส่งผลให้ปริมาณผู้โดยสารสายสีแดงเพิ่มขึ้น 26.62% สายสีแดงเพิ่มขึ้น 14.43%

จากนั้น กระทรวงคมนาคม กางแผนโรดแมป เพื่อดำเนินการให้รถไฟฟ้าทุกเส้นทาง คิดค่าบริการตลอดเส้นทาง ‘20 บาท’ ภายในปี 2568 ผ่านร่างพระราชบัญญัติการบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม พ.ศ. .... หรือ พ.ร.บ.ตั๋วร่วม ซึ่งปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนของการเตรียมร่าง พ.ร.บ.รายงานสรุปผลการรับฟังความคิดเห็นรายงาน การวิเคราะห์ผลกระทบแผนการจัดทำกฎหมายลำดับรองและอื่นๆ โดยสำนักงานขนส่งและนโยบายและแผนการจราจร (สนข.) ดำเนินการ จากราคารถไฟฟ้าสูงสุดอยู่ที่ 107 บาท หาก พ.ร.บ.ตั๋วร่วมสำเร็จ ประชาชนจะจ่ายเพียง 20 บาท ผ่านการมีกองทุนที่สะสมรายได้จากส่วนอื่น ๆ มาชดเชยส่วนต่างค่าโดยสารแทนประชาชน

“ไม่มีพรรคการเมืองใดที่เสนอทำราคารถไฟฟ้าให้เหมาะสมกับรายได้ เป็นสวัสดิการของประชาชนอย่างแท้จริง รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย คือความกล้าหาญของพรรคเพื่อไทยที่จะเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เพื่อพี่น้องประชาชน เป็นการจัดการระบบการเดินทาง ที่มีสัมปทานหลายเจ้าครั้งใหญ่ อะไรที่เคยติดขัด เป็นอุปสรรค จะถูกคลี่คลาย เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายการเดินทางของประชาชน”

นางสาวธีรรัตน์ กล่าวอีกว่า ภายในปี 2568 ค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ทุกสาย, พ.ร.บ.ตั๋วร่วม ต้องสำเร็จ, ลดราคาค่าทางด่วนลงรถเมล์แอร์ EV ต้องสำเร็จ เป้าหมายใหญ่ คือเพิ่มการเข้าถึงขนส่งสาธารณะ ลดการใช้รถส่วนตัว ลดปริมาณรถบนถนน แก้ปัญหารถติด แก้ปัญหาฝุ่น ลดอุบัติเหตุบนท้องถนน และสามารถเปิดให้ขยายทางสัญจรทางเท้า ให้ กทม.เป็นเมืองที่เดินได้ เมืองที่เป็นมิตรกับคนทุกกลุ่มมากขึ้น เพื่อยกระดับขนส่งสาธารณะ ให้เป็น ‘การบริการสาธารณะ’ อย่างแท้จริง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top