Saturday, 18 May 2024
NewsFeed

‘สรรเพชญ’ แนะรัฐบาลแก้ไขปัญหา ‘ทุเรียน’ อย่างเร่งด่วน ย้ำ!! ต้องให้ความสำคัญตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ เพื่อความยั่งยืน

(21 เม.ย.67) นายสรรเพชญ บุญญามณี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดสงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ได้ให้ความเห็นกรณีที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ผ่านร่างกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานสินค้าเกษตรสำหรับหลักปฏิบัติในการตรวจสอบและรับผลทุเรียน สำหรับโรงรวบรวมและโรงคัดบรรจุ (ล้ง) ซึ่งร่างกฎกระทรวงนี้จะเป็นมาตรฐานบังคับในการรองรับการแข่งขันและปกป้องการส่งออก “ทุเรียน” ให้มีคุณภาพ 

โดยเนื้อหาสาระดังกล่าว เป็นการกำหนดมาตรการในการตรวจสอบคุณภาพของทุเรียน เช่น ความแก่ การคัดแยกทุเรียนที่ไม่ผ่านเกณฑ์ การห้ามนำเข้าหรือจำหน่าย อีกทั้งมีการตรวจวิเคราะห์น้ำหนักเนื้อแห้งของทุเรียนที่จะต้องผ่านเกณฑ์ตามที่กำหนด รวมไปถึงการมีผู้ที่มีหน้าที่ในการตรวจวิเคราะห์หรือควบคุมการเก็บเกี่ยว จะต้องมีความรู้ความชำนาญและมีหลักฐานที่แสดงว่าได้รับการฝึกอบรมมาเป็นอย่างดี นายสรรเพชญกล่าวว่า การออกกฎกระทรวงในลักษณะนี้ถือเป็นสิ่งที่ดีที่รัฐบาลให้ความสำคัญกับการตรวจสอบคุณภาพของทุเรียนก่อนถึงมือผู้บริโภค

นายสรรเพชญได้กล่าวเพิ่มเติมว่า รัฐบาลควรให้ความสำคัญกับเรื่องของคุณภาพทุเรียนมากกว่านี้ เนื่องจากทุเรียนเป็นสินค้าที่มีมูลค่าการส่งออกหลายแสนล้านบาท นักท่องเที่ยวต่างประเทศที่มาเที่ยวในประเทศไทยส่วนใหญ่ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนก็มักจะสั่งทุเรียนกลับไปที่ประเทศของตนเองครั้งละหลายหมื่นถึงหลายแสนบาท ซึ่งแสดงให้เห็นถึงคุณภาพของทุเรียนไทย ซึ่งในสถานการณ์ปัจจุบัน ความก้าวหน้าของเทคโนโลยี การพัฒนาสายพันธุ์ทุเรียนต่าง ๆ ก็เป็นสิ่งที่ท้าทายของรัฐบาลที่จะรักษาคุณภาพมาตรฐานไว้ให้ได้ ตนจึงรู้สึกว่ารัฐบาลไม่ได้ให้ความสำคัญกับทุเรียนเท่าที่ควร เพราะรัฐบาลมุ่งแต่จะทำเรื่องกลางน้ำ และละเลยต้นน้ำ คือการให้ความสำคัญกับการเตรียมดิน เตรียมปุ๋ย เตรียมพื้นที่ของเกษตรกร ที่อาจจะถูกละเลยไป ดังนั้นรัฐบาลจะต้องมีการให้ความสำคัญกับการดูแลคุณภาพทุเรียน ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ คือ พ่อค้า การขนส่ง ปลายน้ำ คือ ผู้บริโภคทั้งภายในและนอกประเทศ เพื่อให้ทุเรียนไทยมีความยั่งยืนทั้งระบบครบวงจร สามารถรักษามาตรฐานของประเทศไว้ได้

ทั้งนี้ นายสรรเพชญกล่าวว่า เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2566 ตนได้ยื่นญัตติเรื่อง ขอให้สภาผู้แทนราษฎรตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อพิจารณาศึกษาการส่งเสริม พัฒนา แก้ไขปัญหาทุเรียนอย่างยั่งยืนทั้งระบบ และยกร่างกฎหมายว่าด้วยทุเรียน ซึ่งขณะนี้ได้บรรจุในระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎรแล้ว คาดว่าเมื่อเปิดสมัยการประชุมจะได้รับการพิจารณาเพื่อแก้ไขปัญหาทุเรียนและให้เกษตรกรผู้ปลูกทุเรียนมีหลักประกันผ่านกองทุนทุเรียนไทยต่อไป 

‘ธนกร’ เชื่อปรับทัพ ครม.เศรษฐา 2 ผู้ใหญ่ดูตามเหมาะสม ยัน!! ไม่มีปัญหาภายในพรรค ทุกคนช่วยกันทำงานเพื่อปชช. 

(21 เม.ย.67) ที่สโมสรราชพฤกษ์ นายธนกร วังบุญคงชนะ สส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวปรับ ครม. ว่าสมัยหน้าจะได้เข้าร่วมหรือไม่ นายธนกร เผยว่า ไม่ทราบ ทุกอย่างอยู่ที่หัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรค ส่วนที่กระแสข่าวว่ามีความขัดแย้งภายในพรรคนั้น ยืนยันว่าไม่มี ไม่เห็นมีปัญหาอะไร ทุกคนก็คุยกันดี ทุกอย่างอยู่ที่ความเหมาะสมและผู้ใหญ่ภายในพรรค

เมื่อถามย้ำว่า กระแสข่าวความขัดแย้งภายในพรรครวมไทยสร้างชาติมาได้อย่างไร นายธนกร ย้ำว่า ตนไม่เข้าใจว่ามีข่าวนี้ออกมาได้อย่างไร ภายในพรรคไม่ได้มีความขัดแย้ง และแกนนำก็รู้จักกันมานาน สามารถพูดคุยกันได้ ที่ผ่านมาหัวหน้าพรรคเองก็ทำหน้าที่อย่างดี พูดกับสมาชิกเสมอว่าเมื่อถึงเวลาเหมาะสม ไม่มีใครยึดติดกับตำแหน่ง ทุกอย่างอยู่ที่ผู้หลักผู้ใหญ่ภายในพรรค

มองว่าเป็นการสร้างกระแสตีข่าวขึ้นมาหรือไม่นั้น ตนงงว่ามีปัญหาเกิดขึ้นได้อย่างไร ทั้งๆ ที่ไม่มี ทุกอย่างพูดจาได้ แต่ละคนที่อยู่ในกระแสข่าวก็เป็นรัฐมนตรีมาหมดแล้ว ส่วนตัวมองว่าไม่ใช่สาระสำคัญ ตอนนี้เป็นเวลาที่ต้องทำงานให้กับประชาชน หลายอย่างดีขึ้น เอาเวลาไปทำงานให้กับประชาชนจะดีกว่า ทั้งนี้ การปรับ ครม. ในช่วงเดือนหน้า ก็ต้องถามกรรมการบริหารพรรค ตนเป็นรองหัวหน้าพรรค ไม่ใช่กรรมการบริหาร

เมื่อถามว่า มองการทำงานของพรรคในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมาอย่างไร นายธนกร เผยว่า รัฐมนตรีทั้งสี่คนมีผลงานตลอด รวมถึง นายอนุชา นาคาศัย รมช.เกษตรฯ ที่ถูกมองว่าไม่มีผลงาน ตนมองว่าท่านก็มี เพราะท่านดูแลในเรื่องของภาคเกษตร รวมถึง หัวหน้าพรรค รมว.อุตสาหกรรม รมช.คลัง ก็มีผลงาน ท่านทำงานดี

เมื่อถามถึงกระแสพรรครวมไทยสร้างชาติ อาจจะได้โควตารมต.กลาโหม นายธนกร ปฎิเสธว่า ไม่ทราบ

ส่วนจะมีข้อตกลงหรือไม่ว่า จะเป็นสมบัติผลัดกันชมหรือไม่ นายธนกร ย้ำว่า อย่าพูดแบบนั้น ในพรรคเราพูดกันตลอด หัวหน้าพรรคก็บอกตลอดว่าคนที่เป็นรัฐมนตรีไม่มีใครยึดติดในตำแหน่ง เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมก็จะมีการสลับสับเปลี่ยน แต่เราไม่ได้เล่นเก้าอี้ดนตรี แค่เปลี่ยนแปลงการทำงานให้ดีขึ้นกว่าเดิม ที่ทำก็ดีอยู่แล้ว แต่เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมทุกคนก็สามารถเข้าสู่เป้าหมายได้

พร้อมยืนยันว่า ตนยังไม่ได้รับสัญญาณจากผู้ใหญ่ อีกทั้งสุขภาพไม่ค่อยดี ช่วงหลังก็อยู่บ้านติดตามข่าวสารตลอดเวลา ปกติจะลงพื้นที่ตลอด ตนทำงานในสภาก็เต็มที่

“อลงกรณ์”ชี้ประเทศเผชิญวิกฤติศรัทธา ประชาชนขาดความเชื่อมั่นในการเลือกตั้ง จุดยืนพรรคการเมืองและกระบวนการยุติธรรม แนะ“ทักษิณ”ยอมรับความผิดและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเดินกลับเข้าคุกเหมือนนักโทษคนอื่น

ในการสัมนาเรื่อง “วันนี้ประเทศไทยเกิดอะไรขึ้น?”ที่โรงแรมบาซาร์ รัชดากรุงเทพ 
นายอลงกรณ์ พลบุตร รองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคประชาธิปัตย์และอดีตรัฐมนตรีอดีต ส.ส.6สมัย กล่าวในหัวข้อ“ทิศทางการเมืองไทย”ว่าประเทศกำลังตกอยู่ในภาวะวิกฤติศรัทธาเพราะประชาชนขาดความเชื่อมั่นในระบบการเลือกตั้งและไม่มั่นใจในจุดยืนอุดมการณ์ของพรรคการเมืองรวมทั้งประเด็นปัญหากระบวนการยุติธรรมกรณีอดีตนายกฯ.ทักษิณ ประเด็นประชาชนขาดความเชื่อมั่นในระบบการเลือกตั้งถือว่าเป็นปัญหาใหญ่ระดับรากฐานของระบอบประชาธิปไตยเพราะการเลือกตั้งเป็นหัวใจของระบอบประชาธิปไตย แต่ในการเลือกตั้งที่ผ่านมาพรรคที่ชนะการเลือกตั้งเป็นอันดับหนึ่งและรวมเสียงได้เกินกว่าครึ่งหนึ่งในสภาผู้แทนราษฎรไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลบริหารประเทศ จนมีคำถามว่า“แล้วจะมีเลือกตั้งไปทำไม ?”“ทำไมถึงไม่เคารพเสียงของประชาชน?”

ยิ่งกว่านั้น พรรคการเมืองที่อยู่คนละขั้วประกาศในระหว่างหาเสียงว่าจะไม่จับมือกันกลับไม่รักษาคำพูดโดยร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลทำให้เกิดคำถามถึงจุดยืนและอุดมการณ์ทางการเมืองของพรรคแกนนำรัฐบาลกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อระบบพรรคการเมืองโดยตรง

การเลือกตั้งและพรรคการเมืองมีความสำคัญต่อระบอบประชาธิปไตย หากประชาชนโดยเฉพาะผู้มีสิทธิเลือกตั้งครั้งแรกขาดความเชื่อมั่นก็ยากต่อการพัฒนาการเมืองในอนาคต นายอลงกรณ์ยังกล่าวต่อไปว่า ในปีนี้จะมีเหตุการณ์สำคัญทางการเมืองที่จะส่งผลต่อปัจจุบันและอนาคตของการเมืองไทยได้แก่
1. การเลือกส.ว. ชุดใหม่
2.การแก้ไขรัฐธรรมนูญ
3.การตรากฎหมายนิรโทษกรรม
4.การปรับคณะรัฐมนตรี
5.คดียุบพรรคก้าวไกล
6. ปัญหากระบวนการยุติธรรมจากกรณีอดีตนายกฯ.ทักษิณ

สำหรับเรื่องการยุบพรรคนั้น นายอลงกรณ์ไม่เห็นด้วยกับการยุบพรรคโดยมีความเห็นว่าพรรคการเมืองเป็นองค์กรทางการเมืองที่ประกอบไปด้วยสมาชิกพรรค สาขาพรรคและตัวแทนพรรค การลงโทษใดๆควรดำเนินการกับกรรมการหรือคณะกรรมการบริหารส่วนกรณีอดีตนายกฯ.ทักษิณกระทบต่อความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม ความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายและหลักนิติรัฐของประเทศอย่างร้ายแรง 
ข้อแนะนำคืออดีตนายกฯ.ทักษิณเมื่อกลับเข้ามายอมรับความผิดต้องสำนึกผิดอย่างแท้จริงและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงลดโทษให้ด้วยการเคารพกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมโดยเซทซีโร่เดินกลับเข้าคุกเริ่มต้นขั้นตอนการลงโทษเหมือนนักโทษคนอื่นๆจะเป็นตัวอย่างที่ดีของกระบวนการยุติธรรมของประเทศ

นายอลงกรณ์ยังกล่าวถึงพรรคประชาธิปัตย์ว่าได้สรุปบทเรียนความผิดพลาดในอดีตโดยเฉพาะประเด็นจุดยืนและอุดมการณ์ที่ถูกมองว่าพรรคละทิ้งอุดมการณ์ประชาธิปไตยไปร่วมกับเผด็จการและสนับสนุนการสืบทอดอำนาจจนมีข้อกล่าวหาว่าจัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหารกระทบต่อความเชื่อมั่นศรัทธาของประชาชนที่มีต่อพรรคประชาประชาธิปัตย์สะท้อนจากผลการเลือกตั้งปี2562และ2566จากพรรคที่มี ส.ส.กว่า100คนเหลือเพียง25คน หลายพรรคการเมืองในวันนี้กำลังตกอยู่ในกับดักที่ประชาธิปัตย์เคยประสบมาก่อนเมื่อใดที่ประชาชนไม่เชื่อมั่น เมื่อนั้นพรรคการเมืองก็ไม่มีอนาคต ”บทเรียนความผิดพลาดในอดีตที่ต้องจ่ายด้วยราคาแพงเป็นบทเรียนสำคัญ วันนี้พรรคประชาธิปัตย์เหมือนเงาะถอดรูป
พรรคประชาธิปัตย์กำลังวางปัจจุบันและอนาคตบนแนวทางประชาธิปไตย ความซื่อสัตย์สุจริต วิสัยทัศน์ก้าวหน้าและนโยบายทันสมัยโดย ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคได้แต่งตั้งคณะกรรมกา ยุทธศาสตร์ทำหน้าที่กำหนดทิศทางและแนวทางการขับเคลื่อนพรรคสู่การเป็นสถาบันทางการเมืองที่แท้จริงของประเทศเน้นการเปิดกว้างสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน หวังว่าความพยายามครั้งนี้ของพรรคประชาธิปัตย์จะสามารถฟื้นฟูศรัทธากลับมาด้วยโอกาสใหม่ที่ประชาชนมอบให้“.
การสัมนาเรื่อง “วันนี้ประเทศไทยเกิดอะไรขึ้น?”ที่โรงแรมบาซาร์ รัชดากรุงเทพ จัดโดยหนังสือพิมพ์ไทยแลนด์ ทูเดย์ นิวส์เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2567

‘พีระพันธุ์’ ยัน ‘เศรษฐา’ ยังไม่ส่งสัญญาณปรับครม. ย้ำ!! รมต.พรรคยังเป็น 4 คนเดิม จับมือกัน ทำงานเพื่อปชช. 

(21 เม.ย.67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ ประกาศในที่ประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2567 ดัน นายพีระพันธุ์ให้เป็นนายกรัฐมนตรีในการเลือกตั้งครั้งหน้า ว่า เป็นเรื่องธรรมดาในการประชุมใหญ่สามัญประจำปีก็ต้องพูดแบบนี้ ทุกพรรคการเมืองก็ต้องประกาศในความมุ่งมั่นตั้งใจเพื่อจะชนะการเลือกตั้ง ซึ่งนั่นเป็นเรื่องของพรรคการเมือง แต่ในความเป็นจริงเป็นเรื่องของประชาชน เราไม่มีวันรู้อนาคตได้ แต่ที่สำคัญจะเป็นอะไรก็ต้องทำเพื่อประชาชน เพื่อประเทศไม่ใช่เพื่อตัวเอง ซึ่งยอมรับว่าการเลือกตั้งครั้งต่อไปและการขับเคลื่อนพรรคไม่ง่าย ไม่มีอะไรง่ายแต่ก็ต้องทำ

เมื่อถามว่า การปรับคณะรัฐมนตรีครั้งหน้าเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานจะยังเป็นของพรรครวมไทยสร้างชาติใช่หรือไม่ นายพีระพันธ์ุ กล่าวว่า จะมีการปรับคณะรัฐมนตรีหรือไม่ตนไม่ทราบ เพราะนายกรัฐมนตรียังไม่เคยมาพูด ดังนั้นในฐานะที่เป็นหัวหน้าพรรคการเมืองเมื่อยังไม่มีการพูดถึงการปรับครม.ก็ถือว่ายังไม่มี ถึงเวลาจริงค่อยว่ากัน แต่ตอนนี้ยังไม่มี และไม่ทราบถึงกระแสข่าวว่าจะมีการยืดปรับครม.ออกไปอีก 2 เดือน เพราะวันนี้ตนไม่มีหน้าที่ในเรื่องนี้ คนที่มีอำนาจคือนายกรัฐมนตรี เมื่อยังไม่มีการพูดอย่างเป็นทางการก็ถือว่าไม่มี ฉะนั้น 4 คนนี้ก็ยังอยู่

เมื่อถามว่า กรณีนางพิชชารัตน์ เลาหพงศ์ชนะ สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ ลาออกจากตำแหน่งผู้อำนวยการพรรค นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า ปกติทุกพรรคการเมืองจะมีผู้อำนวยการพรรค แต่ผู้อำนวยการพรรครวมไทยสร้างชาติคนเดิมได้ถูกแต่งตั้งเป็นรองหัวหน้าพรรค ทำให้ตำแหน่งผู้อำนวยการพรรคว่างลง กรรมการบริหารพรรคจึงมีมติแต่งตั้งให้นางพิชชารัตน์ รองเลขาธิการพรรค ไปเป็นรักษาการผู้อำนวยการพรรค แต่ปัจจุบันมีการแต่งตั้งผู้อำนวยการพรรคคนใหม่ นางพิชชารัตน์จึงหมดหน้าที่ จึงเป็นเรื่องที่ไม่มีอะไร ยืนยันว่า ในพรรคไม่มีปัญหาอะไร

‘พีระพันธุ์’ ขอบคุณ 'ลุงตู่' ผู้สร้างดีเอ็นเอให้พรรค รทสช. ลั่น!! ยืนหยัดสู้ทุกปัญหา เดินหน้าทุกนโยบายเพื่อ ปชช.

(21 เม.ย.67) ที่สโมสรราชพฤกษ์ พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ได้จัดประชุมใหญ่สามัญประจำปีครั้งที่ 1/2567 โดยมี นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรค พร้อมด้วยคณะกรรมการบริหารพรรค สส. ตัวแทนสาขาพรรคจากทั่วประเทศ และสมาชิกพรรคเข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง

นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2565 พรรครวมไทยสร้างชาติได้ประชุมใหญ่ครั้งแรกที่สโมสรราชพฤกษ์ วันนี้จึงเลือกใช้สถานที่แห่งนี้จัดประชุมใหญ่ เพราะในวันนั้นได้ประกาศ จะพาสส.เข้าในสภาฯ วันนี้เราทำสำเร็จแล้ว ถือว่าสำเร็จเกินความคาดหมาย ต้องขอบคุณคนสำคัญที่สร้าง DNA ให้กับพรรครวมไทยสร้างชาติคือ ลุงตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา วันนี้จึงถือเป็นนิมิตหมายที่ดีของพวกเรา ในปี 2567 พรรคจะทำงานเพิ่มมากขึ้น โดยพรรคได้รับเงินสนับสนุนจากประชาชนผ่านระบบภาษีในปี 2566 กว่า 4 ล้านบาท เชื่อว่าในปี 2567 จะได้รับบริจาคจากประชาชนเพิ่มมากขึ้น

ทั้งนี้ ผลจากการทำงานหนักขึ้นรวมกับนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรค พร้อมกับการทดลองทำโครงการอาสามาด้วยใจ ปรากฏว่า มีคนที่ไม่เคยเป็นสมาชิกพรรคการเมือง ไม่มีประสบการณ์ทางการเมืองจากทั่วประเทศ มาช่วยทำงานถึง 400 คน เป็นการอาสามาด้วยใจอย่างแท้จริง อยากมาทำงานให้พรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งในปี 2567 จะทำกิจกรรมเหล่านี้ให้มากยิ่งขึ้น

‘ซูเปอร์โพล’ เผยผลสำรวจล่าสุด ‘ก้าวไกล’ ขึ้นแท่น แต่ยังไม่พอ ที่จะชนะ เป็นรัฐบาลพรรคเดียว 

(21 เม.ย.67) สำนักวิจัย ซูเปอร์โพล เสนอผลสำรวจเรื่อง ก้าวไกล เพื่อไทย และอื่น ๆ กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ จำนวน 1,154 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 15 – 20 เม.ย. ที่ผ่านมา พบว่า คะแนนนิยมของพรรคก้าวไกลมากกว่าคะแนนนิยมของพรรคเพื่อไทยอยู่ประมาณ 1 เท่าตัว คือ ร้อยละ 37.2 ต่อ ร้อยละ 17.2 อย่างไรก็ตาม ประชาชนส่วนใหญ่ที่สุดหรือร้อยละ 45.6 ไม่เลือกทั้งสองพรรค จะเลือกพรรคอื่น

เมื่อแบ่งออกเป็นกลุ่มชายและหญิง พบว่า ชายและหญิงตัดสินใจเลือกพรรคการเมืองไม่แตกต่างกันในผลสำรวจครั้งนี้ คือ ส่วนใหญ่ของชายและหญิง คือร้อยละ 45.1 ของชาย และร้อยละ 46.1 ของหญิง ไม่เลือกทั้งสองพรรค จะเลือกพรรคอื่น แต่ ร้อยละ 37.0 ของชาย และร้อยละ 37.3 ของหญิงจะเลือกพรรคก้าวไกล และร้อยละ 17.9 ของชายและร้อยละ 16.6 ของหญิงจะเลือกพรรคเพื่อไทย

ที่น่าสนใจคือ เมื่อแบ่งออกเป็นช่วงอายุ พบว่า ส่วนใหญ่ของคนอายุต่ำกว่า 20 ปี หรือร้อยละ 76.2 ของคนอายุต่ำกว่า 20 ปี จะเลือกพรรคก้าวไกล แต่มีแนวโน้มลดลงตามช่วงอายุที่สูงขึ้นคือ ร้อยละ 48.9 ของคนอายุ 20 – 29 ปี ร้อยละ 34.2 ของคนอายุ 30 – 39 ปี ร้อยละ 28.7 ของคนอายุ 40 – 49 ปี ร้อยละ 20.2 ของคนอายุ 50 – 59 ปี และร้อยละ 20.5 ของคนอายุ 60 ปีขึ้นไป จะเลือกพรรคก้าวไกล จะเห็นได้ว่า แนวโน้มจะเลือกพรรคก้าวไกลลดลงตามช่วงอายุของคนที่สูงขึ้น

สำหรับ ช่วงอายุของคนที่จะเลือกพรรคเพื่อไทยไม่พบแบบแผนของการตัดสินใจจะเลือกคือกระจายคะแนนนิยมออกไปไม่เป็นแบบแผน แตกต่างกับคนที่ระบุว่าจะไม่เลือกพรรคทั้งสอง จะเลือกพรรคอื่น พบว่า ยิ่งมีอายุสูงขึ้นจะยิ่งตัดสินใจเลือกพรรคอื่น ๆ มากขึ้นตามไปด้วย คือ ร้อยละ 14.3 ของคนอายุต่ำกว่า 20 ปี ร้อยละ 39.9 ของคนอายุ 20 – 29 ปี ร้อยละ 44.5 ของคนอายุ 30 – 39 ปี ร้อยละ 52.8 ของคนอายุ 40 – 49 ปี ร้อยละ 57.5 ของคนอายุ 50 – 59 ปี และร้อยละ 61.6 ของคนอายุ 60 ปีขึ้นไป จะไม่เลือกทั้งพรรคก้าวไกล และพรรคเพื่อไทย แต่จะเลือกพรรคอื่น

ที่น่าพิจารณาคือ กลุ่มอาชีพกับการตัดสินใจจะเลือกพรรคการเมือง คือ นักศึกษาส่วนใหญ่หรือร้อยละ 69.2 จะเลือกพรรคก้าวไกล และว่างงาน ร้อยละ 43.5 จะเลือกพรรคก้าวไกล ส่วนพรรคเพื่อไทย จะพบมาก แต่ไม่ได้มากที่สุดในกลุ่มเกษตรกร คือร้อยละ 24.6 ของกลุ่มเกษตรกร ที่น่าสนใจคือ กลุ่มข้าราชการและเจ้าหน้าที่รัฐ เกินครึ่งหรือร้อยละ 56.0 ไม่เลือกทั้งพรรคก้าวไกล และพรรคเพื่อไทย เช่นเดียวกับ กลุ่มเกษตรกรที่เกินครึ่งหรือร้อยละ 54.2 ที่ไม่เลือกพรรคก้าวไกล และไม่เลือกพรรคเพื่อไทย แต่จะเลือกพรรคอื่น นอกจากนี้ จำนวนมากที่สุดของกลุ่มอาชีพค้าขายอิสระ คือร้อยละ 48.4 และร้อยละ 42.1 ของพนักงานบริษัทเอกชน จะไม่เลือกทั้งพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทย แต่จะเลือกพรรคอื่น อย่างไรก็ตามจำนวนมากหรือร้อยละ 39.9 ของพนักงานเอกชนจะเลือกพรรคก้าวไกล

รายงานของซูเปอร์โพล ระบุว่า ผลโพลนี้ วิเคราะห์เจาะลึกลงรายละเอียดของการออกแบบกลยุทธ์ทางการเมืองได้อีกมาก แต่โดยสรุป ถ้าวันนี้เลือกตั้ง ประชาชนส่วนใหญ่จะไม่เลือกพรรคทั้งสองไม่ว่าจะเป็น พรรคก้าวไกล หรือ พรรคเพื่อไทย ทั้งนี้ พรรคก้าวไกลมีคะแนนสูงกว่าเพื่อไทยอยู่ประมาณหนึ่งเท่าตัว แต่พรรคก้าวไกลก็ยังจะไม่มีคะแนนนิยมมากพอที่จะชนะการเลือกตั้งจนตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้ ถ้ายังทำงานการเมืองแบบนี้ต่อไป การเคลื่อนไหวทางการเมืองขณะนี้ที่ออกมาเป็นแบบเดิม ๆ ไม่มีอะไรใหม่ ภาพการเมืองแบบเก่า ๆ เหมือนเดิม

ดังนั้น ถ้าจะให้เกิดผลมีอะไรใหม่ก็ต้องใช้ระบบเทคโนโลยีมาช่วยทำงานใน 3 กลุ่มงานคือ 1.เข้าถึง เข้าใจ และตอบสนอง (Insight) ตรงความต้องการของประชาชนระดับพื้นที่ (Localization) มากกว่าใช้นโยบายภาพใหญ่นำ 2. ความมั่นคงชาติและปลอดภัยของประชาชน และ 3. อื่น ๆ เช่น ผสมผสานทำงานการเมืองแบบดั้งเดิมกับแบบใหม่ (Hybrid) เป็นต้น ผลที่ตามมาคือ “ศรัทธาของประชาชน” ต่อการเมืองที่เป็นไปได้คือ เหมือนเดิม หรืออาจจะเปลี่ยนแปลงเทคะแนนนิยมไปยังพรรคการเมืองที่สามารถปรับตัวทันตามการเปลี่ยนแปลงบนความสงบสุขของประชาชนและความมั่นคงของชาติ

‘ผบ.ทอ.’ ส่งชุดปฏิบัติการ บินดับไฟป่า ‘เชียงใหม่-เชียงราย’ หวังบรรเทาความเดือดร้อน ให้แก่พี่น้องประชาชนโดยเร็ว

(21 เม.ย.67) พล.อ.อ.พันธ์ภักดี พัฒนกุล ผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทอ.) ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพอากาศ สั่งการให้ชุดปฏิบัติการสนับสนุนการบินควบคุมไฟป่า กองทัพอากาศ (ส่วนหน้า) ซึ่งวางกำลังอยู่ที่กองบิน 41 จังหวัดเชียงใหม่ สนับสนุนอากาศยาน เพื่อปฏิบัติภารกิจในการบินควบคุมไฟป่าในพื้นที่ภาคเหนือ ประกอบด้วยเครื่องบิน DA-42 ติดตั้งระบบ Video Downlink (VDL) สำหรับถ่ายทอดภาพสถานการณ์แบบ Real Time เพื่อบินลาดตระเวนค้นหาพื้นที่ไฟป่า เส้นทางบิน กองบิน 41 – อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย – อำเภอเชียงดาว – อำเภอเเม่แตง – อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ – กองบิน 41

เครื่องบิน BT-67 ติดตั้งอุปกรณ์สำหรับบรรทุกน้ำและสารควบคุมไฟป่า เพื่อปฏิบัติภารกิจบินโปรยน้ำควบคุมไฟป่าบริเวณ อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย

ทั้งนี้ กองทัพอากาศยังคงสนับสนุนกำลังพล ยุทโธปกรณ์ และเทคโนโลยี เพื่อบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ ในการแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) ในพื้นที่ภาคเหนืออย่างต่อเนื่อง เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่พี่น้องประชาชนโดยเร็ว

‘ภูเก็ต’ จัดรถเมล์ฟรี รับ-ส่งนักท่องเที่ยว วิ่งรอบเมืองเก่า ตั้งแต่ 11 โมงเช้า ถึง 4 ทุ่ม เริ่ม 9 พ.ค.นี้

(21 เม.ย.67) บริษัท ภูเก็ตพัฒนาเมือง จำกัด ร่วมมือกับมูลนิธิพัฒนาการท่องเที่ยวยั่งยืน เปิดตัวโครงการ Phuket Smart Bus EV เส้นทางเมืองเก่า โดยนำรถโดยสารพลังงานไฟฟ้า ให้บริการฟรีแก่ประชาชนและนักท่องเที่ยว เพื่อลดปัญหาการจราจรติดขัด ลดมลพิษทางอากาศ ขับเคลื่อนและพัฒนาเมืองที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับการอยู่อาศัยและการท่องเที่ยว เริ่มตั้งแต่วันที่ 9 พ.ค. 2567 ให้บริการทุก 15 นาที ตั้งแต่เวลา 11.00-22.00 น.

เส้นทางเดินรถรอบเมืองเก่า เริ่มต้นจากจุดจอดรถ ไปตามถนนหลวงพ่อ ต่อด้วยถนนดีบุก จอดจุดที่ 1 ตรงข้ามโครงการไลม์ไลท์ ภูเก็ต เลี้ยวซ้ายไปตามถนนเทพกษัตรี จอดจุดที่ 2 ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย สาขาภูเก็ต (ตรงข้ามหอนาฬิกาพรหมเทพ) เลี้ยวซ้ายไปตามถนนพังงา จอดจุดที่ 3 สถานีขนส่งผู้โดยสารภูเก็ตแห่งที่ 1 (บขส.1) กลับมาที่ถนนพังงา จอดจุดที่ 4 โรงแรมรอยัลภูเก็ตซิตี้ เลี้ยวซ้ายไปตามถนนมนตรี จอดจุดที่ 5 ตรงข้ามโรงแรมเพิร์ล ผ่านวงเวียนหอนาฬิกา ไปตามถนนดิลกอุทิศ 1 เลี้ยวขวา จอดจุดที่ 6 ตลาดเกษตร ออกจากตลาดเกษตร เลี้ยวขวาไปตามถนนอ๋องซิมผ่าย จอดจุดที่ 7 ร้านออฟฟิศเมท สาขาภูเก็ต

เลี้ยวขวาไปตามถนนภูเก็ต จอดจุดที่ 8 ร้านโกอ่างซีฟู้ด ผ่านวงเวียนหอนาฬิกา จอดจุดที่ 9 ตรงข้ามตึกแดงพลาซ่า เลี้ยวซ้ายไปตามถนนรัษฎา จอดจุดที่ 10 ร้านคอฟฟี่ ทอล์ค ผ่านธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาภูเก็ต จอดจุดที่ 11 ตรงข้ามธนาคารกรุงไทย สาขาภูเก็ต วนวงเวียนน้ำพุไปยังถนนเยาวราช จอดจุดที่ 12 ธนาคารอิสลาม สาขาภูเก็ต เลี้ยวซ้ายไปตามถนนกระบี่ จอดจุดที่ 13 พิพิธภัณฑ์ภูเก็ตไทยหัว เลี้ยวขวาไปตามถนนดีบุก จอดจุดที่ 14 ถนนดีบุก จอดจุดที่ 15 วัดมงคลนิมิตร จอดจุดที่ 16 โครงการไลม์ไลท์ ภูเก็ต เป็นป้ายสุดท้าย ก่อนถึงจุดจอดรถ

นายนิพนธ์ เอกวานิช ประธานที่ปรึกษากรรมการบริหาร บริษัท ภูเก็ตพัฒนาเมือง จำกัด กล่าวว่า จากนโยบายแผนพัฒนาจังหวัดภูเก็ตที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาเมืองให้น่าอยู่และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม อาศัยการใช้พลังงานสะอาดในการลดมลพิษ และยกระดับการดำเนินชีวิตของประชาชนและการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน บริษัทฯ จัดตั้งขึ้นเพื่อดำเนินงานโครงการต่างๆที่เกี่ยวกับการพัฒนาเมือง มูลนิธิพัฒนาการท่องเที่ยวยั่งยืน ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อดำเนินงานโครงการต่างๆที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม จึงเห็นควรร่วมกันจัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการขับเคลื่อนพัฒนาเมืองที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green City) เพื่อทำให้การพัฒนาเกิดขึ้นได้อย่างเป็นรูปธรรม คล่องตัว มีประสิทธิภาพและยั่งยืน

'พีระพันธุ์' ลุยรื้อโครงสร้างพลังงาน ดันไอเดียรัฐบาลกำหนดราคาน้ำมันเอง ลั่น!! ตลาดโลกเป็นเรื่องของ 'ผู้ประกอบการ-รัฐบาล' ไม่ควรดึง ปชช.มาร่วมแบก

(21 เม.ย.67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ให้สัมภาษณ์ถึงการประกาศราคาน้ำมันที่รัฐบาลจะต้องดำเนินการเอง ว่า ตนจะทำอย่างนั้น เมื่อไม่สามารถแยกตัวออกจากตลาดโลกได้ แต่สามารถแยกประชาชนออกจากตลาดโลกได้ ตลาดโลกจะเป็นเรื่องของผู้ประกอบการและรัฐบาล ไม่เกี่ยวกับประชาชน นั่นคือสิ่งที่ตนตั้งเป้าไว้ ซึ่งขณะนี้มีช่องทางในการดำเนินการแล้ว และได้ประชุมอยู่ทุกสัปดาห์ จะดำเนินการได้ในรัฐบาลนี้ในช่วงที่ตนอยู่ในตำแหน่งรมว.พลังงาน

เมื่อถามว่าจะเป็นเรื่องยากหรือไม่เพราะมีกลุ่มนายทุน นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า ถึงจะยาก แต่ก็ต้องทำ เพราะไม่มีอะไรง่ายอยู่แล้ว ไม่ใช่เรื่องง่ายหรือยากแต่เป็นเรื่องที่มีความตั้งใจจะทำ ดังนั้นถ้าเราตั้งใจจะทำ เรื่องยากก็เป็นเรื่องง่าย ถ้าไม่มีความตั้งใจต่อให้ง่ายแค่ไหนก็ทำไม่ได้

เมื่อถามว่าราคาน้ำมันดีเซลจะมีการตรึงราคาที่ลิตรละ 30 บาทหรือไม่ นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า ถือเป็นเรื่องสำคัญ และเป็นปัญหาของระบบโครงสร้างพลังงานปัจจุบัน ซึ่งตนพูดมาตั้งแต่ตอนแรกที่รับหน้าที่ว่าไม่พอใจกับระบบและโครงสร้างพลังงานเช่นนี้ จึงจำเป็นต้องแก้ไข แต่ระหว่างที่แก้ไขก็ต้องยอมรับว่าเป็นโครงสร้างเดิมมาถึง 51 ปี และที่ผ่านมา 51 ปีไม่มีใครคิดจะปรับปรุงและแก้ไขเพื่อประชาชน แต่ตนเองจะลงมือทำ และกำลังทำอยู่ ซึ่งจะทำให้ได้

นายพีระพันธุ์ กล่าวถึงการขยายมาตรการตรึงราคาน้ำมันดีเซลลิตรละ 30 บาทให้ประชาชนและผู้ประกอบการหรือไม่ ว่า เดิม ก่อนรัฐบาลชุดนี้ การรักษาระดับราคาน้ำมัน ใช้กลไกหลักอยู่ 2 กลไกล ถือเป็นอำนาจของกองทุนน้ำมัน กลไก 1 คือการกำหนดเพดานภาษีสรรพสามิต และภาษีต่างๆที่จัดเก็บกับน้ำมัน ถือเป็นอำนาจของคณะกรรมการ ไม่ใช่ของกระทรวงการคลัง แต่เมื่อกำหนดเพดานแล้ว คนมีอำนาจเก็บภาษี คือกระทรวงการคลัง

ส่วนกลไกที่ 2 คือ เงินจากกองทุนน้ำมันฯ แต่เงื่อนไขของกฎหมายปัจจุบัน ไปตัดอำนาจการกำหนดเงินเพดานออก เหลือแต่เพียงอำนาจการใช้เงินกองทุน จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้มาแบกภาระที่เงินกองทุนน้ำมัน ทั้งๆ ที่เดิมเป็นอำนาจของคณะกรรมการที่กำหนดว่าควรจะปรับภาษีสรรพสามิตขึ้นลงเท่าไหร่ เมื่อถูกตัดอำนาจออกไป ทำให้เป็นภาระกองทุนน้ำมันที่ต้องใช้เงินอย่างเดียว และตอนนี้ตนเองก็กำลังดำเนินการแก้ไขปัญหาเรื่องนี้อยู่ และย้ำว่าจำเป็นต้องแก้กฎหมาย ซึ่งขณะนี้กำลังร่างฯโดยไม่ต้องกลัวว่าจะร่างกฎหมายช้า ตนเองเป็นผู้ดำเนินการร่างฯเอง

เมื่อถามว่าต้องรออีกนานหรือไม่ นายพีระพันธุ์กล่าวว่า เมื่อไปถึงขั้นสุดท้ายที่ตนได้วางแนวทางไว้ คือ รัฐบาลมีอำนาจในการกำหนดราคา แต่ก่อนจะไปถึงวันนั้นก็ต้องค่อยๆปรับ เพราะว่าโครงสร้างรูปแบบเดิม เป็นแบบนี้มา 51 ปีแล้ว ซึ่งไม่เคยมีการเปลี่ยนแปลง อย่างน้อยตนมาเริ่มเปลี่ยน และกำลังเริ่มทำเป็นครั้งแรกในรอบ 51 ปี ที่มีมาตรการให้ผู้ค้าต้องแจ้งต้นทุน ซึ่งไม่เคยมีมาก่อน ทั้งที่ผ่านมาไม่มีใครเคยรู้ต้นทุน รู้แค่เพียงขาดทุนแล้วนำเงินกองทุนฯไปชดเชยกับสิ่งไหน ซึ่งก็ไม่เคยมีใครทำ แต่ตอนนี้ตนเองทำแล้ว นี่คือสิ่งที่พยายามทำให้เห็นว่าพรรครวมไทยสร้างชาติทำงานจริง รื้อสิ่งที่ไม่ดีให้หมด ซึ่งพยายามทำอยู่

ฮือฮา!! 'ฮอนด้า' ผนึกพันธมิตร คลอด 3 รุ่น EV โชว์ 'ออโต้ไชน่า' พร้อมปรับโฉมโลโก้ H ใหม่โดยเฉพาะ หวังเจาะตลาด EV จีน

(21 เม.ย.67) งานออโต้ ไชน่า ที่จะเริ่มปลายเดือนเมษายนนี้ ที่เมืองปักกิ่ง ฮอนด้า ประกาศออกมาแล้วว่าจะเปิดตัวรถยนต์พลังไฟฟ้าใหม่ 3 รุ่นที่มาจากการทำงานร่วมกับพันธมิตรเหล่านี้ในฐานะที่เป็น Local Content นั่นคือ Ye Series ซึ่งจะประกอบด้วย S7 และ P7 Series ส่วนอีกรุ่นคือ GT Series และแน่นอนว่ารถยนต์เหล่านี้ไม่ได้ใช้โลโก้ดั้งเดิมของ H ที่เราคุ้นเคย แต่จะเป็นตัว H ที่ถูกดัดแปลงเพื่อใช้เป็นแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าสำหรับทำตลาดในจีนโดยเฉพาะ

รุ่นแรกที่จะถูกเปิดตัวขายก่อนคือ S7 และ P7 ซึ่งมีคิวลงขายในจีนช่วงปลายปี 2024 โดยทั้งคู่จะมีตัวถังเดียวกัน ต่างกันที่การขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์เดี่ยวแบบล้อหลัง หรือว่าการขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ในแบบทวินมอเตอร์ ส่วน GT Series ซึ่งมาในแบบรถยนต์ฟาสแบ็คขนาด D-Segment จะเริ่มลงตลาดในปลายปี 2025

นอกจากนั้น ฮอนด้า ยังวางแผนเปิดตัวรถยนต์ที่มาจาก Ye Series รวมทั้งสิ้นอีก 6 รุ่นภายในปี 2027 ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ทำได้ยากหากเริ่มต้นด้วยตัวคนเดียว


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top