Wednesday, 14 May 2025
NewsFeed

'กระทรวงแรงงาน' ดีลสำเร็จ!! งานโรงพยาบาลญี่ปุ่น ปี 67 - 68   พร้อมรับแรงงานทักษะเฉพาะเพิ่ม 200% เงินเดือนเริ่มต้น 6 หมื่นบา

(10 เม.ย.67) นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายนายสมชาย มรกตศรีวรรณ อธิบดีกรมการจัดหางาน หารือด้านขยายตลาดแรงงาน ร่วมกับ Mr.Daiki KAMO ผู้บริหารบริษัท Medical Corporation MIDORI-KAI และผู้แทนองค์กรผู้รับ พร้อมตรวจเยี่ยมผู้ฝึกปฏิบัติงานด้านเทคนิคในความดูแล ณ โรงพยาบาล Midorikai Medical Corporation Takesato Hospital เมืองคาสุคาเบะ จังหวัดไซตามะ 

นายสมชาย เปิดเผยว่า งานบริบาลผู้ป่วยหรือผู้สูงอายุ เป็นอีกหนึ่งสาขาอาชีพที่กรมการจัดหางานให้ความสำคัญต้องการผลักดันและส่งเสริมให้นายจ้างญี่ปุ่นนำเข้าแรงงานไทยเป็นจำนวนมาก โอกาสนี้ได้หารือถึงความเป็นไปได้ในการจ้างแรงงานไทยในอนาคตตามนโยบายของโรงพยาบาล และสิ่งที่ต้องการให้กรมการจัดหางานสนับสนุน เพื่อส่งเสริมการจ้างแรงงานไทยในภาคบริบาล เนื่องจากเป็นตำแหน่งงานที่ประเทศญี่ปุ่นขาดแคลนแรงงาน และให้ค่าตอบแทนสูง เดือนละประมาณ 250,000 เยน หรือราว 6 หมื่นบาท 

สำหรับโรงพยาบาล Midorikai Medical ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2545 เป็นศูนย์ดูแลและรักษาผู้ป่วยอัลไซเมอร์ ขนาด 274 เตียง อาคาร 5 ตึก แบ่งการดูแลตามสภาพของผู้ป่วย มีการรับผู้ฝึกปฏิบัติงานด้านเทคนิค และแรงงานทักษะเฉพาะชาวไทย 17 ราย ประกอบด้วย ผู้ฝึกปฏิบัติงานด้านเทคนิค 8 ราย แรงงานทักษะเฉพาะ 8 ราย และอยู่ระหว่างยื่นขอวีซ่าทำงานประเภทบริบาล 1 ราย ซึ่งทางโรงพยาบาลยินดีรับแรงงานทักษะเฉพาะจากประเทศไทยในปีนี้และปี 2568 เพิ่มจำนวน 10 คน 

ขณะที่ในส่วนองค์กรผู้รับ มีแผนรับแรงงานทักษะเฉพาะ สาขางานบริบาล ซึ่งจัดส่งผ่านบริษัทจัดหางานที่ถูกต้องตามกฎหมายในประเทศไทย ในปี 2567 สาขางานบริบาล ประมาณ 30 คน และปี 2568 รวม 50 คน แบ่งเป็นสาขางานบริบาล ประมาณ 30 คน และสาขางานสายโรงงาน ประมาณ 20 คน ทั้งนี้ ถือว่าเพิ่มโอกาสในงานบริบาลให้แรงงานไทยถึง 252%

ในการนี้ อธิบดีกรมการจัดหางานได้เข้าเยี่ยมให้กำลังใจแรงงานไทยที่ทำงานอยู่ที่โรงพยาบาล Midorikai Medical พร้อมมอบโอวาทแก่แรงงานไทยที่เสียสละความสุขส่วนตัวห่างครอบครัวมาทำงานไกลบ้านแม้ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยอวยพรให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่พี่น้องแรงงานไทยเคารพนับถือ คุ้มครองและดลบันดาลให้มีแต่ความสุขสมหวังตามที่ตั้งใจทุกประการ

ผู้สนใจสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่กองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ กรมการจัดหางาน โทรศัพท์ 0 2245 1021 หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร. 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน โทร.1694

‘สรยุทธ’ เผย ไม่กล้าดู ‘หลานม่า’ เพราะกลัวร้องไห้ ลั่น!! มีประสบการณ์ส่วนตัว ถ้าได้ไปดู คงตายแน่ๆ

(10 เม.ย.67) เพจเฟซบุ๊ก beartai BUZZ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า…

จากในรายการ ‘กรรมกรข่าว คุยนอกจอ’ ช่วงเมื่อวานที่ผ่านมา พิธีกรรายการอย่าง สรยุทธ สุทัศนะจินดา และ ไบรท์-พิชญทัฬห์ จันทร์พุฒ ได้พูดถึง ‘หลานม่า’ หนังใหม่ล่าสุดจากค่าย GDH ที่ฉายไปเพียงไม่กี่วันก็สามารถทำรายได้ทะลุ 100 ล้านบาท โดยช่วงหนึ่งของรายการ สรยุทธได้พูดถึง ‘หลานม่า’ พร้อมเผยว่าตนเองจะไม่ไปดูหนังเรื่องนี้

“จริง ๆ พี่ก็ตั้งใจแล้วว่าพี่ไม่ดู ไม่ได้แปลว่าอะไรนะ เข้าใจว่าตอนนี้มีกระแสเพราะเข้าฉายไปเมื่อวันที่ 4 เม.ย. เพราะพี่มีประสบการณ์เป็นหลานม่า กูร้องไห้แน่ คือกลัวจะเก็บอาการไม่ได้ ผมเป็นหลานม่าที่ไม่ได้หวังสมบัตินะ ตอนอาม่าพี่เสียทีแรกก็ปกติตอนจัดงาน แต่พอผ่านไปสักพักหนึ่งร้องไห้จนไม่รู้ตัวเหมือนคลั่ง มันออกมาเองแบบไม่รู้ตัว เพราะฉะนั้นถ้าพี่ไปดูเรื่องนี้พี่ตายแน่ เป็นความรู้สึกส่วนตัว เมื่อก่อนผมก็ไปช่วยอาม่าขายของนะ แต่พอเติบโตขึ้นมาเริ่มทำงานแล้วก็ไม่ได้กลับไป มาคิดได้ในวันที่เขาไม่อยู่แล้ว”

‘พิจิตรปลดแอก’ ถาม!! “พัฒนาบึงสีไฟ ใครได้ประโยชน์?” ชาวเน็ตสวนกลับ “ถามคำถามโง่ๆ ดีแต่แซะ ถ่วงความเจริญ”

เพจ ‘พิจิตรปลดแอก’ โดนทัวร์ลงเละคาบ้าน หลังโพสต์ถาม “ใครได้ผลประโยชน์จากการทำบึงสีไฟบ้าง...” เจอชาวเน็ตสวน “ประชาชน คนพิจิตร ได้ประโยชน์ จวกเป็นคำถามโง่ ๆ ไม่สร้างสรรค์ ถ่วงความเจริญ”

(10 เม.ย. 67) ถือเป็นอีกหนึ่งดรามาบนโลกโซเชียล เมื่อเพจ พิจิตรปลดแอก ได้ออกมาโพสต์ถาม “ใครได้ผลประโยชน์จากการทำบึงสีไฟบ้าง...”

งานนี้ปรากฏว่าโดนทัวร์เละคาบ้าน โดยชาวเน็ตที่เข้าไปคอมเม้นต์ หลายคนโต้ว่า การพัฒนาบึงสีไฟ ประชาชน และคนพิจิตร ได้ประโยชน์ ทำให้คุณภาพชีวิตคนแถวนั้นดีขึ้น มีคนเดินทางมาท่องเที่ยวเม็ดเงินเข้าจังหวัดพิจิตร

นอกจากนี้ชาวเน็ตหลายคนยังจวกเพจนี้ว่า นี่เป็นคำถามโง่ ๆ คำถามไม่สร้างสรรค์ ดีแต่แซะ และ ถ่วงความเจริญ

สำหรับ ‘บึงสีไฟ’ เป็นบึงน้ำธรรมชาติขนาดใหญ่ที่อยู่คู่กับจังหวัดพิจิตรมาช้านาน เดิมมีพื้นที่กว้างขวางถึงกว่า 12,000 ไร่ แต่เมื่อเวลาผ่านไปเกิดความเปลี่ยนแปลงในด้านต่าง ๆ ทำให้ปัจจุบันบึงสีไฟลดขนาดลงเหลือพื้นที่ราว 5,390 ไร่ ถือเป็นแหล่งน้ำจืดขนาดใหญ่อันดับ 3 ของเมืองไทย ครอบคลุมพื้นที่ 5 ตำบลใน อ.เมืองพิจิตร ได้แก่ ต.ในเมือง ต.ท่าหลวง ต.เมืองเก่า ต.โรงช้าง และ ต.คลองคะเชนทร์

อย่างไรก็ดีในปี พ.ศ. 2556 บึงสีไฟประสบภาวะภัยแล้งอย่างหนัก ฝนที่ทิ้งช่วงเป็นเวลานานทำให้น้ำในบึงแห้งขอด จนเกิดดินแตกระแหง และในปี 2560 เกิดไฟไหม้บริเวณเกาะกลางบึงสีไฟ เนื่องจากมีวัชพืชแห้งทับถมกันเป็นเวลานาน ทำให้เกิดไฟไหม้ได้ง่าย โดยเฉพาะในภัยแล้ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงมีพระบรมราโชบายในการพัฒนาแม่น้ำลำคลองและแหล่งน้ำในพื้นที่ที่ประชาชนได้รับความเดือดร้อนทั่วประเทศ

หลังจากนั้นในปี 2560 หน่วยราชการในพระองค์ได้น้อมนำพระบรมราโชบายในการปรับปรุงพัฒนาบึงสีไฟและประสานความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ให้กลับมาสมบูรณ์งดงามดังเดิม ดังนี้

-ด้านการบริหารจัดการดิน กรมเจ้าท่าดำเนินการขุดลอกบึงสีไฟระหว่างปีงบประมาณ 2560 ถึงปีงบประมาณ 2563

-ด้านการบริหารจัดการน้ำ แต่เดิมบึงสีไฟรับน้ำจากน้ำฝนและการผันน้ำจากระบบชลประทาน เข้ามาเติมในช่วงหน้าแล้ง ในการพัฒนาพื้นที่บึงสีไฟ กรมชลประทานโดยโครงการชลประทานพิจิตร ได้ผันน้ำ ผ่านคลองชลประทานอาศัยน้ำจากทางเหนือที่ไหลมาจากเขื่อนนเรศวร

-ด้านการปรับปรุงภูมิทัศน์ มีการปรับปรุงภูมิทัศน์ภายในสวน สมเด็จพระศรีนครินทร์พิจิตรและการปรับปรุงสภาพแวดล้อมโดยรอบบึงสีไฟ รวมทั้งมีการสร้างทางจากดินที่ขุดลอก มาทำเป็นทางจักรยาน ทางเดิน และลู่วิ่ง โดยสมาคมกีฬาจักรยานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ การพัฒนาอุทยานบัวบึงสีไฟโดยขยายพันธุ์บัวหลากหลายสายพันธุ์ จัดแสดงนิทรรศการให้ความรู้และส่งเสริมการท่องเที่ยว ฯลฯ

ในปี 2566-2567 บึงสีไฟสามารถกักเก็บน้ำเต็มบึง 100% ในปริมาณ 12.64 ล้านลูกบาศก์เมตร (จากเดิมก่อนพัฒนาบึงเก็บน้ำได้ประมาณ 2 ล้านลูกบาศก์เมตร)

วันนี้ ‘โครงการพัฒนาบึงสีไฟเฉลิมพระเกียรติฯ’ หลังการพัฒนาปรับปรุง ได้พลิกโฉมจากบึงที่เคยเสื่อมโทรม กลายเป็นบึงน้ำอันสวยงาม มีสวนสาธารณะให้คนในพิจิตรและคนต่างถิ่นมาพักผ่อนหย่อนใจ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเช็กอินสำคัญของนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเยือนพิจิตร รวมถึงเป็นสถานที่จัดงานสำคัญต่าง ๆ

สำหรับสิ่งน่าสนใจบริเวณบึงสีไฟนั้นก็มีหลากหลาย อาทิ สวนสมเด็จพระศรีนครินทร์, ประติมากรรมพญาชาละวันหรือรูปปั้นจระเข้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก, ประติมากรรมจระเข้ยืน สถานแสดงพันธุ์ปลาเฉลิมพระเกียรติ หรือ ศาลาเก้าเหลี่ยม ศาลากลางน้ำ และบ่อจระเข้ เป็นต้น

นอกจากนี้บึงสีไฟยังมีไฮไลต์แห่งใหม่ใต้พระบารมี คือ เลนปั่นจักรยานรอบบึงระยะทาง 10.28 กิโลเมตร และสนามจักรยานประเภทต่าง ๆ คือ สนามจักรยาน BMX สนามขาไถ สนามปั๊มแทรค และสนามเด็กเล่นสร้างปัญญา ซึ่งทางจังหวัดพิจิตรเสนอให้บึงสีไฟเป็นโครงการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 โดยพระราชทานชื่อสนามจักรยานว่า ‘สนามจักรยานสราญจิตมงคลสุข’ หมายความว่า สนามจักรยานเป็นสถานที่ทำให้ใจสำราญเป็นมงคลและสุขสบาย

‘นายกฯ เศรษฐา’ นำทีมลุยตรวจ ‘หมอชิต 2’ ประเมินให้ 8 คะแนน เน้นย้ำ!! ‘สะดวก-สะอาด-ปลอดภัย’ พร้อมบริการปชช. ช่วงสงกรานต์

(10 เม.ย. 67) ที่สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ (หมอชิต 2) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง พร้อมคณะ ตรวจเยี่ยมการเตรียมความพร้อมรองรับการเดินทางของประชาชน ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ มีนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.คมนาคม, นางมนพร เจริญศรี, นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รมช.คมนาคม, น.ส.สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง รอต้อนรับ

โดยจุดแรกรับฟังบรรยายสรุป ความพร้อมในการอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนที่จะเดินทางในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ภายในอาคารผู้โดยสารชั้น 1 นายกฯ ระบุว่าวันนี้มาดูแลประชาชน ที่จะเดินทาง ขอให้ดูเรื่องสุขภาพของคนขับรถและตรวจเข้มเรื่องของสารเสพติด ซึ่งในส่วนของหมอชิต 2 คาดว่าจะมีคนเดินทางเฉพาะช่วงเทศกาลสงกรานต์ 7 แสนคน โดยระหว่างนี้มีผู้เดินทางมาขอถ่ายรูป กับนายกฯ เป็นที่ระลึกโดยบรรยากาศเป็นไปอย่างเป็นกันเอง 

จากนั้นนายกฯ เดินพบปะพูดคุยกับประชาชน พร้อมสอบถามถึงจองตั๋วรถโดยสารเป็นไปโดยสะดวกหรือไม่ และรถโดยสารเข้าออกรับส่งตรงหรือไม่โดย ได้รับการยืนยันจากทาง บขส. ว่ารถตรงเวลา 

จากนั้นนายกฯ ได้ตรวจสาธารณูปโภคการให้บริการห้องน้ำสาธารณะ ที่เน้นความสะอาดเป็นหลักทั้งห้องน้ำที่เสียค่าบริการ และห้องน้ำฟรี โดยจากการตรวจสอบไม่พบว่ามีสิ่งใดต้องปรับปรุง แต่ให้ดูแลเรื่องของความสะอาด เพราะมีผู้ใช้บริการจำนวนมาก ก่อนตรวจที่พักคอยรถบริเวณชานชาลาของสายอีสาน โดยสั่งการนายอรรถวิท รักจำรูญ กรรมการรักษาการแทนกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) เพิ่มจอแอลอีดี ให้เช่าฉายโฆษณาขณะที่ประชาชน จะได้ชมระหว่างรอขึ้นรถเดินทาง

จากนั้นนายกฯ เดินตรวจระบบขนส่งสาธารณะ ที่จุดบริการรถแท็กซี่ รถโดยสาร ขสมก. และรถสาธารณะบริเวณทางออกประตู 3 โดยก่อนเดินทางกลับนายกฯ ได้เน้นย้ำเรื่องของความปลอดภัยในการเดินทาง การตรวจความพร้อมของพนักงานขับรถ รวมถึงแผนรองรับ หากรถเสียในระหว่างเดินทางจะแก้ไขอย่างไร โดยทาง บขส. ระบุว่ามีความพร้อมในการให้บริการเต็มที่

ต่อเวลา 14.45 น. นายเศรษฐา ให้สัมภาษณ์ภายหลังตรวจเยี่ยมการเตรียมความพร้อมรองรับการเดินทางของประชาชนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ว่า จากการมาตรวจเยี่ยมการให้บริการและได้พูดคุยสอบถามความพึงพอใจของประชาชนที่มาใช้บริการ ทราบว่าผู้โดยสารแฮปปี้ดี ศูนย์อาหารสะอาด 

ผู้สื่อข่าวถามว่านายกฯ ให้คะแนนเท่าไหร่ นายเศรษฐา กล่าวว่า อย่างน้อยให้คะแนน 8 และต้องถามผู้ใช้มากกว่า เวลานายกฯ มาแบบนี้ ก็ต้องมีการทำให้ดีเป็นพิเศษ จึงจะเลือกมาอย่างที่ไม่ต้องแจ้งให้ทราบดีกว่า โดยนายสุรพงษ์ ยืนยันตรงนี้แล้ว คำพูดเป็นนาย แม้นายกฯ จะมาหรือไม่มาคุณภาพของการให้บริการและความสะอาดจะเป็นอย่างนี้ตลอด 

ผู้สื่อข่าวถามว่าคิดว่าจะต้องทำอะไรเพิ่มเติมหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า บอกไว้ในเรื่องการหารายได้พิเศษ ปัจจุบันป้ายโฆษณาต่าง ๆ เดือนละ 3 ล้านบาท และตอนนี้ผู้โดยสารกลับมาเยอะ ก่อนสมัยโควิด-19 มีกำไร แต่ตอนนี้ขาดทุนนิดหน่อย จึงอยากหารายได้เสริมด้วยการติดป้ายโฆษณาให้มากยิ่งขึ้น เป็นป้ายอิเล็กทรอนิกส์หรือวิวบอร์ด ซึ่งทางรัฐมนตรี ตอบรับ และอีก 3-4 เดือน จะมีแน่นอนและจะนำรายได้เข้ามามากขึ้น ทั้งนี้ตนจะมาตรวจเหมือนกับที่ไปตรวจสนามบินสุวรรณภูมิ โดยไม่ขอตอบว่าประมาณกี่เดือนจะมาตรวจ เพราะเดี๋ยวจะมีการจัดฉากมารับ แต่อย่างน้อยจัดฉากก็จัดฉากได้ดีมาก ขณะที่รัฐมนตรีเอง ยืนยันแล้วว่า แม้ไม่ได้จัดฉากทุกวันก็ดีอย่างนี้ 

ผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีที่ฝ่ายค้านสะท้อนความเห็น หลังจากมาที่หมอชิต นายเศรษฐา กล่าวว่า ตนไม่ได้ฟังว่าพูดอะไร แต่เท่าที่มาตรวจวันนี้ดีมาก ดีหมด มีการพัฒนาเรื่องพื้นที่นั่งและขายของ 

'เอ็มเค' ส่ง 'สุกี้พร้อมปรุง' ขายในเซเว่นฯ ชุดละ 69 บาท เจาะกลุ่มสะดวกซื้อ-ฝ่าวิกฤติคู่แข่งแบ่งตลาดพรึ่บ

(10 เม.ย. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MK ยังคงเดินเกมบุกตลาดสุกี้อย่างต่อเนื่อง หลังประกาศขาย ‘น้ำจิ้มสุกี้สูตรต้นตำรับ’ ในรูปแบบขวด ขนาด 830 กรัม ราคา 119 บาท และขนาด 350 กรัม ราคา 65 บาท

โดยวางจำหน่าย ผ่านช่องทางสาขาร้าน MK Restaurants หรือสั่งซื้อทางช่องทางออนไลน์ ทั้งเว็ปไซต์ MK Restaurants, ลาซาด้า, ช้อปปี้ รวมถึงร้านสะดวกซื้อ 7-11 และซูเปอร์มาร์เก็ตเช่น ท็อปส์ เป็นต้น

ล่าสุดเมื่อวันที่ 9 เม.ย.ที่ผ่านมา ได้ส่ง ‘ชุดสุกี้ลูกชิ้นรวมมิตร’ พร้อมปรุง รูปแบบแพ็คใส่ถุง พร้อมน้ำจิ้มสูตรต้นตำรับ ขนาด 325 กรัม วางจำหน่ายในร้าน 7-11 ในราคาชุดละ 69 บาท

ประกอบด้วย ผักรวม ได้แก่ ผักกาดขาว เห็ดซิเมจิดำ ผักบุ้ง แครอท ขึ้นฉ่าย น้ำจิ้มสุกี้เอ็มเค และ ลูกชิ้นรวมมิตร ได้แก่ ลูกชิ้นรักบี้ เอ็มเคแชลมอน สาหร่ายทรงเครื่อง ลูกชิ้นเอ็มเค เต้าหู้เนื้อปลา และวุ้นเส้น

การเดินเกมของเอ็มเคสุกี้ที่รวดเร็วปานกามนิตหนุ่ม เพื่อให้ตอบโจทย์คนที่ชอบกินที่บ้าน ท่ามกลางพฤติกรรมลูกค้าและตลาดสุกี้ที่ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว หลังจากมีคู่แข่งดาหน้าเข้ามาสู่ตลาด

คงต้องติดตาม หลังจากนี้เอ็มเคสุกี้จะมีการทำตลาดอะไรออกมาอีกบ้าง

นราธิวาส-ผู้ช่วยเลขาธิการ ศอ.บต. พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่เยียวยา เยี่ยมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ความไม่สงบฯ

นายรอมดอน หะยีอาแว ผู้ช่วยเลขาธิการ ศอ.บต. พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่เยียวยา เดินทางไปยัง โรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์ อ.เมือง จ.นราธิวาส เพื่อเยี่ยมให้กำลังใจ เจ้าหน้าที่ทหารพราน ที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2567 เวลาประมาณ 22.40 น. เกิดเหตุคนร้ายซุ่มยิงเจ้าหน้าที่ทหารพรานกองร้อยทหารพรานที่ 4613 ขณะปฏิบัติหน้าที่ เหตุเกิดบริเวณถนนหน้ากูโบร์บ้านลูกาฮีเล หมู่ที่ 6 ต.บาตง อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส โดยนายรอมดอน หะยีอาแว ผู้ช่วยเลขาธิการ ศอ.บต. ได้พูดคุย ให้กำลังใจ พร้อมมอบกระเช้าในนามเลขาธิการ ศอ.บต. เพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ผู้ได้รับบาดเจ็บ จำนวน 5 นาย ดังนี้

1) ร้อยเอก ชัยยุทธ สุกบู อายุ 49 ปี ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย
2) สิบเอก สุรเดช สังขวงศ์ อายุ 31 ปี ได้รับบาดเจ็บบริเวณศรีษะ 
3) อาสาสมัครทหารพราน สามะแอ ดือมาสิ อายุ 42 ปี ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย
4) อาสาสมัครทหารพราน สมาน ลีอาแด อายุ 34 ปี ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย
5) อาสาสมัครทหารพราน อาดนัย สุหลง อายุ อายุ 42 ปี ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย

จากนั้นผู้ช่วยเลขาธิการ ศอ.บต. และเจ้าหน้าที่เยียวยา เดินทางไปยัง  โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เพื่อเข้าเยี่ยมเจ้าหน้าที่ทหารพราน ที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์เดียวกัน โดย ผู้ช่วยเลขาธิการ ศอ.บต. ได้พูดคุย ให้กำลังใจ พร้อมมอบกระเช้าในนามเลขาธิการ ศอ.บต. เพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ผู้ได้รับบาดเจ็บ จำนวน 4 นาย ดังนี้

1) จ่าสิบเอก ศักดิ์รพี เพชรเรือนทอง อายุ 41 ปี ได้รับบาดเจ็บบริเวณขาซ้าย
2) อาสาสมัครทหารพราน อนันต์ บือราเฮง อายุ 40 ปี ได้รับบาดเจ็บบริเวณขา และแขน
3) อาสาสมัครทหารพราน มะกอเส อูมา อายุ 34 ปี ได้รับบาดเจ็บบริเวณขาซ้าย
4) อาสาสมัครทหารพราน เปาซี เจ๊ะเต๊ะ อายุ 41 ปี ได้รับบาดเจ็บบริเวณซี่โครงซ้าย

พร้อมกันนี้  ผู้ช่วยเลขาธิการ ศอ.บต. ได้เข้าเยี่ยม สิบโท อดิศัย สุขศิริวัฒน์ อายุ 28 ปี ที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2567 เวลา 16.35 น. คนร้ายลอบวางระเบิดเจ้าหน้าที่ทหารพราน กองร้องร้อยทหารพรานที่ 4402 ขณะออกปฏิบัติหน้าที่ด้วยการเดินเท้า ได้เหยียบกับระเบิด เหตุเกิดในพื้นที่ หมู่ที่ 2 บ้านบือราแง ต.น้ำดำ อ.ทุ่งยางแดง จ.ปัตตานี ได้รับบาดเจ็บจากแรงระเบิด มีแผลฉีกขาดบริเวณเท้าข้างขวา ในการนี้  ผู้ช่วยเลขาธิการ ศอ.บต. ได้พูดคุย ให้กำลังใจ พร้อมมอบกระเช้าในนามเลขาธิการ ศอ.บต. เพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่ผู้ได้รับบาดเจ็บ
ข่าว.แวดาโอ๊ะ หะไร / อัสมา บินมะนุ จ.นราธิวาส

กำไรที่ไม่มีอยู่จริง…สืบนครบาลรวบอารียาบางไผ่ บัญชีม้า 300 บาทโดนคุกอ่วม

นโยบายของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. รรท.ผบ.ตร.  ,พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร. ให้ปราบปรามกลุ่มเครือข่ายองค์กรอาชญากรรมทางออนไลน์  ซึ่งสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนผู้สุจริตจำนวนมาก ได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชาให้เร่งทำการสืบสวนเพื่อติดตามจับกุมตัวผู้ต้องหา ตามหมายจับเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการฉ้อโกลหลอกลวงประชาชนในสื่อสังคมออนไลน์ รวมถึง บัญชีม้า ที่เป็นโรคระบาดเชื้อร้ายทำร้ายความสงบสุขของประชาชนในสังคมในวงกว้าง

เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2567 พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น., พล.ต.ต.วสันต์ เตชะอัครเกษม รอง ผบช.น. ,พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. ได้สั่งให้พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น.,พ.ต.อ.นิวัตน์ พึ่งอุทัยศรี รอง ผบก.สส.บช.น, พ.ต.อ.ธีรศักดิ์ จันทราพิพัฒน์ รอง ผบก.สส.บช.น , พ.ต.อ.อดุลย์ ดอกพวง ผกก.สส.4 บก.สส.บช.น. ,พ.ต.ท.ปกรณ์ ทองช่วง รอง ผกก.สส.4ฯ , พ.ต.ท.รัฐนันท์ สมวงศ์ รอง ผกก.สส.4ฯ ได้สั่งการให้ พ.ต.ท.ภัทร  บุญอารักษ์ สว.กลุ่มงานสอบสวนฯ ช่วยราการ กก.4ฯ , ร.ต.อ.ณพวิทย์ ดิษฐ์ป้าน รอง สว.กก.สส.4ฯ , ร.ต.ต.เด่น ภูมิคอนสาร รอง สว. ดำเนินการจับกุม น.ส.อารียา อัมระนันท์ อายุ 20 ปีอยู่ที่  ม.7 แขวงบางไผ่ เขตบางแค กทม.ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดอ่างทอง ที่ 64/2567 ลงวันที่ 15 มีนาคม 2567

ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน“ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยการแสดงตนเป็นผู้อื่น,โดยทุจริตนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน,เปิดหรือยินยอมให้บุคคลอื่นใช้บัญชีเงินฝากโดยมิได้มีเจตนาใช้เพื่อตนโดยประการที่รู้หรือควรรู้ว่าจะนำไปใช้ในการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี,โอนรับโอนหรือเปลี่ยนสภาพทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดเพื่อซุกซ่อนหรือปกปิดแหล่งที่มาของทรัพย์สินนั้นและสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่บุคคลสองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน ”สถานที่จับกุมบริเวณ หน้าบ้าน ม.7 แขวงบางไผ่ เขตบางแค กทม. พฤติการณ์ เมื่อวันที่ 4 พ.ย.2566 ผู้เสียหาย ได้เห็นโฆษณาใน Facebook ที่ใช้ซื้อบริษัท Facebook Shop ซึ่งอ้างว่าเป็นงานสั่งซื้อขายสินค้าในระบบ เพียงแค่เปิดหน้าเว็บไซต์ รอระบบ AI ทำการสั่งซื้ออัตโนมัติ 3-5 นาที ก็สามารถรับเงินปันผลเป็นกำไรได้ และได้รับค่าคอมมิชชั่น 10-50 % ของเงินฝาก โดยฝาก 1 ครั้ง และถอน *1 ครั้ง (เงินต้น + เงินปันผล) โดยมีเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริการชื่อ น.ส.พิไลรัตน์ ชาลีชาติ เป็นผู้แนะนำระบบการทำงานการสร้างรายได้ และให้ทำการลงทะเบียนในเว็บ https://coupangthai666-job.com และผูกบัญชีเงินฝากของธนาคารกสิกรไทยไว้ในระบบ ในครั้งที่ 1 โดยลงทุนไป 500 บาท สามารถถอนเงินลงทุนและเงินปันผลกำไรได้ 610 บาท ในครั้งที่ 2 และ 3 เป็นเงิน 1,800 บาท และ 2,499 บาท  ถอนเงินลงทุนและเงินปันผลกำไรในแต่ละครั้งกลับเข้าบัญชีที่ผูกไว้กับระบบได้เป็นเงิน 2,070 บาท และ 3,080 บาท ในครั้งที่ 4 เป็นเงินลงทุน 3,888 บาท ซึ่งจะได้เงินทุนและเงินปันผลกำไรคืนเป็นเงิน 5,054 บาท ซึ่งระหว่างระบบรอรับยอดเข้า ทาง คนร้ายได้แจ้งว่า ขณะนี้มีลูกค้าจำนวนมากเพื่ออำนวยความสะดวกให้ทุกท่าน คนร้ายทำภารกิจงานคู่ระดับเดียวกัน  พอทำภาระกิจคู่ไปแล้ว ในครั้งที่ 4 ก็ไม่สามารถถอนเงินได้ ต้องทำภาระกิจต่อโดยการลงทุนเป็นเงิน 8,888 บาท จะได้เงินลงทุนและเงินปันผลกำไรคืน 18,386 บาท แต่เมื่อโอนเงินเพื่อทำภาระกิจให้เสร็จ ก็ยังไม่สามารถถอนเงินคืนได้ เพราะว่ายังเหลือภาระกิจสุดท้ายเป็นการโอนเงินยอด 28,888 บาท ซึ่งจะได้ผลตอบแทนเป็นเงิน 61,718 บาท ซึ่งเมื่อโอนเงินจำนวน 28,888 บาท ไปแล้ว ก็ยังไม่สามารถถอนเงินออกมาได้ ต้องชำระค่าขนส่งอีก 59,990 บาท ก่อนซึ่งจะสามารถถอนเงินคืนได้ทั้งหมดเป็นเงิน 151,703 บาท แต่แล้ว หลังจากโอนค่าขนส่งไปแล้วก็ยังไม่สามารถถอนเงินคืนได้ อ้างว่าลูกค้าถอนเงินไม่ตรงจำนวนกับระบบ ต้องทำอีก 2 ภารกิจเพื่อ ทำกการปลดล็อคระบบ โดยภาระกิจแรกต้องโอนเงิน 98,000 บาท และภาระกิจที่ 2 ต้องโอนเงินอีก 145,000 บาท ซึ่งหลังจากจบทั้งสองภาระกิจนี้แล้ว จะสามารถถอนเงินออกได้ทั้งหมดเป็นเงิน 428,703 บาท แต่เมื่อทำจบภาระกิจ ก็ยังไม่สามารถถอนเงินทั้งหมดออกมาได้ เนื่องจากระบบปฏิเสธการถอนเงิน โดยอ้างว่าได้ทำการตรวจสอบแล้ว พบว่าลูกค้าทำการสั่งซื้อเกินเวลา ต้องทำอีก 2 ภาระกิจเพื่อทำการปลดเป็นเงินทั้งหมด 196,000 บาท ซึ่วการกระทำดังกล่าวของคนร้ายเป็นการหลอกลวงให้โอนเงินโดยมีเงินปันผลกำไรเป็นสิ่งล่อใจ ผู้เสียหายจึงมาแจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีกับคนร้าย  จนกว่าคดีถึงที่สุด ความเสียหายในคดี  346,453 บาท นำส่งพนักงานสอบสวน สภ.เกษไชโย ภ.จว.อ่างทอง เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อ

ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพ ว่าตนเองได้เปิดบัญชีให้กับคนร้าย  โดยรู้จักกันผ่าน Facebook เมื่อผู้เปิดบัญชีให้คนร้ายแล้วได้รับค่าจ้างจึงได้ส่งบัญชีไปให้คนร้าย ได้รับค่าตอบเเทนเป็นเงิน 300 บาท ด้าน พล.ต.ต. ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. กล่าวแจ้งเตือนภัย ขอให้ประชาชนได้โปรดใช้สติในการใช้ชีวิตในสังคม อย่าหลงเชื่อกลโกงต่างๆ ของมิจฉาชีพซึ่งแฝงตัวมา ส่วนเจ้าของบัญชีม้าหรือเบอร์ม้า ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 300,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ทั้งนี้ หากไม่แน่ใจหรือสงสัยว่าบุคคลที่เข้ามาเสนอผลประโยชน์นั้นจะเป็นมิจฉาชีพหรือไม่ ให้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าตรวจสอบ หรือแจ้งเบาะแสการกระทำความผิดมายังเพจ สืบนครบาล IDMB ได้ตลอด 24 ชั่วโมง แม้จะเป็นคดีที่มีความเสียหายไม่มาก แต่หากเป็นคดีที่ประชาชนเดือดร้อน เราทำทันที

สืบนครบาลซ้อนแผนปล้น 36 ชั่วโมง ทลายซุ้มโจรเบอร์ 1 แห่งหนองจอก รวบ 3 เสือแก๊ง “ทางเดินเสือ” พร้อมสมุมร่วมกัน ปล้น-ฆ่า-ค้ายา-ค้าอาวุธ นับไม่ถ้วน ยึดปืน 9 กระบอก

พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รรท. ผบ.ตร.  พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. ให้ปราบปรามกลุ่มเครือข่ายองค์กรอาชญากรรมที่กระทำความผิดสร้างความเดือดร้อนในช่วงเทศกาลสงกรานต์เพื่อป้องกันและปราบปรามไม่ให้เกิดเหตุรุนแรง มีประชาชนร้องขอให้สืบนครบาลช่วยปราบ แก็งทางเดินเสือ” ซุ้มโจรชั่วแห่งหนองจอก เป็นที่หวาดผวาและสุดจะเอือมระอาของประชาชนในพื้นที่ละแวกชาญเมือง ตระเวนก่อเหตุ ปล้น-ฆ่า-ค้ายา-ค้าอาวุธ จนเป็นที่หมายหัวของตำรวจในพื้นที่ แต่เจ้าตัวสามารถหลบหนีการจับกุมแล้วยังมีการฝากจดหมายน้อยมาเยอะเย้ยตำรวจว่า “จับผมไม่ได้หลอก” เรื่องนี้ถึงหูของ พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น.  สั่งการให้ ผู้การจ๋อ พล.ต.ต.ธีรเดช    ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. ปราบแก๊งนี้ให้สิ้นชื่อในทันที แต่งานนี้ไม่ง่ายเพราะมีเพียงเบาะแสเบาบางว่าแก๊งนี้กบดานอยู่ในละแวกหนองจอกเท่านั้น

เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2567 พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. , พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. ได้สั่งการ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. , พ.ต.อ.วรพจน์ รุ่งกระจ่าง รอง ผบก.สส.ฯ, พ.ต.อ.จักราวุธ คล้ายนิล ผกก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สส.บช.น., พ.ต.อ.พัชรดนัย การินทร์ ผกก.(สอบสวน) กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.บช.น. , พ.ต.ท.เอกศิษฐ์   วรกิตติ์ฐากรณ์ รอง ผกก.1 บก .สส.บช.น. , พ.ต.ท.มาโนชย์ ทองแก้ว รอง ผกกฯ , พ.ต.ต.ธัญพีรสิษฐ์ จุลพิภพ สว.กก.3 บก.สส.บช.น., พ.ต.ต.วศิน อินทร์แก้วสว.ฝอ.บก .สส.บช.น. ,  ร.ต.อ.ศิวัช ยังอุ่น รอง สว กก.4 บก .สส.บช.น. , ร.ต.อ.วรภัทร แสงเทียนประไพร รอง สว.ฯ ,  ร.ต.อ.พลวัต นาคถมยา รอง สว กก.1 บก.สส.บช.น. , ร.ต.อ.หญิง ณิชญากาญจน์ เปสลาพันธ์ รอง สว ฝอ บก.สส.บช.น. , ร.ต.ท.เลิศวริศ เลิศวรปรีชา รอง สว.ฯ , ร.ต.ท.ณัฐวุฒิ   อันชูฤทธิ์ รอง สว.ฯ , ร.ต.ท.อนันตชัย สัจจพงษ์  รอง สว.ฯ ร่วมกับเจ้าหน้าที่ สืบนครบาล ร่วมกันสืบสวนติดตามจับกุมตัวแก๊ง “ทางเสือเดิน” จำนวน 6 ราย ดังนี้

1.นายณัฐวุฒิ ไตรกิ่ง หรือไอ้เสือ อายุ 20 ปี อยู่บ้านเลขที่ 51/17 ม.4 แขวงกระทุ่มทราย เขตหนองจอก จ.กรุงเทพฯ ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญามีนบุรีที่ จ.1352/2566 ลงวันที่ 20 ธ.ค. 66 ข้อหา “ร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา , ร่วมกันทำร้ายผู้อื่นโดยเจตนา , ร่วมกันมีอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาติ และร่วมกันลักทรัพย์” ประวัติการก่อคดีมาอย่างโชกโชน พ.ศ.2563 ก่อเหตุ “ร่วมกันครอบครองยาเสพติดให้โทษประเภท 1ฯ” , พ.ศ. 2564 ก่อเหตุ “ร่วมกันครอบครองยาเสพติดให้โทษประเภท 1ฯ” , พ.ศ.2564 ก่อเหตุ “ร่วมกันมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาติ” , พ.ศ.2566 ก่อเหตุ “ร่วมกันพยายามฆ่า , ร่วมกันลักทรัพย์” (ตามหมายจับ) หลบหนีการจับกุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน 
2.นายนว พลมีเดช หรือเสือเก๋า อายุ 19 ปี อยู่บ้านเลขที่ 4/31 ม.5 แขวงกระทุ่มทราย เขตหนองจอก จ.กรุงเทพฯ ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญามีนบุรีที่ จ.341/2567 ลงวันที่ 4 มี.ค. 67 ข้อหา “ร่วมกันปล้นทรัพย์โดยมีหรือใช้อาวุธปืนหรือโดยใช้ยานพาหนะเพื่อการกระทำผิดหรือพาทรัพย์นั้นไปฯ” พบเบาะแสว่าเคยร่วมกับ นายอารักษ์ฯ (กี้) ก่อคดี ปล้น-ฆ่า-ฉ้อโกง-อาวุธปืน มาหลายคดีและหลบหนีการจับกุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
3.นายอารักษ์ ปานโดะ หรือเสือกี้ อายุ 21 ปี อยู่บ้านเลขที่ 32/57 ม.4 แขวงกระทุ่มทราย เขตหนองจอก จ.กรุงเทพฯ ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญามีนบุรีที่ จ.341/2567 ลงวันที่ 4 มี.ค. 67 ข้อหา “ร่วมกันปล้นทรัพย์โดยมีหรือใช้อาวุธปืนหรือโดยใช้ยานพาหนะเพื่อการกระทำผิดหรือพาทรัพย์นั้นไปฯ” พบเบาะแสว่าเคยร่วมกับ นายนวฯ (เก๋า) ก่อคดี ปล้น-ฆ่า-ฉ้อโกง-อาวุธปืน มาหลายคดีและหลบหนีการจับกุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
4.นายบูรพา รักษาชล หรือภู อายุ 20 ปี อยู่บ้านเลขที่ 16 ซ.คุ้มเกล้า 31 แขวงลำปลาทิว เขตลาดกระบัง จ.กรุงเทพฯ
5.น.ส.ปริษา เสาวรส หรือสา อายุ 19 ปี อยู่บ้านเลขที่ 16/3 ม.4 แขวงคู้ฝั่งเหนือ เขตหนองจอก จ.กรุงเทพฯ
6.น.ส.เอ (นามสมมุติ) อายุ 15 ปี อยู่บ้านเลขที่ 65/131 ม.7 แขวงหนองจอก เขตหนองจอก จ.กรุงเทพฯ

โดยทั้ง 6 คน ถูกแจ้งข้อกล่าวหาว่า “ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต”
ตรวจยึดของกลาง ปืนเถื่อนจำนวน 9 กระบอก พร้อมเครื่องกระสุน โดยจับกุมและตรวจค้นที่ บ้านเลขที่ 5/871 ซ.เลียบวารี 11 ถ.เลียบวารี แขวงโคกแฝด เขตหนองจอก จ.กรุงเทพฯ พฤติการณ์กล่าวคือ “ทางเดินเสือ” ซุ้มโจรชั่วอันดับ 1 แห่งหนองจอก เป็นที่หวาดผวาและสุดจะเอือมระอาของประชาชนในพื้นที่ละแวกชาญเมือง บก.น.3 โดยวีรกรรมของโจรชั่วซุ้มนี้เรียกว่านรกส่งมาเกิดโดยแท้จริง ตระเวนก่อเหตุ ปล้น-ฆ่า-ค้ายา-ค้าอาวุธ จนเป็นที่หมายหัวของเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ แต่เจ้าตัวสามารถหลบหนีการจับกุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน แล้วยังมีการฝากจดหมายน้อยมาเยอะเย้ยตำรวจว่า “จับผมไม่ได้หลอก” เรื่องนี้ถึงหูของ พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. สั่งการให้ ผู้การจ๋อ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. ปราบแก๊งนี้ให้สิ้นชื่อในทันที แต่งานนี้ไม่ง่ายเพราะมีเพียงเบาะแสเบาบางว่าแก๊งนี้กบดานอยู่ในละแวกหนองจอกเท่านั้น พล.ต.ต.ธีรเดชฯ ถอดบทเรียนถึงรูปแบบการหลบหนีของแก๊งนี้ ที่แคล้วคลาดได้ทุกคราจนตกผลึกเป็นแผน “ดักหน้า....ไม่วิ่งตาม” ซึ่งจากวงรอบการก่อเหตุ ภูมิศาสตร์ และเบาะแสจากสายข่าวล่าสุดว่าเห็นพลพรรคซุ้มโจรนี้ซุ่มอยู่ละแวก ร้าน 7-11 ย่านถนนเรียบวารี ทำให้เกิดวิเคราะห์ว่า “ต้องมีการปล้นเกิดขึ้นแน่” ส่งชุดสืบสวนพิเศษลงพื้นที่เฝ้าละแวกที่น่าจะมีการปล้นเกิดขึ้นกว่า 36 ชั่วโมงที่ชุดสืบสวนกินนอนและเฝ้าสังเกตุการณ์อยู่บนรถ จนกระทั่งวันที่ 8 เม.ย. 67 เวลาประมาณ 03.30 น. ชุดสืบสวนเห็นรถต้องสงสัยมาจอดซุ่มและมีการปล่อยคนลงไปดูลาดเลาในร้าน 7-11 สัญชาติญาติหมาล่าเนื้อ “มั่นใจ” มันคือคนร้าย สารวัตรแจ๊ะนำกำลังเข้ารวบตัว 2 เสือ ลูกสมุนของหัวหน้าแก๊งไว้ได้ ก่อนจะนำตัวบุกไปเข้าค้นเซฟเฮ้าส์ลับที่ “ไอ้เสือ” หัวหน้าแก๊งกบดานอยู่ โดยเมื่อชุดสืบสวนไปถึง ไอ้เสือไหวตัวทัน กระโดดปีนกำแพงหลังบ้านหนีชุดสืบสวนเข้าไปในป่ากบ แต่เจ้าหน้าที่ไหวตัวทันไล่ล่าไปอย่างกระชั้นชิด สุดท้ายไอ้เสือหนีไม่รอดเพราะได้รับบาดเจ็บจากการกระโดดปีนกำแพงทำให้แขนหัก (เดิมหักอยู่แล้วกำลังรักษา) ถูกจับกุมตัวได้ในที่สุด และจากการตรวจค้นในเซฟเฮ้าส์พบปืนเถื่อน 9 กระบอก โดยชุดสืบสวนสามารถจับกุมตัวคนร้ายในเซฟเฮ้าส์ได้ทั้งสิ้น 6 ราย

หลังการจับกุม พล.ต.ต.ธีรเดชฯ สั่งการขยายผลถึงที่สุด จนชุดสืบสวนพบข้อมูลว่า แก๊งนี้เรียกได้ว่า เป็นพ่อค้าอาวุธปืนรายใหญ่ในย่านหนองจอก พบประวัติการขายอาวุธปืนเถื่อนแล้วกว่า 2,000 กระบอก ด้วยวิธีการสุดระยำ โดยการ “ตบ” หรือ “ยึดปืน” เอามาจากเด็กวัยรุ่นในย่านดังกล่าว เอามาสะสมรวมกันใน คลังแสง ก่อนจะประกาศขายทางช่องทางออนไลน์ โดยจะขายในราคากระบอกละตั้งแต่ 10,000 – 20,000 บาท ซ้ำแล้วความชั่วยังไม่หยุดอยู่แค่นั้น เมื่อลูกค้าที่ตกเป็นเหยื่อได้หลงเข้ามาสั่งซื้อปืนจากแก๊งนี้ ซึ่งได้วางกลอุบายไว้เป็นแบบแผน โดยจะนัดลูกค้าให้มารับของด้วยตนเอง แต่เมื่อลูกค้ามาถึงจุดนัดหมาย ตรวจสอบสินค้าแล้วโอนเงินให้ตามที่ได้ตกลงไว้ แก๊งระยำนี้กลับได้ยกพวกกว่า 10 คน รุมล้อมและใช้อาวุธปืนจี้ ปล้นทั้งเงินและทั้งปืนกลับไป ซึ่งขณะนี้มีผู้ได้รับความเสียหายจากการก่อเหตุในลักษณะดังกล่าว ไม่ต่ำกว่า 20 รายในชั้นจับกุม นายนวฯ และนายอารักษ์ฯ ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา โดยให้การว่า ก่อนเกิดเหตุ นายเสือ หัวหน้าแก๊ง ได้รู้จักและเป็นเพื่อนกับนายเก๋าฯ หัวโจกและนายกี้ฯ มาตั้งแต่สมัยวัยเด็กชั้นประถม ก่อนจะได้แยกย้ายกันไปและโคจรกลับมาพบกันอีกครั้งเมื่อทุกคนอายุได้ประมาณ 17 ปี ซึ่งในขณะนั้น พวกของตนได้เริ่มเกเรและมักจะมีเรื่องกับกลุ่มคู่อริต่างๆ อยู่บ่อยครั้ง ทำให้เริ่มสนใจการเก็บสะสมอาวุธปืนในลักษณะที่เป็นปืนไทยประดิษฐ์ จนเมื่อประมาณต้นปี 2566 นายเก๋าฯ ได้เคยสั่งซื้ออาวุธปืนจากทางออนไลน์ และกำลังจะเดินทางไปรับพัสดุที่ได้สั่งซื้อไว้ แต่ได้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ จับกุมได้พร้อมกับของกลางเป็นอาวุธปืนไทยประดิษฐ์จำนวน 1 กระบอก ทำให้ต้องโทษคดีเป็นครั้งแรก และได้เข้าไปอยู่ในเรือนจำประมาณ 10 วัน ก่อนจะได้ประกันตัวออกมาต่อสู้คดีจนถึงปัจจุบัน หลังจากนายเก๋าฯ ได้ประกันตัวออกมานั้น ได้กลับมารวมกลุ่มกันตั้งแก๊ง “ทางเดินเสือ” โดยมีนายเสือฯ เป็นหัวโจก และได้เริ่มสะสมอาวุธปืนมากขึ้น โดยจะสั่งซื้อจากทางออนไลน์ในราคากระบอกละ 500 – 2,000 บาท และบางครั้งก็จะใช้วิธีการ “ตบ” หรือยึดปืนเอาจากคนอื่นมาเป็นของตน จากนั้นจึงได้เริ่มขายอาวุธปืนทางออนไลน์ ผ่านช่องทางเฟสบุ๊ค และ ไลน์ โดยจะขายในราคาประมาณกระบอกละ 5,000 – 20,000 บาท โดยในช่วงพีกตนเองกับพวกเคยมีรายได้จากการขายปืนมากสุด เดือนละประมาณ 20,000 บาทต่อคน ส่วนอาวุธปืนของกลางที่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจยึดได้วันนี้ เป็นปืนของสะสมของนายเสือฯ นายเก๋า และนายกี้ฯ ส่วนอาวุธปืนที่ได้แพ็คใส่กล่องพัสดุเรียบร้อยแล้วนั้น นายเก๋าฯ กับนายกี้ฯ เตรียมจะไปส่งขายในราคา 5,000 บาท แต่ลูกค้ายังไม่ได้โอนเงินจึงยังไม่ได้นำไปส่ง ก่อนจะได้มาถูกจับกุมในวันนี้

ส่วน นายณัฐวุฒิ หรือ เสือฯ ยังปากแข็ง เลือกตัดขาดโยนความผิดให้เพื่อนรับเต็มๆ ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา เช่นเดียวกันกับ ผู้ถูกจับอีก 3 คน ที่ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหาโดยอ้างว่า ไม่มีส่วนรู้เห็นใดในการค้าขายอาวุธปืนเถื่อนมาก่อน หลังจับกุมตัว ได้นำตัวผู้ต้องหาทั้ง 6 คน ส่งพนักงานสอบสวน สน.หนองจอก เพื่อดำเนินคดีตามกฏหมาย

พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. กล่าวว่า “เราไม่ปักใจเชื่อในคำให้การของคนร้าย เพราะคนร้ายกลุ่มแก๊งนี้ ถือได้ว่าเป็นภัยร้ายที่สร้างความเดือดร้อนให้แก่พี่น้องประชาชนในละแวกดังกล่าว ซึ่งอาวุธปืนเถื่อน ถือเป็นสารตั้งตนที่อาจนำไปสู่หายนะ หรืออาชญากรรมที่รุนแรงได้ จนมีประชาชนเข้ามาร้องเรียนผ่านเพจสืบนครบาล ให้จัดการโดยเร่งด่วน ผมจึงขอประชาสัมพันธ์ไปยังพี่น้องประชาชน ว่าหากพบเห็นการซื้อขายปืนเถื่อนหรืออาวุธในโลกออนไลน์และหากท่านทราบเบาะแสโปรดแจ้งข้อมูลมาที่เพจ “สืบนครบาล IDMB”  เรามีเจ้าหน้าที่พร้อมตลอด 24 ชั่วโมง เพราะแม้ไม่ใช่คดีอุกฉกรรจ์ แต่หากเป็นเรื่องความเดือดร้อนของประชาชน เราทำทันที ตามนโยบายของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รักษาการ ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น.”
 

สตม.รวบหนุ่มแดนโสมส่งยาเสพติดออกนอกประเทศ overstay 11 ปี

กก.4 บก.สส.สตม. จับกุมนายลี (นามสมมติ) อายุ 42 ปี สัญชาติเกาหลีใต้ โดยกล่าวหาว่า เป็นคนต่างด้าว อยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด นำตัวส่ง พนักงานสอบสวน กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.สตม. ดำเนินคดีตามกฎหมาย สถานที่จับกุม โรงแรมย่านสุขุมวิท แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ กก.4 บก.สส.สตม. ได้รับการประสานงานจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายประสานงานตำรวจสากลสาธารณรัฐเกาหลีใต้ ประจำกองการต่างประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าได้รับแจ้งจากสายลับมีชายชาวเกาหลีใต้ ก่อเหตุลักโทรทัศน์ในคอนโดมิเนียมที่ชายชาวเกาหลีใต้นั้นเช่าพักอาศัยแล้วนำไปขาย เมื่อเจ้าของห้องทราบเรื่อง ชายชาวเกาหลีใต้นั้นได้ปีนกำแพงหลบหนี โดยผู้เสียหายได้ไปแจ้งความไว้แล้วที่ สน.พระโขนง จึงได้ทำการสืบสวนพบว่าชายชาวเกาหลีใต้ราย ดังกล่าวคือ นายลี ซึ่งการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรได้สิ้นสุดลงแล้วเป็นเวลา 4,004 วัน และเข้าพักอาศัยอยู่ที่ โรงแรมย่านสุขุมวิท แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ จึงไปตรวจสอบ โดยได้รับแจ้งจากพนักงานของโรงแรมว่ามีชายชาวเกาหลีใต้เข้ามาพักแต่ไม่ได้ใช้ชื่อนายลี เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจึงได้ตรวจสอบกล้องวงจรปิด พบว่าชายชาวเกาหลีใต้คนดังกล่าวคือนายลี จึงเข้าตรวจสอบและจับกุมนายลีดำเนินคดีในข้อหาดังกล่าว จากการตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่า นายลี เป็นผู้ต้องหาตามหมายจับของทางการเกาหลีใต้ในความผิดฐาน "ขนส่งยาเสพติดข้ามชาติ" โดยได้ขนส่งยาเสพติดจำนวน 500 กรัม เข้าสู้ประเทศเกาหลีใต้ ผ่านทางกล่องพัสดุ และยังเป็นภัยความมั่นคงต่อสาธารณรัฐเกาหลีใต้ และเป็นบุคคลที่องค์การตำรวจสากลได้ออกประกาศสีแดง (INTERPOL Red Notice) อีกด้วย
 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top