Wednesday, 14 May 2025
NewsFeed

‘จีน’ ขุดบ่อ ‘พลังงานความร้อนใต้พิภพ’ ลึก 5,200 เมตร ได้สำเร็จ ข้อดี!! ‘พลังงานหมุนเวียนเสถียร-คาร์บอนต่ำ’ เตรียมพัฒนาต่อยอด

(9 เม.ย. 67)  สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ซิโนเปก (Sinopec) บริษัทปิโตรเคมีรายใหญ่ของจีน เปิดเผยการขุดเจาะ ‘ฝูเซินเร่อ 1’ (Fushenre-1) บ่อสำรวจพลังงานความร้อนใต้พิภพที่ลึกที่สุดของประเทศในมณฑลไห่หนาน (ไหหลำ) ทางตอนใต้ ได้เสร็จสิ้น ณ ความลึกใต้ดิน 5,200 เมตร ซึ่งถือเป็นสถิติใหม่ของบ่อสำรวจฯ ในจีน

ทั้งนี้ ความสำเร็จของการขุดเจาะบ่อสำรวจพลังงานความร้อนใต้พิภพข้างต้น แสดงกลไกการก่อตัวของพลังงานความร้อนใต้พิภพทางตอนใต้ของจีน และจะช่วยยกระดับการพัฒนาและใช้ประโยชน์จากทรัพยากรพลังงานความร้อนใต้พิภพในภูมิภาคดังกล่าวอย่างมาก

ด้าน กัวซวี่เซิง หัวหน้านักธรณีวิทยาของซิโนเปก กล่าวว่า พลังงานความร้อนใต้พิภพคือพลังงานหมุนเวียนรูปแบบหนึ่งที่มีเสถียรภาพและปล่อยคาร์บอนต่ำ โดยมีปริมาณสำรองมหาศาลและกระจายตัวเป็นวงกว้าง

ซิโนเปก (Sinopec) มุ่งดำเนินการพัฒนาพลังงานความร้อนใต้พิภพ โดยมีการสร้างกำลังการทำความร้อนจากความร้อนใต้พิภพเกือบ 100 ล้านตารางเมตร และสร้างโครงการทำความร้อนใต้พิภพระดับภูมิภาคหลายแห่ง

‘อุษา เสมคำ’ วัย 78 ปี ขึ้นแท่น!! นางเอก 100 ล้าน หลังรายได้ ‘หลานม่า' แค่ 5 วัน พุ่งแรงไม่หยุด

(9 เม.ย.67) ​’หลานม่า’ ภาพยนตร์แฟมิลี่ดรามา จากค่าย GDH สร้างปรากฏการณ์โรงหนังฉ่ำน้ำตา ด้วยกระแสบอกต่อกระหึ่ม จนทำให้รายได้ทั่วประเทศทะลุ 100 ล้าน ในเวลาเพียง 5 วัน แถมผู้ชมยังยกให้เป็นหนังที่คน 3 เจเนอเรชัน มาดู มาซึ้ง มาสนุก ร่วมกันได้ พร้อมทั้งแจ้งเกิดนางเอกหน้าใหม่วัย 78 ปี อย่าง อุษา เสมคำ ผู้รับบทอาม่า ผู้เรียกน้ำตาจากผู้ชมอย่างท่วมท้น

ทั้งนี้ ​อุษา เสมคำ ได้เปิดเผยว่า “ดีใจมาก ๆ เลยค่ะ ที่หนังหลานม่า ได้เข้าไปอยู่ในใจผู้ชมหลาย ๆ คน วันที่หนังฉาย มีคนเดินเข้ามาหายาย มาชื่นชมหนัง บางคนเดินเข้ามากอด บ้างก็มาขอจับมือ มันทำให้ยายรู้ว่า ผู้ชมที่เป็นลูกหลานเมื่อได้ดูหนังแล้ว เขาก็รู้สึกคิดถึงญาติผู้ใหญ่ ส่วนผู้ชมที่เป็นผู้ใหญ่ดูแล้วก็คิดถึงลูกหลาน มันเป็นหนังที่ทุกคนในครอบครัว ทั้ง 3 เจเนอเรชัน เมื่อมาดูด้วยกันแล้วต่างก็จะได้มองเห็นมุมมองของกันและกัน หนังเรื่องนี้ทำให้ยายรู้ว่า เวลาที่ลูกหลานทำงานจนอาจไม่มีเวลามาหาเรา ถ้าเราคิดถึงเขา เราก็โทรหา ไม่เห็นต้องรอให้เขาโทรมาเลย ความรัก ความผูกพันของครอบครัว บอกกันให้รู้ในวันที่ยังมีชีวิตอยู่ดีที่สุด ยายว่าหนังเรื่องนี้มันมีค่าสำหรับยายมาก ๆ นะคะ ขอบคุณ GDH, พัฒน์ ผู้กำกับ บิวกิ้น, คุณดู๋ สัญญา, คุณเผือก, คุณเจีย ตู ต้นตะวัน นักแสดงและทีมงานทุกคนที่ให้โอกาสยาย คอยช่วยเหลือยาย จนทำให้ยายสวมบทเป็นอาม่า ที่มีคนรักอยู่ในตอนนี้ สำหรับใครที่ยังไม่ได้ไปชม อยากให้ไปชมกันนะคะ ไม่ต้องกลัวว่าจะร้องไห้เพราะความเศร้าเสียใจ ยายว่าน้ำตาที่ไหลออกมา มันอาจเป็นน้ำตาของความสุขที่ได้นึกถึงช่วงเวลาดี ๆ ที่เคยเกิดขึ้นในชีวิตเราก็ได้ค่ะ”

อย่างไรก็ตาม ‘หลานม่า’ กำลังรอทุกคนมาร่วมสร้างความอบอุ่นพร้อมกันในโรงภาพยนตร์

สื่อจีนประมวลภาพ ‘กรมสมเด็จพระเทพฯ’ เสด็จเยือน ‘ม.ปักกิ่ง’ สะท้อนความสัมพันธ์อันดีงามระหว่าง ไทย-จีน ที่มีอย่างยาวนาน

เมื่อวานนี้ (9 เม.ย. 67) รศ.ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจจีน จากคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก ‘Aksornsri Phanishsarn’ กรณี กรมสมเด็จพระเทพฯ เสด็จเยือนมหาวิทยาลัยปักกิ่ง โดยระบุว่า…

“กรมสมเด็จพระเทพฯ เสด็จเยือนมหาวิทยาลัยปักกิ่ง Peking University, April 2024 🇨🇳 #สื่อจีน นำเสนอข้อมูลและประมวลภาพที่น่าประทับใจ 🇹🇭 #เจ้าหญิงของไทยเยือนจีน ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันไว้อย่างไรบ้าง 🥰 คลิกชมได้เลยค่ะ https://mp.weixin.qq.com/s/rshJdP0Wem9pxHWv3CTYjA

นอกจากนี้ยังได้โพสต์ข้อความเพิ่มเติมอีกว่า “โดยปกติ ช่วงต้นเดือน เม.ย. (หลังวันคล้ายวันพระราชสมภพ 2 เม.ย.) พระเทพฯ จะเสด็จเยือนจีนนะคะ (ยกเว้นช่วงโควิด จีนปิดประเทศ) การเสด็จเยือนจีนช่วงต้น เม.ย. พระเทพฯ ก็จะเสด็จเยือน ม.ปักกิ่งด้วย และม.ปักกิ่งจะเตรียม HBD cake ถวายพระเทพฯ แบบนี้มาโดยตลอดด้วยค่ะ 🥰 นี่คือส่วนหนึ่งของความสัมพันธ์ที่ดีงามอย่างยาวนานระหว่างไทย-จีน 🇹🇭🇨🇳นะคะ”

‘อัครเดช’ เปิดไทม์ไลน์ปม ‘กากแคดเมียมอันตราย’ ลั่น!! จนท.รัฐ เอี่ยว ต้องถูก ‘สอบสวน-ดำเนินการ’

“กากแคดเมียมเมื่อผ่านกระบวนการหลอมเพื่อสกัดสิ่งที่อยู่ภายในมีมูลค่าการซื้อขายสูงถึงตันละประมาณ 200,000 บาท จึงเป็นผลประโยชน์ที่ใครก็อยากได้”

เป็นข้อมูลจาก ‘นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์’ ประธานกรรมาธิการอุตสาหกรรม สส.ราชบุรี โฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ที่ชี้ให้เห็นถึงเม็ดเงินมหาศาลจาก ‘กากแคดเมียม-สังกะสี’ ที่เป็นข่าวดังครึกโครมอยู่ขณะนี้ หลังมีการขุดและลักลอบขนย้ายจากจังหวัดตาก กว่า 15,000 ตัน กระจายไปซุกไว้ตามจังหวัดต่าง ๆ ซึ่งข้อมูลการตรวจพบโดยกรมโรงงานอุตสาหกรรม ล่าสุดพบในพื้นที่ 2 จังหวัด คือ สมุทรสาครและชลบุรี

นายอัครเดช เปิดเผยข้อมูลที่น่าสนใจว่า “กมธ.อุตสาหกรรม ได้ติดตามเรื่องดังกล่าวมาตั้งแต่ต้นปี 2567 เพราะได้รับการร้องเรียนมีการนำกากอุตสาหกรรม ที่คาดว่าจะไม่ถูกกฎหมายจำนวนมากเคลื่อนย้ายออกจากจังหวัดตาก ณ ขณะนั้นยังไม่ทราบว่าจะไปยังที่ใด ซึ่งตามรายงานกากแร่นี้ระบุไว้ว่า ‘มีอันตรายห้ามเคลื่อนย้าย’

>> กุมภาพันธ์ 2567
ประธานกรรมาธิการอุตสาหกรรม เล่าต่อไปว่า จากนั้นจึงเริ่มดำเนินการสืบสวนสอบสวนเชิงลึก กระทั่งมีการเชิญผู้ว่าราชการจังหวัดตาก อุตสาหกรรมจังหวัดตาก มาให้ข้อมูลเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ทั้ง 2 หน่วยงาน มอบให้ผู้แทนคือรองผู้ว่าฯ และผู้แทนอุตสาหกรรมจังหวัดมาชี้แจง ระบุว่า พื้นที่เหมืองเก่าใน อ.แม่สอด ส่งคืนพื้นที่ให้กรมป่าไม้ไม่มีการทำเหมือง

>> มีนาคม 2567
จากนั้นต้นเดือนมีนาคม 2567 กมธ.อุตสาหกรรม เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาอีกครั้ง เพราะได้รับข้อมูลว่า มีการย้ายกากแร่จาก อ.แม่สอด มาจาก จ.ตาก ทุกหน่วยงานจึงช่วยตรวจสอบ โดยเฉพาะกรมโรงงานอุตสาหกรรม ที่แจ้งว่า การตรวจสอบสามารถทำได้เพราะมีการลงทะเบียนผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ในใบขนย้าย

ต่อมาวันที่ 27 มีนาคม 2567 กรรมาธิการฯ ได้เชิญทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาประชุมอีกครั้ง ซึ่งอุตสาหกรรมจังหวัดตาก ชี้แจงว่า เป็นผู้เซ็นอนุมัติให้มีการขนย้ายกากแร่ดังกล่าวออกไปที่ จ.สมุทรสาคร

แต่ทางรองอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม ตั้งข้อสังเกตว่า ปลายทางไม่น่าจะรับกากแร่ที่ขนไปได้ แคดเมียมเป็นโลหะหนัก โรงงานปลายทางไม่สามารถหลอมโลหะอันตรายได้ เพราะเป็นโรงหลอมอะลูมิเนียมที่ไม่อันตราย

“ในวันนั้นที่ปรึกษากรรมาธิการอุตสาหกรรม สอบถามกับทางอุตสาหกรรมจังหวัดตาก เรื่องการขนย้ายกากดังกล่าว เพราะในข้อมูลทาง EIA ระบุชัดว่า จะต้องใช้วิธีการฝังกลบตามกระบวนการเท่านั้น แต่ทางอุตสาหกรรมจังหวัดตาก แจ้งว่า ขอกลับไปตรวจสอบก่อน”

>> เมษายน 2567
ประธานกมธ. เล่าอีกว่า และเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2567 จึงเชิญ 8 หน่วยงานมาประชุม และมีความเห็นว่า กากดังกล่าวเป็นอันตราย

โดยในที่ประชุม ผู้แทนกรมโรงงานฯ นำผลการตรวจสอบตัวอย่างกากแร่ที่พบในโรงงานสมุทรสาคร มาชี้แจง ว่า ผลการวิเคราะห์พบกากแคดเมียมมีความเข้มข้นสูงถึง 40% ถือว่าเป็นอันตรายมาก

“ในฐานะ ปธ.กมธ.อุตสาหกรรม จะปล่อยเรื่องนี้เงียบไม่ได้ กรณีนี้ จนท.รัฐ จะต้องถูกสอบสวนหรือดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใด”

ส่วนล่าสุดวันนี้ (9 เม.ย.67) แฟนเพจเฟซบุ๊ก ‘ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB)’ ได้เปิดเผยภาพและข้อมูล การเข้าตรวจค้นโรงงานแห่งที่ 4 ย่านคลองมะเดื่อ สมุทรสาคร พร้อมระบุว่า เจอแคดเมียมอีกเกือบ 1,000 ตัน

โดยด้านพล.ต.ต วัชรินทร์ พูสิทธ์ ผู้บังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ผบก.ปทส.) กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ สามารถตรวจพบกากแคดเมียมได้อีก 1,000 ตันที่โกดังแห่งหนึ่งใน อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร พร้อมทั้งเรียกประชุมคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน เพื่อวางแนวทางการทำงานร่วมกับกรมโรงงาน ในการตรวจสอบว่าโรงงานดังกล่าวได้รับอนุญาตให้ครอบครองวัตถุอันตรายหรือไม่ เพื่อแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติม รวมทั้งความผิดอื่น ๆ เช่น พ.ร.บ.สาธารณสุข พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร และพ.ร.บ.คนเข้าเมืองเพิ่มเติมต่อไป

นราธิวาส-ผู้ว่าฯ นราธิวาส เปิดศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ ประจำปี 2567 ภายใต้ชื่อรณรงค์ว่า “ขับขี่ปลอดภัย เมืองไทยไร้อุบัติเหตุ ”

วันที่ (9 เม.ย.66) เวลา 16.00 น.  ที่ บริเวณด่านตรวจหน้าปั๊ม ปตท.ปลักปลา ต.ลำภู อ.เมืองนราธิวาส ว่าที่ร้อยตรี ตระกูล โทธรรม ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส  เป็นประธานเปิดศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ ประจำปี 2567 ภายใต้ชื่อรณรงค์ว่า “ขับขี่ปลอดภัย เมืองไทยไร้อุบัติเหตุ” โดยมี นายสิทธิชัย สวัสดิ์แสน นายวีรพัฒน์ บุณฑริก รองผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส นายวสันต์  ไชยทวีวงศ์   หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดนราธิวาส  ในฐานะเลขานุการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนจังหวัดนราธิวาส หัวหน้าส่วนราชการ และภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมกิจกรรมว่าที่ร้อยตรี ตระกูล โทธรรม ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส  กล่าวว่า การสร้างความปลอดภัยทางถนน ถือเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาลมุ้งเน้นการป้องกัน และลดความสูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนน โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสำคัญๆ ทั้งเทศกาลปีใหม่ และเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งมีวันหยุดยาวต่อเนื่องกันหลายวัน เป็นช่วงที่พี่น้องประชาชนเดินทางกลับภูมิลำเนา และท่องเที่ยว เส้นทางต่างๆ จะคับคั่งไปด้วยยานพาหนะ มีโอกาสในการเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย ซึ่งการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนเป็นหน้าที่ของทุกภาคส่วน เพราะปัจจัย ความเสี่ยงเกี่ยวข้องกับทุกคน ทั้งด้านคน ด้านรถ ด้านถนน และสิ่งแวดล้อม ขอให้ทุกท่านทุ่มเทปฏิบัติหน้าที่อย่างเข้มแข็ง เพื่อให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวมีความปลอดภัยในการสัญจร สิ่งสำคัญต้องร่วมกันสร้างจิตสำนึกด้านความปลอดภัยทางถนนทุกพื้นที่ ครอบคลุมทั้งจังหวัดนราธิวาส เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุให้น้อยที่สุด

สำหรับศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนจังหวัดนราธิวาส ได้กำหนดช่วงดำเนินการควบคุมเข้มข้น 7 วัน ระหว่างวันที่ 11-17 เมษายน 2567 ได้มีเป้าหมายการดำเนินการเพื่อให้ประชาชนเดินทางอย่างสุขใจกับชีวิตวิถีใหม่ที่ห่างไกลจากอุบัติเหตุ ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ.2567 มีตัวชี้วัดการดำเนินงาน คือ อุบัติเหตุไม่เกิน 28 ครั้ง จำนวนผู้บาดเจ็บ admit  ไม่เกิด 27 คน และผู้เสียชีวิตไม่เกิน 3 ราย โดยบูรณาการแผนและความร่วมมือกับหน่วยงานภาคีเครือข่าย ดำเนินการ 5 มาตรการหลัก ได้แก่ 1. มาตรการด้านการบริหารจัดการ 2. มาตรการด้านลดปัจจัยเสี่ยงด้านถนนและสภาพแวดล้อม 3. มาตรการด้านลดปัจจัยเสี่ยงด้านยานพาหนะ 4. มาตรการด้านผู้ใช้รถใช้ถนนอย่างปลอดภัย และ 5. มาตรการด้านการช่วยเหลือหลังการเกิดอุบัติเหตุ 

ทั้งนี้จังหวัดนราธิวาส ได้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ ประจำปี 2567 ที่ สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดนราธิวาส ภายใต้การกำกับควบคุมดูแลของผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนจังหวัด และมีการจัดประชุมทุกวัน พร้อมติตตามรับทราบข้อสั่งการจากที่ประชุมส่วนกลาง ผ่านระบบวีดิทัศน์ทางไกล ขณะที่ทุกอำเภอและการตั้งจุดตรวจ จุดบริการประชาชนในเส้นทางสายหลัก และด่านชุมชนในเส้นทางรองของจังหวัดนราธิวาสด้วย

ข่าว.แวดาโอ๊ะ หะไร / อัสมา บินมะนุ จ.นราธิวาส

เผยตัวเลขพีคไฟฟ้ารอบ 7 ปี 2567 ช่วงวันหยุดยาว ยอดใช้พุ่งถึง 34,656 เมกะวัตต์ เฉียดทำลายสถิติ

ยอดใช้ไฟฟ้าพุ่งสูงช่วงวันหยุดยาวที่ผ่านมา เกิดพีคไฟฟ้าของปี 2567 รอบที่ 7 ถึง 34,656 เมกะวัตต์ 
ช่วงกลางคืนวันที่ 6 เม.ย. 2567 ในระบบของ 3 การไฟฟ้า เหตุอากาศร้อนสะสม เฉียดทำลายสถิติพีคไฟฟ้าประเทศปี 2566 พลังงานระบุ ได้โซลาร์เซลล์ช่วยตัดพีคไฟฟ้ากลางวัน ส่งผลให้เกิดการเกลี่ยไฟฟ้าไปใช้กลางคืนตามระบบอัตราค่าไฟฟ้า TOU ชี้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ใช้โรงไฟฟ้าให้เต็มประสิทธิภาพ อยู่ในเกณฑ์ที่ดีไม่จำเป็นต้องปรับโครงสร้าง TOU ใหม่

เมื่อวานนี้ (9 เม.ย. 67) ผู้สื่อข่าวศูนย์ข่าวพลังงาน (Energy News Center - ENC) รายงานว่า จากสถิติการใช้ไฟฟ้าของไทยแบบเรียลไทม์ในระบบของสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ. ) พบว่าในช่วงวันหยุดยาว 3 วันที่ผ่านมา (วันที่ 6-8 เม.ย. 2567) สภาพอากาศร้อนสะสมต่อเนื่องทั่วประเทศ ส่งผลให้ยอดการใช้ไฟฟ้าในช่วง 3 วันดังกล่าวพุ่งเกิน 34,000 เมกะวัตต์โดยตลอด แต่ช่วงที่เกิดสถิติการใช้ไฟฟ้าสูงสุด (พีค) ของปี 2567 นี้ ไปเกิดในวันที่ 6 เม.ย. 2567 มียอดใช้ไฟฟ้ารวม 34,656 เมกะวัตต์ ช่วงกลางคืนเวลา 20.54 น. ซึ่งพีคไฟฟ้าของปี 2567 นี้ นับว่าเข้าใกล้ยอดพีคไฟฟ้าของประเทศที่เคยสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เมื่อปี 2566 ที่ 34,827 เมกะวัตต์

ทั้งนี้แสดงให้เห็นว่าหากสภาพอากาศยังคงร้อนสะสมต่อเนื่องไปอีก พีคไฟฟ้าของปี 2567 อาจทำลายสถิติของพีคไฟฟ้าประเทศที่เกิดปี 2566 ได้ ตามที่สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) คาดการณ์ว่าพีคไฟฟ้าปี 2567 จะพุ่งสูงสุดเกิน 35,000 เมกะวัตต์ได้ อย่างไรก็ตามกรมอุตุนิยมวิทยาได้คาดการณ์ว่าในวันที่ 9-11 เม.ย. 2567 นี้จะเกิดพายุฤดูร้อนขึ้นหลายพื้นที่ในประเทศไทย ซึ่งอาจเป็นปัจจัยให้ยอดการใช้ไฟฟ้าปรับลดลง

สำหรับระบบสถิติการใช้ไฟฟ้าแบบเรียลไทม์ของ สำนักงาน กกพ. เป็นการรวบรวมยอดการใช้ไฟฟ้าของ 3 การไฟฟ้า (การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย หรือ กฟผ., การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค หรือ PEA และการไฟฟ้านครหลวง หรือ กฟน.) ซึ่งเกิดขึ้นในแต่ละวัน ขณะที่สถิติการใช้ไฟฟ้าแบบเรียลไทม์ในระบบของ กฟผ. จะเป็นยอดการใช้ไฟฟ้าในแต่ละวันของ กฟผ. เท่านั้น

ทั้งนี้พีคไฟฟ้าปี 2567 ได้เกิดขึ้นต่อเนื่องกันมา 7 รอบแล้ว โดยเกิดขึ้นในเดือน เม.ย. 2567 มากที่สุดดังนี้…

ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 22 ก.พ. 2567 เวลา 19.24 น. ยอดพีคไฟฟ้าอยู่ที่ 30,989.3 เมกะวัตต์
ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 7 มี.ค. 2567 เวลา 19.47 น. ยอดพีคไฟฟ้าอยู่ที่ 32,704 เมกะวัตต์
ครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 1 เม.ย. 2567 เวลา 21.00 น. ยอดพีคไฟฟ้าอยู่ที่ 33,340 เมกะวัตต์
ครั้งที่ 4 เมื่อวันที่ 2 เม.ย. 2567 เวลา 20.51 น. ยอดพีคไฟฟ้าอยู่ที่ 33,827.1 เมกะวัตต์
ครั้งที่ 5 เมื่อวันที่ 4 เม.ย. 2567 เวลา 21.00 น. ยอดพีคไฟฟ้าอยู่ที่ 34,196.5 เมกะวัตต์
ครั้งที่ 6 เมื่อวันที่ 5 เม.ย. 2567 เวลา 22.22 น. ยอดพีคไฟฟ้าอยู่ที่ 34,277.4 เมกะวัตต์
ครั้งที่ 7 เมื่อวันที่ 6 เม.ย. 2567 เวลา 20.54 น. ยอดพีคไฟฟ้าอยู่ที่ 34,656.4 เมกะวัตต์

ขณะที่เมื่อย้อนดูสถิติยอดใช้ไฟฟ้าในแต่ละเดือนของไทย นับตั้งแต่ ม.ค.- เม.ย. 2567 มีแนวโน้มปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง เช่นกัน ดังนี้…

>> เดือน ม.ค. 2567 มียอดพีคไฟฟ้าเกิดขึ้นในวันที่ 11 ม.ค. 2567 เวลา 18.52 น. ยอดใช้ไฟฟ้าอยู่ที่ 29,051.3 เมกะวัตต์
>> เดือน ก.พ. 2567 มียอดพีคไฟฟ้าเกิดขึ้นในวันที่ 22 ก.พ. 2567 เวลา 19.29 น. ยอดใช้ไฟฟ้าอยู่ที่ 30,989.3 เมกะวัตต์
>> เดือน มี.ค. 2567 มียอดพีคไฟฟ้าเกิดขึ้นในวันที่ 7 มี.ค. 2567 เวลา 19.47 น. ยอดใช้ไฟฟ้าอยู่ที่ 32,704 เมกะวัตต์
>> เดือน เม.ย. 2567 มียอดพีคไฟฟ้าเกิดขึ้นในวันที่ 6 เม.ย. 2567 เวลา 21.54 น. ยอดพีคไฟฟ้าอยู่ที่ 34,656.4 เมกะวัตต์

แหล่งข่าวกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า กรณีที่บางหน่วยงานแสดงความเห็นว่าควรปรับโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าแบบ TOU ใหม่ (Time of use tariff) หรือ ‘อัตราค่าไฟฟ้าที่คิดตามช่วงเวลาการใช้งาน’ เนื่องจากพีคไฟฟ้าส่วนใหญ่จะเกิดในช่วงกลางคืน และภาคอุตสาหกรรม รวมถึงผู้ใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) จะหันมาใช้ไฟฟ้าในช่วงกลางคืนด้วย จึงทำให้ยอดการใช้ไฟฟ้าเกิดพีคกลางคืนเป็นส่วนใหญ่นั้น ที่ผ่านมาทั้งคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) และ กฟผ. เคยหารือร่วมกันและได้ข้อสรุปว่า ไม่ควรปรับเปลี่ยน TOU

เนื่องจากการตรวจสอบประสิทธิภาพการใช้ไฟฟ้าโดยภาพรวม ถือว่าสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานดีอยู่แล้ว ซึ่งหากปรับเปลี่ยนอัตราค่า TOU หรือ เปลี่ยนช่วงเวลาให้พีคไฟฟ้าไปเกิดในตอนกลางวัน ก็จะทำให้เกิดความปั่นป่วนกับผู้ใช้ไฟฟ้าทั้งระบบ เช่น ปรับพีคไฟฟ้าไปเกิดช่วงกลางวันแทน โรงงานอุตสาหกรรมก็จะต้องเปลี่ยนช่วงเวลาการผลิตสินค้าไปช่วงกลางวันเช่นกันและแรงงานก็ต้องเปลี่ยนเวลาทำงานกันใหม่หมดด้วย

ที่ผ่านมามีการกำหนดค่า TOU เนื่องจากต้องการเกลี่ยการใช้ไฟฟ้าให้ได้ทั้งวัน ไม่เช่นนั้นจะเกิดพีคไฟฟ้ากลางวันตลอด และทำให้ต้องสร้างโรงไฟฟ้ามาเพื่อรองรับพีคในช่วง 2-3 เดือนเท่านั้น ซึ่งไม่คุ้มค่าและจากนั้นโรงไฟฟ้าที่สร้างมาจะใช้งานไม่เต็มประสิทธิภาพ เพราะยอดการใช้ไฟฟ้าจะลดลงตามฤดูกาล ดังนั้นจึงกำหนด TOU เพื่อให้ประชาชนหันไปใช้ไฟฟ้าในช่วงกลางคืนบ้าง ซึ่งเป็นไปตามวัตถุประสงค์และโรงไฟฟ้าก็ได้ผลิตไฟฟ้าเต็มประสิทธิภาพ และอยู่ในเกณฑ์ประสิทธิภาพที่สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานด้วย

ดังนั้นการเกิดพีคไฟฟ้าช่วงกลางคืนนี้ ในความเป็นจริงถ้าไม่มีการผลิตไฟฟ้าโซลาร์เซลล์จากแสงอาทิตย์ที่มีมากกว่า 3,000 เมกะวัตต์ จะส่งผลให้เกิดพีคไฟฟ้าช่วงกลางวันอยู่ดี ดังนั้นขณะนี้เป็นการแสดงให้เห็นว่าการใช้ไฟฟ้าโดยรวมของไทยเพิ่มขึ้น การที่ไม่เกิดพีคไฟฟ้ากลางวันเพราะมีโซลาร์เซลล์มาช่วยตัดพีคกลางวัน จึงเห็นการเกิดพีคช่วงกลางคืนแทนนั้นเอง

สำหรับ TOU จะแบ่งช่วงเวลาและอัตราคิดค่าไฟฟ้าดังนี้…

1. แรงดันไฟฟ้า 12-24 กิโลโวลต์ ช่วง On Peak (09.00 - 22.00 น. วันจันทร์-วันศุกร์) อัตราค่าไฟฟ้าอยู่ที่ 5.1135 บาทต่อหน่วย ช่วง Off Peak (22.00 - 09.00 น. วันจันทร์ - วันศุกร์ และ 00.00 - 24.00 น. วันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุด) อัตราค่าไฟฟ้าอยู่ที่ 2.6037 บาทต่อหน่วย แต่ค่าบริการจะสูงถึง 312.24 บาทต่อเดือน

2. แรงดันไฟฟ้าต่ำกว่า 12 กิโลโวลต์ ช่วง On Peak (09.00 - 22.00 น. วันจันทร์-วันศุกร์) อัตราค่าไฟฟ้าอยู่ที่ 5.7982 บาทต่อหน่วย ช่วง Off Peak (22.00 - 09.00 น. วันจันทร์ - วันศุกร์ และ 00.00 - 24.00 น. วันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุด) อัตราค่าไฟฟ้าอยู่ที่ 2.6369 บาทต่อหน่วย แต่ค่าบริการจะต่ำกว่าอยู่ที่ 24.62 บาทต่อเดือน

‘โจ มณฑานี’ ชี้ สัญญาณแห่งคุณค่าแบบไทยๆ กำลังกลับมา หลัง ‘หลานม่า’ ทะลุ 100 ล้านบาทใน 5 วัน

(10 เม.ย.67) จากเฟซบุ๊ก 'Jo Montanee' โดยคุณโจ มณฑานี ตันติสุข ดีเจ พิธีกร นักวิจารณ์ นักเขียนและวิทยากรชื่อดัง ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับหนังเรื่อง 'หลานม่า' ที่กำลังนำพาคุณค่าดี ๆ กลับคืนสู่สังคมไทย ระบุว่า...

"อาม่า 5 วัน 100 ล้าน คือสัญญาณที่พี่โจบอกเสมอว่าคุณค่าแบบไทยจะค่อย ๆ กลับมา ขอแค่เราจงอดทน ศรัทธา และไม่ถอดใจ"

ทั้งนี้ หลังโพสต์ดังกล่าว ก็มีชาวเน็ตหลายท่านที่เห็นด้วยได้เข้ามาตอบคอมเมนต์มากมาย อาทิ...

"ศรัทธาและคุณค่าแบบไทย ไม่เคยจางหายไปจากใจเลยค่ะ ยังคงยึดถือและเคารพในตัวตนของเราเองเสมอมา 'ความเป็นไทย' ไม่เคยจางหายไปจากใจ จริง ๆ"

"ชื่นใจ…หอมกลิ่น กตัญญู"

"พอหนังออกโรงแล้ว กระทรวงศึกษาฯ ควรติดต่อขอฉายในสถานที่ศึกษาก็ดี"

"ความดีแบบไทย ๆ ต้องกลับมา เด็กรุ่นบางคน ก็บ้า ๆ บอ ๆ ตามเพื่อนไปเท่านั้น"

ฯลฯ

'นักวิจัยจีน' พัฒนาเส้นใย 'เปล่งแสง-ผลิตกระแสไฟ' โดยไม่ต้องชาร์จ พร้อมศึกษาเพิ่มเติม 'เก็บรวบรวมพลังงานจากอวกาศ'

เมื่อวานนี้ (8 เม.ย. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า การศึกษาที่เผยแพร่ในวารสารไซแอนซ์ (Science) เมื่อไม่นานนี้ ระบุว่าทีมวิจัยของจีนพัฒนาเส้นใยอัจฉริยะชนิดใหม่ที่สามารถปล่อยแสงและผลิตกระแสไฟฟ้าได้โดยไม่ต้องเสียบปลั๊ก ซึ่งคาดว่าเส้นใยนี้จะเปลี่ยนวิธีการตอบสนองระหว่างสิ่งแวดล้อมและผู้คน และมีความสำคัญต่อการประยุกต์ใช้สิ่งทออัจฉริยะ

เส้นใยดังกล่าวได้ผสานฟังก์ชันต่าง ๆ อาทิ การกักเก็บพลังงานไร้สาย การรับและส่งผ่านข้อมูล และสามารถถูกนำไปทำเป็นสิ่งทอที่บรรลุฟังก์ชันการโต้ตอบระหว่างมนุษย์กับคอมพิวเตอร์ อาทิ จอแสดงผลเรืองแสง และระบบควบคุมแบบสัมผัสโดยไม่ต้องใช้ชิปและแบตเตอรี่

อุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะกลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตประจำวันและมีบทบาทสำคัญในการติดตามสุขภาพ การแพทย์ทางไกล ปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับคอมพิวเตอร์ ตลอดจนสาขาอื่น ๆ

สิ่งทออิเล็กทรอนิกส์ที่ทำจากเส้นใยอัจฉริยะทั่วไปสามารถระบายอากาศได้ดีกว่าและอ่อนนุ่มมากกว่า เมื่อเทียบกับส่วนประกอบเซมิคอนดักเตอร์แข็งทื่อแบบดั้งเดิม ทว่าการพัฒนาเส้นใยอัจฉริยะในปัจจุบันต้องอาศัยการผสมผสานหลายโมดูลที่ซับซ้อน ซึ่งอาจไปเพิ่มปริมาณ น้ำหนัก และความแข็งไม่ยืดหยุ่นของสิ่งทอ

ทีมวิจัยจากคณะวัสดุศาสตร์และวัสดุวิศวกรรมของมหาวิทยาลัยตงหัว ค้นพบโดยบังเอิญว่าเส้นใยสามารถกระจายแสงภายใต้คลื่นสัญญาณวิทยุระหว่างการทดลอง จึงนำข้อมูลนี้ไปต่อยอดและพัฒนาเส้นใยอัจฉริยะรูปแบบใหม่ที่ใช้พลังงานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นแรงขับเคลื่อนไร้สาย

ด้าน หยางเว่ยเฟิง สมาชิกทีมวิจัย ระบุว่า เส้นใยชนิดใหม่นี้มีความโดดเด่นจากวัตถุดิบที่ต้นทุนคุ้มค่า และเทคโนโลยีการประมวลผลที่สมบูรณ์ โดยสามารถบรรลุการแสดงผลของเส้นใย การส่งคำสั่งแบบไร้สาย และฟังก์ชันอื่น ๆ โดยไม่ต้องใช้งานชิปหรือแบตเตอรี่

ด้าน โหวเฉิงอี้ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยตงหัว ระบุว่า เสื้อผ้าที่ทำจากเส้นใยชนิดใหม่นี้จะสามารถโต้ตอบและเปล่งแสงได้ ทั้งยังสามารถควบคุมผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์จากระยะไกลแบบไร้สาย ผ่านการสร้างสัญญาณเฉพาะเจาะจงจากท่าทางที่แตกต่างกันของผู้ใช้

ทีมวิจัยจะดำเนินการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีที่ทำให้เส้นใยชนิดใหม่สามารถเก็บรวบรวมพลังงานจากอวกาศได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อพัฒนาฟังก์ชันต่าง ๆ ที่หลากหลาย อาทิ การแสดงผล การเปลี่ยนรูปร่าง และการประมวลผล

ท่านอ้น วัชเรศร มอบแขนขาเทียมอุปกรณ์การแพทย์ รพ.พระจอมเกล้าฯ เลี้ยงอาหารกลางวันเด็กตาบอด มอบทุนการศึกษาและเกียรติบัตรให้แก่ครูนักเรียน

เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2567 “ท่านอ้น” ท่านชายวัชเรศร วิรัชรวงศ์  พระโอรสใน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เดินทางมาที่โรงพยาบาลพระจอมเกล้าฯ จ.เพชรบุรี เพื่อกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์สาธารณกุศลด้านงานส่งเสริมงานด้านสาธารณสุขใน จ.เพชรบุรี  โดยมี ประธานมูลนิธิโรงพยาบาลพระจอมเกล้าจังหวัดเพชรบุรีในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเพชรบุรี ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระจอมเกล้าคณะแพทย์ พยาบาล ประชาชนจำนวนมากให้การต้อนรับ 
ท่านชายวัชเรศร ถวายเครื่องราชสักการะและถวายมาลัยสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่4 เยี่ยมชมสำนักงานมูลนิธิโรงพยาบาลพระจอมเกล้าฯ  ทำพิธีเปิดกรวยดอกไม้ถวายราชสักการะเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี

เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพ 2 เมษายน 67  มอบครุภัณฑ์ทางการแพทย์ อาทิ แขนเทียม เท้าเทียม ให้แก่ผู้ป่วย ผู้พิการจำนวน4ราย เก้าอี้รถเข็นคนพิการ10ราย มอบผ้าห่ม72ผืนให้กับผู้ป่วยและญาติๆ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล  ก่อนให้โอวาทให้กำลังใจการทำงานของคณะแพทย์พยาบาล   ภายหลังเสร็จพิธีท่านชายวัชเรศร ได้ลงพื้นที่เยี่ยมชมการดำเนินงานรักษาพยาบาลแบบสุขภาวัฒน์ ณ ห้องตรวจรักษาบริการผู้ป่วยนอก Smart OPD พระราชทาน จากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ตลอดจนเยี่ยมให้กำลังใจบุคลากรทางการแพทย์ ผู้ป่วยและญาติผู้ป่วย   ก่อนออกเดินทางต่อไปยังโรงเรียนธรรมิกวิทยาสอนคนตาบอด ในพระบรมราชูปถัมภ์ จังหวัดเพชรบุรี เป็นประธานมอบทุนอาหารกลางวันให้แก่โรงเรียน โดยมีนายแสวง เอี่ยมองค์ ผู้รับใบอนุญาตและผู้จัดการโรงเรียนธรรมิกวิทยาและคณะครูร่วมให้การต้อนรับ  ในการนี้ท่านชายวัชเรศรได้ร่วมรับฟังการแสดงดนตรีของนักเรียนตาบอด และนำอาหารกลางวันมอบให้แก่นักเรียนผู้พิการตาบอดด้วยตนเอง พร้อมให้โอวาทแก่นักเรียนพร้อมกันนี้ ได้เดินทางมาที่โรงเรียนวัดดอนไก่เตี้ย มอบทุนการศึกษาและเกียรติบัตรให้แก่คณะครูและนักเรียนของโรงเรียนวัดดอนไก่เตี้ย ที่มีผลงานเป็นเลิศด้านวิชาการดีเด่น ได้รางวัลชนะเลิศ การแข่งขันคณิตศาสตร์วิทยาศาสตร์และภาษาอังกฤษ ระดับชาติและนานาชาติ จำนวน 72 คน ในโอกาสครบรอบ 100 ปีของโรงเรียนฯ  

จากนั้นท่านชายวัชเรศร รับมอบทุนสมทบเข้ากองทุนการศึกษา Thai Heritage Scholarahip Fund of New York สำหรับนักเรียนไทยในมหานครนิวยอร์ค เพื่อสนับสนุนให้เด็กนักเรียนไทยที่เกิดหรือศึกษาในต่างแดนได้ระลึกถึงประเทศบ้านเกิดของตัวเองและทำคุณประโยชน์ให้กับประเทศก่อนเยี่ยมชมบูธนิทรรศการผลงาน ทางวิชาการของโรงเรียนวัดดอนไก่เตี้ย  ชิมขนมหม้อแกงเมือง และชิมขนมหวานขนมโบราณ อื่นๆ อาทิ ทองหยิบ ทองหยอดฝอยทอง ขนมชั้นฯลฯ

บรรณรต เจริญกิจสัมพันธ์ จ.เพชรบุรี

‘เพจดัง’ เปิดคลิปท้องฟ้า ‘เชียงใหม่’ ฝุ่นหนาปกคลุมทั่วพื้นที่ จนแทบมองไม่เห็น

(10 เม.ย.67) เพจเฟซบุ๊ก ‘อยากดังเดี๋ยวจัดให้รีเทิรน์ part 7’ ได้โพสต์คลิปเครื่องบินโดยสารขณะกำลังบินอยู่บนเหนือน่านฟ้าประเทศไทย จังหวัดเชียงใหม่ แต่ผู้โดยสารถ่ายคลิปนอกหน้าต่างที่มองไม่เห็นอะไรเลย เพราะท้องฟ้าปกคลุมไปด้วยฝุ่นควันพิษ PM2.5

โดยเพจ ‘อยากดังเดี๋ยวจัดให้รีเทิรน์ part 7’ ระบุข้อความว่า "PM 2.5 เชียงใหม่อากาศดี๊ดี...ถถถ Drama-addict Take off จากเชียงใหม่เหมือนหนีตายจาก PM2.5 ไม่ต้องประกาศเขตภัยพิบัติบางอำเภอค่ะ เรียกว่าค่าฝุ่นเชียงใหม่แย่มากทั้งจังหวัด หายใจลำบากมาก เลือดกำเดาออก มีผงขี้เถ้าลอยในอากาศฟุ้งไปหมด กินข้าวแทบไม่ได้ มันกล้ำกลืนไปหมดไม่สนับสนุนข่าวเท็จ อากาศดี ดีที่ไหนกันนนน ช่วยกันแชร์หน่อยค่ะ เพื่อชาวให้ชาวเชียงใหม่มีอากาศที่ดีขึ้น มาตรการควรเคร่งครัดมากกว่านี้ บรรเทาให้ถูกจุด ลด ละ เลิกแก้ปัญหาระยะสั้น แต่ผู้คนไม่สามารถมีชีวิตที่ยืนยาวได้"


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top