Friday, 27 June 2025
NewsFeed

‘รมว.พีระพันธุ์’ เป็นประธานหล่อองค์พระมหาโพธิสัตว์กวนอิมพันมือ พร้อมเปิดมูลนิธิฯ ให้ความช่วยเหลือ ปชช.ที่ประสบภัยใน จ.ราชบุรี

เมื่อวันที่ 2 ธ.ค. 66 ที่พุทธสถานเต๋อฮว่า อำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เดินทางมาเป็นประธานในพิธีหล่อองค์พระมหาโพธิสัตว์กวนอิมพันกร พร้อมทั้งเปิดมูลนิธิวงษ์พิทักษ์ร่วมประชาชนสงเคราะห์ เพื่อให้การช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัย และประสบอุบัติเหตุ โดยมี นายอัครเดชร วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี และโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ ให้การต้อนรับ

ทั้งนี้ ในพิธีดังกล่าว นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ สส.บัญชีรายชื่อ เลขาธิการพรรค นำทีม สส.พรรครวมไทยสร้างชาติ อาทิ นายเกชา ศักดิ์สมบูรณ์ รองหัวหน้าพรรค, น.ส.กุลวดี นพอมรบดี สส.ราชบุรี, พ.ท.สินธพ แก้วพิจิตร สส.นครปฐม พร้อมข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ใน จ.ราชบุรี นำโดยนายเกียรติศักดิ์ ตรงศิริ ผวจ.ราชบุรี พ่อค้า ประชาชนชาว จ.ราชบุรีร่วมงานจำนวนมาก

นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า ต้องขอบคุณชาว จ.ราชบุรี ที่ได้เลือกนายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ เป็น สส.ราชบุรี ของพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้เข้ามาเป็นตัวแทนรับใช้ประชาชนในพื้นที่ นายอัครเดชถือว่าเป็นกำลังสำคัญของตนและพรรครวมไทยสร้างชาติ เป็นผู้มีความรู้ความสามารถ และมีความตั้งใจที่จะทำงานเพื่อพี่น้องชาวราชบุรีอย่างจริงจังตลอดมา 

สำหรับ พรรครวมไทยสร้างชาติมุ่งมั่นที่เข้ามาทำงาน โดยนโยบายหนึ่งที่ตนตั้งใจจะทำก็คือ การแก้ปัญหาราคาพลังงานให้กับประชาชนเพราะปัญหาพลังงานเกี่ยวข้องกับการดำรงชีวิตของประชาชน ตนมุ่งมั่นตั้งใจว่าถ้าได้มาเป็นรัฐบาลจะพยายามปรับปรุงแก้ไขอย่างเต็มที่ เมื่อพรรครวมไทยสร้างชาติได้เป็นรัฐบาล และมีโอกาสมาทำงานตรงนี้จะทำตามที่ได้พูดไว้ ตั้งใจจะแก้ปัญหานี้ให้ยั่งยืน โดยเฉพาะการปรับโครงสร้างราคาพลังงานที่ไม่มีใครเคยทำได้มา 40 ปีจนเกิดปัญหากับประชาชน ตนและพรรครวมไทยสร้างชาติจะเข้ามาทำให้ได้ ทำให้ดี และยั่งยืนเพื่อลดภาระด้านพลังงานให้กับประชาชนได้มีชีวิตที่ดีขึ้น

อย่างไรก็ตาม ภายหลังเสร็จพิธี นายพีระพันธุ์พร้อมคณะได้มอบเครื่องอุปโภค-บริโภคให้กับประชาชนผู้ยากไร้ เพื่อช่วยเหลือในการดำรงชีวิต

ด้านนายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี โฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวว่า เนื่องจาก อ.จอมบึง จ.ราชบุรี เป็นพื้นที่หนึ่งที่มีชาวไทยเชื้อสายจีนมาตั้งรกรากอาศัย และทำมาหากินมาเป็นระยะเวลายาวนานแล้ว จะเห็นได้ว่าในพื้นที่มีสถาปัตยกรรมจีนต่าง ๆ ปรากฎให้เห็นมากมาย  ดังนั้นนายวุฒิพงศ์ และคุณแม่สมจิตต์ วงษ์พิทักษ์โรจน์ บิดาและมารดาของตน ซึ่งเป็นคนไทยเชื้อสายจีน จึงได้มีดำริในการก่อตั้งศาลาแปดเหลี่ยมในรูปแบบสถาปัตยกรรมจีน เพื่อประดิษฐานพระโพธิสัตว์กวนอิมปางพันกร และศาลทีกง หรือ ‘ศาลเทียนสี่ฟูมู่’ หรือ ‘ศาลเทวดา ฟ้าดิน’ รวมทั้งยังได้ก่อตั้งศาลหลวงปู่ไต่ฮงกง ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปะแบบหลวงพ่อพระใส พร้อมองค์ไฉ่ซิงเอี๊ย หรือ ‘เทพเจ้าแห่งโชคลาภ’ ให้พุทธศาสนิกชนโดยทั่วไปได้มากราบสักการะบูชา 

“นอกจากนี้ ยังเป็นการเริ่มต้นในการก่อตั้งมูลนิธิวงษ์พิทักษ์ร่วมประชาสงเคราะห์ เนื่องจาก อ.จอมบึง ยังไม่มีอาสาสมัครกู้ภัยอย่างเป็นทางการ ดังนั้น คุณพ่อวุฒิพงศ์ และคุณแม่สมจิตต์ มีความประสงค์ที่จะร่วมกันก่อตั้งมูลนิธิฯ เพื่อให้การช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ประสบภัยและประสบอุบัติเหตุ และช่วยเหลือทางราชการช่วยเหลือผู้ประสบภัยในเหตุการณ์ต่างๆ ในอนาคต เราหวังว่ามูลนิธิวงษ์พิทักษ์ร่วมประชาชนสงเคราะห์ จะได้ปฏิบัติภารกิจเพื่อเป็นประโยชน์ให้กับชาว จ.ราชบุรีอย่างเต็มที่ ตามวัตถุประสงค์ของคุณพ่อวุฒิพงศ์ และคุณแม่สมต่อไป” นายอัครเดชกล่าว

‘ท่านอ้น’ เตรียมเยือนไทยครั้งที่ 2 พรุ่งนี้ เผย เป็นการเดินทางมาแบบส่วนตัว

(3 ธ.ค. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ท่านวัชเรศร วิวัชรวงศ์ หรือ ‘ท่านอ้น’ โอรสคนที่ 2 ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะเดินทางมายังประเทศไทย ในวันที่ 4 ธันวาคมนี้ ซึ่งมีการยืนยันว่าเป็นการเดินทางมาเป็นการส่วนตัว ในการมาไทยเป็นครั้งที่ 2 ของ ‘ท่านอ้น’

ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ ท่านอ้นได้เดินทางมาไทย เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2566 ซึ่งถือเป็นการมาไทยเป็นครั้งแรกในรอบ 27 ปี ก่อนที่ ‘ท่านอ่อง’ นายแพทย์จักรีวัชร วิวัชรวงศ์ น้องชาย เดินทางมาสมทบในวันที่ 13 สิงหาคม ก่อนที่ทั้งสองคนจะเดินทางกลับสหรัฐอเมริกาพร้อมกัน ในวันที่ 14 สิงหาคม

เปิดข้อหักล้างคำโกหกของ ‘สื่อหลักตะวันตก’ เกี่ยวกับ ‘ซินเจียง’  ผ่านภาพความขัดแย้งระหว่าง ‘ปาเลสไตน์-อิสราเอล’ ปมฉนวนกาซา

ความจริงของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวปาเลสไตน์มากกว่า 15,000 คน ซึ่งเสียชีวิตในเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์ ผู้เสียชีวิตได้รับการบันทึกและรับรองเป็นรายบุคคล และจำนวนผู้เสียชีวิตดังกล่าว มีเด็กมากกว่า 6,000 คน โดยตัวเลขนี้ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการจากสหประชาชาติ นี่คือการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์พลเรือนอย่างเปิดเผยต่อ ‘ระเบียบระหว่างประเทศที่อิงกฎเกณฑ์’


ภาพซ้ายกาซาก่อนถูกอิสราเอลถล่ม จนมีสภาพตามภาพขวา
(ภาพเหล่านี้มาจากสำนักข่าวรอยเตอร์และบีบีซี)


กาซาถูกอิสราเอลถล่มจนมีสภาพเช่นดังภาพ


ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์กาซาถูกอิสราเอลถล่มจนมีสภาพเช่นดังภาพ


ส่วนภาพนี่คือ ‘นครอุรุมชี’ ในเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ เมื่อเร็ว ๆ นี้


นี่คือ ‘เมืองคอร์ลา’ ในเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ เมื่อเร็ว ๆ นี้


ส่วนนี่คือ ‘เมืองอักซู’ เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ เมื่อเร็ว ๆ นี้

โดยเมืองคอร์ลาและเมืองอักซู มีประชากรเพียง 500,000 คนเท่านั้น ปัจจุบัน ‘ชาวอุยกูร์’ มากกว่า 1 ล้านคน จากจำนวนมากกว่า 12 ล้านคน อาศัยอยู่นอกเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ และสามารถพบได้ในทุกจังหวัดของจีนรวมทั้งฮ่องกงด้วย และถ้าไปถามพวกเขาเรื่อง ‘การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในซินเจียง’ แล้วพวกเขาจะถามกลับมาว่า “การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์อะไรกัน? ไม่เห็นรู้เรื่องเลย”

Bill Chen, Moderate Singaporean

โลกใบนี้มี 2 ด้านเสมอ สื่อตะวันตกย่อมเสนอแต่มุมที่โลกตะวันตกอยากให้เห็น ในขณะที่อีกด้านหนึ่งนั้น เป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นตามภาพ และแทบจะไม่มีการเผยแพร่โดยสื่อตะวันตกเลย

‘รมว.ปุ้ย’ เร่งรัด!! โครงการเหมืองแร่โพแทช จังหวัดอุดรธานี พร้อมกำชับ ‘กพร.’ กำกับดูแลกิจการให้เป็นเหมืองแร่ดีอยู่คู่ชุมชน

‘รมว.พิมพ์ภัทรา’ เร่งรัดโครงการเหมืองแร่โพแทชจังหวัดอุดรธานี คาดสร้างประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนในพื้นที่ สั่งกำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำกับดูแลกิจการให้เป็นเหมืองแร่ดี อยู่คู่ชุมชน ขณะที่บริษัทฯ ผู้รับประทานบัตร เข้าพื้นที่เพื่อเตรียมการพัฒนาพื้นที่ทำเหมืองแล้ว โดยตั้งเป้าเร่งผลิตแร่โพแทชให้ได้ภายใน 3 ปี 

(3 ธ.ค. 66) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยภายหลังการเข้าตรวจเยี่ยมและ รับฟังการบรรยายสรุปความก้าวหน้าการดำเนินโครงการเหมืองแร่โพแทช จังหวัดอุดรธานี จากบริษัท เอเซีย แปซิฟิค โปแตช คอร์ปอเรชั่น จำกัด (APPC) ซึ่งเป็นผู้ได้รับประทานบัตรในการทำเหมืองเมื่อเดือนตุลาคม 2565 ว่า เบื้องต้นบริษัทฯ ได้รายงานว่าขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจากับสถาบันการเงินเพื่อใช้สนับสนุนการดำเนินโครงการฯ (Project Finance) ซึ่งหากสถาบันการเงินให้การอนุมัติทางบริษัทฯ ก็จะเร่งรัดการผลิตแร่โพแทชให้ได้ภายใน 3 ปี

“ส่วนกรณีการคัดค้านจากกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอุดรธานี ที่กังวลต่อผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สุขภาพและเศรษฐกิจ ในพื้นที่ เช่น มลพิษทางอากาศ มลพิษทางน้ำ และมลพิษทางดิน ผลกระทบต่อวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของชุมชนในพื้นที่นั้น ได้สั่งกำชับให้กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) และ อุตสาหกรรมจังหวัดอุดรธานี ร่วมกับบริษัทฯ ชี้แจงและจัดกิจกรรมชุมชนสัมพันธ์ เพื่อเผยแพร่ข้อมูลโครงการและสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับประชาชนในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งแต่งตั้งคณะกรรมการในพื้นที่จังหวัดอุดรธานีร่วมกำกับดูแลการทำเหมืองของบริษัทฯ เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน” นางสาวพิมพ์ภัทรา กล่าว 

ทั้งนี้ กพร. ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแลโครงการฯ ได้กำหนดมาตรการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมไว้หลายประการ เช่น การติดตั้งเครื่องบำบัดฝุ่นในบริเวณก่อสร้างอุโมงค์และเครื่องจักร การติดตั้งเครื่องมือตรวจวัดคุณภาพอากาศในบริเวณพื้นที่เฝ้าระวัง การติดตามตรวจวัดเสียงไม่ให้เกินค่ามาตรฐานและติดตั้งแผ่นป้องกันเสียงในบริเวณที่คาดว่าอาจได้รับผลกระทบ การรังวัดการทรุดตัวของพื้นที่ทำเหมืองด้วยกล้องสมัยใหม่และโดรน การใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ในการลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมทั่วไป การใช้เทคโนโลยีวัดผลกระทบในการก่อสร้างอุโมงค์ และการใช้เทคโนโลยีการป้องกันผลกระทบจากน้ำไหลเข้าอุโมงค์ เป็นต้น 

โครงการเหมืองแร่โพแทชจังหวัดอุดรธานี คาดว่าจะก่อให้เกิดผลประโยชน์ต่อประเทศและประชาชน สรุปได้คือ ในส่วนของภาครัฐจะได้ค่าภาคหลวงแร่ร้อยละ 7 คิดเป็นเงินประมาณ 35,000 ล้านบาท ทำให้เกิดการจ้างงานกว่า 1,000 อัตรา ขณะที่ชาวบ้านรอบพื้นที่โครงการฯ ก็จะได้รับผลประโยชน์โดยตรงจากโครงการและกองทุนต่างๆ อีก 6 กองทุน ประกอบด้วย กองทุนพัฒนาหมู่บ้านรอบพื้นที่เหมือง กองทุนเฝ้าระวังสุขภาพ กองทุนการศึกษาเพื่ออนาคตเยาวชน กองทุนประกันความเสี่ยงต่อสิ่งแวดล้อมและพัฒนาคุณภาพชีวิตของชุมชน กองทุนสวัสดิการชุมชน และกองทุนช่วยเหลือค่าปุ๋ยเกษตรกรในพื้นที่ประทานบัตร รวมทั้งเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินในพื้นที่ประทานบัตรยังได้รับเงินค่าทดแทน (ค่าลอดใต้ถุน) ในอัตราไร่ละ 45,500 บาท โดยแบ่งเฉลี่ยจ่าย 24 งวดตลอดอายุประทานบัตร 

นอกจากนี้ บริษัทฯ จะจัดสรรจำหน่ายปุ๋ยสูตร 0-0-60 ในราคาที่ถูกกว่าท้องตลาดไม่น้อยกว่าร้อยละ 15 เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรในพื้นที่จังหวัดอุดรธานี และเข้าร่วมโครงการมาตรฐานเหมืองแร่สีเขียว (Green Mining) และมาตรฐานความรับผิดชอบต่อสังคมของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมแร่ (CSR-DPIM) รวมทั้งประชาชนผู้มีส่วนได้เสียกับโครงการที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นผู้มีสิทธิตรวจสอบการทำเหมืองสามารถร่วมตรวจสอบการทำเหมืองได้ตามมาตรา 88 แห่งพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2560 

โครงการเหมืองแร่โพแทชจังหวัดอุดรธานี มีพื้นที่ดำเนินการประมาณ 26,000 ไร่ ตั้งอยู่ในเขตอำเภอประจักษ์ศิลปาคม และ อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี โดยข้อมูลทางธรณีวิทยาพบว่าปริมาณสำรองแร่โพแทชในพื้นที่ประทานบัตรทั้งหมดรวม 267 ล้านตัน ซึ่งจะสามารถนำแร่ขึ้นมาผลิตเป๊นปุ๋ยโพแทชได้ประมาณ 34 ล้านตัน ทั้งนี้แร่โพแทชเป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตปุ๋ย ซึ่งเป็นปัจจัยการผลิตหลักในภาคเกษตรกรรม 

“โครงการเหมืองแร่โพแทชจังหวัดอุดรธานีจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศและประชาชนอย่างยั่งยืน โดยกระทรวงฯ จะกำกับดูแลโครงการฯ อย่างใกล้ชิด เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ให้น้อยที่สุด โดยคำนึงถึงการจัดสรรผลประโยชน์ให้กับชุมชนในพื้นที่อย่างเป็นธรรมที่สุด” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวปิดท้าย

‘รมว.ปุ้ย’ ให้ความเชื่อมั่นชาวไร่อ้อย “ทุกปัญหามีทางออก” แย้มข่าวดี!! เสนอ ครม.อนุมัติเงินหนุนตัดอ้อยสดคุณภาพดี

‘รมว.พิมพ์ภัทรา’ ให้คำมั่นต่อเกษตรกรชาวไร่อ้อยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ “ทุกปัญหามีทางออก” และพร้อมช่วยเหลือเต็มที่ สั่งการสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) หาแนวทางดูแลเกษตรกรอย่างใกล้ชิด แย้มข่าวดีหากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี อนุมัติเห็นชอบเงินสนับสนุนตัดอ้อยสด ในโครงการสนับสนุนเกษตรกรชาวไร่อ้อยตัดอ้อยสดคุณภาพดีเพื่อลดฝุ่น PM 2.5 คาดว่าชาวไร่อ้อยจะมีรายได้เพิ่มขึ้นประมาณ 8,000 ล้านบาท ซึ่งสามารถบรรเทาความเดือดร้อนของชาวไร่อ้อยในช่วงที่ต้นทุนการผลิตอ้อยปรับตัวสูงขึ้นได้  

เมื่อวันที่ 3 ธ.ค. 66 นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยในระหว่างการลงพื้นที่พบปะเกษตรกรชาวไร่อ้อยพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ณ สมาคมกลุ่มชาวไร่อ้อยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จังหวัดอุดรธานี ว่า กระทรวงอุตสาหกรรม ไม่ได้นิ่งนอนใจต่อสถานการณ์ราคาอ้อยและน้ำตาลทรายในปัจจุบัน ล่าสุดราคาน้ำตาลทรายหน้าโรงงานกิโลกรัมละ 21-22 บาท จากเดิมที่กิโลกรัมละ 19-20 บาท  

โดยรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายต่างๆ จะใช้เป็นองค์ประกอบในการคำนวณราคาอ้อยขั้นต้น จะทำให้เกษตรกรชาวไร่อ้อยและโรงงานมีรายได้ที่เพิ่มขึ้น ส่วนราคาอ้อยขั้นต้น ฤดูการผลิตปี 2566/67 ได้มีการผลักดันให้มีราคาที่ 1,400 บาท/ตันอ้อย เนื่องจากต้นทุนการผลิตอ้อยของชาวไร่สูงขึ้นและความต้องการน้ำตาลทรายในตลาดโลกเพิ่มขึ้น ซึ่งการขึ้นราคาน้ำตาลทรายในครั้งนี้ ส่งผลดีต่อชาวไร่อ้อยโดยช่วยให้ชาวไร่อ้อยมีรายได้เพิ่มขึ้น แต่ขณะเดียวกันอาจส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคบ้าง แต่จะทำให้น้ำตาลในประเทศมีปริมาณที่เพียงพอและมีเสถียรภาพมากขึ้นตามไปด้วย 

อย่างไรก็ตาม ได้สั่งการให้สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) ติดตามสถานการณ์ราคาน้ำตาลทรายในตลาดโลก ว่าจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมน้ำตาลในประเทศอย่างไร พร้อมหาแนวทางช่วยเหลือดูแลปัญหาอย่างใกล้ชิด 

“ดิฉัน เชื่อว่าทุกปัญหาจะมีทางออกหากพวกเราร่วมมือกัน โดยกระทรวงฯ จะประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ส่วนแนวโน้มราคาน้ำตาลทรายในอนาคตที่คาดว่าจะยังคงอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากความต้องการน้ำตาลทรายในตลาดโลกยังคงมีแนวโน้มสูงขึ้น รวมทั้งปัจจัยอื่นๆ เช่น สภาพอากาศและภาวะเศรษฐกิจโลก ก็อาจส่งผลกระทบต่อราคาน้ำตาลทรายได้ เรื่องนี้เราก็จะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเช่นกัน” นางสาวพิมพ์ภัทราฯ กล่าว 

จากนั้น คณะของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ประกอบด้วย ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม (นายณัฐพล รังสิตพล) และผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงอุตสาหกรรม ได้เยี่ยมชมนิทรรศการพันธุ์อ้อย ชมการสาธิตการใช้โดรนในการใส่ปุ๋ย พ่นยาฆ่าแมลง ชมการสาธิตเครื่องจักรกลการเกษตร การวิเคราะห์ดิน และการผสมปุ๋ย พร้อมมอบรางวัลให้กับชาวไร่อ้อยดีเด่น และมอบเครื่องสางใบอ้อยให้เกษตรกรชาวไร่ยืมไว้ใช้ในการดำเนินงาน 

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ยังกล่าวปิดท้ายด้วยว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรีในวันนี้ (4 ธ.ค.66) กระทรวงอุตสาหกรรม ได้นำเสนอโครงการสนับสนุนเกษตรกรชาวไร่อ้อยตัดอ้อยสดคุณภาพดี เพื่อลดฝุ่น PM 2.5 ซึ่งชาวไร่อ้อยจะมีรายได้เพิ่มขึ้นประมาณ 8,000 ล้านบาท จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของชาวไร่อ้อยในขณะที่ต้นทุนการผลิตอ้อยปรับตัวสูงขึ้น 

ทั้งนี้ หากคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติโครงการดังกล่าว ชาวไร่อ้อยจะได้รับเงินสนับสนุนตัดอ้อยสดตันละ 120 บาท โดยที่คาดว่าจะมีชาวไร่อ้อยเข้าร่วมโครงการประมาณ 140,000 ราย

‘นายกฯ’ เปิดยุทธศาสคร์ 5 เสาหลัก-5 กลยุทธ์ แก้ปัญหายาเสพติด พร้อมชู ‘หนองบัวลำภูโมเดล’ ป้องกันการเกิดเหตุสลดซ้ำรอยเดิม

(3 ธ.ค. 66) ณ ที่สนามหน้าที่ว่าการอำเภอสุวรรณคูหา จังหวัดหนองบัวลำภู นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่ากระทรวงการคลัง พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรี ทุกกระทรวง เดินทางตรวจติดตาม ผลการปฏิบัติการป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหายาเสพติด ตามนโยบายรัฐบาล ประจำปี 2566 ซึ่งเป็นภารกิจแรก ตามโครงการ ครม.สัญจร ครั้งที่ 1 พื้นที่จังหวัดหนองบัวลำภู โดยมี นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข, นายไชยา พรหมา รมช.กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรีทุกกระทรวง ร่วมงาน ทั้งนี้ มีผู้ว่าราชการจังหวัดหนองบัวลำภู นายอำเภอ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน  เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน และประชาชนกว่า 8,000 คนให้การต้อนรับ

โดยพอถึงพื้นที่ นายกรัฐมนตรีและคณะได้สักการะศาลหลักเมืองพระไชยเชษฐาธิราช เยี่ยมผู้ป่วยจิตเวช และให้กำลังใจ แพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ โรงพยาบาล มินิธัญญรักษ์ จากนั้นบวงสรวงอนุสาวรีย์ ทสปช. ให้โอวาทเจ้าหน้าที่ ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน และเยี่ยมชมบูธผลการดำเนินการป้องกันปัญหายาเสพติด

สำหรับจุดต้อนรับ ครม.สัญจร ซึ่งจะมีการนำเสนอผลการปฏิบัติการป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหายาเสพติดดังกล่าว สืบเนื่องจากต้นเดือน ต.ค. 2565 ได้เกิดเหตุโศกนาฏกรรม ตำรวจคลั่งใช้อาวุธปืน และมีด ทำร้ายร่างกายเด็กอนุบาล ครูพี่เลี้ยง และชาวบ้าน เสียชีวิตและบาดเจ็บหลายราย โดยสาเหตุจากยาเสพติด

เหตุการณ์ดังกล่าว จึงเป็นกรณีศึกษา และเป็นที่มาให้ทุกภาคส่วน ดำเนินการทุกวิถีทาง เพื่อสู่การเป็นจังหวัดสีขาวปลอดยาเสพติดอย่างยั่งยืน ทั้งนี้จากการร่วมมือ ร่วมใจของภาคีเครือข่าย ในพื้นที่ ต.หนองบัวลำภู จนกระทั่งประสบความสำเร็จเป็นรูปธรรม และได้รับรางวัลเลิศรัฐ ประจำปี 2566 และต่อมาได้รับการคัดเลือกเป็นสถานที่ต้อนรับ ครม.สัญจร ครั้งทึ่ 1 ภายใต้คอนเซ็ปต์ 3 ก. แก้ปัญหาความยากจน แก้ปัญหายาเสพติด และแก้ปัญหาสารพิษ ‘หนองบัวลำภูโมเดล’ ในครั้งนี้

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ รมว.กระทรวงการคลัง กล่าวว่า แนวทางการปฏิบัติการป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหายาเสพติด ในส่วนของ จ.หนองบัวลำภู ที่ประสบผลสำเร็จ สู่การเป็นหนองบัวลำภูโมเดล โดย ศอ.ปส.แห่งชาติ ได้กำหนดให้ จ.หนองบัวลำภู เป็นต้นแบบจังหวัดสีขาวปลอดยาเสพติด จัดการยาเสพติดแบบครบวงจรนั้น จากการรายงานทราบว่า ความสำเร็จเกิดจากผลการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ 5 เสาหลัก และ 5 กลยุทธ์

นายเศรษฐากล่าวอีกว่า สำหรับเสาหลักที่ 1 คือ ยึดหลักปฏิบัติหลักการพัฒนายั่งยืน ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เสาหลักที่ 2 ต้องสร้างทีมงานที่ดีทุกระดับชั้น เสาหลักที่ 3 จัดตั้งชุดปฏิบัติการ ‘คุ้ม’ เสาหลักที่ 4 มีการบันทึกข้อมูลส่วนบุคลผู้เสพ ผู้ป่วยจิตเวช เพื่อหาแรงจูงใจทำให้ผู้เสพเลิกยาเสพติดอย่างถาวร และเสาหลักที่ 5 มาตรการชุมชนมีส่วนร่วม หรือชุมชนบำบัด

นายเศรษฐากล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากจะใช้ยุทธศาสตร์ 5 เสาหลักแล้ว ยังใช้มาตรการ 5 กลยุทธ์ คือกลยุทธ์ที่ 1 ต้องใช้ ‘ใจ’ นำการทุ่มเทปฏิบัติงาน กลยุทธ์ที่ 2 ต้องใช้หลัก ‘เมตตากรุณา’ ต่อผู้ป่วยจิตเวช ผู้เสพ ผู้ติดยาเสพติดและครอบครัว กลยุทธ์ที่ 3 ‘แยกปลาออกจากน้ำ’ เน้นแก้ไขปัญหาผู้ป่วยจิตเวช ที่มีอาการอาละวาดรุนแรงทำร้ายตนเอง และบุคคลใกล้ตัว กลยุทธ์ที่ 4 เน้น ‘Work Hard & Work & Smart’ และกลยุทธ์ที่ 5 การปฏิบัติต้องมุ่ง งานสำเร็จ มิใช่แค่งานสำเร็จ ทั้งนี้ ขอชื่นทุกภาคส่วน ในจ.หนองบัวลำภู ที่ร่วมด้วยช่วยกันป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่ และเป็นต้นแบบจังหวัดสีขาว ปลอดยาเสพติด ‘หนองบัวลำภูโมเดล’ ดังกล่าว

ด้านนายไชยา พรหมา รมช.เกษตรและสหกรณ์กล่าวว่า ยุทธศาสตร์ 5 เสาหลักและ 5 กลยุทธ์ดังกล่าว ถือเป็นกุญแจดอกสำคัญ ในการไขคำตอบแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างยั่งยืน ตามนโยบายของรัฐบาล อย่างไรก็ตาม ยังต้องมีการเฝ้าระวัง เข้มงวดกวดขัน ควบคู่กับการบำบัดฟื้นฟู ส่งเสริมสร้างอาชีพ เป็นคนดีสู่สังคม และไม่ย้อนกลับไปมีพฤติกรรมยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดอีก

โดยในส่วนของการบำบัดฟื้นฟูนั้น ได้ดำเนินการจัดตั้งมินิธัญญารักษ์ ที่ รพ.สุวรรณคูหา มีการคัดกรองผู้เสพผู้ติดยา ผู้มีอาการทางจิต ขยายศูนย์คัดกรองครอบคลุมทั้ง 6 โรงพยาบาล 83 รพ.สต. จัดตั้งและขยายศูนย์ฟื้นฟูสภาพทางสังคมครอบคลุม 68 อปท. และโครงการชุมชนยั่งยืนเพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติดตามยุทธศาสตร์ชาติ 2566 ทั้งนี้มีผู้ร่วมโครงการ 2,126 ราย

‘นร.วัย 14 ปี’ ในสหรัฐฯ สุดเจ๋ง!! คิดค้นสบู่รักษามะเร็งผิวหนัง คว้ารางวัลชนะเลิศระดับประเทศ เตรียมเดินหน้าพัฒนาต่อ

เมื่อไม่นานนี้ เด็กชาย Heman Bekele วัย 14 ปีจากโรงเรียน W.T. Woodson High School รัฐเวอร์จิเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา คิดค้นสบู่ก้อนรักษามะเร็งผิวหนังชนิดเมลาโนมา ทำให้เขาคว้ารางวัลชนะเลิศในการแข่งขันนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ของบริษัท 3M (3M Young Scientist Challenge) จากผู้เข้าร่วมทั้งหมด 10 คน

Heman ได้รับแรงบันดาลใจมาจากประสบการณ์วัยเด็กในประเทศบ้านเกิดอย่างเอธิโอเปีย เขาจำได้ว่าเห็นคนทำงานกลางแดดเป็นเวลานาน ซึ่งแสงอัลตราไวโอเลต (UV) คือหนึ่งในสาเหตุสำคัญของโรคมะเร็งผิวหนัง เขาจึงคิดค้นสบู่รักษามะเร็งผิวหนังขึ้นมาโดยผสมกรดซาลิไซลิก (Salicylic) กรดไกลโคลิก (Glycolic) และเทรติโนอิน (Tretinoin) ในอัตราส่วน 50:30:20 ซึ่งสารเหล่านี้เป็นกลุ่มสารประกอบที่มีฤทธิ์ผลัดเซลล์ผิว โดยจะกระตุ้นการทำงานของเซลล์เดนไดรต์ (Dendritic Cells) หรือเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกันที่ทำหน้าที่ตอบสนองต่อการติดเชื้อ เพื่อให้เซลล์เดนไดรต์ต่อสู้กับไวรัส HPV (Human Papillomavirus) หนึ่งในปัจจัยที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็งผิวหนัง

Heman ทดสอบประสิทธิภาพของสบู่ด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ซึ่งเขาเชื่อว่าการใช้งานสบู่ก้อนชนิดนี้ทุก 2-3 วันอย่างสม่ำเสมอจะสามารถช่วยรักษามะเร็งผิวหนังได้ และแม้จะยังไม่เคยทดลองกับผู้ป่วยจริง ๆ แต่เขาก็วางแผนที่จะพัฒนาสบู่นี้ เพื่อยื่นขอการรับรองจากองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกาต่อไป ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อคำนวณราคาต้นทุนทั้งหมดแล้ว ราคาของสบู่รักษามะเร็งผิวหนังนี้ตกอยู่ที่ประมาณ 17.75 บาทต่อก้อนเท่านั้น

ผู้ป่วยโรคมะเร็งผิวหนังจำนวนมากไม่สามารถเข้าถึงการรักษาได้เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายสูง ดังนั้น ด้วยนวัตกรรมอย่างสบู่รักษามะเร็งของ Heman เป็นไปได้ว่าในอนาคต ผู้ป่วยโรคมะเร็งอาจสามารถเข้าถึงการรักษาในราคาหลักสิบหรือหลักร้อยบาทก็เป็นได้

‘มาดามเดียร์’ ปลื้ม!! ผลสำรวจนิด้าโพล ชี้!! เหมาะสมเป็นหัวหน้าพรรคคนต่อไป

‘มาดามเดียร์’ ร่วมเป็นกรรมการตัดสินประกวด ‘Policy Hackathon’ มหาวิทยาลัยขอนแก่น พร้อมพบตัวแทนสาขาพรรคฯ เน้นย้ำความตั้งใจลงชิงหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เพื่ออนาคตของพรรคและประเทศ ขอบคุณหลังผลนิด้าโพลประชาชนยกให้เหมาะสมเป็นหัวหน้าคนต่อไป

(3 ธ.ค. 66) ที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น น.ส.วทันยา บุนนาค ประธานคณะทำงานนวัตกรรมการเมืองกรุงเทพฯ พรรคประชาธิปัตย์ เดินทางร่วมกิจกรรมเป็นกรรมการตัดสินกิจกรรม การประกวดนโยบาย Policy Hackathon ในงาน ‘มหกรรมสิงห์วิชาการ ครั้งที่ 9’ ซึ่งจัดโดยสาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ คณะมนุษศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น

ในโอกาสนี้ น.ส.วทันยา ยังได้พบปะตัวแทนสาขาพรรคประชาธิปัตย์ประจำจังหวัด และสมาชิก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือจากหลายจังหวัด เพื่ออธิบายถึงความตั้งใจในการประกาศตัวลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนที่ 9 และแนวทางในการทำงานเพื่อฟื้นฟูอุดมการณ์และความศรัทธาของพรรค ให้ได้รับการยอมรับและเป็นที่ไว้ใจให้กับประชาชนอีกครั้ง รวมถึงยังได้มีการแลกเปลี่ยนรับฟังถึงปัญหาและความต้องการจากตัวแทนสาขาพรรค เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาอย่างจริงจังและเป็นรูปธรรมต่อไป

โดยในการพูดคุยตัวแทนสาขาพรรค มีความเห็นพ้องร่วมกันว่าอยากให้ น.ส.วทันยา ได้รับการเลือกตั้งเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนที่ 9 เพราะเป็นคนรุ่นใหม่ที่มีความรู้ความสามารถ มีประสบการณ์ทั้งด้านธุรกิจและด้านการเมือง จึงเชื่อมั่นว่าจะสามารถฟื้นฟูและนำพาพรรคประชาธิปัตย์ให้กลับมาเป็นที่เชื่อมั่นของประชาชนได้อีกครั้ง

ขณะที่ น.ส.วทันยา ได้กล่าวย้ำถึงความตั้งใจที่เสนอตัวลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ว่า ตนมีความตั้งใจที่จะฟื้นฟูอุดมการณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ให้กลับมาเป็นที่พึ่งของประชาชนให้ได้ และชวนทุกคนมาร่วมสร้างพรรคการเมืองให้เป็นพรรคของประชาชนอย่างแท้จริง ด้วยการเปิดพื้นที่ให้ประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมในทุกมิติของพรรค

นอกจากนี้ น.ส.วทันยา ยังได้กล่าวถึงผลสำรวจของนิด้าโพล ที่ประชาชนส่วนใหญ่มองว่าตนมีความเหมาะสมที่จะเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนใหม่ ว่า ขอบคุณพี่น้องประชาชนที่ได้เล็งเห็นถึงศักยภาพความตั้งใจของตน ที่ได้เสนอตัวต่อพี่น้องประชาชนและสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์

‘จีน’ มีโรงงานอัจฉริยะ-สถานีฐาน 5G กว่า 2.2 แสนแห่งแล้ว พร้อมผลักดันเครือข่ายขนาดใหญ่-ล้ำสมัยมากที่สุดในโลก

เมื่อไม่นานนี้ สำนักข่าวซินหัว, หางโจว รายงงานว่า สำนักเศรษฐกิจและเทคโนโลยีสารสนเทศ ประจำมณฑลเจ้อเจียงทางตะวันออกของจีน รายงานว่า ปัจจุบันเจ้อเจียง ซึ่งเป็นศูนย์กลางธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ได้ก่อสร้างสถานีฐาน 5G เป็นจำนวน 220,000 แห่งแล้ว

‘หลี่หมิน’ รองผู้อำนวยการสำนักฯ ซึ่งร่วมการประชุม 5G+ อินเทอร์เน็ตอุตสาหกรรมแห่งสามเหลี่ยมปากแม่น้ำแยงซี ปี 2023 ในเมืองเส้าซิงของเจ้อเจียง กล่าวว่าปัจจุบันผู้อยู่อาศัยในเจ้อเจียงทุก 10,000 คน สามารถเข้าถึงสถานีฐาน 5G มากกว่า 33 แห่ง

นอกจากนั้น เจ้อเจียงได้สร้าง ‘โรงงานแห่งอนาคต’ และโรงงานอัจฉริยะระดับมณฑล จำนวน 653 แห่ง และสร้างแพลตฟอร์มอินเทอร์เน็ตอุตสาหกรรมระดับมณฑล จำนวน 535 แห่ง

อนึ่ง จีนถือเป็นผู้นำโลกด้านการพัฒนา 5G ด้วยจำนวนสถานีฐานรวม 2.84 ล้านแห่ง เมื่อนับถึงสิ้นเดือนพฤษภาคมของปีนี้ โดยจีนกำลังพยายามสร้างโครงสร้างพื้นฐานเครือข่ายที่มีขนาดใหญ่และล้ำสมัยมากที่สุดในโลก

‘แพทย์’ แนะ!! ‘เศรษฐา’ ให้พักผ่อนมากขึ้น หลังผลตรวจพบภาวะ ‘เครียด-ตื่นเต้น-กดดันสูง’

เมื่อวานนี้ (3 ธ.ค.66) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ระหว่างลงพื้นที่ตรวจการดำเนินงานตามมาตรการป้องกัน และแก้ไขปัญหายาเสพติด ‘หนองบัวลำภูโมเดล’ และการดูแลผู้ป่วยจิตเวชจากการใช้ยาเสพติด และตรวจเยี่ยมกระบวนการบำบัดรักษาผู้ป่วยจิตเวช ที่โรงพยาบาลสุวรรณคูหา จ.หนองบัวลำภู

โดยช่วงหนึ่ง นายกรัฐมนตรีได้เข้าไปตรวจสภาพร่างกายเบื้องต้น บนรถโมบายเคลื่อนที่ ของกรมสุขภาพจิต ประจำโรงพยาบาลสุวรรณคูหา จังหวัดหนองบัวลำภู โดยเบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้ซักประวัตินายกรัฐมนตรี โดยผลการตรวจร่างกายพบว่า นายกรัฐมนตรีมีสภาวะเครียดสูง ตื่นเต้น และกดดัน ทำให้ระบบประสาทไม่สมดุลกัน ทั้ง 2 ด้าน

ทำให้นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวเสริมว่า เนื่องจาก นายกรัฐมนตรี มีภารกิจเยอะ จะไม่เครียดได้อย่างไร รวมถึงความเหนื่อยล้าของสภาพร่างกาย ทำให้นายกฯ ถึงกับขั้นหัวเราะเสียงดัง เปรียบเสมือนการยอมรับความจริง ซึ่งแพทย์ก็แนะนำให้นายกรัฐมนตรีนอนหลับพักผ่อนให้มากขึ้น

ก่อนที่เดินลงมาถ่ายภาพร่วมกับคณะแพทย์และโรงพยาบาล และรับฟังบรรยาย ระบบการใช้อุปกรณ์รถเคลื่อนที่ ในการรักษา


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top