Wednesday, 25 June 2025
NewsFeed

กรุ๊ปไกด์จอร์เจีย ตีแผ่!! นทท.ไทย เริ่มโดนปฏิเสธไม่ให้เข้าประเทศ หวั่น!! แอบหนีเข้าไปทำงาน พร้อมเผย 'จอร์เจีย' ไม่น่าเที่ยวเหมือนเก่า

(24 พ.ย.66) แหล่งข่าวจากไกด์ท่านหนึ่งในจอร์เจีย ได้เปิดเผยว่า เริ่มมีดรามาในกรุ๊ปจอร์เจีย เหตุเกิดจากนักท่องเที่ยวโดนปฏิเสธไม่ให้เข้าประเทศ 

นั่นก็เพราะคนไทยหนีเข้าไปทำงานแบบผิดกฎหมายกันเป็นจำนวนมาก ช่วงนี้เลยโดนเพ่งเล็ง โดยส่วนใหญ่คนที่โดน จะพบเหตุผลเหมือนกันคือ แลกเงินมาน้อยเกินไป เช่น 300USD/EUR สำหรับเที่ยว 1 อาทิตย์

ไกด์ดังกล่าว เผยต่ออีกว่า จอร์เจียเริ่มไม่น่าเที่ยวเหมือนเมื่อก่อน เข้าประเทศยากขึ้น ค่าใช้จ่ายหลายอย่างขึ้นราคาแบบแพงมาก ถนนไป Juta ที่พังเป็นปีจนตอนนี้ก็ยังไม่ซ่อม ไว้มีตั๋วไปสวิตฯ ราคางามๆ จะพาไปเที่ยวสวิตฯ แทน

"ใครมีแพลนไปช่วงนี้ก็แลกเงินไปเผื่อเยอะๆ หน่อย ถ้าไม่ได้เข้าประเทศคงเซ็งน่าดู กลายเป็นมีประวัติโดนปฏิเสธติดตัวไปอีก

"ส่วนทริปสเปนทำเสร็จแล้ว เป็นทริป 3 ประเทศ ฝรั่งเศส อันดอร์ร่า สเปน แต่ค่าใช้จ่ายแรงเหมือนกัน ลังเลอยู่ว่าจะเปิดทริปดีมั้ย..."

‘สศช.’ ชี้!! ส่งออก ‘ไทย’ โตต่อเนื่อง คาด ปี 67 บวกถึง 3.8% ตั้งเป้า ดันไทยสู่ฮับยานยนต์ ชิงส่วนแบ่งการตลาดมหาอำนาจ

(24 พ.ย. 66) นางสาวอานันท์ชนก สกนธวัฒน์ ผู้อำนวยการกองยุทธศาสตร์และการวางแผนเศรษฐกิจมหภาค สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยว่า อัตราการขยายตัวของปริมาณการค้าโลก ปี 2567 คาดว่าจะขยายตัวที่ 3.2% ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนหลักที่มองว่าการส่งออกไทยปีหน้า จะสามารถขยายตัวได้ต่อเนื่อง คาดการณ์บวกที่ 3.8% กลับมาเป็นพระเอกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยโตระหว่าง 2.7-3.7% ได้ ภายใต้อัตราแลกเปลี่ยนจะอยู่ประมาณ 34-35 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ เป็นผลจากดุลบัญชีเดินสะพัดที่กลับมาเกินดุลมากขึ้น รวมถึงแนวโน้มการปรับลดดอกเบี้ยสหรัฐฯ ที่คาดว่าจะเห็นช่วงกลางปี 2567 เป็นต้นไป

นางสาวอานันท์ชนก กล่าวว่า ในเชิงการค้าระหว่างประเทศ หากมีการแบ่งขั้วประเทศระหว่างประเทศมหาอำนาจสหรัฐฯ และ จีนนั้น ต้องประเมินข้อมูลสัดส่วนการนำเข้าสินค้าระหว่างทั้ง 2 ประเทศ ที่ผ่านมาปรับลดลงในเชิงสัดส่วน แต่มีการนำเข้าสินค้าจากประเทศอาเซียนไปยังสหรัฐฯ มากขึ้น อาทิ เกษตรแปรรูปจากสิงคโปร์ สิ่งทอเครื่องนุ่งห่มจากเวียดนาม ขณะที่ไทยเป็นยานยนต์และชิ้นส่วนอยู่ กุญแจสำคัญคือ ไทยจะทำอย่างไรในการช่วงชิงส่วนแบ่งการตลาดจากความขัดแย้งของประเทศมหาอำนาจได้ เพื่อสร้างโอกาสในการส่งออกไทยต่อไป

“ปัจจัยสนับสนุนในปี 2567 คือ การบริโภคภายในประเทศที่แม้เริ่มเห็นการชะลอตัวลง แต่ก็ยังบวกกว่า 3% เทียบกับฐานที่สูงกว่า 7% รวมถึงการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวที่คาดว่าปีนี้จะมีต่างชาติเข้ามา 28 ล้านคน ขณะนี้สะสมแล้วเกือบ 24 ล้านคน ส่วนอีก 4 ล้านคนในช่วงที่เหลือของปีนี้ มองว่าน่าจะสามารถทำได้

ส่วนที่กังวลเป็นเรื่องคุณภาพของนักท่องเที่ยวมากกว่า เนื่องจากขณะนี้ประเทศที่กลับมาเป็นตลาดระยะใกล้ แต่ประเทศระยะไกลที่มีการใช้จ่ายสูง ยังต้องสนับสนุนต่อไป ปัจจัยเสี่ยงและข้อจำกัดเป็นเรื่องงบประมาณภาครัฐที่ล่าช้า หนี้ครัวเรือนและหนี้ธุรกิจ ภัยแล้ง ปริมาณน้ำฝนที่หากปี 2567 ความรุนแรงมากขึ้น อาจส่งผลกระทบกับสินค้าเกษตรได้ รวมถึงเศรษฐกิจโลกที่อาจชะลอตัวมากกว่าคาดไว้” นางสาวอานันท์ชนก กล่าว

'โรม' รับ!! 'ก้าวไกล' ไม่เพอร์เฟกต์ หลังเร่งสร้างมาตรฐานใหม่การเมือง แต่ยืนยัน!! เรื่องไหนใครทำผิด แล้วผิดจริง พรรคไม่เคยปกป้อง

(24 พ.ย. 66) ที่อาคารอนาคตใหม่ ที่ทำการพรรคก้าวไกล นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณี น.ส.ญาณธิชา บัวเผื่อน สส.จันทบุรี​ เขต 3 พรรคก้าวไกล แต่งตั้งสามี เป็นผู้ช่วย สส. รับงานเอนเตอร์เทน และจัดหาเด็กชงเหล้าปาร์ตี้ชาย-หญิง ส่งแถวภาคตะวันออก ว่า ตนยังไม่ได้คุยกับ น.ส.ญาณธิชา ในเรื่องนี้ เพราะช่วงนี้ปิดสมัยประชุม เข้าใจว่าคงจะโฟกัสกับงานพื้นที่ แต่แน่นอนว่าเมื่อมันมีประเด็นที่เกิดขึ้นในสังคมในการวิพากษ์วิจารณ์แล้ว

"ตนยืนยันว่า ในส่วนของพรรคก้าวไกลเราไม่อยู่เฉย ที่ผ่านมาตนคิดว่าเราพิสูจน์มาพอสมควรว่า ถ้าเป็นประเด็นที่มันมีปัญหาจริง ๆ เราก็พร้อมที่จะทำหน้าที่ให้มันถูก เรายอมรับคำว่าเราอาจจะไม่ได้เพอร์เฟกต์ เราพยายามสร้างมาตรฐานใหม่กับการเมือง แต่ในขณะเดียวกันเราก็ยอมรับว่า เราก็อาจจะเจอกับปัญหากับความท้าทายที่เกิดขึ้นในพรรคของเรา แต่สิ่งหนึ่งที่เราพยายามสร้างมาตรฐานมาโดยตลอดก็คือ ใครก็ตามถ้าทำผิด แล้วมันผิดจริง เราไม่เคยปกป้อง" นายรังสิมันต์ กล่าว

นายรังสิมันต์ กล่าวต่อว่า ดังนั้น ถ้าเกิดว่าผิดพลาด ไม่ถูกต้อง เราก็พร้อมที่จะแก้ไขพร้อมที่จะทำให้มันดีขึ้น ตั้งแต่มีเรื่องของเมาแล้วขับ ประเด็นทางเพศ เรายอมรับครับพรรคเราใหญ่ขึ้น เราอาจจะเจอกับจุดที่มีปัญหาอยู่บ้าง สิ่งที่เกิดขึ้นสังคมก็เห็นว่า เราตัดสินใจกันอย่างไร ยืนยันว่า เราไม่เคยอยู่เคียงข้างปกป้องผู้กระทำความผิด ถ้าเขาผิดจริง แต่เราอาจจะขอเวลานิดนึงในการตรวจสอบ และตนคิดว่าถ้าอย่างเรื่องการตั้งคู่สมรสมา จริง ๆ ก็เป็นโอกาสดีที่เราจะต้องเปิดกันทั้งหมดว่า สส.ในสภาฯ ว่า มีใครบ้างที่ตั้งคู่สมรสมาเหมือนกัน ที่เราจะได้ใช้โอกาสนี้ในการตรวจสอบนักการเมือง คาดว่าน่าจะมีหลายคนเอาคนในบ้านมาตั้งในตำแหน่งสำคัญ ๆ

นายรังสิมันต์ กล่าวอีกว่า เป็นเรื่องของสังคมที่คาดหวังต่อเรา ซึ่งเราก็ต้องน้อมรับ ก็เป็นกระจกที่สะท้อนมาต่อเรา สิ่งที่เราต้องทำก็คือปรับปรุงตัวเองให้มันดีขึ้น เราก็ยืนยันว่าในวิกฤตมันก็มีทั้งโอกาส พรรคจะเข้มแข็ง พรรคจะเป็นสถาบันทางการเมืองพรรค จะเติบโตอย่างแข็งแรงได้หรือไม่ บางครั้งมันก็ต้องเจอกับความท้าทายในเรื่องของวิกฤต ทุกวิกฤตที่เราทำ เราก็พยายามสร้างมาตรฐานใหม่ ๆ แล้วเราก็หวังว่า จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอย่างถาวร และจะเห็นว่าหลาย ๆ พรรคมันก็มีปัญหาในเรื่องตัวบุคคล แต่ว่าความน่าเจ็บปวดในช่วงเวลาที่ผ่านมา ซึ่งตนเชื่อว่าประชาชนคนธรรมดา หรือแม้กระทั่งตนเอง เมื่อเจอกับการกระทำความผิดในหลาย ๆ ครั้ง เราพบว่ามันมีความช่วยเหลือกันมันมีความพยายามในการปกป้องกัน ทำจนถึงขนาดกระบวนการยุติธรรมในหลาย ๆ ครั้ง ถูกทำลายอย่างสิ้นเชิง สิ่งที่ก้าวไกลพยายามไม่เป็นแบบนั้น คือการปกป้องกัน คือการช่วยเหลือกัน ที่ผ่านมาเรามีบทเรียน และเราจะใช้วิกฤตคัดคนให้เข้มขึ้น

"ส่วนเคสของ สส.จันทบุรี ขอเวลาให้พรรคได้มีการพูดคุยกัน ได้มีการตรวจสอบกัน เดี๋ยวเราก็คงจะได้มีการพูดคุยชี้แจงต่อสังคมต่อไปในอนาคต" นายรังสิมันต์ กล่าว

นายรังสิมันต์ กล่าวยอมรับว่า ไม่ปฏิเสธว่ามีเรื่องพวกนี้เข้ามา ตอนนั้นก็โดนโจมตีเรื่อย ๆ คือต้องยอมรับว่า เราอยู่ในการเมืองยุคใหม่ที่ฝ่ายค้านโดนตรวจสอบมากเป็นพิเศษ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ดีที่นักการเมืองทุก ๆ คน ก็ควรจะได้รับการตรวจสอบ เพราะว่ารับเงินภาษีจากประชาชนเป็นเงินเดือนทั้งสิ้น ดังนั้น การตรวจสอบที่เกิดขึ้นเราก็ต้องรับไป

ในส่วนที่เราพยายามทำหน้าที่ฝ่ายค้านในการตรวจสอบรัฐบาล ก็เป็นส่วนที่เราเองเรียกร้องต่อสังคมให้ช่วยกันเป็นพลังในการตรวจสอบ เข้าใจว่าสังคม สื่อมวลชนให้ความสำคัญกับเคส ส.ส.จันทบุรี แต่ตนก็พยายามเรียกร้องว่า เราก็ให้ความสำคัญกับการตรวจสอบซึ่งเป็นประโยชน์ของสาธารณะอย่างเรื่องของตั๋ว ไม่ว่าจะเป็น ‘ตั๋ว สร.1’ หรือกรณี ‘สว.ทรงเอ’ ที่มีส่วนไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด นักการเมืองระดับนี้เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ตนเชื่อว่าถ้าเป็นประเทศอื่นโดนข้อกล่าวหาขนาดนี้ ในทางการเมืองคุณไม่รับผิดชอบอะไรเลยหรือไม่ หรือจะเป็น สว.ไปเรื่อย ๆ ใช้เอกสิทธิ์ความคุ้มกันต่อไป คือตรงนี้ตนต้องการพลังสนับสนุนจากสังคมให้ช่วยกันในการตรวจสอบ เราจะได้เอานักการเมืองที่ไม่ดีออกจากระบบการเมืองทั้งหมด คือสิ่งที่เราก็ต้องช่วยกัน ดังนั้น เราก็พยายามทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด พยายามทำให้มาตรฐานของพรรคก้าวไกล ซึ่งแน่นอนเรายอมรับว่าเราไม่เพอร์เฟกต์ยังมีปัญหา แต่เราพยายามทำให้ดีที่สุดให้สมกับที่หลาย ๆ เรื่อง ที่เราพูดออกมา ซึ่งมันเป็นบรรทัดฐานของสังคมที่ดี

ส่วนกรณีที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) มีการอายัดทรัพย์สิน นายอุปกิต ปาจรียางกูร สมาชิกวุฒิสภา (สว.) นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ตอนนี้เบื้องต้นตนกำลังรอว่า ทรัพย์สินที่จะไปยึดกันจะมีการช่วยกันหรือไม่ วันนี้เป็นสัญญาณที่ดีที่รักษาการเลขาธิการ ป.ป.ส.ซึ่งตนยอมรับว่าค่อนข้างเอาจริงเอาจัง แต่ว่าขอดูในรายละเอียดด้วย ถ้าสมมุติว่ามีการยึดอายัดทรัพย์สินไป ที่ตนกังวลคือ ออฟฟิศสำนักงานตึกที่อยู่ตรงอารีย์จะมีการยึดอายัดหรือไม่ ก็เป็นบทพิสูจน์ไปยัง ป.ป.ส.ต่อไป

ส่วนสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ซ.) ตนเคยยื่นเรื่องนี้ไปว่า มีการยื่นบัญชีทรัพย์สินเท็จ ซึ่ง ป.ป.ชก็ตอบกลับมาง่ายๆ ว่า ยังอยู่ในระหว่างการตรวจสอบ ก็รอว่า ป.ป.ช.ทำงานให้คุ้มค่ากับภาษีประชาชน เช่นเดียวกับที่เคยยื่นเรื่องของความผิดวินัยที่มีการช่วยกันในการถอนหมายจับ ซึ่งปรากฏว่าเข้าใจว่ามีการตั้งกรรมการสอบวินัยร้ายแรง ซึ่งต้องรอดูว่าทางศาลจะมีท่าทีอย่างไรต่อไป ตนไม่แน่ใจกระบวนการว่าสุดท้ายจะใช้เวลาแค่ไหน แต่ก็หวังว่าความยุติธรรมจะปรากฏในสังคมไทย

'สว.อุปกิต' ยัน!! ความบริสุทธิ์ กรณี 'โรม' นำมูลเท็จอภิปรายเรื่อง 'สว.ทรงเอ' ชี้!! ป.ป.ส.อายัดทรัพย์ เป็นการทำงานของกระบวนการยุติธรรม

(24 พ.ย.66) นายอุปกิต ปาจรียางกูร สมาชิกวุฒิสภา (สว.) เปิดเผยกรณี พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ ผู้ช่วย ผบ.ตร. รักษาราชการแทนเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ออกคำสั่งอายัดทรัพย์สินว่า เป็นเรื่องดีที่มีการอายัดและตรวจสอบทรัพย์สินของตนเพราะจะเป็นการยืนยันความบริสุทธิ์ให้ตนเอง โดย ป.ป.ส. สามารถอายัดไว้ได้ประมาณ 2-3 เดือน หากตรวจสอบแล้วไม่พบว่ามีเส้นทางการเงินเกี่ยวข้องกับยาเสพติดก็ต้องคืนให้ตน ซึ่งนอกจากอายัดบัญชีในต่างประเทศแล้วยังอายัดบัญชีในประเทศอีกหลายสิบบัญชีแม้กระทั่งบัญชีเงินเดือน สว. ดังนั้นจะเห็นว่ากระบวนการยุติธรรมได้ทำงานแล้วและจะเป็นสิ่งที่ยืนยันความบริสุทธิ์ของตนเองในอนาคต 

นายอุปกิต กล่าวว่า ตนไม่ได้ทำการถ่ายโอนเงินไปต่างประเทศ ตนเป็นนักธุรกิจก่อนมาเป็นสมาชิกวุฒิสภา มีที่มาที่ไปของทรัพย์สินชัดเจน และจริง ๆ ไม่ใช่มีแค่ 600 ล้าน แต่เคยมีประมาณ 700 กว่าล้าน โดยเป็นเงินจากการขายหุ้นบริษัทที่เคยบริหารในตลาดหลักทรัพย์ไปประมาณ 400 กว่าล้านให้กับนักลงทุนลาวจึงต้องเปิดบัญชีธนาคารเพื่อรับเงินที่ประเทศลาว หลังจากนั้นได้ขายโรงแรม อัลลัวร์อีกประมาณ 200 กว่าล้านให้นายพันธ์ณรงค์ ขุนพิทักษ์ ซึ่งทำธุรกิจอยู่ประเทศกัมพูชา จึงต้องเปิดบัญชีธนาคารที่ประเทศกัมพูชาเพื่อรับเงินเช่นเดียวกัน

ส่วนบัญชีอื่น ๆ ที่เปิดไว้ที่สิงคโปร์ก็เป็นบัญชีการลงทุน ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกที่นักธุรกิจจะเปิดบัญชีในต่างประเทศ ที่สำคัญคือ ตนไม่ได้ปิดบัง และไม่ได้ไหลเงินออกไปเพราะได้ยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช. ซึ่งเงินจำนวนดังกล่าวตนก็ได้ทยอยใช้ต่อเนื่องทั้งการสร้างบ้านพัก การสร้างอาคารสำนักงานที่ซอยอารีย์ รวมถึงค่าใช้จ่ายส่วนตัวต่าง ๆ รวมแล้วเงินเหลือไม่ถึง 100 ล้าน และตามกฎหมายจะต้องแสดงบัญชีทรัพย์สินทั้งก่อนและหลังดำรงตำแหน่งวุฒิสมาชิก โดยประมาณเดือนพฤษภาคมนี้ก็จะต้องแสดงบัญชีทรัพย์สินอีกครั้ง

นายอุปกิต กล่าวว่า ตนขอยืนยันความบริสุทธิ์ไม่ได้กระทำความผิดตามที่ถูกกล่าวหา เพราะได้ขายบริษัทในเครืออัลลัวร์ทั้งหมดแม้กระทั่งบริษัทอัลลัวร์ พีแอนด์อีซึ่งเกี่ยวพันกับคดีนาย ตุน มิน ลัต ที่ศาลกำลังจะมีคำสั่งเร็ว ๆ นี้ ทั้งหมดทั้งปวงตนไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรเลย ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ ตำรวจไปจับนายตุน มิน ลัต และเกี่ยวพันมาถึงลูกเขย และอดีตเลขาของตนเนื่องจากเส้นการโอนเงินผ่าน Money Changer ช่วงที่มีการปิดด่าน 3 ปี ซึ่งไม่มีเส้นทางอื่นในการโอนเงินและไม่สามารถทราบได้ว่า Money Changer จะใช้บัญชีอะไรในการโอนเงินไปการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค โดยตนเคยทำหนังสือขอความเป็นธรรมไปถึง อดีตอัยการสูงสุดแล้วว่า มีอีกเป็นร้อยบริษัทที่ใช้ Money Changer รายเดียวกัน และเป็นไปไม่ได้ที่ตนจะเอาเงินสะอาดไปฟอกให้สกปรกแล้วเอาไปจ่ายค่าไฟ 

นายอุปกิต กล่าวว่า ความพยายามสร้างความแปดเปื้อนให้กับตน มาจากสาเหตุทางการเมือง โดยเฉพาะนายรังสิมันต์ โรม ที่นำหลักฐานเท็จมาอภิปรายเรื่อง สว.ทรงเอ โดยตนเคยแถลงมาแล้วครั้งหนึ่งว่า เป็นทฤษฎีสมคบคิด แม้กระทั่งปัจจุบันก็ใช้อำนาจหน้าที่ในฐานะประธานกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐฯ เรียกตำรวจ เรียก ป.ป.ส.ไปเร่งรัดคดีของตน ในขณะที่เรื่องของตัวเองอย่างกรณีตั๋วปารีสกลับไม่มีการชี้แจงหรือดำเนินการอะไร

'บิ๊กต่าย' แถลง ตำรวจ ปส. ทลาย 2 เครือข่ายค้ายา ภาคเหนือ และภาคอีสาน ยึดยาบ้ากว่า 14 ล้านเม็ด ปะปนมากับแตงกวา และไอซ์ 100 กก. หวังกระจายในพื้นที่ชั้นใน

ตามนโยบายการแก้ไขปัญหายาเสพติดของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เน้นการจับกุมทำลายเครือข่ายวงจรยาเสพติด ยึดทรัพย์ที่ได้มาจากการค้ายาเสพติด และเร่งรัดในการทำลายยาเสพติดของกลาง โดย พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ได้รับนโยบายจากนายกรัฐมนตรี มาดำเนินการ และได้สั่งการให้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. และ ผู้ช่วย ผบ.ตร. ผู้รับผิดชอบงานยาเสพติด เข้าไปกำกับดูแลสั่งการ 

ซึ่งวันนี้ 24 พ.ย.66 เวลา 10.30 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร./ผอ.ศอ.ปส.ตร. เป็นประธานการแถลงผลการกวาดล้างเครือข่ายยาเสพติดรายใหญ่ 2 เครือข่าย พร้อมด้วย พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศอ.ปส., พล.ต.ท.คีรีศักดิ์ ตันตินวะชัย ผบช.ปส., พล.ต.ต.สมเกียรติ วัฒนพรมงคล, พล.ต.ต.สมบูรณ์ เทียนขาว, พล.ต.ต.ออมสิน ตรารุ่งเรือง, พล.ต.ต.พลัฎฐ์ วิเศษสิงห์ รอง ผบช.ปส., พล.ต.ต. ธนรัชน์ สอนกล้า ผบก.ปส.2, พล.ต.ต.พรศักดิ์ สุรสิทธิ์ ผบก.ปส.4, พล.ต.ต.อิทธิพล จันทร์ศรีบุตร ผบก.ขส. และ พล.ต.ต.วิทัศน์ บริรักษ์ ผบก.สกส. ด้าน ผบช.ปส. เผยว่า บช.ปส. จะเดินหน้าปราบปรามเครือข่ายยาเสพติดทุกเครือข่ายอย่างหนัก รวมไปถึงการสืบสวนขยายผล  ใช้เครื่องมือและกฎหมายที่มีอยู่เพื่อเอาผิดกับเครือข่ายและผู้ที่ร่วมกันให้การสนับสนุนเครือข่ายค้ายาเสพติดอย่างเด็ดขาด เพื่อตัดวงจรการค้ายาเสพติด ขณะเดียวกันก็ได้ขับเคลื่อนงานด้านการป้องกันยาเสพติดควบคู่ไปด้วย ล่าสุด ตำรวจ ปส. สามารถจับกุมผู้ต้องหาและตรวจยึดยาเสพติดได้เป็นจำนวนมาก ได้แก่ ไอซ์ 100 กก. และ ยาบ้า 13,400,000 เม็ด 

คดีที่ 1 ตำรวจ กก.3 บก.ปส.2 ร่วมกับตำรวจ บก.ขส. ร่วมกันสืบสวนติดตามกลุ่มเครือข่ายที่มีพฤติการณ์ลำเลียงยาเสพติดในพื้นที่รับผิดชอบ กระทั่งช่วงบ่ายของวันที่ 19 พ.ย. ที่ผ่านมา พบความเคลื่อนไหวกลุ่มเครือข่ายจะลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่แนวชายแดน ด้าน จว.นครพนม ไปส่งให้กับลูกค้าในเขตพื้นที่ตอนในประเทศ โดยใช้รถยนต์ หมายเลขทะเบียน xx 61xx กรุงเทพมหานคร ในการลำเลียงยาเสพติด เจ้าหน้าที่จึงประสานกำลังกับเจ้าหน้าที่ทหารกองกำลังสุรศักดิ์มนตรี เฝ้าติดตามตามเส้นทางที่ได้รับแจ้ง พบรถเป้าหมายวิ่งไปตามถนนเส้นสกลนคร - อ.สมเด็จ จว.กาฬสินธุ์ ต่อเนื่อง จว.มหาสารคาม  ก่อนจะมาจอดรถติดสัญญาณไฟจราจรที่บริเวณแยกวังยาว ต.เกิ้ง อ.เมือง จว.มหาสารคาม ตำรวจชุดจับกุมได้แสดงตัวเข้าจับกุมพร้อมตรวจสอบพบ นายจักรกฤษ อายุ 36 ปี ชาว จว.กาฬสินธุ์ เป็นผู้ขับขี่ ผลการตรวจค้นรถพบไอซ์ ซุกซ่อนในฝากระโปรงท้ายรถยนต์ รวมจำนวน 100 กก. ด้านผู้ต้องหาให้การว่า ประมาณเดือนกันยายน ที่ผ่านมาได้รู้จักและไปทำงาน กับผู้รับเหมาก่อสร้างรายหนึ่งในหมู่บ้านโคกกลาง ต.ลำปาว อ.เมือง จว.กาฬสินธุ์ ที่ตนอาศัยอยู่ เมื่องานเสร็จผู้รับเหมาได้ย้ายไปที่อื่น ตนจึงไม่มีงานทำ ก่อนจะโทรศัพท์ติดต่อเพื่อของานกับผู้รับเหมารายนี้ จึงแนะนำให้ตนขับรถขนยาเสพติดและถูกจับกุมดังกล่าว ซึ่งหลังการจับกุมเจ้าหน้าที่จะขยายผลหาตัวการใหญ่ในการว่าจ้างลำเลียงยาเสพติดจำนวนนี้ต่อไป เบื้องต้น แจ้งข้อหา “ร่วมกันกับพวกที่หลบหนีจำหน่ายยาเสพติดให้โทษชนิดร้ายแรงประเภท 1 (สารไอซ์) โดยการมีไว้เพื่อจำหน่ายอันเป็นการกระทำเพื่อการค้า ก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชนและทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความปลอดภัยของประชาชนโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย”

คดีที่ 2 ตำรวจ บก.สกส. จับกุม 3 ผู้ต้องหา คือ นายไตร, นายสมชาย และ เยาวชน 1 ราย หลังได้รับแจ้งจากสายลับว่าจะมีเครือข่ายยาเสพติดเตรียมลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่ จว.เชียงใหม่ เพื่อไปส่งให้กับเครือข่ายในพื้นที่ จว.นครศรีธรรมราช โดยบรรทุกมากับกระบะแบบมีคอก และ มีรถนำเส้นทางอีก 1 คัน กระทั่งวันที่ 14 พ.ย. ที่ผ่านมา พบความเคลื่อนไหวของรถเป้าหมายคือ รถกระบะหมายเลขทะเบียน xx 92xx เชียงใหม่ และ รถยนต์หมายเลขทะเบียน xx 5xx เชียงใหม่ กำลังเดินทางลงสู่พื้นที่ภาคใต้ เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงตรวจสอบพบว่ารถได้ขับผ่านพื้นที่ อ.ท่าแซะ จว.ชุมพร แต่ไม่พบรถออกนอกพื้นที่ จึงคาดว่าอาจจะหลบพักอยู่ในพื้นที่ กระทั่งพบรถกระบะจอดพักบริเวณรีสอร์ตแห่งหนึ่ง ในพื้นที่ อ.เมือง จว.ชุมพร 

เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงเข้าตรวจสอบพบว่ารถยนต์คันแรก มีนายไตรภพ เป็นผู้ขับขี่ ให้การว่า ขับรถบรรทุกแตงกวามาเต็มคันรถเพื่อไปส่งลูกค้าที่ จว.นครศรีธรรมราช ส่วนรถคันที่ 2 มีนายสมชาย เป็นผู้ขับขี่ และมีเยาวชน 1 ราย โดยสารมาด้วย เมื่อนายสมชาย เห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้สารภาพว่าได้ขับรถนำสำรวจเส้นทาง สำรวจด่านตรวจของเจ้าหน้าที่ ให้กับรถยนต์ที่ซุกซ่อนยาเสพติดมากับแตงกวา เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงคุมตัวผู้ต้องหา และรถทั้งหมดไปตรวจเอ็กซ์เรย์ที่ด่านตรวจยานพาหนะท่าแซะ จว.ชุมพร ของ กก.2 บก.ปส.4 พบยาบ้าถูกซุกซ่อนอยู่รวมจำนวน 13,400,000 เม็ด สอบถามผู้ต้องหา ให้การว่ายาเสพติดของกลาง ดังกล่าวเป็นของตนเองจริง ซึ่งมีคนว่าจ้างให้ไปรับยาเสพติดในพื้นที่ จว.เชียงใหม่ เบื้องต้นแจ้งข้อหา “ร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดให้โทษชนิดร้ายแรงประเภท ๑ (ยาบ้าหรือเมทแอมเฟตามีน) โดยมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย โดยไม่ได้รับอนุญาต อันเป็นการกระทำเพื่อการค้า และเป็นการก่อให้ เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน และทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ หรือความปลอดภัยของประชาชนทั่วไป”

สำหรับเดือน ตุลาคม 2566 – ปัจจุบัน ตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) ได้จับกุมขบวนการค้ายาเสพติดรายสำคัญ  34 คดี ผู้ต้องหา 58 คน ของกลาง ยาบ้า 34,601,643 เม็ด, ไอซ์ 872.76 กก. เฮโรอีน 25.99 กก., โคเคน 3.61 กก. และตรวจยึดทรัพย์ ไว้ตรวจสอบมูลค่าประมาณ 131.62 ล้านบาท

ฉะเชิงเทรา-กต.ตร.เมืองแปดริ้ว มอบ 100,000 บาท ร่วมกิจกรรมล้วงไหทองการกุศล วันลอยกระทง รายได้จัดซื้อเครื่องมือแพทย์ รพ.วัดสมานรัตนาราม

วันที่ 24 พ.ย.66 นายประชา คล้ายสิงห์ ที่ปรึกษาตำรวจภูธรภาค2 /ประธาน กต.ตร.สภ.เมืองฉะเชิงเทรา ผู้ใหญ่มานัส โท้เป๋า ประธานที่ปรึกษา กต.ตร. และคณะกต.ตร.สภ.เมืองฉะเชิงเทรา มอบเงิน 100,000 บาท แด่ เจ้าคุณพระประชาธรรมนาถ เจ้าคณะจังหวัดฉะเชิงเทรา (ธ) เจ้าอาวาสวัดสมานรัตนาราม เพื่อร่วมกิจกรรมล้วงไหทองการกุศล วันลอยกระทง วัดสมานรัตนาราม อ.เมืองฉะเชิงเทรา รายได้จัดซื้อเครื่องมือแพทย์ รพ.วัดสมานรัตนาราม

รพ.สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ จัดกิจกรรมวันเบาหวานโลก ให้กำลังพลกองทัพเรือ รู้เท่าทันโรคเบาหวาน

เมื่อวันที่ 24 พ.ย.66 พลเรือตรี วีระชัย หลีค้า รองผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน ผู้แทนผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน เป็นประธานในการจัดกิจกรรมวันเบาหวานโลก ( World Diabetes Day) พร้อมด้วย ดร.ศิวัสสา จันโท ประธานชมรมภริยานาวิกโยธิน พร้อมคณะกรรมการแม่บ้านฯ ข้าราชการ ลูกจ้าง กำลังพลและครอบครัว สังกัดหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน กองทัพเรือ ร่วมกิจกรรมฯ 

โดย พล.ร.ต.ดนัย ปานแดง ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ พร้อมคณะผู้บังคับบัญชา และคลินิกเบาหวาน กลุ่มงานอายุรเวชกรรมฯ ร่วมกับคณะกรรมการทีมผู้ดูแลผู้ป่วยเบาหวาน คณะกรรมการ Good home Good health รพ.สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ จัดทำกิจกรรมวันเบาหวานโลก ชื่อกิจกรรม “รู้ว่าเสี่ยง เราเลี่ยงได้ Know your risk Know your response” ให้แก่ ข้าราชการ และครอบครัว ของกองทัพเรือ เพื่อให้เกิดความตระหนักถึงความสำคัญของโรคเบาหวานในระยะแรกของโรคได้ทันท่วงที ลดภาวะแทรกซ้อนเรื้อรังที่จะตามมา ให้ความรู้ในการดูแลรักษาตนเอง รวมไปถึงความดันโลหิต น้ำหนักตัว โรคอ้วน และโรคหัวใจ ณ หอประชุม ศูนย์การฝึกนาวิกโยธิน หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน กองทัพเรือ ค่ายกรมหลวงชุมพร อ.สัตหีบ จว.ชลบุรี 

‘ตำรวจน้ำ-ปอศ.’ บุกรวบ ‘แก๊งค้าน้ำมันดีเซลปลอดภาษี’ คาเรือ พร้อมยึดน้ำมันของกลาง 23 ล้านลิตร โทษปรับ 2.7 พันล้านบาท!!

(24 พ.ย. 66) ที่ชั้น 2 อาคารประชาอารักษ์ กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. พร้อมด้วย พล.ต.ต.พฤทธิพงศ์ นุชนารถ ผบก.รน., พล.ต.ต.พุฒิเดช บุญกระพือ ผบก.ปอศ., พล.ต.ร.ท.ดนัย สุวรรณหงส์ ผอ.ศูนย์ยุทธการ ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ผอ.ศยก.ศรชล.)

และ นายพยุง บุญสมสุวรรณ ผอ.สำนักงานตรวจสอบป้องกันและปราบปราม กรมสรรพสามิต ร่วมแถลงผลจับกุมเครือข่ายลักลอบขนถ่ายน้ำมันเขียวผิดกฎหมาย พร้อมน้ำมันดีเซล กว่า 23,231,700 ลิตร หลังจับกุมได้ในเขตน่านน้ำภายในทะเลอาณาเขต และเขตต่อเนื่องฝั่งอ่าวไทย

พล.ต.ท.จิรภพ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ เจ้าหน้าที่ได้รับการร้องเรียนขบวนการลักลอบนำน้ำมันเขียว หรือ ‘น้ำมันดีเซลปลอดภาษี’ ของกระทรวงพลังงาน ที่ตามปกติจะขายกันอยู่กลางทะเล เพื่อเป็นการลดภาระต้นทุนของชาวประมง ที่เข้ามาขนถ่ายและขายในเขตน่านน้ำทะเลฝั่งอ่าวไทย

พล.ต.ท.จิรภพ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ยังได้มีการแอบขนถ่ายให้กับเรือโดยไม่ได้ขออนุญาตจากเจ้าหน้าที่ศุลกากร สร้างความเสียหายต่อประเทศชาติ และยังส่งผลกระทบไปถึงกลุ่มเรือประมงที่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ แต่ไม่มีน้ำมันเขียวเพียงพอที่จะใช้เติมได้

พล.ต.ท.จิรภพ กล่าวอีกว่า ตนจึงสั่งการให้ พล.ต.ต.พฤทธิพงศ์ จัดกำลังลงพื้นที่ตรวจสอบจนทราบว่ากระทำกันเป็นเครือข่ายใหญ่ ตลอดระยะเวลากว่า 2 ปี สามารถตรวจยึดน้ำมันเขียวของเครือข่ายดังกล่าวได้กว่า 23,231,700 ลิตร พร้อมสืบสวนรวบรวมพยานหลักฐานเรื่อยมา จนสามารถเรียกตัวผู้ที่เกี่ยวข้องมาแจ้งข้อกล่าวหาไปแล้วกว่า 10 ราย

ความผิดฐาน ‘ร่วมกันขนถ่ายสินค้าในเขตต่อเนื่องโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานศุลกากร และเคลื่อนย้ายสินค้าออกไปจากยานพาหนะโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานศุลกากร’ แบ่งเป็น 7 คดี 10 กรรม ซึ่งมีอัตราโทษสูงถึง 2,700 ล้านบาท เบื้องต้นจากการสอบสวนผู้ถูกกล่าวหาส่วนใหญ่จะให้การรับสารภาพ มีบางรายเท่านั้นที่ให้การปฏิเสธ

'นายกฯ' ถก!! 'ปธ.ทีดีอาร์ไอ' หารือนโยบาย ยัน!! รับฟังทุกข้อเสนอแนะอย่างสร้างสรรค์

(24 พ.ย. 66) ที่ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นายสมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) นำคณะผู้บริหารสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย เข้าพบ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เพื่อหารือประเด็นนโยบายด้านการวิจัย โดยมี นายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เข้าร่วมในการหารือ

ประธานทีดีอาร์ไอกล่าวขอบคุณนายกรัฐมนตรีที่ทำงานอย่างหนัก เดินสายไปทั่วโลกทำให้ประเทศไทยกลับสู่เวทีโลก ในฐานะที่ทีดีอาร์ไอทำการวิจัยเชิงนโยบาย โดยในบางเรื่องมีองค์ความรู้และข้อแนะนำที่อาจจะเป็นประโยชน์กับทางรัฐบาล จึงขอนำเสนอ 4 เรื่องต่อรัฐบาล ได้แก่ 

1.การปฏิรูปกฎระเบียบภาครัฐ 
2.การส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ 
3.ประเทศไทยควรจะเข้าเป็นสมาชิกขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา หรือ OECD 
4.ยุโรปจะเก็บภาษีคาร์บอนนำเข้าจากสินค้าของประเทศต่าง ๆ

ซึ่งกลไกทางกฎหมายของประเทศไทยยังไม่มีความพร้อม ดังนั้นจะต้องเตรียมการ ทั้งนี้ หากรัฐบาลเห็นว่ามีเรื่องใดที่เป็นประโยชน์ ทีดีอาร์ไอมีความยินดีที่จะทำงานศึกษาเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนการทำงานของรัฐบาล

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้รับฟังข้อเสนอด้านการวิจัยจากประธานทีดีอาร์ไอ โดยได้กล่าวตอนหนึ่งว่า ส่วนตัวของนายกรัฐมนตรีเป็นคนที่ชัดเจน เข้าใจดีว่าบางเรื่องทีดีอาร์ไอก็เห็นด้วย บางเรื่องก็ไม่เห็นด้วยกับนโยบายของรัฐบาล โดยในการดำเนินการใด ๆ ขอให้คำนึงถึงผลประโยชน์ของพี่น้องประชาชนเป็นที่ตั้งเป็นสำคัญ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรียินดีรับฟังข้อเสนอแนะทั้งที่เห็นด้วยและเห็นต่างอย่างสร้างสรรค์ เพราะถือว่าเป็นการติเพื่อก่อ ซึ่งขอขอบคุณสำหรับข้อเสนอด้านการวิจัยจากทีดีอาร์ไอในวันนี้ โดยจะมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำรายละเอียดไปพิจารณา เพื่อหาแนวทางความเป็นไปได้ในการดำเนินการต่อไป 

‘มวยไทยรากหญ้า’ ครวญ!! ค่าตัวนักชกลดฮวบ แต่ค่าเช่าเวทีพุ่งกระฉูด วอน!! ‘บิ๊กก้อง’ แก้ด่วน

(24 พ.ย. 66) ‘เฮียตี๋’ นายสรศักดิ์ แซ่ตั้ง เจ้าของค่ายมวยทีเด็ด 99 ออกมาโพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวว่า “ดร.ก้องศักด คุณลงมาเดินดินบ้างครับ ไม่ใช่คุยกันอยู่ในห้องอย่างเดียว ทุกวันนี้เวทีมีกำไรวันละ 600,00-700,000 แต่นักมวยค่าตัวถูกยังกับขี้ ช่วยลงมาดูแลหน่อย?”

จากโพสต์ดังกล่าว ผู้สื่อข่าวได้สอบถามไปยัง ‘เฮียตี๋’ โดยได้รับการเปิดเผยว่า ปัญหาของวงการมวยไทยตอนนี้คือ ตกต่ำ ถ้าไม่มีศึกมวย ONE แชมเปี้ยนชิพ นักมวยไทยเลิกชกกันหมดแล้ว ค่าตัวนักมวยไทยตอนนี้ถูกมาก รายการปกติทั่ว ๆ ไปตามเวทีมาตรฐานต่าง ๆ ค่าตัวนักมวยคู่เอกอยู่ที่ 30,000 บาท เมื่อก่อนจะอยู่ที่ 70,000-80,000 บาท ซึ่งสาเหตุหลัก ๆ มาจากเวทีมวยมาตรฐานเวลานี้ไม่ได้แคร์แฟนมวยชาวไทย จึงเก็บค่าเข้าชมการแข่งขันแพงมากจะอยู่ที่ 1,000 บาท สำหรับชาวไทย แล้วสมัยก่อนโปรโมเตอร์แต่ละคน จะจัดมวยไทยแต่ละรายการจะเสียงบฯ ให้กับเวทีมวย 1-2 แสนบาท แต่ปัจจุบันถูกดันราคาไปจนถึง 7-8 แสนบาท นั่นจึงเป็นปัญหาและสาเหตุที่ทำให้โปรโมเตอร์ต้องไปลดค่าตัวนักมวย บางคู่เหลือค่าตัว 10,000 บาท แล้วต่อยแต่ละไฟต์ ต้องพัก 21 วัน คำถามคือ วงการมวยไทยจะอยู่กันอย่างไร จะเดินกันไปข้างหน้าอย่างไร สำหรับมวยไทยระดับรากหญ้า

‘เฮียตี๋’ กล่าวต่อว่า เมื่อ 4-5 เดือนก่อน ตนได้เข้าไปพบกับ ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการ กกท. เพื่อสะท้อนปัญหาดังกล่าวของวงการมวยไทย ให้ทางผู้ว่าการ กกท. รับทราบและแก้ปัญหาโดยเร่งด่วน แต่ที่ผ่านมา 4-5 เดือน ก็ไม่ได้รับการตอบสนองใด ๆ ไม่มีการเรียกไปให้ข้อมูลอีก พอสอบถามไปก็โดนปฏิเสธ จึงอยากเรียกร้องให้ กกท. เห็นใจคนวงการมวย และเข้ามาช่วยแก้ปัญหาด้วยความจริงใจ ไม่ใช่รับฟังปัญหาอยู่ที่สำนักงาน อยากให้ลงพื้นที่มาดูตามเวทีต่าง ๆ ด้วย ที่ผ่านมาแฟนมวยไทยเข้าเวทีน้อยมาก เพราะตั๋วแพง บรรดาเซียนมวยต่าง ๆ จากช่วงแรกที่พ้นโควิด-19 มีประมาณ 300 คน ตอนนี้เหลือกันอยู่ 100 กว่าคน แล้วใครจะเข้าไปดูได้ทุกวัน ค่าตั๋ววันละ 1,000 บาท ที่ตนต้องออกมาเรียกร้องเพราะอยากให้เข้าใจว่าไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง แต่ทำเพื่อวงการมวยไทยระดับรากหญ้า ให้อยู่รอด มิเช่นนั้นเราจะเหลือแต่ชาวต่างชาติเข้าดูมวยไทยในบ้านเรา

ทั้งนี้ เจ้าของค่ายมวยทีเด็ด 99 ยังได้เสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาไปยัง ‘บิ๊กก้อง’ ประกอบด้วย 

1.กกท. จำเป็นต้องเชิญเวทีมวยมาตรฐานมาหารือและกำหนดเกณฑ์เรื่องค่าเช่าสนาม ค่าตั๋วเข้าชมของแฟนมวย รวมไปถึงช่วยเหลือดูแลเรื่องการถ่ายทอดสดเพื่อให้เวทีต่าง ๆ หาสปอนเซอร์ได้ เพราะปัญหาที่ผ่านมาคือ ค่าเช่าสนามแพง ค่าตั๋วเข้าชมแพง

2.หากเวทีมวยต่าง ๆ ไม่ยอมที่จะให้ กกท. มากำหนดดังกล่าวก็อยากเสนอให้ กกท. หารือกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เพื่อหาทางออกที่ควรจะเป็นคือ มีเวทีมวยที่เกิดขึ้นจากภาครัฐ โดยให้ กกท. ตั้งเวทีมวยมาตรฐานขึ้นมาอีก 1 เวที เพื่อเป็นทางเลือกเพราะบุคลากรต่าง ๆ ของกีฬามวยไทยนั้น กกท. ก็ออกใบอนุญาตให้อยู่แล้ว จึงเชื่อมั่นว่า หาก กกท. จริงใจที่จะแก้ปัญหาให้คนมวยไทยระดับรากหญ้าจริง ๆ วงการมวยไทยจะเดินหน้าต่อไปได้แน่นอน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top