Tuesday, 24 June 2025
NewsFeed

‘จิรายุ’ ซัด!! ‘ธนาธร’ พูดเหมือนแกล้งไม่รู้ ปม 5 ด้านพัฒนาประเทศ ‘รัฐบาลพท.’ ทำอยู่แล้ว

(19 พ.ย.66) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณี นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ที่ออกมาเสนอแนวคิดการใช้เงิน 5 แสนล้านบาท โดยเอาไปทำรถเมล์ไฟฟ้า ทำน้ำประปาดื่มได้ เอาไปให้การแพทย์ และเอาไปทำระบบจัดการขยะนั้น ฟังแล้วแปลกใจ เพราะนายธนาธรพูดเหมือนแกล้งไม่รู้ ไม่คิดว่าจะมีแนวคิดย้อนยุค ส่งประเทศกลับไปเป็นแบบรัฐราชการเหมือนในอดีตอีกหรือไม่ เนื่องจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี จะมีส่วนที่เป็นงบสำหรับนโยบายต่างๆ อย่างนี้อยู่แล้ว และรัฐบาลพรรคเพื่อไทย (พท.) ได้เร่งดำเนินการเป็นวาระเร่งด่วนอยู่แล้ว เพียงแค่ 2 เดือนเศษของรัฐบาลก็มีความคืบหน้าอย่างมากมายหลายโครงการ

นายจิรายุ กล่าวว่า วันนี้เครดิตความน่าเชื่อถือของประเทศไทย ดีขึ้นอย่างมากอันจะนำมาซึ่งการลงทุนในด้านต่างๆ ที่ทำให้เศรษฐกิจของประเทศกลับมาคึกคักมากขึ้น การพัฒนาปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานและสวัสดิการของประชาชนสามารถดำเนินการได้ทันที เป็นการทำงานของรัฐบาลที่ผลักดันให้เกิดการเจริญเติบโตของประเทศและการลงทุนในด้านต่างๆ ได้

นายจิรายุ กล่าวอีกว่า ในทางทฤษฎี ในภาวะเศรษฐกิจซบเซามาหลายปี จำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องให้ประชาชนได้มีการจับจ่ายใช้สอยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ทุกหมู่บ้าน ทุกตำบล ทุกอำเภอ ในประเทศจะมีเงินสะพัด การค้าขายดีขึ้น และจะส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศดีขึ้นในทันที สิ่งที่ตามมาก็จะเกิดการลงทุนในด้านต่างๆ ซึ่งการที่นายธนาธรพูดเช่นนั้นตนเชื่อว่ารู้อยู่แล้วว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทยครั้งนี้ เมื่อประสบความสำเร็จก็จะเป็นผลงานของพรรคเพื่อไทยนานเท่านาน เหมือนที่คนไทยชอบพูดว่าพรรคเพื่อไทยมาบริหารเศรษฐกิจก็จะดีทุกครั้งไป ซึ่งอาจกระทบความนิยมของพรรคการเมืองอื่นๆ แต่ตนมั่นใจว่าจากประสบการณ์ของพรรคเพื่อไทยในอดีตจนถึงปัจจุบัน เป็นเครื่องรับประกันได้ว่าจะสามารถนำพาประเทศไทยกลับมาสู่ยุคโชติช่วงชัชวาลได้อีกครั้งอย่างแน่นอน

‘พิมพ์ภัทรา’ เร่งขับเคลื่อน ‘อุตสากรรมฮาลาล’ ตั้งเป้า!! GDP เติบโต 1.2% ภายใน 3 ปี

(19 พ.ย.66) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า คณะกรรมการขับเคลื่อนและติดตามนโยบายการส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมฮาลาลในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ (Southern Economic Corridor : SEC) ได้มีการประชุม ครั้งที่ 1/2566 เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2566 ได้เล็งเห็นโอกาสการเติบโตของอุตสาหกรรมฮาลาลของไทยไปยังตลาดโลก

โดยจากข้อมูลในปี 2564 ตลาดอุตสาหกรรมฮาลาลโลกมีมูลค่าสูงถึง 2.1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งคาดว่าในปี 2567 จะมีมูลค่าตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 2.325 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 7.5 ต่อปี และในปี 2565 มูลค่าการส่งออกอาหารฮาลาลของไทยมีมูลค่า 213,816 ล้านบาท โดยมีส่วนแบ่งในตลาดโลก ร้อยละ 2.7 เป็นอันดับที่ 11 ของโลก

ซึ่งอาหารฮาลาลส่งออกของไทยส่วนใหญ่ ร้อยละ 78 เป็นฮาลาลโดยธรรมชาติ ส่วนที่เหลือร้อยละ 22 ต้องผ่านการรับรองฮาลาล โดยเฉพาะกลุ่มเนื้อสัตว์และอาหารพร้อมรับประทาน

ที่ประชุมคณะกรรมการฯ ได้พิจารณาแนวทางการขับเคลื่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมฮาลาลของประเทศไทย ผ่านกลไกคณะกรรมการอุตสาหกรรมฮาลาลแห่งชาติ (กอฮช.) และการจัดตั้งศูนย์อุตสาหกรรมฮาลาล ซึ่งภารกิจของศูนย์ดังกล่าวครอบคลุมทั้งด้านการส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ

โดยเร่งรัดจัดทำข้อตกลงทางการค้าเพื่อเปิดตลาด ส่งเสริมการขยายตลาดการค้าระหว่างประเทศ และประสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชนทั้งในและต่างประเทศ (National Focal Point) และด้านพัฒนาการผลิตและมาตรฐาน ซึ่งเน้นการทำวิจัยนวัตกรรมเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ฮาลาล

โดยกำหนดสินค้าฮาลาลเป้าหมายในแต่ละปี พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์ฮาลาล ให้คำปรึกษาและแนะนำทางวิชาการ และเป็นศูนย์กลางบูรณาการข้อมูลด้านการผลิตอุตสาหกรรมฮาลาล ซึ่งที่ประชุมมีมติเห็นชอบในหลักการของเรื่องดังกล่าว เพื่อนำเสนอต่อนายกรัฐมนตรี/คณะรัฐมนตรี ต่อไป

ทั้งนี้ ศูนย์ฯ จะช่วยสนับสนุนและส่งเสริมการดำเนินงานของสำนักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย รวมทั้งอำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกอบการอุตสาหกรรมฮาลาลในการขอรับรองมาตรฐานฮาลาลทั่วประเทศต่อไป

นอกจากนี้ กรอบการดำเนินงานของศูนย์อุตสาหกรรมฮาลาล ประกอบด้วย ด้านการขยายตลาดการค้าอุตสาหกรรมฮาลาลใหม่ ๆ ในต่างประเทศ ได้แก่ อาเซียน OIC/ GCC (เช่น สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซาอุดีอาระเบีย) แอฟริกา จีน ผ่านการเจรจาจัดทำกรอบความร่วมมือในการขยายตลาดสินค้าและบริการฮาลาล สร้างความร่วมมือกับหน่วยงานเครือข่ายฮาลาล (Thai Halal Network)

ส่งเสริมและขยายตลาดผ่านกิจกรรมจัดงาน Halal Expo 2024 และกิจกรรมทางการทูต เช่น งาน Thai Night เพื่อเผยแพร่สินค้าฮาลาลไทย ส่งเสริมประชาสัมพันธ์ และสร้างภาพลักษณ์ สินค้าและบริการฮาลาลไทยในภารกิจ MICE

รวมทั้งด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ฮาลาลต้นแบบเพื่อผู้บริโภคมุสลิม ได้แก่ การจัดอบรม การวิจัยและพัฒนา (R&D) การยกระดับบุคลากร และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน พัฒนาและจัดทำต้นแบบ (Role Model) เพื่อยกระดับผู้ประกอบการอุตสาหกรรมฮาลาลเพื่อการส่งออก เช่น โรงงานแปรรูป โรงฆ่าสัตว์ โดยผ่านการให้คำปรึกษา ตรวจประเมิน

โดยกำหนดสินค้าฮาลาลเป้าหมายในระยะแรก เช่น เนื้อสัตว์/อาหารทะเล อาหารแปรรูปพร้อมรับประทาน อาหารฮาลาลโดยธรรมชาติ อาหารมุสลิมรุ่นใหม่ แฟชั่นฮาลาล เครื่องสำอาง ยา/สมุนไพร ท่องเที่ยว เป็นต้น ทั้งนี้ การดำเนินงานภายใต้ศูนย์ฯ คาดว่าจะทำให้ GDP ภาคอุตสาหกรรมขยายตัวได้ร้อยละ 1.2 ภายในระยะเวลา 3 ปี

ชลบุรี-ผวจ.ชลบุรี รับรางวัลผู้ว่าราชการจังหวัด "สำเภาทอง" ปี 66 จาก มท.1 

ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี ได้รับรางวัลผู้ว่าราชการจังหวัด "สำเภาทอง" ประจำปี 2566 จากนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย

วันอาทิตย์ที่ 19 พฤศจิกายน 2566 เวลา 08.45 น. นายธวัชชัย ศรีทอง ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี เข้าร่วมการสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศ ครั้งที่ 41 (90 ปี หอการค้าไทย) และรับฟังการปาฐกถาพิเศษเรื่อง "The time  to act is now พลิกวิกฤต ฟื้นเศรษฐกิจไทยให้ยั่งยืน"  โดยนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ณ ภิรัชฮอลล์ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค (BITEC) กรุงเทพมหานคร

ทั้งนี้ นายธวัชชัย ศรีทอง ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี ได้รับรางวัลผู้ว่าราชการจังหวัด "สำเภาทอง" ประจำปี 2566 จากนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และนายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย

สำหรับ “รางวัลสำเภาทอง” หอการค้าไทย ได้ดำเนินการมอบรางวัลผู้ว่าราชการจังหวัด ที่มีส่วนร่วมกับภาคเอกชนในการบริหารงานจังหวัด แบบบูรณาการเป็นประจำทุกปี เพื่อเป็นกำลังใจและเป็นเกียรติแก่ผู้ว่าราชการจังหวัด ที่มุ่งเน้นให้ผู้ที่เกี่ยวข้องในภาคส่วนต่างๆ มีโอกาสเข้าร่วมใน 4 มิติ ประกอบด้วยมิติ ด้านความร่วมมือและการมีส่วนร่วม ด้านการสนับสนุนการดำเนินงานของหอการค้าจังหวัด ด้านการบริหารราชการจังหวัด และด้านความสัมพันธ์และทัศนคติ 
ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัด นับเป็นผู้มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง ในการเป็นผู้นำพัฒนา และการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในจังหวัด ตามยุทธศาสตร์ การบริหารงานราชการแบบมีส่วนร่วม ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน

นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี ก012 ชลบุรี 0909535645

“ชวน” ชี้กองทัพต้องมีความมั่นคงทางการทหาร การจะซื้ออาวุธต้องเท่าที่จำเป็น ขณะที่หลักสูตร มส.รุ่น 16 เปิดอบรมอย่างเป็นทางการ

วันที่ 18 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ที่อาคารออดิทอเรียม โรงแรมเซ็นทรา บายเซ็นทารา ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ 

พลเอก จรัล กุลละวณิชย์ ประธานมูลนิธิจัดการเพื่อความมั่นคง เป็นประธานเปิดการอบรมหลักสูตรการบริหารจัดการด้านความมั่นคงขั้นสูง (มส.) รุ่นที่ 16 โดยผู้เข้ารับการอบรมเป็นผู้บริหารระดับสูงจากภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์กรสาธารณะ จำนวน 150 คน

พลเอก ดร. มารุต ปัชโชตะสิงห์ผู้อำนวยการหลักสูตรการบริหารจัดการด้านความมั่นคงขั้นสูง กล่าวถึงวิสัยทัศน์หลักสูตร มส. 4 สร้าง ประกอบด้วย สร้างความมั่นคงแห่งชาติ สร้างความมั่นคงของมนุษย์ สร้างความรับผิดชอบต่อสังคม และสร้างคุณธรรมและจริยธรรม

ทั้งนี้ ผู้อบรมจะได้ศึกษาและรับทราบข้อมูลใหม่ๆ ที่ทันสมัยเป็นการเสริมสร้างทักษะการวิเคราะห์สภาวะแวดล้อมที่แปรเปลี่ยนในปัจจุบัน เกี่ยวกับความมั่นคงของมนุษย์ในด้านต่างๆ สามารถสังเคราะห์แนวทาง ในการเสริมสร้างปัญญาอย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนการเสริมสร้างความรับผิดชอบต่อสังคม นำความรู้และประสบการณ์ที่ได้รับไปประยุกต์ใช้ ให้เกิดประโยชน์ต่อองค์การ สังคมและประเทศชาติอย่างเป็นรูปธรรม

ด้าน นายชวน หลีกภัย อดีตประธานรัฐสภา กล่าวบรรยายพิเศษตอนหนึ่งถึงความมั่นคงด้านทหาร สมัยที่เป็นรัฐมนตรีกลาโหมมองว่า กองทัพเขามีความจำเป็นที่ต้องมีอาวุธ เพียงแต่ว่าอาวุธนั้นต้องมีคุณภาพ ไม่ใช่ซื้อตามที่พ่อค้าแม่ค้าขายอาวุธมาขอให้ซื้อ แล้วเมื่อซื้อแล้วอีก 10 ปี ก็ไม่ได้ใช้ เพราะมันไม่มีสงคราม และไม่รู้แท้จริงแล้วอาวุธนั้นใช้ได้หรือไม่ 

สมัยนั้นตนได้พูดกลางที่ประชุมสภากลาโหม ตอไปนี้ทำอะไรทุกอย่างต้องตรงไปตรงมา จะไม่มีใครมาวิ่งรัฐมนตรีซื้ออาวุธอีกแล้ว หรือการใช้หน่วยทหารวางแผนโกงเลือกตั้งหรือจะสั่งให้ทหารเวียนเทียนเลือกตั้งจะไม่มี ต้องทำตรงไปตรงมา 

นอกจากนี้ ยังได้ปฏิรูปกองทัพ โดยสั่งยกเลิกนายพลแดดเดียว ขอเปลี่ยนตัว ผบ.ทบ. ที่ถูกเสนอชื่อมา โดยขอเลือกทหารที่สุจริตเชื่อถือได้ คือ พลเอก สุรยุทธ จุลานนท์ มาช่วยปฏิรูปกองทัพ มีการปรับกองทัพ ปรับทูตทหาร รวมสำนักงานให้อยู่ที่เดียวกัน ประหยัดงบประมาณ สิ่งไหนที่ไม่จำเป็นก็ยกเลิกไป

'สุวัจน์' ยินดี 'แอนโทเนีย' หลานย่าโม คว้ารอง 1 มิสยูนิเวิร์ส 2023 พร้อมขอบคุณที่สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยในเวทีระดับโลก

(19 พ.ย.66) นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรคชาติพัฒนากล้า แสดงความยินดีกับ น.ส.แอนโทเนีย โพซิ้ว มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2023 ตัวแทนประเทศไทย ที่สามารถคว้าตำแหน่งรองชนะเลิศอันดับที่ 1 Miss Universe 2023 ในการประกวดนางงามจักรวาล ครั้งที่ 72 รอบตัดสิน (Final Competition) ที่จัดขึ้น ณ ยิมเนเซียมแห่งชาติ ในกรุงซานซัลวาดอร์ ประเทศเอลซัลวาดอร์ เช้าวันนี้ (ตามเวลาประเทศไทย)

โดยนายสุวัจน์ ได้แสดงความชื่นชมและขอบคุณแอนโทเนีย โพชิ้ว ซึ่งเป็นชาวโคราช หลานย่าโม ที่ได้ทำหน้าที่ตัวแทนประเทศไทยอย่างดีที่สุด จนสามารถคว้าตำแหน่งรองชนะเลิศอันดับที่ 1  Miss Universe 2023 มาครอง นอกจากนี้แอนโทเนียยังได้เผยแพร่ซอฟต์พาวเวอร์วัฒนธรรมไทยที่งดงามโดดเด่นแก่สายตาชาวโลก โดยเฉพาะชุดแต่งกายประจำชาติ ‘เทพธิดาอาณาจักรอยุธยา’ ที่ได้รับแรงบันดาลจากรูปปั้นพระแม่ธรณีในช่วงยุคสมัยอยุธยาของอาณาจักรสยามที่มีอยู่ในช่วงทศวรรษที่ 14 ถึง 18 

“ปีนี้เป็นปีครบ 555 ปี เมืองโคราช การได้ครองตำแหน่งรองชนะเลิศอันดับที่ 1 ครั้งนี้ของแอนโทเนีย นับเป็นเรื่องที่ชาวโคราชภาคภูมิใจและมีความสุขกับความสำเร็จของหลานย่าโมคนนี้ ที่ได้สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยในเวทีระดับโลก ได้ใจคนโคราชและคนไทยทั้งประเทศ” นายสุวัจน์ กล่าว

สำหรับ แอนโทเนีย โพซิ้ว เธอเกิดเมื่อวันที่ 3 พ.ย. 1996 (พ.ศ. 2539) ปัจจุบันอายุ 27 ปี เป็นเจ้าของแฮชแท็ก #หลานย่าโมจะGOจักรวาล มารดาของแอนโทเนียเป็นคนไทยและเป็นชาวโคราช บิดาเป็นชาวเดนมาร์ก ก่อนการประกวด เธอได้เข้าสักการะกราบเท้าย่าโม ณ อนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี และยังเข้ากราบขอพรที่วัดศาลาลอย ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่ที่ท้าวสุรนารีสร้างขึ้น นอกจากนี้ แอนโทเนีย ยังชอบทำและชอบกินผัดหมี่โคราชด้วย

'แอนโทเนีย’ ขอบคุณทุกแรงหนุนที่ทำให้ยืนอยู่ตรงนี้ พร้อมขอโทษที่ไม่สามารถคว้ามงกุฎกลับมาได้

(19 พ.ย.66) เปิดใจ 'แอนโทเนีย โพซิ้ว' หลังคว้าตำแหน่งรองชนะเลิศอันดับ 1 มิสยูนิเวิร์ส 2023 (Miss Universe 2023) ครั้งที่ 72 จากประเทศเอลซัลวาดอร์ ซึ่งปีนี้สาวไทยสวยและเก่งมาก สามารถเข้ารอบ 3 คนสุดท้าย เข้ารอบตัดสินลึกที่สุดในรอบประวัติศาสตร์ 35 ปี

ล่าสุด 'แอนโทเนีย' ได้อัปเดทความรู้สึกหลังจากจบการประกวด ผ่านอินสตาแกรม โดยระบุว่า…

“ไม่มีคำพูดใดที่สามารถอธิบายความรู้สึกของแอนได้ในตอนนี้ แอนทุ่มสุดตัวบนเวทีคืนนี้เพื่อประเทศไทยเพื่อทุกคนที่เชื่อในตัวแอน และเป็นส่วนหนึ่งของการเดินทางของแอน แอนขอโทษที่ไม่สามารถนำมงกุฎกลับบ้านให้เราได้ และแอนก็รู้สึกขอบคุณอย่างมากสำหรับความรักและการสนับสนุนทั้งหมดที่มีให้แอนตลอดการเดินทางครั้งนี้”

“หากปราศจากการสนับสนุนของทุกคน วันนี้แอนคงไม่ได้ยืนอยู่ที่นี่ อย่างที่แอนเคยบอกไปแล้วก็คือ ไม่ใช่มงกุฎและสายสะพายที่สำคัญที่สุด แต่จริงๆ แล้วสิ่งที่ทุกๆ คนทำให้แอนทุกช่องทางที่คุณมีนั้นสำคัญที่สุด แอนจะทำงานต่อไปเพื่อความฝันของแอน และหวังว่าทุกคนจะร่วมเดินทางไปกับแอนในทุกเส้นทางที่แอนจะก้าวไป สำหรับที่นี่ แอนหวังว่าแอนจะเป็นแสงสว่างนำทางให้กับทุกคนที่มีความฝันต่อไป ความฝันที่รู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ กล้าที่จะก้าว ครั้งแรกนั้นคุณไม่มีทางรู้ว่าคุณจะไปจบอยู่ที่ไหน แต่เส้นทางนั้นจะพาคุณไปและคุณจะพบกับใครตามทาง แอนอยากจะบอกว่าแอนรักคุณทุกคนจากก้นบึ้งของหัวใจ ขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะคะ”

‘หลวงพ่อพระครูโพธิวนานุรักษ์’ เจ้าอาวาสวัดป่าวิเวกธรรมชาน์ ประสบอุบัติเหตุ มรณภาพด้วยอาการสงบ สิริอายุ 64 ปี

เมื่อวันที่ 19 พ.ย. 66 คณะศิษย์แจ้งข่าว หลวงพ่อพระครูโพธิวนานุรักษ์ ประสบอุบัติเหตุกิ่งไม้หล่นใส่ รุนแรงและกะทันหัน อาการทรุดลงตามลำดับ หลวงพ่อมรณภาพด้วยอาการสงบ สิริอายุ 64 ปี ถวายความอาลัย น้อมกราบหลวงพ่อสู่พระนิพพาน ถวายความอาลัย

กรณีหลวงพ่อพระครูโพธิวนนุรักษ์ (พระรรณจิตต์ แสงผา) เจ้าอาวาสวัดป่าวิเวกธรรมชาน์ สาขาที่ 7 วัดหนองป่าพง อำเภอม่วงสามสิบ อุบลราชธานี ซึ่งประสบอุบัติเหตุรุนแรงกะทันหันจากกิ่งไม้หล่นใส่ และหลวงพ่อได้เข้ารับการรักษาที่ รพ.สรรพสิทธิประสงค์อุบลราชธานี เมื่อวันที่ 16 พ.ย. 66 คณะแพทย์ได้ดูแลรักษาอาการอย่างใกล้ชิด ร่วมกับการใช้เครื่องช่วยหายใจอย่างเต็มความสามารถ แต่หลวงพ่ออาการทรุดลงตามลำดับ จนล่วงเลยถึงวันที่ 17-18 พ.ย.66 พระครูโพธิวนานุรักษ์ มีอาการทรุดลงและได้มรณภาพด้วยอาการสงบ

เมื่อวันที่ 19 พ.ย. 66 เวลา 18.32 น. สิริอายุ 64 ปี 44 พรรษา วัดป่าวิเวกธรรมชาน์ และคณะแพทย์ผู้ดูแลรักษา จึงขอประกาศแจ้งข่าวการมรณภาพของพระครูโพธิวนนุรักษ์มา ณ ที่นี้ ส่วนกำหนดการอื่นๆ ทางวัดจะได้แจ้งให้ทราบต่อไป คณะศิษย์น้อมกราบส่งหลวงพ่อสู่พระนิพพาน ก่อนหน้านี้

หลังเกิดอุบัติกับหลวงพ่อ คณะศิษย์ได้ขอรับบริจาคโลหิตกรุ๊ปโอในการผ่าตัด โดยขอบอกบุญและเชิญชวนผู้มีจิตเป็นกุศล ร่วมบริจาคเลือดได้โดยตรงที่ ธนาคารเลือดโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ อุบลราชธานี

ย้อนฟังคำตอบในรอบตอบคำถาม 5 คนสุดท้ายของ ‘แอนโทเนีย โพซิ้ว’ Miss Universe Thailand 2023

(20 พ.ย. 66) ย้อนฟังคำตอบในรอบตอบคำถาม 5 คนสุดท้ายของ ‘แอนโทเนีย โพซิ้ว’ Miss Universe Thailand 2023 และ รองอันดับ 1 Miss Universe 2023 กับคำถาม ‘ถ้าคุณได้พูดกับนักเรียนเกี่ยวกับการโดนบูลลี่ออนไลน์ จะพูดว่าอย่างไร?’ ซึ่ง แอนโทเนีย ได้ระบุว่า…

“อย่าไปฟังเสียงของคนที่พูดบูลลี่ ขึ้นอยู่กับเราว่าจะตอบโต้สถานการณ์นั้นอย่างไร สิ่งสำคัญคือการลุกขึ้น…มาจากช่วงเวลาที่ยากลำบากนั้น”

‘อี้ แทนคุณ’ บี้!! สส.ก้าวไกล เชียงใหม่ สารภาพผิดต่อสังคม หลังถูกแฉ ‘​ปลอมลายเซ็น-อมเงิน-ยื่นเอกสารเท็จให้ กกต.’

เมื่อวันที่ (19 พ.ย. 66) ดร.แทนคุณ​ จิตต์​อิสระ​ รักษา​การ​ประธาน​คณะกรรมการ​ส่งเสริม​สิทธิ​มนุษยชน​และ​ความ​เสมอภาค​ระหว่าง​เพศ​ พรรค​ประชา​ธ​ิ​ปัตย์​กล่าว​ถึง​กรณี​ ตนได้รับทราบข้อมูล​จากแหล่งข่าวกล่าวว่า มีสส.ก้าวไกล จังหวัด​เชียงใหม่​ ปลอมลายเซ็นผู้​อื่นและแจ้งยอดเงินไม่ตรงกับที่จ่าย มีบางรายไม่ได้รับเงินสักบาท แต่ถูก​สวมสิทธิ​เซ็นชื่อรับเงิน ซ้ำร้ายนำส่งเอกสารปลอมยอดเงินเท็จและการหลอกนำบัตรประชาชน​ของผู้เสียหายไปประกอบเอกสารเท็จยื่นบัญชี​รายรับ-รายจ่ายการลงสมัคร สส.ให้ กกต. โดยไม่เป็นไปตามข้อเท็จจริง​ 

เมื่อตนได้รับหลักฐาน ​คือ ใบแจ้งความ​ที่ไปพบพนักงานสอบสวนและทราบว่า สส.คนดังกล่าวไปรับทราบข้อกล่าวหาแล้ว โดยภายหลังสมาชิกพรรคก้าวไกลและถูกปลอมลายเซ็นและนำสำเนาบัตรประชาชนไปแอบอ้างในการรับเงินค่าจ้างผู้ช่วยหาเสียงโดยได้มีการรับเงินเป็นจำนวน 13,490 บาท แต่กลับไม่ได้​รับเงินเลยสักบาท และผู้เสียหาย อีก 2 รายได้รับเงินมาเพียง 9,000 บาท ถูกทำเอกสารปลอมว่ารับเงินจำนวน 18,020 บาท โดยมีการนำบัตรประชาชนของผู้เสียหาย​ทั้ง 3 รายไปปลอมลายเซ็นแอบอ้างทำเอกสารเท็จยื่นต่อสำนักงานคณะกรรมการเลือกตั้ง ( กกต.) ประจำจังหวัดเชียงใหม่ 

หลังจากเกิดเหตุผู้เสียหายได้รับความสนใจและสนับสนุนจากคนที่เป็นสมาชิกพรรคก้าวไกลที่เริ่มตาสว่างเห็นถึงพฤติกรรมของนักการเมืองพรรคนี้โดยตนและพวก ได้ร่วมกันนำกระดาษที่มีข้อความตำหนิ สส. คนดังกล่าวที่ป้ายพรรคก้าวไกลเชียงใหม่ เช่น ต้องการความยุติธรรม ซื่อตรง โปร่งใส เป็นธรรม ปกปักรักษาสร้างหรือยึดถือคุณธรรม คัมภีร์ไหนนี่หรือประชาธิปไตย เช้า 17 พ.ย. สส.เขต 8 ย่องเงียบรับทราบข้อกล่าวกับ กกต. ต้องการให้ สส. หยุดปฏิบัติหน้าที่ เป็นต้น 

โดยตนได้รับข้อมูลเพิ่มเติมจากคนที่รักพรรคก้าวไกล​ด้วยหัวใจ แต่กลับถูกทรยศซ้ำ ๆ และกล่าวหาใส่ร้ายพวกตนหลายเรื่องจนพวกตนทนไม่ไหวและได้รวบรวม​หลักฐาน​และความกล้าหาญ​ปรึกษา​หารือกันเพื่อแจ้งความ​ดำเนินคดี​กับ สส.คนดังกล่าว​ โดยความมุ่งหมายคือต้องการเปิดโปงพฤติกรรมของ สส.คนดังกล่าวที่ยังมีรายละเอียดอีกเยอะมากที่พวกตนมีข้อมูลเพราะพวกตนคือคนใกล้ชิดจริง ๆ

โดยอยากให้ สส. คนนี้ยอมรับความจริง ออกมาสารภาพ​ต่อสังคมและลาออกก่อนจะถูกเปิดโปงจนไม่มีที่ยืน เพราะคดีนี้เป็นคดีอาญาแผ่นดินพวกตนพร้อมพลีชีพเพื่อพิสูจน์ความจริงต่อไป

'ดร.ไตรรงค์' ชี้!! นักการเมืองไทยต้องเรียนรู้จาก 'ซุนวู' เมื่อมีอำนาจ คิดทำสิ่งใดต้องปรึกษาผู้รู้ ลด-เลี่ยงหายนะที่จะเกิดกับประเทศชาติ

(20 พ.ย. 66) นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี ประธานที่ปรึกษาพรรครวมไทยสร้างชาติ โพสต์เฟซบุ๊กเรื่อง สิ่งที่นักการเมืองไทยต้องเรียนรู้จาก ‘ซุนวู’ ระบุว่า…

ซุนวู เป็นปราชญ์ที่เกิดในสมัยชุนชิวของจีน (ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนที่เล่าจื้อและขงจื้อจะถือกำเนิดขึ้นในโลกนี้) เขาเป็นนักการทหารที่เขียนตำราพิชัยสงครามที่ปัจจุบันได้รับการแปลเป็นหลายภาษา เช่น ไทย, อังกฤษ, ฝรั่งเศส, ญี่ปุ่น, เยอรมัน, และรัสเซีย ฯลฯ

ซุนวู (Sun Wu) เป็นเพื่อนรักของขุนพลหวู่จื่อซี (Wu-Zi-Xu) ซึ่งเป็นผู้ได้ชักชวนซุนวูให้เข้ารับราชการในแคว้นหวู๋ (Wu) จนได้รับแต่งตั้งให้เป็นนายพลและเสนาธิการในกองทัพของกษัตริย์แคว้นหวู๋ ที่มี เหอ หลิวเป็นกษัตริย์ (King He Lu)

กษัตริย์ เหอ หลิว ได้ใช้ตำราพิชัยสงครามของซุนวู และรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับทั้งสองนายพลโดยมีซุนวูเป็นเสนาธิการ จนสามารถตีแคว้นเย่ว์ (Yué) ได้ แต่แคว้นฉู่ (Chu) ยังยืนหยัดอยู่ได้แม้จะต้องเสียเมืองหลายเมืองให้กับแคว้นหวู๋ เหตุที่ไม่สามารถยึดแคว้นฉู่ (Chu) ได้ทั้งหมดก็เพราะ กษัตริย์ไม่เชื่อฟังคำแนะนำของทั้งสองนายพลที่ให้หยุดทำสงครามก่อนเพราะทหารตายไปมาก ที่เหลือก็หมดแรง 

แต่กษัตริย์กลับไปฟังคำแนะนำของขุนนางสอพลอที่ไม่เคยมีทฤษฎีและประสบการณ์ในการทำสงคราม แคว้นฉู่ได้รับความช่วยเหลือจากกองทหารที่ยังเหลือของแคว้นเย่ว์ จึงสามารถรบชนะกองทัพของแคว้นหวู๋ (Wu) กษัตริย์ต้องนำทัพพ่ายแพ้กลับแคว้นของตนอย่างน่าอับอาย

อยู่ต่อมาเมื่อกษัตริย์ของแคว้นเย่ว์เสียชีวิตลง โกวเจี้ยน (Gou Jian) บุตรชายขึ้นเป็นกษัตริย์ กษัตริย์เหอ หลิว ฉวยโอกาสยกทัพ 100,000 คน เพื่อไปตีแคว้นเย่ว์อีก โดยไม่ฟังคำคัดค้านของทั้งสองขุนพลที่เห็นว่าประเพณีจีนในสมัยนั้น แม้จะเป็นศัตรูกันแต่เขาจะไม่ยกทัพไปโจมตีแคว้นที่กษัตริย์เพิ่งเสียชีวิต เพราะเป็นการซ้ำเติมประชาชนที่กำลังเศร้าโศกกับการจากไปของกษัตริย์อันเป็นที่รักของเขา และถ้าใครฝืนประเพณีนี้ แคว้นอื่น ๆ ก็จะประณามและจะยกทัพมาช่วยแคว้นเย่ว์ อีกทั้งทหารของตนก็ยังไม่หายเหนื่อย

ผลของการไม่ฟังคำแนะนำของผู้ชำนาญทั้งทฤษฎีและประสบการณ์ โดยอวดดีประกาศยกทัพไปเองไม่ต้องให้ขุนพลทั้งสองไปร่วมนำทัพอย่างที่เคยทำมา ผลปรากฏว่ากองทัพของแคว้นหวู๋ต้องพ่ายแพ้กลับมาอย่างยับเยิน ตัวกษัตริย์เหอ หลิวได้รับบาดเจ็บสาหัส ต้องยกทัพกลับมาตายที่แคว้นหวู๋ ก่อนหมดลมหายใจ ได้สั่งเสียบุตรชายคือ ฟูชา (Fu Cha) ที่จะขึ้นเป็นกษัตริย์แทนว่า “จงอย่าลืมว่า กษัตริย์โกว เจี้ยน เป็นผู้ฆ่าบิดาของเจ้า (Don’t forget it’s Gou Jian who kill your father)” 

แต่เอาจริง ๆ เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า คนที่ฆ่ากษัตริย์ เหอ หลิว นั้นไม่ใช่ใครอื่น แต่ก็คือตัวของเขาเอง เพราะมีทิฐิมานะสูง ใช้อำนาจเป็นใหญ่กว่าเหตุผลที่ทั้งสองขุนพล คือ หวู่จื่อซี และ ซุนวู ได้ถวายคำแนะนำและห้ามปรามเอาไว้แล้วว่า องค์ประกอบทุกอย่างไม่เหมาะที่จะยกทัพไปตีแคว้นเย่ว์จึงถูกแคว้นต่าง ๆ รุมกันประชาทัณฑ์ยกทัพมาช่วยแคว้นเย่ว์ จนกษัตริย์ เหอ หลิว ต้องพ่ายแพ้และเสียชีวิตอย่างน่าอับอายในที่สุด

นักการเมือง เมื่อมีอำนาจก็เช่นเดียวกัน ในการขับเคลื่อนนโยบายใด ๆ จำเป็นต้องเปิดใจรับฟังทั้งจากผู้เชี่ยวชาญทางทฤษฎีและจากผู้มีประสบการณ์ในการบริหารประเทศมาก่อน แล้วเอามาชั่งน้ำหนักดูว่า ถ้าเราขืนดันทุรังด้วยทิฐิมานะ ทั้ง ๆ ที่แอบเฉลียวใจอยู่แล้วว่า อาจจะเกิดความเสียหายแก่ประเทศไม่ทางใดก็ทางหนึ่งก็ควรจะทำลายกิเลสและทิฐิมานะนั้นของตนเสียโดยการกระทำ ‘อตัมมยตา’ ตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแนะนำ ไว้ (ท่านพุทธทาสภิกขุ แปลว่า ‘กูไม่เอาด้วยกับมึง’) เมื่อจิตอยู่ในสภาวะปกติแล้วก็ค่อยมาพิจารณาตัดสินใจนโยบายที่จะออกมาก็จะเข้ารูปเข้ารอยและมีเหตุผลมากยิ่งขึ้น

ความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นก็สามารถจะหลีกเลี่ยงได้ ไม่ต้องประสบกับความหายนะเหมือนอย่างกษัตริย์ เหอ หลิว แห่งแคว้นหวู๋ของประเทศจีนโบราณ ดั่งเล่าให้ฟังมาแล้วข้างต้น

#หมายเหตุ รายละเอียดเกี่ยวกับประวัติศาสตร์จีนที่เล่ามา สามารถจะหาอ่านได้ในหนังสือชื่อ ‘The Unbroken Chain’ ร่วมกันเขียนโดย ดร.ไตรรงค์ สุวรรณคีรี และศาสตราจารย์วู (Trairong Suwankiri และ Professor Wu Ben Li. ค.ศ.2016 พิมพ์ที่ China International Culture Press Hongkong. หน้า 94-109


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top