Tuesday, 24 June 2025
NewsFeed

‘จีน’ ผุดมาตรการ ‘กระตุ้นการท่องเที่ยว’ ภายในประเทศ ชู ‘ของดีท้องถิ่น’ หลากหลาย สร้างประสบการณ์ใหม่ไม่รู้ลืม

เมื่อวานนี้ (13 พ.ย.66) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า กระทรวงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวของจีน ออกแผนการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ โดยมุ่งนำเสนอผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยวที่หลากหลายยิ่งขึ้น

แผนการระบุว่า ควรมีการเปิดตัวโครงการท่องเที่ยวใหม่ๆ ที่เหมาะสำหรับนักเรียนนักศึกษาและผู้สูงอายุ รวมถึงจัดการท่องเที่ยวน้ำแข็ง-หิมะ การท่องเที่ยวทางทะเล การล่องเรือ การผจญภัย การชมดาว และการเดินชมเมืองมากยิ่งขึ้น

นอกจากนั้น แผนการข้างต้นมุ่งปรับปรุงประสบการณ์การบริโภคระหว่างการท่องเที่ยว ให้บริการสาธารณะที่ดีขึ้น จัดทัวร์พิพิธภัณฑ์เสมือนจริง และเสริมสร้างข้อบังคับของตลาด

อนึ่ง จีนรายงานปริมาณการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศกว่า 2.38 พันล้านครั้ง ช่วงครึ่งแรกของปี 2023 (มกราคม-มิถุนายน) ซึ่งสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว 2.3 ล้านล้านหยวน (ราว 11.36 ล้านล้านบาท)

กระแสสอย ‘71 สส.ฉาว’ จากหลากพรรคเงียบกริบ ปล่อยนั่งชูคอกินเงินเดือนในสภาฯ ไร้การตรวจสอบ

ครบ 6 เดือนเต็มแล้วที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไป เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมา จำนวน สส.เขต 400 สส.บัญชีรายชื่อ 100 คน รวมเป็น 500 คน

กกต. รับรองผลการเลือกตั้ง สส.ทุกคนที่ได้รับคะแนนเสียงสูงสุดในระบบเขตเลือกตั้ง ท่ามกลางการร้องเรียนเรื่องการทำผิดกฎหมายเลือกตั้งมากมาย จน กกต.ทำงานไม่ทัน มีเรื่องร้องเรียนทั้งซื้อเสียงเลือกตั้ง จัดเลี้ยง กล่าวหาว่าร้าย (ใส่ร้าย) คู่แข่ง แต่ กกต.ไม่มีปัญญาจับคนทำผิดกฎหมายได้เลยแม้แต่รายเดียว ทั้ง ๆ ที่ กกต.มีกลไกมากมาย ทั้งส่วนกลาง และระดับจังหวัด ทั้งยังมีผู้ตรวจการเลือกตั้งเป็นตัวช่วยอยู่อีกด้วย

ชาวบ้านทุกหย่อมหญ้ารับรู้รับทราบถึงการซื้อเสียงกันครึกโครม ตั้งแต่หัวละ 500-2,000 บาท แต่ละเขตเลือกตั้งผู้สมัครที่คาดหวังว่าจะได้ทุ่มกันเขตละ 20-30-50 ล้านบาท แต่ กกต.กลับไม่มีข้อมูล ไม่มีหลักฐานอะไรที่จะไปสืบเสาะมาได้เลย ทั้ง ๆ ที่มีฝ่ายสืบสวน ฝ่ายสอบสวนอยู่พร้อมสรรพ

เสร็จการเลือกตั้งจึงมีเรื่องร้องเรียนการทำผิดกฎหมายเลือกตั้งมากมาย ผู้ร้องต้องหาหลักฐานไปส่งให้ กกต.เอง แต่จะด้วยเหตุผลอะไรไม่ทราบ ก่อนการเลือกตั้ง กกต.ไม่มีปัญญาสอยผู้สมัครรายใดได้เลย แม้แต่รายเดียว แถมเสร็จการเลือกตั้ง กกต.กลับรับรองผู้สมัครรับเลือกตั้ง ที่มีคะแนนอันดับ 1 และมีเรื่องมีราวร้องเรียนอยู่ เข้าไปเดินเฉิดฉายอยู่ในสภา นั่งชูคอสะล่อนเกือบครึ่งสภา ไม่มีใบแดง ใบเหลือง หรือใบส้ม ใบดำ เลยแม้แต่ใบเดียว

แถมยังออกมานั่งชูคอแถลงข่าวคอเป็นเอ็น ‘ผลการเลือกตั้งเป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ เที่ยงธรรม’ เป็นการแถลงรับรองผลการเลือกตั้ง ท่ามกลางข้อร้องเรียน และความสงสัยของชาวบ้าน

ก่อนหน้านี้เมื่อสักสองเดือนก่อน มีข้อมูลหลุดออกมาจาก กกต.ว่า เตรียมสอย สส. 71 เขต จากทั้งหมด 400 เขต จากพรรคการเมืองหลักเกือบทุกพรรค ทั้งเพื่อไทย ก้าวไกล ภูมิใจไทย ประชาธิปัตย์ พลังประชารัฐ รวมไทยสร้างชาติ มีระบุชัดว่ามีจังหวัดไหน เขตไหน แต่แล้วข่าวนี้ก็หายไปตามกระแสลมหวน ไม่มีข่าวไม่มีคราวความคืบหน้าอะไรออกมาอีกเลยจนถึงวันนี้

6 เดือนเต็มที่ กกต.ปล่อยให้ผู้ถูกร้องเรียน และส่อว่าจะมีมูล เข้าไปนั่งอยู่ในสภาอันทรงเกียรติ กินเงินเดือน เบี้ยเลี้ยง ค่าเดินทางจากภาษีประชาชน เดือนละ 2-3 แสนบาท แถมบางคนไม่ได้เป็น สส.ที่มีส่วนร่วมอยู่ในการทำความผิดต่อกฎหมายเลือกตั้ง กลับได้รับการแต่งตั้งให้มีตำแหน่งทางการเมือง เข้าไปเบ่งกล้ามอยู่ในทำเนียบบ้าง ในกระทรวงต่าง ๆ บ้าง ลูกน้องเดินตามหน้าตามหลังเบ่งอำนาจบารมีกันยิ่งกว่า ‘แมงปอ’

หรือว่า กกต. ขี้ขลาดจากประสบการณ์ที่เลินเล่อ เสนอให้ใบส้ม ‘สุรพล เกียรติ์ไชยากร’ ผู้สมัคร สส.เขต 8 เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย และศาลพิพากษาให้ กกต.ต้องชดใช้เงิน 62 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยเพื่อชดใช้ค่าเสียหายให้แก่นายสุรพล เกียรติไชยากร ผู้สมัคร ส.ส. เชียงใหม่ เขต 8 พรรคเพื่อไทย

หรือการปล่อยข่าวออกมาว่าจะสอย 71 เขตเลือกตั้ง และทอดเวลาออกไปสองเดือน เป็นการเคาะกะลา แม้จะยังมีเวลาอยู่ตามกรอบของกฎหมายสอยได้ใน 1 ปี แต่ไม่ควรลืมว่า ‘ความยุติธรรมที่ล่าช้า คือความอยุติธรรม’ และประชาชนเป็นผู้เสียโอกาส กกต.ควรจะเร่งมืออย่างรอบคอบ เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการทำงาน ไม่ใช่ทอดเวลาออกไปจนชาวบ้านชาวช่องรู้สึกได้ถึงความอ่อนด้อย และไร้ประสิทธิภาพ

‘ลิซ่า’ บริจาคเงินช่วยเหลือ ‘เด็กยากไร้ในกัมพูชา’ พร้อมเขียนจม.ส่งพลังบวกให้เด็กๆ บอก!! “อย่ายอมแพ้”

(14 พ.ย.66) เฟซบุ๊ก PSE - Pour un Sourire d’Enfant - Cambodia องค์กรช่วยเหลือเด็กยากไร้ในประเทศกัมพูชา ได้โพสต์รูปภาพ ‘มาร์โค บรูสชไวเลอร์’ เชฟดังระดับโลก คุณพ่อของ ‘ลิซ่า ลลิษา มโนบาล’ ซูเปอร์สตาร์ สมาชิกเกิร์ลกรุ๊ปวง BLACKPINK ขณะสอนเจ้าหน้าที่ทำอาหารกลางวันให้เด็กๆ

โดยทางเพจระบุว่า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา พวกเราได้มีโอกาสต้อนรับทีม Smile Children’s Switzerland จากสวิตเซอร์แลนด์ เป็นระยะเวลา 1 สัปดาห์ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มี เชฟมาร์โค บรูสชไวเลอร์ ที่มาเยี่ยมเยียนที่ศูนย์ของเราเป็นการส่วนตัว ซึ่งได้ลงมือสอน และทำอาหารมื้อกลางวันที่แสนพิเศษให้กับเด็กนักเรียนในศูนย์ และจากสถาบันการท่องเที่ยวฯ ตลอดจนออกไปเยี่ยมชุมชนของเราด้วย

พวกเรารู้สึกขอบคุณเป็นอย่างมากสำหรับการสนับสนุนในครั้งนี้ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้ต้อนรับพวกคุณอีกครั้งในโอกาสต่อไป

ทั้งนี้ เพจยังได้เผยอีกว่า ‘ลิซ่า’ ยังได้แบ่งปันความรักให้กับเด็กๆ ในองค์กร โดยบริจาคเงินส่วนตัวให้กับองค์กร และยังได้แชร์ข้อความให้กับนักเรียน และแฟนๆ ของเธอในกัมพูชาด้วย ว่า

“สวัสดีค่ะ ลิซ่า จากแบล็กพิงค์นะคะ…

ฉันดีใจมากๆ ที่ได้เจอกับเพื่อนๆ ของฉัน และแฟนๆ ในกัมพูชา โดยเฉพาะกับเด็กๆ และเยาวชนในศูนย์ PSE ในพนมเปญ

ไม่ว่าเป้าหมายหรือความฝันในอนาคตของคุณคืออะไร จงยึดมั่นและอย่ายอมแพ้ ไม่ว่าระหว่างทางมันจะมีอุปสรรคหรือปัญหาเกิดขึ้นในช่วงเวลานั้นของชีวิต ฉันเองก็มีช่วงเวลาที่ล้มลุกคลุกคลานระหว่างที่ฝึกฝนอยู่หลายปี แต่ฉันก็ผ่านมันมาได้ด้วยความเข้มแข็งและคิดบวก

ฉันขอให้พวกคุณทุกคนโชคดีและเข้มแข็งนะคะ

กอด ลิซ่า”

องค์กรยังทิ้งท้ายด้วยว่า หวังว่าพวกเราจะได้ต้อนรับลิซ่าในสักวันหนึ่ง

ขณะที่ ‘เชฟมาร์โค บรูสชไวเลอร์’ ได้กล่าวตอนหนึ่งว่า “คณะครูและนักเรียน ใน PSE ต่างมุ่งมั่นตั้งใจในการเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ อย่างมาก ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ดีของผม ในฐานะเชฟที่ได้มาแบ่งปันประสบการณ์ทำอาหารกลางวัน ผมเชื่อว่า PSE จะประสบความสำเร็จในเป้าหมายของพวกเขาที่จะนำพาเด็กๆ เหล่านี้ไปสู่อนาคตที่ดีต่อไป”

‘อานนท์’ ส่งจดหมายจากแดน 4 เรือนจำฯ กรุงเทพฯ ถึงลูกๆ ขอใช้ชีวิตให้มีคุณค่า มีความหมาย ทั้งต่อตนเองและผู้อื่น

(14 พ.ย. 66) เพจอานนท์ นำภา ทนายความด้านสิทธิมนุษยชน จำเลยคดีม.112 ถูกควบคุมตัวในเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร โพสต์จดหมายฉบับวันที่ 13 พฤศจิกายน 2566 ถึงปราณและอิสรานนท์ ลูกรัก ว่า “ใช้ชีวิตให้มีคุณค่าและความหมาย”

เมื่อสัปดาห์ที่แล้วแม่เล่าให้ฟังว่าปราณอยากมาเจอพ่อที่ศาลในวันที่ศาลเบิกพ่อออกมาจากเรือนจำซึ่งอาจทำให้ปราณต้องขาดเรียนในวันนั้น พ่อขอให้ปราณอดทน เราไม่จำเป็นต้องเจอกันแล้วทำให้ลูกขาดเรียน พ่อรับรู้ได้ถึงความคิดถึงที่ลูกมี แต่การเรียนก็สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน อยากให้ลูกเขียนจดหมายและแนบรูปที่ลูกวาดมาให้พ่อดู ได้ข่าวว่าพัฒนาฝีมือไปมาก พ่อจะได้เอามาอวดเพื่อน ๆ ในนี้

อาจต้องแบ่งเวลามาช่วยแม่ดูแลน้องเพราะช่วงนี้น้องกำลังเรียนรู้ในเรื่องต่าง ๆ เสื้อผ้าของปราณและของน้องซักรวมกันได้ ปราณน่าจะปรับเครื่องซักผ้าที่บ้านเป็นแล้ว แค่ปรับที่โหมดซักผ้าเด็ก พอเสร็จแล้วห้ามปั่นแห้งให้ใช้ไม้แขวนตากที่ระเบียงเพราะถ้าปั่นแห้งผ้ามันจะหด สอนวิธีการชงนมแม่คงสอนแล้ว

บิงซูไม่ควรกินบ่อยเพราะมันแพง 555 แต่ถ้าพวกน้า ๆ ที่ออฟฟิศเลี้ยงก็ไม่ควรปฏิเสธ แม่เล่าให้ฟังว่าปราณเริ่มเขียนบันทึกได้แล้วซึ่งเยี่ยมมาก

พ่ออยากให้ปราณใช้ชีวิตให้มีคุณค่าและความหมายทั้งต่อตนเองและคนรอบข้าง เพราะห้วงชีวิตของมนุษย์เราไม่ได้ยืนยาวอะไร อยากให้ปราณเรียนรู้ที่จะเป็นผู้ใหญ่ที่จิตใจโอบอ้อมและแบ่งปัน สำคัญคือต้องเรียนรู้และรู้จักตัวตนของตัวเอง เป็นของตัวเอง

เอาไว้ช่วงปิดเทอมเราค่อยเจอกันในศาลนะคะ เป็นเด็กดี ปล. ขึ้นรถอย่าลืม ร.ข.ข เด็ดขาด

รักและคิดถึงลูกทั้งสองคน

แดน 4 เรือนจำพิเศษกรุงเทพ

‘รมช.คลัง’ เตรียมออกใบอนุญาต ‘เกาหลีใต้’ จัดตั้งธนาคารพาณิชย์ในไทย พร้อมเดินหน้ายกระดับความร่วมมือ-ขับเคลื่อนเศรษฐกิจระหว่างประเทศ

(14 พ.ย. 66) นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ร่วมการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปค (APEC FMM) ครั้งที่ 30 อย่างไม่เป็นทางการ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของสหรัฐอเมริกา (H.E. Janet L. Yellen) เป็นประธาน ได้ร่วมกันแลกเปลี่ยนประสบการณ์ของการดำเนินนโยบายการเงินการคลังในปัจจุบัน เช่น ต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้นและส่งผลกระทบต่อการก่อหนี้สาธารณะ เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและโครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนแปลงไป ส่งผลต่อกำลังการผลิตในระบบเศรษฐกิจลดลง และภาระงบประมาณในการสนับสนุนด้านสวัสดิการที่เพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ ยังร่วมหารือทวิภาคีกับสาธารณรัฐเกาหลี โดยได้พูดคุยกับทาง ‘H.E. Ji-young Choi’ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเศรษฐกิจและการเงิน สาธารณรัฐเกาหลี ซึ่งได้แจ้งว่า ทางสถาบันการเงินของเกาหลี มีความสนใจขอใบอนุญาตจัดตั้งธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา (Virtual Banking) ในไทย ซึ่งในขณะนี้ไทยอยู่ระหว่างออกกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องในการให้ใบอนุญาตดังกล่าว คาดว่าสามารถออกประกาศใช้ได้ในเร็วๆ นี้

อีกทั้ง สาธารณรัฐเกาหลียังขอให้ไทยสนับสนุน ในการเป็นประธานร่วมภายใต้กรอบความร่วมมืออาเซียน+3 ในปีหน้า และขอเสียงสนับสนุนจากไทยในการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพ ‘World Expo 2030’ ซึ่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังแจ้งว่า ไทยพร้อมสนับสนุนและจะประสานงานไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาให้การสนับสนุนดังกล่าวอีกด้วย

‘ชลน่าน’ เล็งดึงแนวคิด ‘ภาษีบาป’ ตั้ง ‘กองทุนเยียวยาเหยื่อ’ หวังช่วยเหลือปชช.ที่ได้รับผลกระทบจากคนเมาแล้วขับ

(14 พ.ย.66) ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการ สธ. กล่าวถึงนโยบายรัฐบาลที่จะขยายเวลาเปิดสถานบริการจากปิดตี 2 เป็นตี 4 ว่า นโยบายขยายเวลาเปิดสถานบริการให้เมืองท่องเที่ยว ในพื้นที่จำเพาะ หรือโซนนิ่ง เรื่องนี้ในมุมของ สธ.ให้ความสำคัญมาก เพราะนโยบายส่งเสริมเศรษฐกิจต้องไม่กระทบกับสุขภาพด้วย อย่างน้อยต้องคงเดิม หรือไม่มากกว่าเดิม หรือเรามีมาตรการที่เข้มข้นขึ้น ซึ่งอาจจะดีกว่าเดิม ดังนั้น จึงให้ความสำคัญในการกำหนดมาตรการรองรับ เราคงไม่คัดค้านหรือต่อต้านนโยบายของรัฐบาล แต่หน้าที่เราจะทำอย่างไรเมื่อขยายเวลาจากตี 2 เป็นตี 4 ช่วงเวลาที่เขาขยายจะไม่ส่งผลกระทบต่อมิติสุขภาพ ซึ่งมีพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มีกฎกระทรวงออกมารองรับ ซึ่งคณะกรรมการกำลังพิจารณารายละเอียดที่จะเสนอมาตรการต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) หรือประกาศเป็นกฎกระทรวงเพื่อบังคับใช้ เพราะกฎหมายว่าด้วยการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นั้นมีหลายมาตราที่ให้อำนาจ เช่น การกำหนดพื้นที่จำหน่าย ระยะเวลาจำหน่าย สภาพบุคคลที่จำหน่าย

“ยกตัวอย่างมาตรการที่คุยในคณะกรรมการที่จะเสนอ แต่ยังไม่ได้ข้อสรุปคือ ทำอย่างไรมาตรการควบคุมอย่างเข้ม ให้มีเครื่องวัดระดับแอลกอฮอล์ในกระแสเลือดได้ ซึ่งขณะนี้มีการพูดคุยเรื่องนี้เยอะ คนที่จะออกจากร้านไปขับรถ เป็นไปได้หรือไม่ที่ทุกคนจะต้องตรวจระดับแอลกอฮอล์ หากมีปริมาณเกินก็ต้องมีมาตรการ เช่น ทางร้านหรือคนที่ควบคุมต้องไม่ให้ขับรถ ต้องมีรถสาธารณะมารองรับ หรือแม้กระทั่งระหว่างที่ดื่มกินก็มีกฎหมายที่ให้อำนาจไว้ว่าห้ามจำหน่ายให้คนที่มีอาการมึนเมา เราก็แปลงมาว่าจะบังคับอย่างไร จะตรวจวัดอย่างไร ให้รู้ว่าคนคนนี้เข้าข่ายจะซื้อ จะขายตามกฎหมายไม่ได้ ซึ่งเขาเขียนไว้ 2 ลักษณะ คือ ร้านจำหน่ายให้จำหน่ายถึงเวลาที่ปิดสถานบริการ เพราะฉะนั้น เมื่อปิดตี 4 ก็ขายถึงตี 4 เมื่อขยายตรงนี้ มาตรการควบคุมก็ต้องเข้ม” นพ.ชลน่าน กล่าว

รัฐมนตรีว่าการ สธ.กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม มีการคุยกันถึงเครื่องวัดแอลกอฮอล์ในลมหายใจ ขณะนี้ถูกนิยามเป็นเครื่องมือแพทย์ ต้องมีมาตรฐานและมีราคาสูง ดังนั้น สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) อยู่ระหว่างพิจารณาแบ่งแยกประเภท เครื่องตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ในส่วนที่ใช้ทางการแพทย์ก็ให้จัดเป็นเครื่องมือแพทย์ ส่วนที่ใช้ในการตรวจวัดเป็นการทั่วไป เป็นลักษณะการค้นหา ก็ให้เป็นเครื่องมือทั่วไปหรือไม่ เพื่อให้ทุกคนสามารถพกติดตัว สามารถตรวจสอบตัวเองได้ หากทุกคนมีวินัยก็จะไม่มีผลต่อการขยายเวลาเปิดผับ บาร์

ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณี นายธนกฤต พานิชวิทย์ หรือว่าน นักร้องชื่อดังไลฟ์สดดื่ม กิน ก่อนจะขับรถไปเกิดอุบัติเหตุชนพนักงานเก็บขยะ จะเป็นเหตุให้ต้องเสนอให้ผ่านให้ได้เรื่องการบังคับตรวจปริมาณแอลกอฮอล์ก่อนออกจากร้าน และห้ามขับรถโดยเด็ดขาดหรือไม่ นพ.ชลน่านกล่าวว่า เป็นเหตุผลชัดเจนเลย นับว่าเป็นข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์ที่เราต้องตระหนัก และเรื่องนี้เป็นข้อเท็จจริงที่พึงมีกฎมาควบคุมชัดเจน

“นักร้องคนนี้ผิดกฎหมายหลายมาตรา ซึ่งในส่วนที่เขาไปกำกับดูแลก็ว่ากันไป เช่น การดื่มเมาแล้วขับก็ผิดอยู่แล้ว เป็นพฤติกรรมที่ไม่ชอบ ทำในสิ่งที่กฎหมายต้องห้ามไว้ สธ.ในฐานะเป็นผู้ดูแลบังคับใช้กฎหมาย ก็จะดูมาตรการป้องกันทั้งก่อนและหลังเกิดเหตุ” นพ.ชลน่านกล่าว

เมื่อถามว่า ก่อนหน้านี้ สธ.จะรณรงค์โดยใช้คำว่า ‘ดื่มไม่ขับ’ ไม่ได้ใช้คำว่า ‘เมาไม่ขับ’ ดังนั้นต่อไปต้องปรับมาตรการรณรงค์ด้วยหรือไม่ นพ.ชลน่านกล่าวว่า เข้มเลย หมายความว่า คำว่าดื่มไม่ขับ อาจจะน้อยไปแล้ว จากนี้ต้องตรวจวัดทุกครั้งถ้าดื่มในสถานบันเทิง ดังนั้น ต้องทำให้เครื่องวัดหาง่าย สามารถพกพาได้ด้วยตนเอง รู้ตนเอง รู้เพื่อน รู้กลุ่ม ถ้าคุณอยากสนุกต้องสนุกบนพื้นฐานความปลอดภัยต่อตนเอง และของคนอื่นด้วย

เมื่อถามต่อไปว่า มีข้อเสนอจากภาคประชาชนว่า เพื่อเพิ่มความรับผิดชอบให้คนที่อยู่ในธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จึงควรมีการตั้งกองทุนเยียวยาเหยื่อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ นพ.ชลน่านกล่าวว่า เป็นแนวทาง เป็นวิธีคิดที่คล้ายกับการเก็บภาษีบาป ทั้งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และสารมึนเมา เพื่อนำเงินนี้มาใช้เพื่อสร้างเสริมสุขภาพ ผ่านทางสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ดังนั้นก็อาจจะมีแนวคิดอย่างนั้นได้ ต้องดูในรายละเอียดว่า สามารถจัดเก็บภาษีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แล้วนำมาจัดตั้งกองทุนเยียวยาเหยื่อได้หรือไม่

เมื่อถามย้ำว่า จะเสนอเรื่องการตั้งกองทุนนี้เข้าไปพร้อมกันเลยหรือไม่ นพ.ชลน่านกล่าวว่า เป็นแนวคิดที่ดี ก็กำลังพิจารณา

ด้าน นพ.ณรงค์ อภิกุลวณิช เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา กล่าวว่า ได้รับมอบหมายจาก นพ.ชลน่าน ให้ดำเนินการเรื่องเครื่องตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ เบื้องต้นได้ประสานไปยังสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เรียบร้อยแล้ว หาก สมอ.มีการออกประกาศกำหนดมาตรฐานให้ไม่เป็นเครื่องมือแพทย์ อย.ก็พร้อมที่จะออกประกาศให้เครื่องตรวจวัดระดับปริมาณแอลกอฮอล์ไม่เป็นเครื่องมือแพทย์ต่อไป

‘ครม.’ เคาะงบฯ 5.37 ล้านเหรียญฯ พัฒนาพลังงาน ‘ไทย-มาเลย์ฯ’ หวังสร้างความมั่นคง-เสถียรภาพด้านพลังงาน-เศรษฐกิจให้ประเทศ

(14 พ.ย. 66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบกรอบวงเงินงบประมาณ จำนวน 5,375,000 เหรียญสหรัฐ และแผนการดำเนินงานประจำปี 2567 ขององค์กรร่วมไทย - มาเลเซีย

แบ่งเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน จำนวน 5,250,900 เหรียญสหรัฐ และค่าใช้จ่ายที่เป็นทุน จำนวน 124,100 เหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นงบประมาณเพิ่มขึ้นจากปี 2566 จำนวน 375,000 เหรียญสหรัฐ

-ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (OPEX) เพิ่มขึ้น 8.6% เทียบเท่า 414,800 เหรียญสหรัฐ
-ค่าใช้จ่ายที่เป็นทุน (CAPEX) ลดลง 24.3% เทียบเท่า 39,800 เหรียญสหรัฐ

นางรัดเกล้ากล่าวว่า โดยแผนการดำเนินงานในปี 2567 ประกอบด้วย ด้านการสำรวจและการประเมินผล ด้านการพัฒนาปิโตรเลียม และด้านการผลิตปิโตรเลียมในพื้นที่พัฒนาร่วมไทย - มาเลเซีย เช่น เจาะหลุมพัฒนา จำนวน 8 หลุม รักษาระดับการผลิตก๊าซธรรมชาติที่เรียกรับสูงสุดในอัตรา 869 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน

ดำเนินการเจาะหลุมพัฒนาตามแผนพัฒนาแหล่งในระยะที่ 6 จำนวน 17 หลุม รักษาระดับอัตราการผลิตก๊าซธรรมชาติที่เรียกรับสูงสุดในอัตรา 308 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ซ่อมแซมหลุมผลิตเดิมและเจาะผนังหลุมเพิ่ม เพื่อรักษาอัตราการผลิตของหลุม

นางรัดเกล้ากล่าวว่า ทั้งนี้ให้รับความเห็นของกระทรวงการคลังที่ให้คำนึงถึงประเด็นความคุ้มค่า ต้นทุนและผลประโยชน์ เสถียรภาพและความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม

ตลอดจนความยั่งยืนทางการคลังของรัฐด้วย และความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่ให้กระทรวงพลังงานเร่งรัดการเสนองบประมาณและแผนการดำเนินงานประจำปีขององค์กรร่วมไทย - มาเลเซีย ต่อคณะรัฐมนตรีตามกรอบระยะเวลา ข้อ 3 แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2536) ออกตามความในพระราชบัญญัติองค์กรร่วมไทย - มาเลเซีย พ.ศ. 2533 กำหนด ไปดำเนินการอย่างเคร่งครัดต่อไปด้วย

จับตา!! ‘โจ ไบเดน’ พบ ‘สี จิ้นผิง’ สะท้อนสงคราม ‘ชิป’ ผ่อนคลาย ส่อดันหุ้นกลุ่มเทคฯ-EV พุ่ง ลุ้น!! ท่าทีตอบสนองตลาดทุนจีน

เปิด 3 ประเด็นที่ต้องจับตาในการเจอกันของ ‘โจ ไบเดน - สี จิ้นผิง’ คือ ท่าทีที่ผ่อนคลายขึ้นเรื่องสงครามชิป อาจดันตลาดหุ้นกลุ่มเทคฯ พุ่ง ขณะที่การหารือเพื่อบรรลุข้อตกลงเรื่องความเป็นกลางทางคาร์บอน อาจผลเชิงบวกต่อหุ้นกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้า ส่วนหากมีมุมมองที่ดีต่อการลงทุนภาคเอกชน-ฟื้นฟูความเชื่อมั่นทางธุรกิจ อาจทำให้ตลาดเงิน-ตลาดทุนจีนตอบสนองเชิงบวก

(14 พ.ย. 66) สำนักข่าวบลูมเบิร์ก (Bloomberg) รายงานว่า นักลงทุนหวังว่าการพบกันตามแผนระหว่างประธานาธิบดี ‘โจ ไบเดน’ (Joe Biden) และ ‘สี จิ้นผิง’ (Xi Jinping) ของจีนจะเป็นสัญญาณการกระชับความสัมพันธ์ และเพิ่มความเชื่อมั่นต่อสินทรัพย์ของเอเชียที่ปรับตัวลงอย่างร้อนแรง

โดยบทวิเคราะห์ของสำนักข่าวบลูมเบิร์ก ประเมินว่า การประชุมในวันพุธที่ซานฟรานซิสโกจะเป็นช่วงเวลาสําคัญในการเยือนสหรัฐครั้งแรกของประธานาธิปสีนับตั้งแต่ปี 2017 ซึ่งเป็นช่วงที่เขาได้พบกับประธานาธิบดี ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ (Donald Trump) และยังเป็นการสนทนาครั้งแรกของทั้งสองในรอบหนึ่งปี ซึ่งส่วนใหญ่ก็อาจจะยังคงเป็นประเด็นเรื่องภาษีที่ทรัมป์เรียกเก็บจากสินค้าจีนหลายชนิดและการปิดกั้นการเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูง

ทั้งนี้ การผ่อนคลายความตึงเครียดระหว่างสองมหาอํานาจอาจเป็นจุดเปลี่ยนเพื่อล่อนักลงทุนให้กลับมาที่จีน โดยนักลงทุนตราสารทุนและนักลงทุนอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินกําลังจับตาดูอย่างใกล้ชิดเนื่องจากหุ้นของประเทศกําลังฟื้นตัวจากวิกฤตอสังหาริมทรัพย์และการอพยพออกของกองทุนทั่วโลก ท่ามกลางเงินหยวนที่ร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 16 ปีเมื่อเทียบกับดอลลาร์

“สัญญาณเรื่องความสัมพันธ์ทวิภาคีที่ดีมากขึ้น หรือแม้แต่การพยายามกระชับความสัมพันธ์เล็กน้อย อาจช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นในการลงทุนชั่วคราว” เสี่ยว เจียจือ (Xiaojia Zhi) หัวหน้าฝ่ายวิจัยของ Credit Agricole CIB กล่าว

ขณะที่แหล่งข่าววงในของบลูมเบิร์ก เปิดเผยว่า เมื่อไม่นานมานี้ทั้งสองประเทศพยายามเพื่อบรรเทาความตึงเครียด ซึ่งไบเดนและสีเตรียมประกาศข้อตกลงที่จะเห็นรัฐบาลจีนปราบปรามการผลิตและส่งออกเฟนทานิล (Fentanyl) ซึ่งใช้ในการผลิตสารสังเคราะห์ซึ่งมีอันตรายถึงตาย

นอกจากนี้ รัฐบาลจีนอาจเปิดเผยคํามั่นสัญญาเพื่อซื้อเครื่องบินโบอิ้ง 737 (Boeing’s 737) ระหว่างการประชุมสุดยอดเอเปค (APEC) ตามรายงานของบลูมเบิร์ก และจีนซึ่งเป็นผู้นําเข้าถั่วเหลืองอันดับต้น ๆ เพิ่งจะซื้อสินค้าจากสหรัฐมากกว่า 3 ล้านตันเมื่อสัปดาห์ที่แล้วด้วยท่าทีปรารถนาดีก่อนการเจรจาในวันพุธ

ดังนั้น ในการเจอกันที่จะถึงนี้มีประเด็นทางเศรษฐกิจที่ต้องจับตา ดังนี้

1.) เทคโนโลยี
จีนซึ่งเป็นตลาดเซมิคอนดักเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกกําลังต่อสู้กับการคว่ำบาตรของสหรัฐที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคเทคโนโลยี ดังนั้นสัญญาณของการกระชับความสัมพันธ์และระงับข้อพิพาทอาจช่วยหนุนความเชื่อมั่นของนักลงทุนสําหรับบริษัทต่างๆ ตั้งแต่ Apple Inc. Chip Bellwethers Taiwan Semiconductor Manufacturing Co., Samsung Electronics Co. และ Nvidia Corp.

2.) พลังงานสะอาด
การเน้นเป้าหมาย ‘สีเขียว’ อาจจุดประกายทำให้หุ้นที่เชื่อมโยงกับรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ขยับตัวสูงขึ้น เช่น ผู้ผลิตแบตเตอรี่ชั้นนํา Contemporary Amperex Technology Co. และผู้ผลิตอุปกรณ์พลังงานแสงอาทิตย์ LONGi Green Energy Technology Co.

3.) ตลาดแลกเปลี่ยนเงินตรา
นักลงทุนส่วนหนึ่งอยู่ในช่วงพิจารณาว่าความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศจะมีโมเมนตัมแบบใดนอกเหนือจากการประชุมสุดยอดผู้นำจี 20 ไม่ว่าจะมีขั้นตอนในการผ่อนคลายกฎระเบียบส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชนและฟื้นฟูความเชื่อมั่นทางธุรกิจ เพราะหากมีการผ่อนคลายกฎระเบียบเหล่านั้นอาจทำให้เงินหยวนหยุดการอ่อนค่าลงได้และตลาดหุ้นก็จะมีแง่มุมเชิงบวกด้วย

‘ดู๋ สัญญา’ ออกตัวป้อง 'เกียรติสวนกุหลาบ' หลังมีกระแสดรามา 'ยกเลิกแปรอักษร-จตุรมิตร’

(15 พ.ย. 66) ‘ดู๋ สัญญา คุณากร’ นักแสดงและพิธีกรชื่อดัง โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก ‘Sanya Kunakorn’ กรณีกระแสในโซเชียลที่เรียกร้องให้ยกเลิกการแปรอักษร ฟุตบอลจตุรมิตร ระบุว่า…

ผมเป็นคนไม่ชอบมีเรื่องกับใคร แต่ทำไมผมมีความรู้สึกว่า ประโยคที่ได้ยินจากเรื่องนี้ มันตรงกับที่รู้สึกว่า

”…(คุณ)อย่า…(มาหาเรื่อง) กับโรงเรียนของ…(ผม)เลย”

คุณไม่เคยรับรู้ถึงเกียรติภูมิ ของโรงเรียน ความอดทน ความเสียสละ การภาคภูมิใจที่เป็นส่วนหนึ่งของโรงเรียนที่จะสร้างเยาวชนที่มีเกียรติ มีรากเหง้า มีกำลังสติปัญญา และมีความเป็นมนุษย์ …

ทั้งหมดต้องถูกหล่อหลอมโดยหลายช่องทาง หลายกิจกรรม…มีทั้งยาก และง่าย ทั้งเหน็ดเหนื่อย…และลำบาก

โปรดรับรู้ว่า นักเรียนสวนกุหลาบ จะรักษาความถูกต้องจากการแอบแฝงผลใด ๆ และจะรักษาเกียรติของโรงเรียนเสมอไป

#ผมคือนักเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย

'พัชรวาท' ตั้งเป้าปีหน้า 'สวนสัตว์เชียงใหม่' ปั๊มเม็ดเงินเกือบ100 ล้านบาท หลังเพิ่มสัตว์นานาชนิด ดึงดูดนักท่องเที่ยว

มีกิจกรรมหลากหลาย พร้อมชวนคนไทยหนาวนี้ ปักหมุดเที่ยวจุดแลนด์มาร์ค “แหล่งเรียนรู้ อนุรักษ์ วิจัย สัตว์ป่า” เชิญชวนสักการะ “พระนวพุทธมหาบารมี” พระพุทธรูปองค์แรกของไทยที่บูรณะจากชิ้นส่วนองค์เดิมสมัยล้านนา 

พล.ต.อ. พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยว่า หลังจากที่ได้ลงพื้นที่เชียงใหม่เพื่อมอบนโยบายเรื่องไขปัญหาหมอกควัน ตนยังได้ไปตรวจเยี่ยมการดำเนินงานและรับฟังการบรรยายพิเศษของสวนสัตว์เชียงใหม่ องค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย พร้อมนั่งรถชมพื้นที่โดยรอบสวนสัตว์เชียงใหม่ สามารถเข้าชมสัตว์ได้อย่างใกล้ชิด ซึ่งตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.เป็นต้นมา สวนสัตว์เชียงใหม่ได้เพิ่มความหลากหลายของสัตว์มากขึ้น เพื่อส่งมอบความสุขให้นักท่องเที่ยวและผู้มาเยือน โดยมีโซนสัตว์แอฟริกา อาทิ ยีราฟ ที่ได้รับมอบเพิ่มมาใหม่ 1 ตัว ชื่อเดิมว่า "น้องแหว่ง" หรือ "น้องต้นคูน" เพศผู้ อายุ 6 ปี 1 เดือน และ ม้าลาย ชื่อ "ต้นหนาว" เพศผู้ อายุ2 ปี11 เดือน  ตลอดจนสัตว์อื่นๆ ซึ่งได้รับทราบจากรายงานว่าสวนสัตว์เชียงใหม่ในปีนี้มีรายได้ถึง 79.50 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามแผน และในปีหน้าตั้งเป้าไว้ที่ 97 ล้านบาท

พล.ต.อ.พัชรวาท กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ตนยังได้ร่วมกิจกรรม “แอ่วเหนือ ม่วนหนาว สุดว้าว ที่สวนสัตว์เชียงใหม่” “Chiangmai Zoo Winter Land” ณ บริเวณด้านหน้าส่วนจัดแสดงหิมะเทียม (Snow Buddy Winter Land) และนั่งรถบริการไปสักการะองค์ “พระนวพุทธมหาบารมี” ณ โบราณสถานวัดกู่ดินขาว ภายในสวนสัตว์เชียงใหม่ ซึ่งเป็นองค์ที่ตนเคยเป็นประธานในพิธีพุทธาภิเษก เมื่อวันที่ 8 พ.ค. 2562 สำหรับองค์พระนวพุทธมหาบารมีองค์นี้ มีความพิเศษ เพราะเป็นการบูรณะพระพุทธรูปองค์แรกของประเทศไทยที่ใช้นวัตกรรมการบูรณะโดยใช้ชิ้นส่วนเดิมเป็นองค์ประกอบขึ้นเป็นองค์พระ เพื่อให้มีความศักดิ์สิทธิ์และรักษาองค์พระเดิม ภายหลังที่ได้พบชิ้นส่วนพระอุระที่หลงเหลือจากสมัยล้านนา

พล.ต.อ.พัชรวาท กล่าวว่า การมาตรวจเยี่ยมสวนสัตว์เชียงใหม่ในครั้งนี้ ได้เห็นว่า เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดร่วมมือกัน จนทำให้สวนสัตว์มีการพัฒนาอย่างมาก เป็นแหล่งเรียนรู้ อนุรักษ์ วิจัย สัตว์ป่า และเป็น Landmark แหล่งท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ เชื่อว่าจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญที่สร้างรายได้ให้กับจังหวัดอีกทางหนึ่งด้วย อย่างไรก็ตาม สำหรับฤดูหนาวที่จะมาถึงนี้ อยากเชิญชวนพี่น้องประชาชนเดินทางมาเที่ยวสวนสัตว์แห่งนี้ รับรองว่าจะประทับใจไม่รู้ลืม ทางสวนสัตว์จะมีกิจกรรมมากมาย อาทิ ช่วงปลายเดือนนี้ จะมีกิจกรรมลอยกระทงในสโนว์บัดดี้ เดือนธ.ค.จะมีกิจกรรมเกิดวันไหนไปสวนสัตว์ และหมอกบนดินถิ่นล้านนา เป็นต้น


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top