Sunday, 22 June 2025
NewsFeed

‘ภาคีฯ ประชาสังคม’ ชี้!! คุกคามทางเพศใน ‘องค์กรการเมือง’ มีมาก เร่งหาทางออก ‘สร้างที่ทำงาน ไม่เพิกเฉยต่อการคุกคามทางเพศ’

เมื่อวานนี้ 5 พ.ย. 66 ภาคีเครือข่ายภาคประชาสังคม ร่วมกันจัดเสวนา ‘ก้าวแรกสู่การสร้างสถานที่ทำงานไม่เพิกเฉยต่อการคุกคามทางเพศ’ เป็นครั้งแรก ณ Clayzy Café ศูนย์การค้าซีซั่นมอล พญาไท เป็นกิจกรรมแรกของเดือนพฤศจิกายนซึ่งถูกกำหนดให้เป็นเดือนรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็กและสตรีสากล

โดยภาคประชาสังคม ได้แก่ The Publisher, Thaiconsent, SHero, Social Equality Promotion Foundation, ACWC-Thailand for Women’s Rights, Nabi Fellows งานเสวนาอย่างไม่เป็นทางการ เผยที่มาของการจัดเสวนานี้ว่า เป็นการตอบสนองประเด็นเร่งด่วน อันเนื่องมาจากการร้องเรียนกรณีคุกคามทางเพศในที่ทำงานที่ถูกนำเสนอผ่านสื่ออย่างบ่อยครั้งในปีนี้ ยังไม่นำพามาซึ่งมาตรฐานอย่างที่ ‘ควรจะเป็น’ และทวีความซับซ้อนมากขึ้นเมื่อที่ทำงานดังกล่าว เป็นพื้นที่ของงานทางการเมือง

วัตถุประสงค์ของกิจกรรมดังกล่าว คือการเชิญชวนผู้ที่สนใจในประเด็น และต้องการเสนอแนวทางในการยกระดับความปลอดภัยทางเพศในที่ทำงาน ทั้งบุคคลทั่วไป นักเรียน นักศึกษา นักการเมือง สื่อมวลชน นักกิจกรรม ศิลปิน มาร่วมทำความเข้าใจ เสนอแนวทางหรือประสบการณ์ รวมถึงแสดงพลังร่วมกัน เพื่อให้เกิดความร่วมมือที่จะก่อให้เกิดประโยชน์แก่สาธารณะต่อไป

สำหรับผู้ร่วมเสวนา ประกอบด้วย
1. บุษยาภา ศรีสมพงษ์ ผู้ก่อตั้ง SHero Thailand
2. สุเพ็ญศรี พึ่งโคกสูง ผู้อำนวยการมูลนิธิส่งเสริมความเสมอภาคทางสังคม
3. รัชดา ไชยคุปต์ ผู้แทนไทยด้านสิทธิสตรีในคณะกรรมาธิการอาเซียนว่าด้วยการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิสตรีและสิทธิเด็ก (ACWC-Thailand for women’s rights)
4. พลตรี วันชนะ สวัสดี
5. วิภาพรรณ วงษ์สว่าง Thaiconsent รับหน้าที่ผู้ดำเนินรายการ 

การเสวนาเป็นไปอย่างเข้มข้น ดำเนินยาวนานเป็นเวลากว่า 2 ชั่วโมง 30 นาที โดยพูดถึงประเด็นต่าง ๆ เช่น มายาคติที่สังคมสร้างและยังคงอยู่ระหว่างการรื้อ, ข้อกังขาของการเมืองในที่ทำงานและเมื่อที่ทำงานเป็นพรรคการเมือง, ข้อท้าทายของผู้เสียหายจากการคุกคามทางเพศในการเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม, พัฒนาการทางด้านข้อกฎหมายอาญาและกฎหมายแรงงานที่เกี่ยวกับการคุกคามทางเพศ, กลไกระหว่างประเทศและกรณีศึกษาในการสร้างการรับรองอย่างเป็นทางการของนโยบายไม่เพิกเฉยต่อความรุนแรงทางเพศ, ความสำคัญของการร่วมมือกันโดยทุกคนในสังคม และการสร้างบรรทัดฐานกลางในการยุติความรุนแรงทางเพศ และการถอดปรากฎการณ์ความเข้าใจสาธารณะผ่านสื่อเมื่อเกิดเหตุการณ์คุกคามทางเพศในที่ทำงาน 

โดยหนึ่งในประเด็นร้อนที่ประชาชนให้ความสนใจและแสดงความเห็นบนโลกออนไลน์จำนวนมาก เป็นกรณีการคุกคามทางเพศที่เกิดในพื้นที่งานทางการเมือง โดยสุเพ็ญศรี พึ่งโคกสูง ผู้อำนวยการมูลนิธิส่งเสริมความเสมอภาคทางสังคม เล่าถึงประสบการณ์ในการต่อสู้เพื่อสิทธิสตรีมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2519 โดยกล่าวว่าตั้งแต่ทำงานในด้านนี้มา ตนได้รับมือกับกรณีที่ผู้กระทำเป็นคนมีฐานะ มีอำนาจ มีตำแหน่ง หรือมีภาพลักษณ์ที่ดีเป็นที่ประจักษ์ในทางสาธารณะ ทั้งผู้กระทำที่เป็นทหาร ตำรวจ นักบวช นักการเมือง โดยจากประสบการณ์ ภาพลักษณ์ดังกล่าวไม่ใช่เครื่องการันตีว่า ตัวตนที่น่านับถือของเขา จะเป็นตัวตนเดียวกันกับตอนที่มีโอกาสลงมือ

“หากจะกล่าวว่าอารมณ์ทางเพศควบคุมไม่ได้ โดยเฉพาะในตอนที่ไปปาร์ตี้รู้สึกมึนเมา ขอถามหน่อยว่า สมมติถ้าเป็นเช่นนั้นจริง คนที่ออกจากปาร์ตี้มา ถ้าเขาเห็นป้าขายไก่ย่างหน้าผับเป็นคนแรก เขาจะพุ่งหาป้าขายไก่ย่างเลยหรือไม่? ที่จริงผู้กระทำเขามีสติมากพอที่จะเลือกเหยื่อที่หมายตา โดยจะเล็งหรือเลือกมาก่อน หรือสร้างสถานการณ์ที่ปูทางไปสู่การฉวยโอกาสให้เกิดขึ้นได้ ที่จริงแล้วผู้กระทำในลักษณะนี้เขาคิดคำนวณมาเป็นอย่างดีว่าจะทำกับใคร ในพื้นที่ไหน ในสถานการณ์ใด และในรูปแบบใด ที่ตนทำเองแล้วมีโอกาสรอดหรือพอรับมือได้ โดยเลือกทำในสิ่งที่ไม่ทิ้งพยานและหลักฐาน”

สุเพ็ญศรียังกล่าวว่า "หนึ่งในการสร้างสถานการณ์ หรือหนึ่งในการฉวยโอกาสจากสถานการณ์ที่ผู้ถูกกระทำปฏิเสธได้ยาก (หรือยากที่จะปฏิเสธสำเร็จ) เป็นโอกาสที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ทางการทำงานเพราะเป็นสถานการณ์ที่ตัดสินใจได้ยาก เพราะผู้ถูกกระทำต้องคำนึงถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นทั้งต่อความสัมพันธ์กับคนอื่นในที่ทำงาน หรือผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับตัวเองเมื่อต้องร้องเรียนนายจ้าง รุ่นพี่ หรือคนที่มีอำนาจหรือชื่อเสียงทางสังคมมากกว่า

บุษยาภา ศรีสมพงษ์ ผู้ก่อตั้งองค์กร SHero ยังได้เสริมถึงมายาคติที่เป็นปัจจัยหนุนเสริม ที่เอื้อให้ผู้กระทำกล้าลงมือ ด้วยเชื่อว่า หากลงมือแล้ว ยังไงก็มีช่องว่างที่จะทำให้เหยื่อไม่เข้าถึงกระบวนการยุติธรรม

“สังคมเรายังคาดหวังว่าผู้เสียหายจะต้องเป็นคนที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง และต้องต่อสู้กับสิ่งที่เรียกว่าความน่าเชื่อถือ ซึ่งมักถูกทวงถามจากบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการสอบสวน ทั้งที่ในความเป็นจริง จะมีผู้ถูกกระทำสักกี่คนที่ถูกละเมิดแล้วรีบเก็บ DNA หรือเก็บหลักฐานทางชีวภาพต่าง ๆ แล้วเข้าไปแจ้งความในทันที เพราะอันที่จริงแล้วกลไกทางจิตวิทยาของคนเราเมื่อเข้าสู่โหมดป้องกันตนเองจากความทรงจำที่เจ็บปวด (Trauma) มันไม่ได้มีแค่การสู้หรือหนี (Fight or Flight) แต่ยังมีการหยุดนิ่ง (Freeze หรือ Tonic Immobility) ทำให้คนจำนวนมากเริ่มขอความช่วยเหลือหลังจากเวลาผ่านไปเป็นสัปดาห์ เป็นเดือน หรือเป็นปี” 

นอกจากนี้ วิภาพรรณ วงษ์สว่าง ผู้ก่อตั้ง Thaiconsent ยังตั้งคำถามกับบทบาทของสื่อที่เอาวิธีคิดของข่าวทั่วไปมาใช้กับประเด็นคุกคามทางเพศ โดยนักข่าวเลือกที่จะนำเสนอเรื่องราวจากทั้งสองฝั่งอย่างละเอียด เพื่อให้มีข้อมูลเพียงพอต่อสาธารณชน (ในการเลือกเชียร์หรือเลือกแช่ง) การอำนวยความสะดวกแก่ผู้ชมในลักษณะนี้ จึงไม่ต่างจากมหรสพในรูปแบบการนำเสนอข่าว ที่เป็นทั้งการละเมิดซ้ำ เป็นการแสวงหาผลประโยชน์จากสถานการณ์ และในหลายครั้งก็เป็นเครื่องมือฟอกขาวให้กับผู้กระทำที่มีความคุ้นเคยกับการใช้พื้นที่สื่อ และใช้โอกาสที่สาธารณชนขุดคุ้ยเรื่องราวของผู้ถูกกระทำ มาเป็นหนทางในการบั่นทอนกำลังผู้ที่คิดจะสู้ถอนใจไปเอง

ในแง่มุมการเมือง สุเพ็ญศรี พึ่งโคกสูง ผู้อำนวยการมูลนิธิส่งเสริมความเสมอภาคทางสังคม ตอบกลับคำถามของผู้ชมที่ถามว่า คิดเห็นอย่างไรกับความเห็นสาธารณะที่มองว่า ประเด็นคุกคามทางเพศอาจเป็นเครื่องมือทางการเมือง หรือมองว่าเราควรให้โอกาสคนที่ทำงานได้ดี ในการกลับตัวและปรับพฤติกรรม โดย สุเพ็ญศรี ยืนยันหนักแน่นว่า “การเมืองที่มีแน่ ๆ ในเรื่องนี้ คือการเมืองของคนที่โอบอุ้มพรรคพวกของตัวเอง ด้วยข้ออ้างต่าง ๆ ที่นำไปสู่การปฎฺิเสธความรับผิดชอบ ก็คงอุ้มกันจนกว่าจะจนมุม” 

โดยมุมที่ว่านี้ สุเพ็ญศรีไม่ได้หมายถึงท่าทีของประชาชนที่เสนอให้ไปร้องต่อ กกต. เกี่ยวกับลักษณะต้องห้ามของ สส. (ซึ่ง กกต. ไม่ได้มีอำนาจหน้าที่ในส่วนนี้) หรือคำแนะนำให้ไปร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ (ที่ส่วนหนึ่งมีประชาชนกังขาถึงความละเอียดอ่อนในประเด็นทางเพศ) ซึ่งสุเพ็ญศรีมองว่า มุมมองที่ธรรมดากว่านั้นอย่างกฎหมายอาญา และกฎหมายแรงงาน เป็นกลไกสำคัญที่ถูกนำมาพูดถึงน้อยอย่างมีนัยสำคัญ

ผู้เข้าร่วมการเสวนาเสนอแนวทางการสร้างความร่วมมือแบบเร่งด่วน และเตรียมตัวผลักดันประเด็นการพูดคุยในวันนี้ สู่การแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม ผ่านการร่วมมือกันของหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยในเบื้องต้น ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเรื่องการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม การเยียวยา สามารถประสานงานได้ผ่านช่องทางต่าง ๆ ของ The Publisher ที่มีความตั้งใจจะร่วมผลักดันประเด็นดังกล่าวในฐานะของสื่อมวลชน

‘เลขาฯ ยูเอ็น’ สลดใจ!! ฉนวนกาซากลายเป็น ‘สุสานเด็ก’ ขอประชาคมโลกจับตา-เร่งหาทางช่วยระงับสงคราม

(7 พ.ย. 66) นายอันโตนิอู กุแตเรซ เลขาธิการสหประชาชาติ (ยูเอ็น) กล่าวว่า ขณะนี้สถานการณ์ในฉนวนกาซาถือเป็นวิกฤตของมนุษยชาติ และการปิดล้อมปาเลสไตน์กำลังกลายเป็น ‘สุสานสำหรับเด็ก’ อย่างรวดเร็ว

“มีรายงานว่าเด็กหลายร้อยคนถูกสังหารหรือได้รับบาดเจ็บทุกวัน ความขัดแย้งดังกล่าวสั่งผลสั่นสะเทือนโลก และทำลายชีวิตผู้บริสุทธิ์จำนวนมาก” กุแตเรซกล่าว

กุแตเรซได้ย้ำการประณามการกระทำอันน่าหวาดกลัวของกลุ่มฮามาสเมื่อวันที่ 7 ตุลาคมว่า นักรบฮามาสใช้พลเรือนเป็นโล่มนุษย์ และที่ยังคงเดินหน้าโจมตีอิสราเอลต่อเนื่อง

เลขาธิการยูเอ็นกล่าวว่า ไม่มีอะไรที่จะนำมาอ้างเหตุผลและสร้างความชอบธรรมต่อการจงใจทรมาน สังหาร ทำร้าย และลักพาตัวพลเรือน เพราะการคุ้มครองพลเรือนถือเป็นสิ่งที่มีความสำคัญสูงสุด

กุแตเรซยังแสดงความกังวลถึงความเสี่ยงที่สงครามจะยกระดับ พร้อมเรียกร้องให้ประชาคมระหว่างประเทศจัดการกับความเสี่ยงของความขัดแย้งที่จะขยายวงกว้างไปยังภูมิภาค โดยระบุว่า เรากำลังเห็นการเพิ่มขึ้นของการขยายวงออกไปยังเลบานอน ซีเรีย อิรัก และเยเมน

กุแตเรชได้เรียกร้องให้ยุติวาทกรรมที่แสดงความเกลียดชัง และว่าเขารู้สึกทุกข์ใจอย่างยิ่งจากที่ได้เห็นทั้งการต่อต้านชาวยิวและการต่อต้านมุสลิมแบบไร้เหตุผลที่เพิ่มขึ้น ซึ่งทำให้ชุมชนชาวยิวและชาวมุสลิมในหลายส่วนของโลกต้องระมัดระวังตัว และหวั่นวิตกในความปลอดภัยและความมั่นคงของพวกเขา

พร้อมกันนี้ เลขาธิการยูเอ็นได้ย้ำถึงความจำเป็นที่จะต้องมีการแก้ไขปัญหาสองรัฐ และเรียกร้องให้มีการหยุดยิงเพื่อมนุษยธรรมทันที

กุแตเรซยังได้ร้องขอเงินสนับสนุนมูลค่า 1.2 พันล้านดอลลาร์ หรือราว 43,200 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือพลเรือนปาเลสไตน์หลายล้านคน โดยเงินจำนวนนี้จะถูกนำไปช่วยเหลือประชากรในฉนวนกาซาและชาวปาเลสไตน์อีก 500,000 คนในเวตส์แบงก์และเยรูซาเลมตะวันออก ขณะที่ความช่วยเหลือบางส่วนจะถูกส่งผ่านด่านราฟาห์ของอียิปต์

อย่างไรก็ดี กุแตเรซย้ำว่า ความช่วยเหลือดังกล่าวนั้นยังไม่เพียงพอ และเปรียบได้กับน้ำหยดเล็ก ๆ ที่ไม่พอที่จะสนองตอบความต้องการของมหาสมุทรได้ ขณะนี้รถบรรทุกความช่วยเหลือที่จำเป็นได้รับอนุญาตให้เข้าไปในฉนวนกาซาได้เพียงกว่า 400 คันในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเทียบไม่ได้เลยกับจำนวน 500 คันต่อวันในช่วงก่อนเกิดความขัดแย้ง

กุแตเรซยังได้เรียกร้องอีกครั้งให้อิสราเอลเปิดทางให้ส่งเชื้อเพลิงเข้าไปยังฉนวนกาซา โดยระบุว่ามันเป็นเรื่องเร่งด่วนอย่างยิ่ง เพราะหากไม่มีเชื้อเพลิง ทารกแรกเกิดในตู้อบและผู้ป่วยที่จำเป็นต้องใช้เครื่องช่วยชีวิตจะต้องตาย

คำกล่าวของเลขาธิการยูเอ็นในประเด็นที่เปรียบฉนวนกาซาว่าเป็นสุสานสำหรับเด็ก พร้อมกับให้หยุดยิงทันที ถูกตอบโต้กลับทันทีจากนายเอลี โคเฮน รัฐมนตรีต่างประเทศอิสราเอล ที่โพตส์ข้อความบน X พร้อมแท็กไปหากุแตเรซว่า พูดออกมาได้ ช่างน่าละอาย ผู้เยาว์มากกว่า 30 คน ซึ่งในจำนวนนี้รวมถึงทารกอายุเพียง 9 เดือนและเด็กเล็ก เห็นพ่อแม่ของพวกเขาถูกฆาตกรรมอย่างเลือดเย็น หรือกำลังถูกควบคุมตัวโดยไม่สมัครใจในฉนวนกาซา

“ฮามาสเป็นปัญหาในกาซา ไม่ใช่การกระทำของอิสราเอลที่จะกำจัดองค์กรก่อการร้ายนี้” โคเฮนระบุ

เปิดราคา 'น้ำมันเบนซิน' ภายใต้มาตรการช่วยเหลือประชาชน โดย ก.พลังงาน

⛽น้ำมันเบนซินลดราคา เติมน้ำมันกันแล้วหรือยัง?

‘กระทรวงพลังงาน’ ออกมาตรการช่วยเหลือประชาชน ลดราคาน้ำมันเบนซินทุกประเภท ตั้งแต่ 7 พ.ย. 66 - 31 ม.ค. 67

'มุมมองต่างชาติ' ถึงคนรุ่นใหม่ไทย หากพ่อแม่รักเราแบบไม่มีเงื่อนไข แล้วทำไม ลูกๆ จะไม่อยู่เคียงข้าง และเลิกอ้าง 'การถูกทวงบุญคุณ'

เมื่อไม่นานมานี้ จากเพจเฟซบุ๊ก ‘David William’ หรือที่รู้จักกันในนาม ‘ครูเดวิด วิลเลียม’ ซึ่งเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ ที่รู้จักกันบนโลกโซเชียลมีเดียจากการที่เขาสามารถใช้สำเนียงการพูดได้หลากหลายเพื่อคำคอนเทนต์สนุกๆ บนโลกโซเชียล จนยอดผู้ติดตามในเพจเฟซบุ๊กสูงถึง 1.4 ล้านคน โดยล่าสุดนั้น ‘ครูเดวิด วิลเลียม’ ได้โพสต์คลิปวิดีโอในหัวข้อ ‘บุญคุณของพ่อแม่เป็นเรื่องสำคัญไหม?’ ผ่านมุมมองของคนอเมริกันหรือในฐานะชาวต่างชาติคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ทั้งอเมริกาและไทย โดยมีเนื้อหาที่น่าสนใจ ดังนี้…

สิ่งแรกที่ต้องมาคุยกันก่อน คือ สำหรับชาวต่างชาติเรื่อง ‘บุญคุณ’ มันไม่ใช่ประเด็น เพราะเขาจะไม่เข้าใจมันด้วยซ้ำ และถ้าแปลเป็นภาษาอังกฤษจะไม่มีคำนี้เลย ดังนั้นสำหรับคนอเมริกันและคนยุโรปหลายคน เมื่ออายุ 18 ปีแล้วจะถูกเชิญออกไปใช้ชีวิตด้วยตัวเอง แต่ทุกวันนี้หากถามว่าดีขึ้นหรือมีการดูแลลูกมากกว่าเดิมไหม คำตอบคือ ‘มี’ อย่างเช่น ยังมีการจ่ายค่าเทอมสำหรับเรียนมหาวิทยาลัยให้อยู่ แต่ก็ไม่ใช่กับทุกคน เพราะฉะนั้นยังถือว่า 50/50 อยู่

ครูเดวิด วิลเลียม ยอมรับว่าตนก็เป็นเด็กคนนึงที่อายุยังไม่ถึง 18 ปี แล้วถูกคุณพ่อเชิญออกจากบ้าน ซึ่งก็ยอมรับเลยว่าเหตุการณ์ตอนนั้นมันเป็นสิ่งที่ทำให้รู้สึกโกรธและทุกข์ทรมานมาก เพราะในฐานะลูกเราจะมีความรู้สึกที่ว่าพ่อแม่ควรจะดูแลเรารึเปล่า และถ้าหากมองในมุมวิทยาศาสตร์เรื่องนี้จะน่าสนใจมาก เพราะแท้จริงแล้วสมองของมนุษย์ยังไม่ได้ถูกพัฒนาออกมาให้สุด จนกระทั่งอายุ 25 ปี สิ่งนี้คือเรื่องที่สำคัญมากเพราะคนอเมริกันจะมองว่าคนที่อายุ 18 19 หรือ 20 ปี จะเหมือนผู้ใหญ่ แต่ในมุมวิทยาศาสตร์ที่แท้จริงแล้วนั้น เด็ก ๆ เหล่านี้ยังไม่ได้เป็นผู้ใหญ่ด้วยซ้ำ เพราะสมองของเขายังไม่โต ต้องรอจนกระทั่งอายุ 25 ปีก่อน ซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ต่างพูดกันทั่วโลกว่ามันเป็น ‘หน้าที่’ ที่พ่อแม่ควรจะดูแลลูกไปจนกระทั่งจบมหาวิทยาลัยและเริ่มมีวุฒิภาวะแล้ว ดังนั้นเรื่องนี้จึงสำคัญมาก และอยากให้ทุกคนเข้าใจกันก่อน เพราะฉะนั้นแล้วจะไม่ขอเหมารวมทุกครอบครัวเช่นกัน

ครูเดวิด ยังบอกอีกว่า แต่ ‘ประเทศในเอเชีย’ มักจะดูแลลูกได้ดีกว่าและมากกว่าทางตะวันตก เพราะผู้ปกครองส่วนใหญ่ในประเทศเอเชียจะเข้าใจการดูแลลูกว่ามันไม่ใช้ ‘ทางเลือก’ แต่มันคือ ‘เรื่องจำเป็น’ ที่ต้องทำ และถ้าสังเกตดี ๆ คนเอเชียจะทำกันแบบนี้จริง ๆ แต่ก็จะมีคำถามที่ตามมาสำหรับบางกลุ่มคนโดยเฉพาะประเทศไทย เกี่ยวกับการดูแลพ่อแม่ ว่านี่คือนิยามของ ‘บุญคุณ’ 

ครูเดวิด อธิบายความถึงเรื่องนี้โดยเปรียบเทียบความต่างระหว่าง 'มนุษย์' กับ 'สัตว์' ไว้ว่า ถ้าถามว่า ‘สัตว์ที่เลี้ยงลูกด้วยนม ทำไมยังดูแลลูกของตัวเองได้ ฉะนั้นพ่อแม่ก็ต้องดูแลเราได้เหมือนกันหรือไม่ ซึ่งมันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องบุญคุณหรือเปล่า?’ ตรงนี้ผมยอมรับว่าไม่เห็นด้วย

ต้องแยกกันก่อนว่า ระหว่างที่สัตว์ชนิดนึงดูแลลูก และต้องขอใช้คำว่า ‘ตามมีตามเกิด’ ซึ่งก็คือการเลี้ยงตาม ‘สัญชาตญาณ’ ... แต่สำหรับการเลี้ยงลูกของมนุษย์นั้นมันไม่ใช่แค่เรื่องสัญชาตญาณ เพราะมันลึกกว่านั้นเยอะ 

เพราะอย่าลืมว่ามนุษย์เป็นสิ่งที่ถูกพัฒนามากกว่าสัตว์หลายเท่าพันเท่า หากถามว่าการเลี้ยงลูกของมนุษย์มันเหมือนการเลี้ยงลูกตามสัญชาตญาณของสัตว์ไม่? คำตอบจึง ‘ไม่ใช่’

ผมขอเปรียบเทียบสมองของมนุษย์กับสัตว์แบบนี้ ถ้าตามหลักวิทยาศาสตร์ ถามว่าสัตว์มีความรู้สึก ‘ทางอารมณ์’ ไหม? อย่างการรักหรือเสียใจ ... คำตอบโดยพื้นฐานคือ ขอใช้คำว่า ‘ได้บ้าง’ แต่ ‘ไม่เต็มที่’ เหมือนกับมนุษย์ ฉะนั้นส่วนนี้จะมีความคล้ายคลึงกันระหว่างสัตว์กับมนุษย์ ซึ่งสามารถเข้าถึงอารมณ์ได้ทั้งคู่ 

แต่ความแตกต่างที่ยิ่งใหญ่ที่สุดระหว่างสัตว์กับมนุษย์ คือ มนุษย์จะสามารถ ‘คิด-วิเคราะห์-แยกแยะ’ ได้ แต่สัตว์จะไม่สามารถทำสิ่งนี้ได้ 

- ทุกอย่างที่สัตว์ชนิดนึงจะทำ ไม่ใช่ทำเพราะอยากทำ แต่จะทำเพราะสัญชาตญาณ 
- แต่สำหรับมนุษย์นั้น เวลาที่ทำสิ่งที่ดีหรือไม่ดี มันเป็นเพราะการตัดสินใจล้วน ๆ ที่ผ่านการคิดวิเคราะห์มาแล้ว และมองสิ่งนี้คือสิ่งที่อยากทำ 

นั่นแปลว่าเวลามนุษย์คนนึงเวลาตัดสินใจทำสิ่งที่ดีไม่ว่าจะเป็นการดูแลลูก ทุ่มชีวิตให้ คอยไปรับไปส่ง ใช้เงินทั้งหมดของตัวเองเพื่อที่จะเลี้ยงดูเขามายังดี หรืออะไรก็แล้วแต่ … เพราะมนุษย์เลือกที่จะทำมัน ซึ่งไม่ได้เป็นการทำตามสัญชาตญาณ

***ดังนั้น ถ้าหากเรามีพ่อแม่ที่ดี หรือคนที่คอยดูแลและเอาใจใส่อย่างดีโดยตลอด เราควรจะรักเขา… และมันก็ถูกต้องแล้วที่ต้องกลับไปช่วยเหลือในวันที่เขาไม่มีใคร หรือในวันที่เขาต้องการความช่วยเหลือ…หากสงสัยว่าทำไม? เพราะมันเป็นสิ่งที่เราควรทำ เนื่องจากเรามีมนุษย์คนนึงที่ดูแลเรามาอย่างดี และการดูแลนี้ไม่ใช่การเลือกทำตามสัญชาตญาณ แต่เป็นการเลือกที่จะ 'รัก' และ 'ให้อภัย' ในทุกเรื่องที่เราดื้อรั้นและทำลงไปในสมัยวัยรุ่นหรือแม้กระทั่งตอนเป็นผู้ใหญ่ ซึ่งท่านยังให้อภัย เพราะคำว่ารักและพร้อมที่จะอยู่เคียงข้างเราเสมอ…

ดังนั้น ในมุมของผมที่เป็นชาวต่างชาติ จึงคิดว่าควรกลับไปช่วยและอยู่เคียงข้างพวกท่าน เพราะนั่นคือสิ่งที่ท่านเคยทำให้เรา และในทุกความสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์รูปแบบไหนก็แล้วแต่ สามี ภรรยา เพื่อน พี่น้อง ตราบใดที่มีคนคนนึงดีกับเราขนาดนี้ ในสัญชาตญาณของความเป็นมนุษย์ เราก็จะอยากดีกับเขาเหมือนกัน และนี่คือเหตุผลสำหรับเรื่องบุญคุณ เพราะมันเป็นความถูกต้องและควรทำ

แต่…ในวันที่เรามีพ่อแม่ที่ไม่ได้รักเรา อาจจะทำร้ายหรือคอยเอาเปรียบ ก็อย่าโดนเอาเปรียบ เพราะมันไม่จำเป็นว่าต้องมอบทั้งชีวิตให้เขา ในวันที่เขาไม่ได้รักเราจริง 

***ดังนั้น นี่คือสิ่งที่อยากจะพูดกับนักเรียนทุกคนคือ ‘การเหมารวม’ เป็นสิ่งที่ต้องหยุด เราไม่สามารถที่จะบอกว่า… พ่อแม่ทุกคนควรที่จะรับใช้เราตลอดเลย ไม่ต้องไปคืนอะไรให้กับท่าน สิ่งนี้มันไม่ใช่… มันต้องดูในแต่ละกรณีว่าท่านรักเราไหม? ช่วยเราไหม? อยู่เคียงข้างเราไหม?

ไม่มีพ่อแม่คนไหนบนโลกที่สมบูรณ์แบบ ไม่มีคนไหนที่ไม่พลาด… แต่เราต้องดูภาพรวม ... ทำไมพ่อแม่เขาอยู่ตรงนั้น คอยให้การช่วยเหลือเรามาตลอดชีวิต ไม่ว่าจะทะเลาะกันกี่ครั้ง เราจะดื้อแค่ไหน ทำผิดแค่ไหน เขาก็อยู่ตรงนั้นเสมอ นั่นคือพ่อแม่ที่ประเสริฐมาก เชื่อเถอะ ในฐานะคนอเมริกันคนหนึ่งที่เคยโดนไล่ออกจากบ้าน…

ชื่นชม!! 'น้องฮาคิม' นักเรียนสุดเก่งจาก รร.สหวิทย์ วัย 10 ขวบ คว้า 2 เหรียญทอง 1 รางวัลรองชนะเลิศ แข่งขันดนตรีไทย ประเภทเครื่องตี

(7 พ.ย.66) น้องฮาคิม หรือ ด.ช.นักปราชญ์​ พัฒนะ​พีระ​พงศ์​ หนุ่มน้อยวัย 10 ขวบ ปัจจุบันศึกษาอยู่ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนสหวิทย์ เป็น 1 ในเยาวชน จาก 1,065 คนทั่วประเทศไทย ที่ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศและคว้ารางวัลจากการประกวดดนตรีไทยชิงถ้วยพระราชทานฯ ‘Big C โสตศิลป์ สืบสาน ดนตรีไทย’ มาได้สำเร็จ

ซึ่ง ‘น้องฮาคิม’ เล่าว่า “โจทย์ในครั้งนี้สุดหิน เพราะเป็นการแข่งขันดนตรีไทยสร้างสรรค์ มีทั้งเครื่องดนตรีไทยและดนตรีพื้นบ้านหลากหลายรูปแบบจากทั่วประเทศ”

แต่ถึงจะยากแค่ไหน ‘น้องฮาคิม’ ก็คว้ามาได้ถึง 2 เหรียญทอง กับ 1 รางวัลใหญ่ ประกอบด้วย…

- รางวัลเหรียญทอง รายการเครื่องตี ประเภทเดี่ยว รุ่นอายุ 6-12 ปี
- รางวัลเหรียญทอง และรางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 1 รายการเครื่องตี ประเภทคู่ รุ่นอายุ 6-12 ปี

“การแข่งขันครั้งนี้ยากและท้าทายมากทั้งแบบประเภทคู่และประเภทเดี่ยว ผมใช้เวลาฝึกซ้อมนานและเหนื่อยมากๆ แต่พอได้รางวัลก็รู้สึกภูมิใจ ต้องขอขอบคุณครอบครัวที่สนับสนุนในสิ่งที่ผมรัก ขอบคุณครูเก่ง พรเทพ สุขอุดม ที่ทำทางเพลงและฝึกซ้อมให้ คุณครู ผม และเพื่อน ตั้งใจทำโชว์นี้ออกมาให้ดีที่สุดแล้วมันก็ดีมากๆ หลายคนชมหลายคนชอบมันคือรางวัลจริงๆ แต่อยากบอกเพื่อนๆ อีกหลายคนที่ไม่ได้รับรางวัลในครั้งนี้ว่าไม่เสียใจ เพราะการที่ได้เข้ารอบมาในครั้งนี้ไม่ง่าย ทุกคนเก่งมากๆ แล้วครับ และอยากฝากให้เยาวชนไทยหันมาเล่นดนตรีไทยกันเยอะๆ เพราะดนตรีไทยเป็นสมบัติของชาติไทยครับ” น้องฮาคิม กล่าว

‘บุ๋ม ปนัดดา’ ถามหาจุดยืน ‘พรรคก้าวไกล’ ปมดรามาฉาวของ สส.ในพรรค กรณีการคุกคามทางเพศ

เมื่อไม่นานนี้ ดร.ปนัดดา วงศ์ผู้ดี หรือ ‘คุณบุ๋ม’ อดีตนางสาวไทย นักแสดง นักร้อง และพิธีกรชาวไทย ได้ให้สัมภาษณ์ถึง ประเด็นการคุกคามทางเพศ ของ ‘สส.พรรคก้าวไกล’ ในรายการ ‘ตีข่าวเล่าความ’ เมื่อวันที่ 4 พ.ย. 66 ทางสำนักข่าววันนิวส์ ข่าวช่องวัน ซึ่งมี ‘คุณแจ็ค ศรีสุภางค์ ธรรมาวุธ’ ทำหน้าที่เป็นผู้ดำเนินรายการ โดยคุณบุ๋ม ปนัดดาได้พูดถึงประเด็นดังกล่าวว่า…

“อย่าว่าแต่พี่งงเลย คนในพรรคเองเขายังงงเลย ถึงขนาดขึ้นจอดํากันเองแบบนี้ เขาก็คงต้องคุยกันนะ ถึงเวลาที่ทางพรรคเขาต้องคุยกันแล้ว ว่าบทบาทและจุดยืนที่แท้จริงของเขาคืออะไร?

หรือว่าเป็นเพียงแค่คําพูดที่ฉันชอบ ฉันชอบคําพูดเขามากเลยนะ ว่าเขาจะรณรงค์เรื่องความเท่าเทียมทางเพศ สู้เพื่อสิทธิสตรีกันนมากขึ้น แต่พอเกิดวิกฤตจริงๆ มันเกิดอะไรขึ้น? นี่คือคําถามที่สังคมตั้งคําถามกับพรรคนี้แน่นอน”

นอกจากนี้ ทางคุณแจ็ค ศรีสุภางค์ ได้ถามคุณบุ๋ม ปนัดดา อีกว่า “คุณบุ๋มคิดว่า ทางพรรคก้าวไกลควรมีวิธีการแก้ปัญหาอย่างไร จึงจะเหมาะสมกับสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นนี้” ทางคุณบุ๋ม ปนัดดาตอบว่า “ไม่จำเป็นต้องมานั่งโหวตอะไรแบบนี้หรอก เพราะยิ่งโหวต มันยิ่งดูทําให้พรรคดูแย่ เพราะอะไรรู้ไหม? สิ่งหนึ่งที่รู้สึกแย่ก็คือ คุณเอาผู้หญิงไปนั่งซักถามข้อมูลอยู่ในนั้นตั้งกี่ชั่วโมง คุณไม่ใช่ตํารวจคุณมีสิทธิ์อะไรนำตัวเขาไปซักข้อมูล แต่ถ้าเกิดผู้หญิงคนนึงที่ต้องการจะต่อสู้เพื่อความถูกต้อง แล้วต้องไปนั่งต่อหน้าผู้คนเยอะแยะมากมาย แล้วบอกว่าฉันโดนคนนี้ เพื่อน สส.ของคุณเนี่ย ทําแบบนี้ และผลออกมา คือ คุณดูเหมือนจัดการอะไรไม่ได้เลย ก็ทำแค่หยุดบทบาท แต่คนก่อเหตุก็ยังเดินไปมาอยู่ในพรรคนั้นน่ะ”

“เหมือนเวลาที่พี่ทําคดี แล้วพี่ต้องสู้กับทหาร พี่ไม่รู้เลยว่าคดีถูกตัดสินอย่างไร ทหารคนนั้นที่ก่อเหตุเขาถูกตัดสินอย่างไร แต่มันคือความเจ็บปวดของผู้เสียหายและของเหยื่อนะ เพราะว่าในส่วนขั้นตอน กระบวนการนั้น เราไม่รู้เลยว่าเขาตัดสินกันอย่างไร เขาบอกเพียงแค่ว่า “เดี๋ยวเขาจัดการกันเอง” เหมือนกันเลย สิ่งที่ทางพรรคกำลังทำตอนนี้ ไม่ต่างกับระบบทหารเลย

คุณบุ๋ม ปนัดดา ยังได้กล่าวอีกว่า ตนมองว่า การเปิดเผยผลโหวตว่า ใครโหวตอะไร สิ่งนี้มันไม่มีประโยชน์อะไรเลย เหมือนแค่ดูว่า ‘ใครเป็นพวกใครเท่านั้นเอง’’ ตนมองว่าเหมือนเด็กอนุบาลตีกัน และสิ่งนี้ทำให้สังคมมองว่า ทางพรรคอุ้มกันเองหรือเปล่า? ตนจะมองแค่ผลโหวตโดยรวมเพียงเท่านั้น เพราะสิ่งนี้คือภาพใหญ่โดยรวมของพรรค

“มติพรรคคืออะไร? และคุณมีวิธีการจัดการยังไงกับเรื่องแบบนี้ ทั้งๆ ที่คุณพูดปาวๆ ว่า พรรคคุณไม่ชอบเรื่องแบบนี้ พรรคคุณจะส่งเสริมเรื่องสิทธิสตรี ความเท่าเทียมทางเพศ และลดความเหลื่อมล้ำทุกอย่าง แต่กลายเป็นว่าพวกคุณทําหมดเองเลย” คุณบุ๋ม ปนัดดา กล่าวทิ้งท้าย

เด็กๆ เศร้า!! ซ้อมเต้นรอเก้อ ถูกหลอกจะมาเลี้ยง 'ไก่ทอด-มอบทุน' แต่ยังดี!! มีผู้ใหญ่ใจดีตัวจริงมาช่วยเยียวยาแทน หลังโพสต์แพร่สะพัด

(7 พ.ย.66) จิตใจทำด้วยอะไร…เมื่อเฟซบุ๊กโรงเรียนบ้านป่าหัด อำเภอปัว จังหวัดน่าน ได้โพสต์ข้อความต้อนรับ เภสัชกรหญิงรายหนึ่งและคณะ โดยระบุไว้ว่า…

“โครงการ #อุ่นน้องท้องอิ่ม ในปี 2566 นี้ วันศุกร์ที่ 3 พฤศจิกายน เป็นโครงการที่ ภกญ.xxxx และเพื่อนๆ กลุ่มเภสัชกร & เพื่อนๆ กลุ่มรร.มัธยมศึกษา 1-6 ได้จัดทำขึ้น ให้กับน้องๆ ตามรร.ต่างๆ ทุกๆ จังหวัดได้รับความอบอุ่น & อิ่มท้อง รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ ความสุข ซึ่งโครงการนี้เริ่มต้นที่ จ.น่าน เป็น รร.แรก คือ โรงเรียนบ้านป่าหัด อำเภอปัว จังหวัดน่าน 

ทางคณะเราขอส่งมอบเสื้อวอร์ม คนละ 1 ชุด ให้กับน้องๆ ทุกคน รวม 117 ชุด เพราะเริ่มเข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว น้องๆ จะได้รับทุนการศึกษาคนละ 1,000 บาท ทุกคนรวม 117 คน เพื่อใช้จ่ายในด้านอุปกรณ์การเรียน น้องๆ ได้รับความอบอุ่นแล้ว ท้องก็ต้อง อิ่มด้วย ขอขอบคุณ เคเอฟซี ป.ต.ท ปัว ในด้านบริการ อาหารกลางวันให้กับน้องๆ ทั้งหมด 117 ชุด พร้อมคณะอาจารย์ทุกท่านและคณะทางเรา ได้อิ่มท้องแล้วพบกันค่ะ” 

ขณะที่ทางโรงเรียนและนักเรียนก็จัดสถานที่ จัดทำป้ายต้อนรับคณะผู้ใหญ่ใจดีพร้อมทั้งเด็กๆ นักเรียนก็ซ้อมทำการแสดงไว้รอต้อนรับอย่างมีความหวังและตื่นเต้นกันสุดๆ แต่แล้วเมื่อถึงเวลานัดหมายคือวันที่ 3 พฤศจิกายนที่ผ่านมา พบว่า กลุ่มเภสัชกร ไม่สามารถติดต่อได้และปิดเฟซบุ๊กไป คณะครูจึงได้ทำการตรวจสอบจึงพบว่าเป็น มิจฉาชีพ สร้างความเสื่อมเสียชื่อเสียงให้กับทางโรงเรียน ทางผู้บริหารได้ดำเนินการแจ้งความไว้เป็นคดีความเรียบร้อยแล้ว

หลังจากที่โพสต์นี้ถูกเผยแพร่บนโลกออนไลน์ ได้มีผู้ใหญ่ใจดีเข้ามาเยียวยาจิตใจเด็กๆ ด้วยการสมทบทุนกันซื้อไก่ทอด KFC ให้เด็กๆ ได้กินกันอย่างมีความสุข 

‘อี้’ แนะ สส.แจ้ เปิดหน้าไอ้โม่งทุจริตที่ดินบ่อขยะ ปราจีนฯ เร่งนำหลักฐานยื่น ป.ป.ช. ลากคอคนโกงมารับโทษ

(7 พ.ย. 66) นายแทนคุณ​ จิตต์​อิสระ ​รักษา​การ​ประธาน​คณะกรรมการ​ส่งเสริม​สิทธิ​มนุษยชน​และ​ความ​เสมอภาค​ระหว่าง​เพศ​พรรค​ประชา​ธ​ิ​ปัตย์​ กล่าว​ถึง​กรณี นายวุฒิพงศ์ ทองเหลา สส.ปราจีนบุรี ออกมาเปิดเผยว่า สาเหตุที่ตนถูกขับออกจากพรรคก้าวไกลด้วยข้อหามีพฤติกรรมคุกคามทางเพศ เนื่องจากตนกำลังแฉการทุจริตซื้อที่ดินทำบ่อกำจัดขยะโดยมีผู้ช่วย สส.ที่เป็​นกรรมการวินัยและสส.บัญชีรายชื่อ​พรรคก้าวไกลเข้าไปเกี่ยวข้อง ว่า การออกมาเปิดโปงคดีที่เข้าข่ายการทุจริต​ในพื้นที่​ปราจีนบุรี​นั้น ถือว่าในร้ายมีดีได้ช่วยกู้สัญญาณ​ชีพของนายวุฒิพงศ์ให้เต้นต่อที่นำข้อมูล​อันเป็น​ประโยชน์​ต่อพี่น้อง​ประชาชน​ชาวปราจีนมาเปิดเผยขบวนการไอ้โม่งที่อุ้มไอ้มืดแล้วยังงาบงบเอื้อโรงกำจัด​ขยะ ถือว่า สส.แจ้ ยิงนัดเดียวตายยกรังคือ ได้เปิดโปงคนใกล้ชิด​คู่แค้นที่ทุจริตแบบแทบปลิดชีพก้าวไกลทั้งพรรคให้ดับดิ้นและทำให้ประชาชนตาสว่างว่ามีการทุจริต​กัน

นายแทนคุณ​ กล่าวว่า ตนขอแนะนำ สส.แจ้ ว่าควรเปิดเผยข้อมูล​ให้หมดสาวถึงตัวการใหญ่ลากตัวไอ้โม่งออกมาลงโทษเพราะคดีทุจริตที่ส่งผลกระทบ​ต่อชีวิต​พี่น้อง​ประชาชน​และสิ่งแวดล้อม​นั้นเป็นอาชญากรรม​ประเภทหนึ่งที่คร่าชีวิตผู้คน​ด้วยมลพิษ​และเลวร้ายไม่น้อยกว่าการคุกคามทางเพศ โดยเกี่ยวโยงกับกรรมการวินัยและ กก.บห.คนดังกล่าว​ควรออกมาชี้แจง กรณีผู้ช่วย สส. เกี่ยวข้องกับเรื่องฟ้องปิดปาก 50 ล้านอย่างไร โดยตนอยาก แนะ ‘ส.ส.แจ้’ นำ​หลักฐาน​ร้องต่อ ป.ป.ช. อย่าให้คนโกงลอยนวลต่อไปเพราะเรื่อง​นี้​มีมูล​ความผิดจริงมีหลักฐาน​ กระทบ​ความเชื่อมั่นนักลงทุน​ในพื้นที่ EEC ที่จะเป็น​หัวใจ​สำคัญ​ทางเศรษฐกิจ​ของประเทศ​และการจัดการขยะในรูปแบบต่าง ๆ ได้มีประสิทธิภาพ​ต้องเริ่มจากการกำจัดขยะสังคมที่ทุจริตคอร์รัปชัน​ก่อน

“ส่วนตัวเชื่อว่าก้าวไกลคงมี มติขับ สส.ปู อัดออกจากพรรคแม้กลัวจะถูกแฉรายชื่อ สส.คุกคามเพศรายอื่นอีกหลายรายแม้เจ้าตัวจะออกมาโค้งจนตัวงอหน้ามืดตามต่างชาติแต่ก็ยังไม่ลาออกแบบที่เขาทำกัน สะท้อน DNA ถ้าเจอคนหน้าด้านให้หน้าด้านกว่า อีกประการถือว่าการมีมติอุ้มปูอัดมันจบด้วยตัวมันเองแล้วและการไม่ยอมเปิดเผยชื่อ 22 สส. ออกมาก้าวไกลกลายเป็นส่วนหนึ่ง​ของการสนับสนุน​การคุกคามทางเพศที่เหยียด​ซ้ำผู้ถูกกระทำและตอกย้ำด้วยแชตหลุดให้ปิดปากจากนายเพชร กรุณพล สส.บัญชีรายชื่อ รองโฆษกพรรคก้าวไกล นอกจากกลัวความจริงแล้วยังกลัวการตอบคำถามประชาชน​และ​สังคมว่าทำไมพรรคก้าวไกลจึงอุ้มคนคุกคามทางเพศ อ้างแค่กลัวกลบทับกฎหมาย​สำคัญ​ ทั้งที่ประชาชนที่มีคุณภาพตาสว่างว่าก้าวไกล คือ ภัยคุกคามความมั่นคงและสังคมอย่างแท้จริง​ พรรคไหนรับไป​อยู่​ด้วยเตรียมล่มสลาย​ทางจริยธรรม​แบบก้าวไกลต่อไป” นายแทนคุณกล่าว

‘นายกฯ เศรษฐา’ เล็งตั้ง ‘กรมฮาลาล’ ใช้ขับเคลื่อน ‘อาหารฮาลาล’ ส่งออกทั่วโลก

(7 พ.ย. 66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงการยกระดับอุตสาหกรรมอาหารฮาลาล ว่า มีหน่วยงานในกรมหนึ่งของกระทรวงอุตสาหกรรม รัฐบาลนี้ตระหนักดีถึงความสำคัญของอาหารฮาลาล เป็นอาหารเศรษฐกิจที่สามารถส่งออกได้ไปยังพื้นที่ที่มีชาวมุสลิม ทั้งตะวันออกกลาง หรือแอฟริกา ก็อยากจะยกระดับความสำคัญของงานนี้ขึ้นมาให้เป็นกรม ก็มีการสั่งการไป และมีการพูดคุยกับทางคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ให้ดูเรื่องการยกระดับของหน่วยงานนี้ขึ้นมาให้เป็นกรม จะได้พัฒนาต่อไปได้

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ฯ นำทีมหารือ ตม.ย่างกุ้ง ช่วยเหลือคนไทยกลับประเทศ มีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง

วันนี้ (วันอังคารที่ 7 พ.ย.66) เวลาประมาณ 10.00 น. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ในฐานะ ผอ.ศพดส.ตร. ที่รับผิดชอบงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พร้อมด้วยกงสุลไทย ณ กรุงย่างกุ้ง เจ้าหน้าที่ DSI และเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปฏิบัติการ ศพดส.ตร. และผู้ช่วยทูตตำรวจไทย ณ กรุงย่างกุ้ง เข้าพบหารือกับนายหม่อง หม่อง ทาน รัฐมนตรีกระทรวงกิจการสังคมและตรวจคนเข้าเมืองย่างกุ้ง ณ ที่ทำการ เพื่อหาแนวทางร่วมกันในการช่วยเหลือคนไทยที่อยู่ที่เมืองเล้าก์ก่ายกลับประเทศไทยโดยปลอดภัย ซึ่งมีความคืบหน้าไปมาก 

โดย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ฯ เปิดเผยว่าจากการที่เราได้ร้องขอในการช่วยเหลือคนไทยนี้ ทางการพม่าแจ้งว่า คนไทยทั้ง 162 คน ที่เมืองเล้าก์ก่ายนั้น เข้าเมืองมาผิดกฎหมายทั้งหมด แต่เห็นแก่ความร่วมมืออันดีระหว่างกันที่ผ่านมา ทั้ง ตม.ไทย และ ตม.เมียนมา ทำให้ทางการพม่าจะไม่ดำเนินคดีตามกฎหมายเข้าเมืองกับคนไทยทั้ง 162 คน ที่เมืองเล้าก์ก่าย และจะเร่งรัดส่งกลับประเทศไทยให้เร็วที่สุด โดยในช่วงบ่ายวันนี้ ทางการพม่าก็จะมีการประชุมหารือกันระหว่าง ตม.เมียนมา และสำนักงานตำรวจแห่งชาติเมียนมา เกี่ยวกับกระบวนการส่งกลับคนไทยทั้งหมด และการรักษาความปลอดภัยในเส้นทางส่งกลับ เนื่องจากบ้านเมืองเขายังมีการสู้รบกันอยู่ และก่อนที่จะมีขึ้นเครื่องบินกลับประเทศไทยต่อไป 

อีกทั้งการมาเข้าพบหารือครั้งนี้ ยังได้ร้องขอว่าคนไทยที่เมืองเล้าก์ก่ายนั้น มีทั้งคนไทยตั้งครรภ์ และเจ็บป่วย ขอให้ทางการเมียนมาช่วยดูแลรักษาให้ด้วย ซึ่งทางการเมียนมารับปากรับคำเป็นอย่างดีในการที่จะให้การดูแล และการเดินทางมาครั้งนี้ การมาเข้าพบพูดคุยด้วยตนเองนั้น ยังเป็นการเร่งรัดการดำเนินการกับทางการเมียนมาไปในตัว และย้ำความเชื่อมั่นกับพี่น้องประชาชนว่าเราพร้อมจะประสานงานกับทุกภาคส่วน เพื่อให้การช่วยเหลือคนไทยเป็นไปด้วยความรวดเร็วและปลอดภัยที่สุด รวมทั้งได้มีการแลกหมายเลขโทรศัพท์มือถือไว้ติดต่อโดยตรงระหว่างกันกับนายหม่อง หม่อง ทาน ทั้งปัญหาการค้ามนุษย์ แก็งค์คอลเซ็นเตอร์ และอาชญากรรมข้ามชาติ เพื่อร่วมมือกันรักษาความสงบเรียบร้อยภายในประเทศให้กับประชาชนทั้งสองประเทศได้อยู่กันอย่างสงบสุขต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top