Thursday, 12 June 2025
NewsFeed

'นายกฯ เศรษฐา' พบปะนายกฯ กัมพูชา ครั้งแรกหลังรับตำแหน่ง หารือความร่วมมือด้านต่างๆ พร้อมยืนยันความใกล้ชิด 2 ประเทศ

(28 ก.ย. 66) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พร้อมคณะ เดินทางถึงท่าอากาศยานนานาชาติกรุงพนมเปญ ราชอาณาจักรกัมพูชา จากนั้นนายกรัฐมนตรีและคณะ เดินทางไปยังสำนักนายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรกัมพูชา เพื่อเข้าร่วมพิธีต้อนรับอย่างเป็นทางการ จากนั้นในเวลา 11.00 น. นายกรัฐมนตรีหารือทวิภาคีกับ สมเด็จมหาบวรธิบดี ฮุน มาแนต (H.E. Samdech Moha Borvor Thipadei Hun Manet) นายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรกัมพูชา ณ ชั้น 2 ห้องรุมเจก (Rumchek Room) โดยภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยสาระสำคัญดังนี้

ก่อนการหารือ นายกรัฐมนตรีทั้งสองต่างแสดงความยินดีต่อกัน ในโอกาสเข้ารับตำแหน่งนายกฯ ในช่วงเดียวกัน และมีเป้าหมายในการขับเคลื่อนพัฒนาประเทศในทิศทางเดียวกัน โดยต่างย้ำมิตรภาพอันใกล้ชิดระหว่างสองประเทศ และเป็นช่วงเวลาเหมาะสมที่จะเปิดศักราชใหม่ของความสัมพันธ์ ซึ่งนายกรัฐมนตรีทั้งสองประกาศยกระดับความสัมพันธ์หุ้นส่วนยุทธศาสตร์ และนายกรัฐมนตรีไทยขอเชิญนายกรัฐมนตรีกัมพูชาเยือนไทยด้วย

ผู้นำทั้งสองได้หารือถึงประเด็นสำคัญต่าง ๆ ร่วมกัน คือ ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจ นายกรัฐมนตรีไทยและกัมพูชาเห็นพ้องตรงกันที่จะส่งเสริมความร่วมมือมากยิ่งขึ้นทั้งการค้า การท่องเที่ยว การลงทุน การพัฒนาพื้นที่ชายแดน และภาคเศรษฐกิจใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการร่วมกันอำนวยความสะดวกและเพิ่มปริมาณการค้า ให้บรรลุเป้าหมาย 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2568 รวมถึงผลักดันการขนส่งข้ามแดนโดยเร่งรัดเปิดใช้สะพานมิตรภาพที่บ้านหนองเอี่ยน-สตึงบท การสร้างเครือข่ายทางธุรกิจ การยกระดับจุดผ่านแดน และร่วมกันในเศรษฐกิจดิจิทัลและสีเขียว

ในด้านการท่องเที่ยว นายกรัฐมนตรีได้เสนอให้ไทยและกัมพูชาส่งเสริมการท่องเที่ยว และเพิ่มความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์และสุขภาพ พร้อมทั้งขอให้กัมพูชาอนุญาตให้ใช้บัตรผ่านแดนชั่วคราว เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวตามแนวชายแดน ส่วนการลงทุน ผู้นำทั้งสองเห็นพ้องที่จะสนับสนุนการลงทุนระหว่างกันให้มากขึ้น รวมถึงเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทานให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น รวมทั้งส่งเสริมให้มีการจับคู่ธุรกิจมากขึ้น โดยเฉพาะ SMEs และผู้ประกอบการรุ่นใหม่

ด้านความมั่นคง นายกรัฐมนตรีได้เสนอให้กัมพูชาจัดการประชุมคณะกรรมการเขตแดนร่วม (Joint Boundary Committee: JBC) ครั้งต่อไป เพื่อเดินหน้ายกระดับจุดผ่านแดน เพิ่มปริมาณการค้าชายแดน และยังได้เสนอให้ทั้งสองประเทศเร่งเก็บกู้ทุ่นระเบิดตามพื้นที่ชายแดน เพื่อความปลอดภัยของประชาชน และปูทางการพัฒนาเศรษฐกิจบริเวณชายแดน โดยนายกรัฐมนตรีย้ำว่า คณะทำงานของทั้งสองฝ่ายควรร่วมกันติดตามผล และนำการหารือของผู้นำทั้งสองในวันนี้ไปดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรม และนำกลับมารายงานให้ทราบ

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีสนับสนุนให้มีการแลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างหน่วยงานความมั่นคงในทุกระดับอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะบริเวณชายแดน พร้อมย้ำถึงการทำงานและความร่วมมือที่ใกล้ชิดเพื่อร่วมกันปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์

ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีย้ำถึงความเป็นพันธมิตรด้านการพัฒนาที่แข็งแกร่งระหว่างกัน ซึ่งรวมถึงด้านการศึกษา การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยพร้อมที่จะทำงานและร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับกัมพูชา เพื่อช่วยกันติดตามข่าวปลอม (fake news) ที่อาจสร้างความเข้าใจผิดในหมู่ประชาชน เพื่อดำเนินการป้องกันอย่างทันท่วงทีเมื่อจำเป็น

จากนั้น นายกรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรกัมพูชาร่วมทำพิธีส่งมอบเชิงสัญลักษณ์ศูนย์แรกรับเหยื่อการค้ามนุษย์และกลุ่มเสี่ยงในปอยเปต จังหวัดบันเตียเมียนเจย ณ บริเวณห้องมะลิ ชั้น 2 ก่อนจะเข้าร่วมงานเลี้ยงอาหารกลางวัน ที่นายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรกัมพูชา จัดขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่นายกรัฐมนตรี ณ ห้องลำดวล (Romdoul Hall) สำนักนายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรกัมพูชา

รู้จักแอปฯ อัจฉริยะ ‘DingTalk for Asian Games’ เบื้องหลังความยิ่งใหญ่ของ ‘เอเชียนเกมส์หางโจว’

เมื่อวันที่ 27 ก.ย. 66 เผยโฉมโซลูชัน ‘DingTalk for Asian Games’ หัวใจของการจัดงาน ‘เอเชียนเกมส์หางโจว’ เป็น ‘DingTalk’ เวอร์ชันที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดงานเอเชียนเกมส์ครั้งนี้

เบื้องหน้าของมหกรรมกีฬายิ่งใหญ่ มีเบื้องหลังที่แสนอัจฉริยะ ‘DingTalk for Asian Games’ เป็นดิจิทัลโซลูชันคลาวด์-เนทีฟที่ทำงานและบริหารจัดการบนคลาวด์ที่เสถียร ปรับขนาดได้ และปลอดภัย เป็นเครื่องมือทำงานร่วมกันแบบ one-stop ที่เชื่อมโยงผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมดในทุกขั้นตอนของการจัดการแข่งขันเอเชียนเกมส์หางโจว ไม่ว่าจะเป็นนักกีฬา ผู้จัดงาน ซัพพลายเออร์ ไปจนถึงอาสาสมัคร และผู้ดำเนินงานที่ประจำอยู่ตามสถานที่ต่างๆ ครอบคลุมทุกรูปแบบการทำงาน เช่น การอนุมัติด้านการบริหาร การประชุม การฝึกซ้อม การสนับสนุนของสปอนเซอร์ การตรวจสอบสภาพอากาศ การสนับสนุนทางการแพทย์ รวมถึงระบบพิเศษสำหรับการแพร่ภาพวิดีโอ การบริหารจัดการด้านไอที และการบริหารจัดการด้านอาสาสมัคร

‘อเล็กซ์ ลี’ รองประธานของ DingTalk กล่าวว่า “เราตื่นเต้นที่จะได้มอบโซลูชันนี้ที่จะช่วยให้ผู้จัดงานและการดำเนินงานของหางโจวเอเชียนเกมส์มีประสิทธิภาพมากขึ้น DingTalk มีบทบาทสำคัญมากต่อเอเชียนเกมส์ครั้งนี้ และเป็นโอกาสสำคัญที่จะแสดงให้เห็นว่าเทคโนโลยีช่วยให้การจัดงานที่มีขนาดใหญ่ระดับนี้มีความคล่องตัวและมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นได้อย่างไร

DingTalk for Asian Games ไม่เพียงเชื่อมต่อผู้คนให้ทำงานร่วมกันได้เท่านั้น แต่ยังเป็นแพลตฟอร์มที่เป็นศูนย์รวมผู้ใช้ที่มีจุดประสงค์และความสนใจร่วมกันไว้ด้วยกัน เราเชื่อว่าเทรนด์ที่จะเกิดขึ้นแน่นอนสำหรับการจัดงานกีฬาขนาดใหญ่ในอนาคต คือ จำเป็นต้องมีแพลตฟอร์มที่ชาญฉลาดเอาไว้ทำงานร่วมกัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและการจัดการด้านการสื่อสารของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย”

นั่นหมายความว่า ในแง่ของการแข่งขัน DingTalk for Asian Games มีบทบาทช่วยให้การแข่งขันมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากขึ้น มีความสะดวก ถูกต้องแม่นยำ สมกับความเป็นแพลตฟอร์มอัจฉริยะ

ในแง่ของการประสานงาน เชื่อมโยงผู้คนเข้าด้วย ‘DingTalk for Asian Games’ มีลักษณะเป็นโครงสร้างองค์กรแบบแนวราบ (flat organizational structure) ที่เจ้าหน้าที่และอาสาสมัครนับหมื่นคนแสดงตัวและสื่อสารซึ่งกันและกัน สื่อสารกับพันธมิตรภายนอก ตลอดจนแบ่งปันข้อมูลและจัดประชุมต่างๆ ได้ง่ายๆ

นอกจากนี้ DingTalk for Asian Games ใช้ความสามารถของบริการ Alibaba Cloud Machine Translation ที่ใช้เทคโนโลยี deep learning และการประมวลผลภาษาธรรมชาติ (Natural Language Processing: NLP) ที่มีประสิทธิภาพระดับแนวหน้าของบริษัทฯ จึงแปลภาษาแบบเรียลไทม์ได้อย่างอัจฉริยะถึง 14 ภาษา รวมถึงภาษาจีน อังกฤษ ญี่ปุ่น และไทย นับเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการสื่อสารระหว่างพนักงานและผู้เข้าร่วมงานจากนานาประเทศ

ในการใช้งาน ‘DingTalk for Asian Games’ ก็นับว่าค่อนข้างเข้าถึงง่าย เพราะได้รับการออกแบบมาให้ใช้งานกับสมาร์ทโฟน เชื่อมต่อภาพและเสียงระหว่างผู้ใช้และศูนย์ปฏิบัติการหลักของการแข่งขัน (main operation center : MOC) ได้ทันที จะช่วยให้ MOC ติดต่อกับพนักงานและสถานที่จัดงานทั้งหมด เพื่อทำการตัดสินใจและแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว

ไม่เพียงแค่นั้น DingTalk for Asian Games ยังมีคุณสมบัติอีกหลายอย่างที่จะเป็นตัวช่วยให้ผู้เกี่ยวข้องกับเอเชียนเกมส์ประสานงานและทำงานสะดวกมากๆ ดังนี้

สร้างการทำงานแบบไร้ขีดจำกัด
‘DingTalk for Asian Games’ ช่วยให้เจ้าหน้าที่และอาสาสมัครทุกคนทำงานใกล้ชิดกันโดยไม่จำเป็นต้องมีพื้นที่ทำงานโดยเฉพาะ ทุกคนทำงานร่วมกัน ผ่านการพรีวิวและรีวิวออนไลน์ แก้ไขได้แบบเรียลไทม์ และจัดการกับระบบจัดเก็บการเปลี่ยนแปลง (version control) ที่เกิดขึ้นกับเอกสารนั้นๆ ได้

ประสิทธิภาพของ DingTalk for Asian Games ช่วยให้ประมวลผลคำขออนุมัติ ครอบคลุมบริการด้านการบริหารต่างๆ การใช้สินทรัพย์ การยื่นใบรับรองของซัพพลายเออร์ กิจกรรมทางการตลาด และอื่นๆ อีกมากมาย โดยที่ไม่ต้องใช้กระดาษแม้แต่แผ่นเดียว

ทำงานโดย AI สุดอัจฉริยะ
‘DingTalk for Asian Games’ ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI)  ทำให้เข้าใจ ตอบสนอง และสร้างคอนเทนต์ เพื่อรองรับความต้องการหลากหลายระหว่างการเตรียมงาน เช่น เมื่อนำแชตบอท ที่ built-in อยู่ใน DingTalk มาใช้ในกรุ๊ปแชตของเอเชียนเกมส์ จะตอบคำถามที่เกี่ยวกับการแข่งขันต่างๆ ได้อัตโนมัติอย่างรวดเร็ว โดยการวิเคราะห์และดึงข้อมูลจากเนื้อหาและข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับการแข่งขัน รวมถึงกติกาการแข่งขัน และเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับคำถาม ผู้ใช้จะย่อยเนื้อหาเพื่อดึงประเด็นสำคัญ หรือใช้เพื่อทำข่าวประชาสัมพันธ์ ได้ง่ายยิ่งขึ้น

ใช้งานง่าย
‘DingTalk for Asian Games’ ออกแบบมาให้มีฟีเจอร์ low-code ต่างๆ ที่ช่วยให้ผู้ใช้พัฒนาแอปพลิเคชันของตนเองและปรับให้เหมาะและเจาะจงกับสถานการณ์ใหม่ๆ เช่น แอปพลิเคชันนัดหมายที่เป็นแบบ low-code ซึ่งได้รับการพัฒนาเพื่อให้นักกีฬานัดหมายการฝึกซ้อมได้สะดวกและได้ผลดีมากขึ้น นักกีฬาตรวจสอบความพร้อมของสถานที่ฝึกซ้อมในสนามกีฬาเอเชียนเกมส์ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ต่างๆ ของเมืองหางโจวและเมืองใกล้เคียงได้อย่างง่ายดาย และจองสถานที่สำหรับฝึกซ้อมล่วงหน้าผ่าน mini app บน DingTalk for Asian Games

‘เกอ จาง’ รองผู้อำนวยการฝ่ายวิทยุ โทรทัศน์ และเทคโนโลยีสารสนเทศ คณะกรรมการจัดงานเอเชียนเกมส์หางโจว ให้ข้อมูลว่า…

“ความร่วมมืออย่างเต็มกำลังระหว่างคณะกรรมการจัดงานเอเชียนเกมส์หางโจว และ DingTalk ช่วยให้ DingTalk for Asian Games ประสบความสำเร็จในการประสานความร่วมมือครั้งยิ่งใหญ่ขององค์กรออนไลน์ การสื่อสารออนไลน์ และธุรกิจออนไลน์ ให้ผู้เข้าร่วมงานทุกระดับ ทุกแผนก และทุกภูมิภาค DingTalk for Asian Games ไม่เพียงทำให้เศรษฐกิจดิจิทัลของหางโจวเป็นรูปธรรมเท่านั้น แต่ยังเป็นทรัพย์สินและประสบการณ์อันมีค่าที่หางโจวต้องการมอบให้การแข่งขันกีฬาระดับนานาชาติต่างๆ ในอนาคตด้วย”

‘อุ้ม ลักขณา’ เปิดใจทั้งน้ำตา วินาทีตัดสินใจหย่า ‘บอล กฤษณะ’ เผย ไม่มีอะไรที่ยั่งยืน ตอนนี้ขอกลับมารักตัวเอง-เดินหน้าต่อเพื่อลูก

(28 ก.ย. 66) หลังจาก ‘อุ้ม ลักขณา’ ตัดสินใจหย่ากับอดีตสามี บอล กฤษณะ ที่คบหากันมากว่า 7 ปี เจ้าตัวก็ได้มาเปิดใจในรายการ ‘WOODY FM’ เผยรู้สึกชีวิตเหมือนตกจากสวรรค์ ตอนนี้ขอกลับมารักตัวเอง ยืนด้วยลำแข้งของตัวเองด้วยวัย 40 เดินหน้าต่อเพื่อลูกในเวอร์ชันที่ดีกว่าเดิม ทำให้เรียนรู้ว่าไม่มีอะไรที่ยั่งยืน

อุ้มบอกว่ากับเรื่องนี้สิ่งที่ได้เรียนรู้คือไม่มีอะไรที่ยั่งยืน

“คือเราฝากชีวิตไว้กับเขา แล้วคิดว่าอุ้มทิ้งทุกอย่างเลยนะ ทิ้งตั้งแต่ทำงานวงการ เพื่อที่จะมาใช้ชีวิตอยู่กับเขา ทิ้งครอบครัว ทิ้งเพื่อน สังคมทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อเขาคนเดียว จนกระทั่งมีลูก แล้วมันก็เลยทำให้เราตัดหนทางการทำงานของตัวเองไปเลย เหมือนตัดโอกาสตัวเองไปด้วย”

แต่แฮปปี้เพราะมีลูก รู้สึกว่าความสุขของเราคือลูก แล้วก็คิดว่าฝากฝังชีวิตเราไว้กับคนๆ นี้

“ก็เหมือนเป็นพวกเพ้อฝันในอดีตที่ผ่านมาว่าเป็นคนโลกสวยอยากจะมีครอบครัวที่อบอุ่น อยากจะมีสามีที่ดี เพราะเห็นพ่อเราเป็นตัวอย่างเป็นต้นแบบของคนที่เป็นสามีของครอบครัว เราก็อยากจะมีมุมๆนั้น และในวันหนึ่งที่เราได้แต่งงานได้ใช้ชีวิตจริงๆ”

อุ้มเล่าต่ออีกว่า “เราก็รู้สึกเหมือนอยู่บนสวรรค์เลยเนอะ ก็ยังพูดกับเขา อุ้มเคยกราบเท้าเขาในวันพ่อเมื่อปีที่แล้วก่อนที่จะมีเรื่อง แล้วก็พาลูกๆไปกราบ ต้องทำให้ลูกเห็นเป็นตัวอย่าง ก็เอาพวงมาลัยไปกราบเท้า แล้วบอกเขาว่า ขอบคุณ (น้ำตาคลอ) ที่เป็นพ่อที่ดี ที่ดูแลอุ้ม และเคยบอกเขาว่า เราโชคดีเนอะที่มีสามีที่ดีมากๆ ทุกคนจะบอกกับอุ้มตลอดว่า เหมือนกับเป็นผู้หญิงที่ถูกหวยรางวัลที่ 1 ที่มีผู้ชายที่ดูแลเราดีมาก รักเรามากๆ ก็เลยทำให้เราไม่ได้คิดระแวดระวังหรือสงสัย เพราะทุกอย่างมันดีจริงๆ”

ซึ่งที่ผ่านมาก็มีเรื่องราวมากมายที่พยายามปรับตัวกันเยอะ แต่พอสุดท้าย มาเจอเรื่องที่ทำให้เหมือนตกมาจากสวรรค์

“เพราะเราไม่เคยคิด ไม่เคยมีในหัวอุ้มแม้แต่วินาทีเดียวเลยที่จะไม่มีผู้ชายคนนี้ในชีวิต ณ วันนั้นนะคะ วันที่เราพาลูกๆไปกราบเท้าเขา ยังบอกเขาว่าเราแก่ไปด้วยกันนะ ดูลูกเติบโตไปด้วยกัน (ร้องไห้) เพราะคิดว่าเขาคือคนสุดท้ายในชีวิตเราแล้ว แต่แล้วมันก็ไม่ได้เป็นแบบที่ฝันไว้”

กับการเปลี่ยนมาเป็นซิงเกิลมัม เธอบอกว่า เป็นแม่ที่ดูแลลูกเองมาตลอดอยู่แล้ว ตั้งแต่ลูกสาวเกิด เป็นคุณแม่เต็มตัวที่ทิ้งทุกอย่าง ไม่ได้ทำงาน รู้ทุกขั้นกระบวนการของลูก เพราะฉะนั้น ณ การดูแลลูกไม่มีอะไรเปลี่ยน

“มันเป็นอุ้มคนเดิมอยู่แล้วที่ดูแลเขา แต่สิ่งที่เราได้เห็นคือเขาเป็นเด็กที่ฉลาดมากเลยค่ะ 4 ขวบแต่เข้าใจ ดิสนีย์เขารู้ เขาสัมผัสได้ทุกอย่าง แค่อุ้มนั่งนิ่งๆ เขาก็จะแบบ หม่าม้าร้องไห้ทำไม หม่าม้าเศร้าเหรอ ไปเอาดอกไม้มาให้อะไรแบบนี้ค่ะ หม่าม้าดิสนีย์เป็นกำลังใจให้นะ ดิสโตขึ้นจะทำงานหาเงินดูแลม้านะ โดยที่ไม่เคยสอน เพราะไม่ได้อยากคาดหวังว่าลูกโตขึ้นต้องเลี้ยงเราหรือต้องมาให้อะไรตอบแทนแค่เขามีความสุขในแบบที่เขาเป็น แค่ 4 ขวบสามารถพูดและแสดงออกมากๆ เลยว่าเข้าใจหัวอกของเรา ถ้าเมื่อไหร่ที่อุ้มอ่อนแอ เขาจะรู้ทันที เลยทำให้รู้ว่าต้องเริ่มที่ตัวเรา คือต้องรักตัวเองก่อนในเมื่อเหตุการณ์มันเกิดขึ้นแล้วไม่สามารถที่จะย้อนกลับไปแก้ไขอะไรได้แล้ว เพราะเชื่อว่าเราทำดีที่สุด”

“สิ่งหนึ่งที่อุ้มจะไม่สอนลูกเลยคือ ไม่สอนให้ลูกตัวเองรับรู้ถึงปัญหาว่าพ่อกับแม่มีปัญหาอะไรกัน หรือเขาจะไม่ภูมิใจในตัวพ่อเขา อุ้มจะบอกเขาเสมอว่า ป๊ะป๋ารักดีสนีย์มากและหม่าม้าก็รักดีสนีย์มาก ในวันนี้หม่าม้ากับป๊ะป๋าเป็นเพื่อนกัน ครั้งแรกเขาไม่เข้าใจ เขาบอกว่าเป็นเพื่อนได้ยังไงแต่งงานกันก็ต้องเป็นสามีภรรยาสิ”

“คราวนี้เราต้องย้ายกลับมาอยู่กรุงเทพฯ ใช่ไหมคะ เขาเกิดที่เชียงใหม่ เขาก็พูดว่าบ้านเขาอยู่เชียงใหม่ เพื่อนเขาอยู่เชียงใหม่ ทำไมหม่าม้าต้องย้ายบ้าน เราก็ตอบว่าบ้านพังป๊ะป๋าต้องอยู่ซ่อมบ้าน ก็เลยเปิดคลิปวิดีโอที่เป็นบ้านพังถล่มให้เขาดู แล้วก็บอกกับพ่อเขาให้เราพูดไปในทางเดียวกัน ว่าป๊ะป๋าต้องอยู่ซ่อมบ้านเดี๋ยวลูกกลับมาอยู่กรุงเทพฯ กับหม่าม้า อากง เฮียก้า น้านิว ซึ่งเขาก็แฮปปี้”

จากเรื่องราวที่ผู้หญิงคนนี้เจอก็ทำให้มีคนเข้ามาขอคำปรึกษาเยอะ บ้างก็บอกว่า ทำไมถึงใจเด็ดจังครั้งเดียวแล้วไปเลย อุ้มบอกว่า…

“หนทางที่มันเดินทางร่วมกันมาจะบอกเขาเสมอว่าทุกๆ เรื่องคุยกันได้ปรับกันได้ แต่ถ้ามันเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่มีบรรทัดฐานไม่เท่ากัน ซึ่งอุ้มมีบรรทัดฐานของอุ้มอยู่ที่จุดนี้ แต่เขาไม่เคยแตะมาถึงจุดนี้ มันให้อภัยกันได้ คุยกันได้ แต่เมื่อไหร่ที่เขาแตะอันนี้ ไม่ได้”

บางคนที่ไม่กล้าออกจากความสัมพันธ์ สำหรับ อุ้มแล้วเธอมองว่า คนอาจจะคิดว่าไม่มีใครแทนที่คนๆ นี้ได้หรือเปล่า

“เป็นความคิดมโนไปเองว่า ไม่มีใครรักเราเท่านี้หรอก เราจะออกไปหาใครได้ อายุขนาดนี้แล้ว ออกไปทำอะไรที่มันไม่รู้ว่าหนทางข้างหน้าจะเจออะไร เราก็เลยย้อนกลับไปว่า แล้วทำไมเราถึงต้องเลือกที่จะอยู่ในจุดที่มันไม่มีความสุขแล้วไปต่อไม่ได้ แล้วมันก็เป็นการตกลงคุยกันทั้งสองฝ่ายแล้วว่าเขาเลือกทางนี้ เราเลือกทางนี้ แต่เรามีทางตรงกลางเพื่อลูก แค่นั้นก็คือจบแล้ว”

เธอบอกอีกว่า ให้กลับมารักตัวเอง ทุกคนมันต้องมีทางไป และอุ้มก็เชื่อกับ นิวเคลียร์ เสมอเลยจะพูดกันตลอดอะไรเกิดขึ้นแล้วย่อมดีเสมอ สิ่งศักดิ์สิทธิ์เขาคงประทานมาให้เราได้เห็น ได้รู้ ไม่ตามืดตามัว

“แม่ของอุ้มจะพูดตลอดว่าเธอคือ ‘อุ้ม ลักขณา’ ลักขณาฆ่าไม่ตายหม่าม้าบอกแล้วใช่ไหม เราดูแลตัวเองมาดีขนาดนี้ ออกกำลังกายอย่างหนัก ดูแลตัวเองให้อายุ 40 แล้วยังดูสวยอยู่ แล้วสวยกว่าเมื่อก่อนด้วยซ้ำ แล้วทำไมเธอถึงต้องด้อยค่าตัวเอง ก็อยากจะเป็นกำลังใจให้กับสาวๆ  คนที่เป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวเหมือนกัน เราไปได้ โดยเฉพาะเรามองหน้าลูก เรานอนกอดเขา เห็นหน้าเขา มันมีพลังมหาศาลมากมาย ซึ่งทำให้เราแพ้ไม่ได้ ยอมไม่ได้ต้องเป็นคนที่ดีกว่าเดิม ต้องดีกว่าเดิมให้ได้มากกว่าเดิมด้วยเพื่อลูกของเรา”

โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน ชื่นชมไทยต้อนรับนักท่องเที่ยวจีนอบอุ่น ย้ำชัด!! ‘จีน-ไทยมิใช่อื่นไกล พี่น้องกัน’

นายวัง เหวินปิน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนแถลงว่า จีนยินดีที่ประเทศไทยใช้นโยบายยกเว้นวีซ่านักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางเข้าประเทศไทยเป็นระยะสั้น ทั้งชื่นชมนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีไทยที่ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่นเป็นมิตรกับพลเมืองจีนที่เดินหน้าเข้าประเทศไทย

หลังวันที่ 25 กันยายน ที่ผ่านมา ประเทศไทยใช้นโยบายยกเว้นวีซ่านักท่องเที่ยวจีน ระยะเวลา 5 เดือน โฆษกจีนแถลงว่า จีน-ไทยเป็นประเทศเพื่อนบ้านฉันมิตรและประชาคมที่มีอนาคตร่วมกัน การเพิ่มการไปมาหาสู่กันทางบุคลากรเป็นสิ่งอันพึงมีในการสานสัมพันธ์ ‘จีน-ไทยมิใช่อื่นไกล พี่น้องกัน’ และเป็นส่วนสำคัญในการเดินหน้าสร้างประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันของจีน-ไทยในสมัยใหม่ ทั้งนี้จีนยินดีร่วมกับประเทศไทย ขยายความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว การศึกษา วัฒนธรรมและแวดวงอื่น ๆ มากขึ้น ให้ประชาชนจีน-ไทยเป็นมิตรกันมากขึ้น

10 อันดับอาชีพเนื้อหอม!! อนาคตอันใกล้นี้…ตลาดแรงงาน แย่งกันคว้าตัว!!

‘World Economic Forum’ เปิดเผยข้อมูล ‘10 อาชีพด้านเทคโนโลยี’ ที่จะตอบรับกับความต้องการของตลาดแรงงานในอนาคตไปจนถึงปี 2570 สำหรับประเทศไทย ทางสภาอุตฯ ได้เร่งประสานสมาชิก ส.อ.ท. ตลอดจนหน่วยงานรัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง เพื่อศึกษาข้อมูล ตลอดจนวางแผน รองรับความต้องการแรงงานที่จะเกิดขึ้น 

ส่วน 10 อาชีพที่เข้าข่ายว่าจะ ‘เนื้อหอมสุด ๆ’ จะมีอาชีพอะไรบ้าง ไปดูพร้อม ๆ กันเลย!!

สืบนครบาล ผนึกกำลัง สืบภูธรภาค 2 รวบแก๊งมังกร บุกปล้นทรัพย์ชาวจีนย่านห้วยขวาง ก่อนจะเผ่นไปกบดานที่บ่อวิน

วันที่ 27 กันยายน 2566 พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. สั่งการ พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น., พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.ภ.2  , พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น., พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น./หน.ชป.5 ศอ.ปส.ตร, พล.ต.ต.อัฎธพร วงศ์ศิริปรีดา ผบก.น.1, พล.ต.ต.ธีระชัย ชำนาญหมอ ผบก.สส.ภ.2, พ.ต.อ.วรพจน์ รุ่งกระจ่าง รอง ผบก.สส.บช.น., พ.ต.อ.สุกฤต มังคละสวัสดิ์ ผกก.สน.ห้วยขวาง, พ.ต.อ.วิชัย สนสกุล ผกก.สส.น.1, พ.ต.อ.ธัญญพัทธ์ บุญสุข ผกก.สส.2, บก.สส.บช.น., พ.ต.อ.ศานติ กรเกษม ผกก.สส.ภ.จว.ชลบุรี, พ.ต.อ.มาโนด หวังสู้ศึก ผกก.สส 1 บก.สส.ภ 2, พ.ต.อ.เอนก สระทองอยู่ ผกก.สภ.บ่อวิน ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุม

ร่วมแถลงผลการจับกุม Mr.LUI JIAN ( หลิว เจี้ยน ) สัญชาติจีนอายุ 34 ปี ตามหมายจับของ : ศาลอาญา 3267/2566 ลงวันที่ 26 กันยายน 2566 ข้อหาว่า “ ปล้นทรัพย์โดยผู้กระทำความผิดแม้แต่คนหนึ่งคนใดมีอาวุธติดตัวไปด้วย,และโดยมีหรือใช้อาวุธปืน,ร่วมกันเข้าไปหรือซ่อนตัวอยู่ในเคหสถานในความครอบครองของผู้อื่นในเวลากลางคืนโดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายโดยมีอาวุธ,และโดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป,พกพาวุธปืนและมีดไปในเมืองหมู่บ้านหรือทางสาธารณะ โดยไม่มีเหตุอันควรทำให้ผู้อื่นเกิดความกลัวหรือตกใจโดยการขู่เข็ญ” จับกุมได้ที่ร้านอาหารจีน ตำบลบ่อวิน  อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี

พฤติการณ์กล่าวคือ เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2566 เวลาประมาณ 20.40 น. มีผู้เสียหายชาวจีน 3 คน พักอยู่บ้านเลขที่ 999/92 ห้องที่ 3 หมู่บ้านเกศินีวิลล์ฯ หลังจากเสร็จสิ้นการออกกำลังกาย ได้กลับมายังบ้าน พบว่ามีชายชาวจีนจำนวน 6 คน พร้อมด้วยอาวุธปืน และมีด เข้ามาก่อเหตุปล้นทรัพย์ผู้เสียหายโดยได้ทรัพย์สินประกอบด้วย 1.แหวนทองคำขาวประดับเพชร ยี่ห้อ BVLGARI มูลค่า 627,500 บาท, 2.กำไลข้อมือทองคำขาว ประดับเพชร ยี่ห้อ CARTIER มูลค่า 1,690,000 บาท 3.กระเป๋าถือ ยี่ห้อ CHANEL สีดำ จำนวน 3 ใบ มูลค่ารวม 540,000 บาท  4.กระเป๋า ยี่ห้อ RIMOWA สีดำ มูลค่า 55,000 บาท, 5.โทรศัพท์มือถือยี่ห้อไอโฟน รุ่น 14 PRO สีม่วง ราคา 45,000 บาท 6.โทรศัพท์มือถือยี่ห้อไอโฟน รุ่น 14 PRO สีดำ ราคา 45,000 บาท  ไปจาก ผู้เสียหายชาวจีนทั้ง 3 คน 

ต่อมาตำรวจได้สืบสวน จนสามารถออกหมายจับได้ทั้งหมด พบว่าผู้ต้องหาบางส่วนได้หลบหนีออกไปต่างประเทศ ส่วนตัวผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมได้หลบหนี ไปเปิดห้องพักอยู่พื้นที่บ่อวินชลบุรีและออกไปรวมกลุ่มลักลอบมั่วสุมเล่นการพนันกับกลุ่มชาวจีน ด้วยกันในร้านอาหารจีน  จึงบูรณาการกำลังสืบ ภ 2 , สน.บ่อวิน , สน.ห้วยขวาง, สืบ บก.น.1 และ สืบนครบาล จับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับ ส่ง สน.ห้วยขวาง และจับกุมกลุ่มชาวจีนที่ลักลอบเล่นการพนัน ( ไพ่นกกระจอก ) จำนวน 6 คน ส่งดำเนินคดีที่ สภ.บ่อวิน  

ชั้นการจับกุมผู้ต้องหาให้การผ่านล่ามภาษาจีนปฎิเสธตลอดข้อกล่าวหา เจ้าหน้าที่จะสืบสวนขยายผลจับกุมกลุ่มบุคคลที่ก่อเหตุ ที่ออกหมายจับไว้แล้วเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ กล่าวว่า กลุ่มผู้ต้องหาทั้งหมดเป็นชาวจีน ที่ตั้งใจเข้ามาก่อเหตุในประเทศไทยโดยมีข้อมูลของกลุ่มบุคคลที่จะเข้ามาก่อเหตุอยู่แล้ว มีการวางแผนอย่างเป็นขั้นตอน เมื่อก่อเหตุเสร็จ ก็จะแยกย้ายกันหลบหนีออกนอกประเทศ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เพิ่มความเข้มงวดในการดูแลนักท่องเที่ยวให้มากขึ้น และจะทำสืบสวนข้อมูลบุคคลต้องสงสัย และกลุ่มบุคคลที่มีพฤติกรรม ที่เป็นภัยต่อนักท่องเที่ยวต่างชาติ  และถ้ามีบุคคลพบเห็นลักษณะบุคคลที่มีพฤติกรรมน่าสงสัยขอให้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวของต่อไป

‘ครู รร.ชื่อดัง’ ฉาว!! ตบ ‘นร.ชาย’ จนหน้าหัน เพราะไม่ยอมเรียก ‘แม่’ ล่าสุดโดนสั่งพักงาน-ตั้ง กก.สอบวินัยแล้ว รับทำจริง พร้อมชี้แจงยิบ

จากกรณีที่ได้มีผู้ใช้ทวิตเตอร์รายหนึ่ง ได้โพสต์คลิปแฉพฤติกรรมคุณครูผู้หญิงรายหนึ่ง พร้อมระบุข้อความว่า…

“หลานชายเราโดนครูตบหน้าอย่างแรง ด้วยเหตุผลที่ครูให้เรียกว่า ‘แม่’ แต่หลานตอบว่า ผมมีแม่คนเดียว หลานได้ขอโทษแล้วครูยังตบซ้ำ มันเกินไปไหมคะ รร.สาธิตชื่อดังย่านรามคำแหง”

จนทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมออนไลน์เป็นอย่างมาก อาทิ
“ครูทำเกินไปมาก”
“เด็กยกมือไหว้ขนาดนั้นยังไม่หยุดตบอีก”
“เป็นครูได้ยังไง”
“แบบนี้มันเข้าข่ายทำร้ายร่างกายแล้วครับ ต้องเอาเรื่องให้ถึงที่สุด”
“ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องทำแบบนี้ ครูคนนี้ต้องรับผิด ทั้งวินัยของหน่วยงาน ทั้งกฎหมายอาญา และเยียวยาทางแพ่ง ที่สำคัญ ยังมีครูที่ใช้อำนาจ ความรุนแรงทางวาจาและร่างกาย กับนักเรียนอีกมาก ที่ไม่ถูกพบเห็น ไม่กล้าแจ้ง แจ้งแต่ไม่คืบหน้า… ทำลายทรัพยากรมนุษย์ของประเทศตั้งแต่ในโรงเรียน”

ล่าสุด วันนี้ (28 ก.ย. 66) ที่โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยรามคำแหง ฝ่ายมัธยม อ.ดร.ธัชพล พลรัตน์ รองคณบดีฝ่ายโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยรามคำแหง ฝ่ายมัธยม ได้ออกมาเปิดเผยว่า ตนเพิ่งมารับตำแหน่ง ผอ. เมื่อเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา ตนได้เห็นคลิปแล้ว และยอมรับว่าเป็นครูของโรงเรียนจริง ซึ่งเป็นครูวิชาแนะแนวของชั้นมัธยมศึกษาชั้นที่ 2 และนักเรียนคู่กรณีก็เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาชั้นที่ 2 ส่วนห้องเรียนตนขอสงวน ไม่เปิดเผย

โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นตั้งแต่ผู้บริหารชุดเก่า ประมาณเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา แต่เมื่อวันที่ 21 ก.ย.ที่ผ่านมา ทางผู้ปกครองของนักเรียนดังกล่าว ซึ่ง 1 ในผู้ปกครองเป็นคุณครูของโรงเรียนเช่นเดียวกัน และมาพบตน พร้อมบอกว่าถูกครูแนะแนวคนดังกล่าวใช้วาจาหยาบคาย ไม่เหมาะสม ทำให้รู้สึกไม่ดี อีกทั้งยังบอกว่าก่อนหน้านี้มีประเด็นกันมาก่อน จากนั้นผู้ปกครองได้ให้ตนเองดูคลิป ตนจึงขอรวบรวมข้อมูลจากทางครูก่อน

แต่เนื่องด้วยครูแนะแนวคู่กรณีลาวันศุกร์กับวันจันทร์ ตนจึงได้พูดคุยกับครูแนะแนวดังกล่าวเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา และได้ข้อมูลมาว่าระหว่างการเรียนการสอน ได้มีการสอบถามข้อมูลกับนักเรียนคู่กรณี และเกิดการใช้วาจาไม่เหมาะสมดังกล่าว

อ.ดร.ธัชพล กล่าวต่อว่า เบื้องต้นตนจะต้องรวบรวมข้อมูลเพื่อส่งให้กับงานวินัยของมหาวิทยาลัย จึงจำเป็นต้องรวบรวมข้อมูลจากทั้ง 2 ฝ่าย ตนจึงได้เรียกมาพูดคุยเมื่อวันที่ 27 ก.ย.ที่ผ่านมา ทั้งนี้ ข้อมูลระหว่างครูและผู้ปกครองนั้นไม่เหมือนกัน ก่อนที่เมื่อช่วงเย็นวันที่ 27 ก.ย. คลิปจะถูกปล่อยออกมา

อย่างไรก็ตาม สำหรับแนวทางเบื้องต้น ตนได้สั่งให้ครูแนะแนวดังกล่าวหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าจะมีการสอบวินัยเสร็จสิ้น ซึ่งครูดังกล่าวมีอาการเคร่งเครียดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ส่วนนักเรียนคู่กรณี เปิดเผยว่าตอนนี้สภาพจิตใจดีขึ้นมากแล้ว เนื่องจากได้กำลังใจจากเพื่อน ๆ ทั้งระดับชั้น รวมถึงครอบครัว และตนก็ได้ติดตามตลอดว่านักเรียนรู้สึกอย่างไร

อ.ดร.ธัชพล กล่าวอีกว่า หลังจากนี้ ทางงานวินัยจะต้องตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง แต่คาดว่าจะดำเนินการให้เร็วที่สุด เพราะกำลังเป็นที่จับตามองของสังคม อย่างไรก็ตาม ตนได้พูดคุยกับผู้บริหารชุดเก่า ซึ่งได้ให้ข้อมูลว่าเรื่องนี้ได้ดำเนินการเรียกทั้ง 2 ฝ่ายมาพูดคุยกันเรียบร้อยแล้วว่าจะไม่มีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอีก ซึ่งเรื่องก็เงียบไปนานแล้ว จนมาเกิดเรื่องดังกล่าว ส่วนประเด็นที่ว่าครูท่านนี้เคยมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมมาก่อนนั้น ตนขอให้เป็นเรื่องของงานวินัยดำเนินการต่อไป

ทั้งนี้ สำหรับแนวทางการลงโทษ มีด้วยกัน 5 ขั้น ได้แก่ 1.) ภาคทัณฑ์ 2.) ตัดเงินเดือน 3.) ลดเงินเดือน 4.) ปลดออก และ 5.) ไล่ออก ซึ่งต้องดูตามเจตนาของครูแนะแนวต่อไป

อย่างไรก็ตาม ด้านผู้ปกครองเองไม่ได้อยากจะเอาเรื่อง เพียงแต่อยากได้ความยุติธรรมเท่านั้นเอง ซึ่งตนได้พูดคุยกับผู้ปกครองเพิ่มเติมก็พบว่ากดดันที่ทำให้กระทบโรงเรียนเพราะเป็นครูที่นี่ และผู้ปกครองก็ไม่ใช่คนโพสต์คลิปดังกล่าวด้วย

อ.ดร.ธัชพล กล่าวต่อว่า หลังจากที่ตนได้เห็นคลิป มองว่าเรื่องนี้ในฐานะครูและข้าราชการ เรามีแนวทางปฏิบัติงานอยู่แล้ว ถ้าเรายึดมั่นตามแนวทาง และระเบียบราชการปัญหาก็คงไม่เกิด ทั้งนี้ตนได้ทราบถึงพฤติกรรมของครูดังกล่าวว่า เป็นคนพูดจาตรง ๆ ดุ และตั้งใจสอนมาก

“ทางโรงเรียนรู้สึกไม่สบายใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น ทั้งครูในโรงเรียน นักเรียน และผู้ปกครอง ไม่มีใครคิดว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นกับโรงเรียนของเรา มองว่าเรื่องนี้เป็นเคสตัวอย่างที่โรงเรียนได้เรียนรู้ และครูก็ต้องกลับมาทบทวนว่าทุกวันนี้การเรียนการสอนของเราเป็นอย่างไร เหมาะสมกับนักเรียนยุคสมัยนี้หรือไม่ การใช้วิธีดุด่าคงใช้ไม่ได้แล้ว ซึ่งทางโรงเรียนยืนยันจะดำเนินการเรื่องนี้ให้ดีที่สุด และจะแถลงให้ทราบต่อไป” อ.ดร.ธัชพล กล่าวทิ้งท้าย

‘โฆษกรัฐบาล’ อัด ‘ก้าวไกล’ หลังจี้ ‘เศรษฐา’ ตอบกระทู้กรณีปัญหาตำรวจ พร้อมถาม “รู้ทั้งรู้ว่านายกฯ ติดภารกิจเยือนกัมพูชา จะทำไปเพื่ออะไร?”

(28 ก.ย. 66) นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แสดงความคิดเห็นกรณี นายรังสิมันต์ โรม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ตำหนิ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ว่าหนีตอบกระทู้ถามสด กรณีปัญหาเกี่ยวกับตำรวจ แต่กลับไปราชการที่กัมพูชา ว่า…

“รู้ทั้งรู้ ว่านายกรัฐมนตรีติดภารกิจเยือนกัมพูชา แต่ก็ยังหาเรื่องตั้งกระทู้ถามสดในสภาฯ ทำอย่างนี้ไปเพื่ออะไร? ประเทศชาติและประชาชนได้ประโยชน์อะไรครับ?”

อย่างไรก็ตามขณะนี้ นายชัย ได้ติดตามภารกิจนายกฯ อยู่ประเทศกัมพูชา

'อ.ธนวรรธน์' เชื่อ 3 มาตรการเร่งด่วนรัฐบาล ช่วยเซฟเงิน ปชช.ได้เกือบ 5 หมื่นล้านบาท

(28 ก.ย. 66) นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ เปิดเผยว่า ช่วงไตรมาส 4/2566 เศรษฐกิจจะได้แรงสนับสนุนจากมาตรการเร่งด่วนของ ‘รัฐบาลเศรษฐา 1’ เช่น มาตรการลดค่าไฟฟ้า มาตรการลดราคาน้ำมันดีเซล และการพักชำระหนี้เกษตรกร รวม 3 มาตรการประหยัดเงินได้ถึง 49,834 ล้านบาท และหากนำเงินราว 5 หมื่นล้านบาท จากกำลังซื้อประชาชนได้อัดฉีดในระบบเศรษฐกิจ มีผลต่อจีดีพีช่วง 3 เดือนที่เหลือของปี 2566 ประมาณ 72,939 ล้านบาท โดยจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้ 0.43% ของจีดีพีที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงไตรมาส 4/2566

‘วราวุธ’ มอบรางวัล ‘ประชาบดี’ ยกย่อง ผู้ทำความดี อุทิศตนเพื่อสังคม ‘หนังสืออยู่กับก๋ง-รพ.รามาธิบดี-แว่นท็อปเจริญ’ ได้รับรางวัลนี้ด้วย

(28 ก.ย. 66) ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นประธานพิธีมอบรางวัล ‘ประชาบดี’ ประจำปี 2565 และประจำปี 2566 เพื่อเชิดชูเกียรติผู้ทำคุณประโยชน์ดีเด่นแก่ผู้ที่อยู่ในสภาวะยากลำบาก และผู้ที่อยู่ในสภาวะยากลำบากที่ประพฤติตนดีเด่น เพื่อเสริมสร้างแรงจูงใจแก่ผู้ที่ดูแลช่วยเหลือผู้อยู่ในสภาวะยากลำบาก อีกทั้งส่งเสริมเจตคติเชิงบวกในการอยู่ร่วมกันอย่างเอื้ออาทร เห็นคุณค่าและศักดิ์ศรีของผู้อยู่ในสภาวะยากลำบาก โดยมี นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นางจตุพร โรจนพานิช อธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ พร้อมคณะผู้บริหาร ร่วมในพิธี

นายวราวุธ กล่าวว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส.) ได้ดำเนินการจัดพิธีมอบรางวัล ‘ประชาบดี’ มาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2550 เพื่อเป็นการยกย่องและเชิดชูเกียรติผู้ทำความดีอุทิศตนเพื่อสังคมให้เป็นที่ประจักษ์ ซึ่งเป็นรางวัลแห่งเกียรติยศที่นำต้นแบบมาจาก ‘พระประชาบดี’ เทพผู้เป็นที่พึ่งและสงเคราะห์ประชาชน ด้วยพลังแห่งการให้และแบ่งปัน เพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ให้รอดพ้นจากสภาวะยากลำบาก

สำหรับปีนี้ มีผู้รับรางวัล ‘ประชาบดี’ ประจำปี 2565 และประจำปี 2566 รวมจำนวนทั้งสิ้น 87 คน แบ่งออกเป็น 4 ประเภท ดังนี้

1.) ประเภทบุคคลผู้ทำคุณประโยชน์ ประจำปี 2565 และประจำปี 2566 รวม 19 ราย อาทิ นางสุพัตรา จิราธิวัฒน์ ผู้ริเริ่มโครงการ Centara Academy โดยเปิดสอนด้านการโรงแรมและการท่องเที่ยว พร้อมสนับสนุนทุนการศึกษาแก่เด็กนักเรียน, นางสาวเรณู ภาวะดี ผู้มีความมุ่งมั่นในงานจิตอาสา เป็นกระบอกเสียงและอุทิศตนเพื่อผู้ประสบความเดือดร้อน, นายแพทย์ศุภชัย โรจน์ขจรนภาลัย ผู้จัดการโครงการช่วยเหลือสังคมในทุกมิติ รวมถึงสนับสนุนเครื่องมือทางการแพทย์ให้กับโรงพยาบาลหลายแห่ง, นายสายชล พันพืช อาสามูลนิธิกู้ภัยสว่างกำแพงเพชรธรรมสถาน ผู้เสียสละตนเพื่อช่วยเหลือผู้อยู่ในสภาวะยากลำบาก คนเร่ร่อน และกลุ่มเปราะบางอย่างต่อเนื่อง

2.) ประเภทองค์กรที่ทำคุณประโยชน์ ประจำปี 2565 และประจำปี 2566 รวม 16 ราย อาทิ หอการค้าจังหวัดฉะเชิงเทรา สร้างงาน สร้างอาชีพแก่ผู้ที่อยู่ในสภาวะยากลำบาก จนเกิดการรวมกลุ่มในชุมชนเพื่อช่วยเหลือเกื้อกูลกันและพึ่งพาตนเองได้, สมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวหรือร่างกายเชียงราย ส่งเสริมอาชีพคนพิการให้มีงานทำ มีรายได้ หาเลี้ยงตนเองและครอบครัว, แว่นท็อปเจริญ ช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางที่มีปัญหาด้านสายตาทั่วประเทศ, โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล พัฒนากระบวนการรักษาและระบบการให้ข้อมูลการรักษาผู้ป่วยโรคหายาก

3.) ประเภทสื่อสร้างสรรค์ ประจำปี 2565 และประจำปี 2566 รวม 23 ราย อาทิ รายการวันใหม่วาไรตี้ ช่วงร้องทุก(ข์) ลงป้ายนี้ นำเสนอการช่วยเหลือประชาชนและผู้ด้อยโอกาส รวมทั้งประสานช่วยแก้ปัญหาสังคม, รายการ น.ช. ไม่ทิ้งกัน สร้างกำลังใจแก่อดีตเพื่อนนักโทษให้ดำเนินชีวิตในทางที่สุจริต, สถานีเฟซบุ๊กไลฟ์ & ศูนย์ช่วยเหลือออนไลน์ ‘สื่ออาสาประชาชน’, หนังสือเรื่อง ‘อยู่กับก๋ง’ โดยหยก บูรพา รายการที่สอดแทรกคำสอนที่มีคุณค่า ปลูกฝังทัศนคติที่ดีแก่คนทุกช่วงวัย 

4.) ประเภทต้นแบบคนสู้ชีวิต ประจำปี 2565 และประจำปี 2566 รวม 29 ราย อาทิ นายธนเดช  โพธิ์เงิน คนพิการจิตอาสา สู้ชีวิต อุทิศตนเพื่อช่วยเหลือและให้กำลังใจผู้ที่มีความพิการเช่นเดียวกัน, นายเอนก แก้วผา ผู้เคยเดินทางผิดและเปลี่ยนแปลงตัวเอง โดยอุทิศตนช่วยคนเปราะบาง, นายณรงค์ฤทธิ์ ชาวบางมอญ ใช้การพูดสร้างกำลังใจแก่ผู้ต้องขังและใช้ทุนทรัพย์ส่วนตัวซื้ออาหารเพื่อมอบให้แก่เด็ก คนเร่ร่อน และคนไร้ที่พึ่ง, นางสาวสุวรรณดี อ่ำศรีสุข ผู้ถือคติ “ขยัน ประหยัด ซื่อสัตย์ กตัญญู” ลุยช่วยเด็กกำพร้าและผู้มีรายได้ไม่เพียงพอแก่การยังชีพ

นายวราวุธ กล่าวว่า กระทรวง พม. หวังเป็นอย่างยิ่งว่ารางวัล ‘ประชาบดี’ ที่ได้มอบให้ จะเป็นกำลังใจ และสามารถขยายผลไปสู่พี่น้องประชาชนทั่วประเทศว่า วันนี้ การทำความดีของท่านมีคนเห็น และเป็นแรงผลักดันที่สำคัญให้กับสังคมไทยเดินไปข้างหน้า โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ภาครัฐจะไม่สามารถทำงานเพียงลำพังได้ การได้รับความร่วมมือจากภาคเอกชน ภาคประชาชน ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบใดนั้น คือหัวใจสำคัญในการช่วยคนทุกๆ กลุ่ม ทุกๆ เพศ ทุกๆ วัย และทุกๆ สถานะ กระทรวง พม. ขอขอบคุณทุกคนที่ได้รับรางวัล “ประชาบดี” และหวังว่าในปีต่อๆไป เราจะมีผู้ได้รับรางวัลเพิ่มขึ้น และหลากหลายสาขามากขึ้น สำหรับการเข้ามาช่วยกันทำงาน เพื่อให้สังคมไทยน่าอยู่มากขึ้น


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top