Wednesday, 11 June 2025
NewsFeed

‘วราวุธ’ สั่งดย.เร่งสำรวจ หวังดันค่าอาหารเด็กในสถานรองรับ ชี้ มื้อละ 19 บาท ถือว่าน้อย หากเทียบกับหน่วยงานอื่น

(27 ก.ย. 66) นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เปิดเผยถึงการผลักดันการปรับเพิ่มงบประมาณ ค่าอาหาร สำหรับเด็กและเยาวชนในสถานรองรับเด็ก สังกัดกรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) ว่า ขณะนี้ มีสถานรองรับเด็ก จำนวน 31 แห่งทั่วประเทศ ที่ดูแลคุ้มครองเด็กและเยาวชนตั้งแต่แรกเกิดถึง 18 ปี จำนวนกว่า 5,000 คน แต่ได้รับค่าอาหาร 57 บาทต่อหัวต่อวัน ซึ่งเมื่อเฉลี่ยอาหารสามมื้อแล้ว จะอยู่ที่มื้อละเพียง 19 บาทเท่านั้น ถือว่าน้อยที่สุด เมื่อเทียบกับเด็กและเยาวชนที่อยู่ในความดูแลของหน่วยงานอื่นๆ ทั้งที่คุณภาพของอาหารเป็นสิ่งสำคัญต่อพัฒนาการและการเติบโตทั้งร่างกายและจิตใจของเด็ก 

ทั้งนี้ จึงคิดว่าเราต้องมานั่งทบทวนกันใหม่ โดยได้มอบหมายให้ ดย. สำรวจสัดส่วนที่เหมาะสม ที่ควรจะปรับเพิ่มค่าอาหารเป็นเท่าไหร่ ซึ่งช่วงวัย 0 - 6 ปีอาจจะรับประทานอาหารในปริมาณไม่มากเมื่อเทียบกับเด็กโต แต่คุณภาพอาหารนับเป็นองค์ประกอบที่มีความสำคัญ ซึ่งเด็กในช่วง 6 ปีแรก นับเป็นช่วงสำคัญของพัฒนาการและการซึมซับสิ่งที่มีประโยชน์เข้าสู่ร่างกาย ขณะที่เด็กโต 6-18 ปี ต้องคำนึงถึงองค์ประกอบของอาหารทั้งปริมาณและคุณภาพ

นายวราวุธ กล่าวเพิ่มเติมว่า ตนได้มอบหมาย ดย. ให้เร่งสำรวจข้อมูล เพื่อผลักดันการปรับเพิ่มค่าอาหาร เป็นหน้าที่ของฝ่ายการเมืองที่ต้องดูแลและทำอย่างไรให้เด็กและเยาวชนที่อยู่ในความดูแลของกระทรวง พม. ได้รับอาหารที่มีคุณภาพ ต้องช่วยให้เขาเติบโตในสังคมทั้งร่างกายและจิตใจที่แข็งแรง ซึ่งที่ผ่านมา บางหน่วยงาน เช่น หน่วยงานที่ดูแลผู้ต้องขัง สถานพินิจ นักเรียนทหาร เด็กนักเรียนสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ยังได้ปรับงบประมาณค่าอาหารเพิ่มขึ้น แต่ของเด็กและเยาวชนในสถานรองรับของ ดย. ยังไม่เคยได้ปรับค่าอาหารเพิ่มขึ้นมานานแล้ว 

อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้อาจจะไม่ทันงบประมาณปี 2567 แต่จะเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุดเพื่อให้ทันเวลาในงบประมาณปี 2568

‘จีน’ ออกหนังสือปกขาว เปิดวิสัยทัศน์มุ่งหน้าพัฒนาประชาคมโลก นำเสนอแนวทางจัดระเบียบโลกใหม่ เพื่อแบ่งปันอนาคตร่วมกัน

(27 ก.ย. 66) หลังจากที่ ‘สี จิ้นผิง’ ผู้นำสูงสุดของจีน เคยออกมาสร้างความฮือฮา ด้วยการประกาศเป้าหมายในการสร้างทางสายใหม่แห่งศตวรรษที่ 21 ด้วยโครงการยักษ์ใหญ่ ‘Belt and Road Initiative’ (ฺBRI) เมื่อปี 2013 มาแล้ว

ผ่านมา 10 ปี วันนี้ รัฐบาลจีนได้ออกหนังสือปกขาว ที่เป็นเหมือนพิมพ์เขียวฉบับใหม่ล่าสุดที่ชื่อว่า ‘A Global Community of Shared Future : China's Proposals and Actions.’ หรือ ประชาคมโลกแห่งอนาคตร่วมกัน : ข้อเสนอและแผนการดำเนินการของจีน

โดยได้นำเสนอพื้นฐานทฤษฎี, หลักปฏิบัติ และแผนพัฒนาประชาคมโลกในมุมมองวิสัยทัศน์ของรัฐบาลจีน ซึ่งต่อต้านความคิดของบางประเทศ ที่พยายามแสวงหาอำนาจสูงสุดในการครอบงำโลก ในขณะที่จีนนำเสนอวิธีในการแบ่งปันอนาคตร่วมกันระหว่างประชาคมโลก ผ่านพันธมิตรในเขตเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในโปรเจกต์ BRI ของจีน

การออกสมุดปกขาวแสดงเจตจำนง และ วิสัยทัศน์ฉบับล่าสุดของจีน ที่เป็นเหมือนการปักหมุดครบรอบ 10 ปี ของการเปิดโครงการ BRI เป็นเป้าหมายใหม่ที่ท้าทายสำหรับจีนยิ่งกว่าเมื่อ 10 ปีที่แล้วอย่างแน่นอน

เนื่องจากโลกเพิ่งผ่านวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่ อาทิ การระบาดของ Covid-19, การหดตัวทางเศรษฐกิจ ภาวะเงินเฟ้อรุนแรงในหลายประเทศ รวมถึงสงครามทางเศรษฐกิจ และภูมิศาสตร์การเมืองที่ยังคงเข้มข้น และจีนก็ถูกจับตามองมากขึ้นกว่าเมื่อ10 ปีก่อน ในฐานะที่เป็นทั้งชาติมหาอำนาจ และภัยคุกคาม

นักวิเคราะห์จีนมองว่า รัฐบาลปักกิ่งก็ตระหนักถึงความท้าทายนี้ ที่จีนมักถูกโจมตีจากสหรัฐอเมริกาและพันธมิตร ด้วยวาทกรรม เช่น ‘ประชาธิปไตย vs เผด็จการ’ การเผชิญหน้ากับจีนด้วยรูปแบบการใช้พันธมิตรกดดัน การกล่าวหาจีนในเรื่องการจารกรรมเทคโนโลยี ล้วนแต่เป็นวิธีในการรักษาระเบียบโลกเก่าที่มีสหรัฐอเมริกาเป็นใหญ่

ซึ่งจีนมองว่าทั้งแนวคิด และพฤติกรรมของชาติพันธมิตรสหรัฐฯ ทำให้เกิดความตึงเครียด และความขัดแย้งไปทั่วโลก อย่างไม่จบ ไม่สิ้น จนนำไปสู่สงครามเย็นรูปแบบใหม่ ดังนั้น จีนและอีกหลายประเทศจึงเกิดความคิดเหมือนกันว่า ควรหาหนทางจัดระเบียบโลกใหม่ ที่ให้ประชาคมโลกทั้งหมดสามารถสร้างและแบ่งปันอนาคตร่วมกันได้

ด้าน ‘ศาสตราจารย์ อู่ ซินปั๋ว’ ผู้อำนวยการสถาบันอเมริกันศึกษาของมหาวิทยาลัยฟู่ตั้น ได้กล่าวถึงสมุดปกขาวฉบับใหม่ว่า รัฐบาลจีนต้องการก้าวขึ้นมาเป็นชาติมหาอำนาจที่มีบทบาทสังคมโลกอย่างเปิดเผย และต้องการให้ชาติอื่นๆ ในประชาคมโลกสนับสนุน ดังนั้น รัฐบาลจีนจำเป็นต้องสื่อสารให้ชัดเจนถึงทิศทาง และเป้าหมายที่จีนกำลังจะมุ่งหน้าไปว่าไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ของจีนชาติเดียว แต่เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นในสังคมโลกด้วย

ซึ่งชัดเจนว่า สมุดปกขาวของจีน นำเสนอแนวคิดเชิงการทูตสไตล์จีน ที่ต้องการสร้างระเบียบโลกทางเลือก จากที่เคยนำโดยชาติพันธมิตรตะวันตก และเป็นการต่อยอดจากโครงการ BRI ของจีน ซึ่งจากการประชุมครั้งล่าสุดเมื่อเดือนกรกฎาคม 2023 มีประเทศกว่า 3 ใน 4 ของโลก และ องค์กรนานาชาติกว่า 30 แห่ง ได้เซ็นข้อตกลงความร่วมมือในโครงการ BRI ของจีนแล้ว ซึ่งน่าจะมีพลังมากพอที่จีนจะเป็นผู้นำในการขับเคลื่อนประชาคมโลกที่เกิดจากความร่วมมือ และแบ่งปัน แทนการชี้นำโดยชาติมหาอำนาจเพียงชาติเดียว

และนี่ก็เป็นภาพรวมของยุทธศาสตร์โลกของจีน ที่หวังสร้างประชาคมโลกในอุดมคติใหม่ ท่ามกลางวิกฤติปัญหาเศรษฐกิจ และ สังคมที่รุมเร้าจีน และอุปสรรคใหญ่ที่สุดของจีน ยังคงเป็นสหรัฐอเมริกา ที่มีเครือข่ายพันธมิตรที่แข็งแกร่ง สามารถชี้นำไปในทิศทางเดียวกันได้

ซึ่งจีนต้องใช้ความพยายามอย่างหนักในการสร้างความมั่นใจให้ชาวประชาคมโลก ‘ซื้อ’ ไอเดียของสมุดปกขาวนี้ และมองเห็นอนาคตในมุมมองเดียวกันกับที่จีนมอง ที่อาจต้องใช้เวลา 10 ปี หรือนานกว่านั้น 

เรื่อง : ยีนส์ อรุณรัตน์

‘พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล’ รองผบ.ตร. ผู้อาวุโสลำดับที่ 4 ผงาดรับตำแหน่ง ‘ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ คนที่ 14’

(27 ก.ย.66) มีรายงานว่า ที่ประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) เพื่อคัดเลือกผู้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ คนที่ 14 แทน พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ที่จะเกษียณอายุราชการในวันที่ 30 ก.ย.นี้ ซึ่งมีนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม

การประชุมเริ่มต้นตั้งแต่ 14.00 น. ก่อนที่ประชุมจะมีมติในเวลา 16.28 น. ให้ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล เป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนที่ 14 ซึ่งเป็นผู้อาวุโส ชิงตำแหน่งในลำดับที่ 4 ซึ่งเป็นลำดับสุดท้าย

วาระการประชุมแต่งตั้ง ผบ.ตร. ในวันนี้อยู่ในวาระที่ 65 ซึ่งเป็นวาระสุดท้าย แต่ได้เลื่อนขึ้นมาพิจารณาก่อน เป็นวาระแรก โดยระหว่างการพิจารณาได้เชิญ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธ์เพ็ชร์ และ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร. ผู้ชิงตำแหน่งที่มาร่วมประชุมกันเพียง 2 คน ออกจากห้องประชุม เพื่อให้คณะกรรมการได้พิจารณาเรื่องคุณสมบัติก่อนลงมติ

ทั้งนี้ ลำดับอาวุโสของ รอง ผบ.ตร. 4 นาย ที่เป็นผู้ชิงตำแหน่ง ผบ.ตร.ในวันนี้ คือ ลำดับที่ 1 พล.ต.อ.รอย, ลำดับที่ 2 พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล, ลำดับที่ 3 พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ และลำดับที่ 4 พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล

ภายหลังการประชุม ก.ตร.แล้วเสร็จ และมีรายงานว่า มติที่ประชุมแต่งตั้ง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล เป็น ผบ.ตร.คนที่ 14

จากนั้นในเวลา 17.05 น. นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ ประธานในที่ประชุม ก.ตร.ได้เดินทางออกจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยไม่ได้ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชน

ขณะที่ พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม. ในฐานะ โฆษก ตร. กล่าวว่า การประชุม ก.ตร.ครั้งที่ 10/2566 วันนี้ได้คัดเลือกแต่งตั้ง ผบ.ตร.คนใหม่ โดยพิจารณารายชื่อเรียบร้อยแล้ว แต่อยู่ระหว่างขั้นตอนทางธุรการ เพื่อนำความกราบบังคมทูล จึงยังไม่สามารถเปิดเผยชื่อได้ในวันนี้

‘แกร็บ’ จับมือ ‘เอเชีย แค็บ’ เปิดให้บริการแอปฯ เรียกรถ ‘CABB’ ต้นฉบับแบบแท็กซี่ลอนดอน หวังเจาะกลุ่มลูกค้าระดับพรีเมียม

‘แกร็บ’ ผนึกพันธมิตร ‘เอเชีย แค็บ’ ผู้ผลิตและผู้ให้บริการ CABB รถแท็กซี่วีไอพีต้นฉบับแบบลอนดอนแท็กซี่ เปิดตัวบริการ ‘Taxi VIP’ เพื่อให้ลูกค้าสามารถเรียกใช้บริการรถแท็กซี่ CABB ผ่านแอปพลิเคชัน Grab นำร่องให้บริการแล้วในกรุงเทพฯ และภูเก็ต เล็งขยายพื้นที่การให้บริการในเมืองท่องเที่ยว อาทิ พัทยาและเชียงใหม่

(27 ก.ย. 66) นางสาวเมธิณี อนวัชกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจการเดินทางและบริหารพาร์ตเนอร์คนขับ แกร็บ ประเทศไทย กล่าวว่า “ในฐานะผู้นำแพลตฟอร์มเรียกรถผ่านแอปพลิเคชัน แกร็บมุ่งพัฒนาบริการและเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง พร้อมนำเสนอบริการการเดินทางผ่านยานพาหนะที่หลากหลายเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้โดยสารในแต่ละกลุ่ม ซึ่งรวมถึงลูกค้าพรีเมียม โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในกลุ่มเป้าหมายหลักที่จะช่วยสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจการเดินทางของแกร็บในปีนี้ โดยในช่วงที่ผ่านมาเราได้ปรับปรุงบริการ ตลอดจนดำเนินกิจกรรมต่างๆ เพื่อยกระดับการให้บริการกับลูกค้ากลุ่มนี้ อาทิ การปรับโฉมบริการเดินทางแบบพรีเมียมเพื่อสร้างความประทับใจผ่าน 5 ประสาทสัมผัส และการเพิ่มช่องทางการชำระเงินเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าชาวต่างชาติ”

“สำหรับการผนึกความร่วมมือกับ CABB ซึ่งถือเป็นผู้นำในตลาดแท็กซี่ระดับพรีเมียมในครั้งนี้ จะช่วยเพิ่มตัวเลือกที่หลากหลายในการเดินทาง ถือเป็นอีกก้าวสำคัญที่จะช่วยเติมเต็มประสบการณ์การเดินทางให้กับลูกค้าในกลุ่มพรีเมียมของแกร็บให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ด้วยรูปลักษณ์ของรถแท็กซี่ที่มีดีไซน์โดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์ บริการและฟังก์ชันเหนือระดับภายในรถ รวมถึงมาตรฐานของคนขับที่ได้รับการอบรมเป็นพิเศษ โดยผู้ใช้บริการ Grab สามารถเรียกรถ CABB ได้แล้วผ่านเมนู Taxi VIP ในแอปพลิเคชันของเรา ซึ่งได้นำร่องให้บริการในจังหวัดภูเก็ตตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา และเริ่มขยายการให้บริการในกรุงเทพฯ ในเดือนสิงหาคม ซึ่งคาดว่าจะเชื่อมต่อระบบและสามารถให้บริการได้เต็มรูปแบบภายในไตรมาส 4 ของปีนี้”

นายภาสกร ดารารัตนโรจน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอเชีย แค็บ จำกัด กล่าวว่า “CABB เปิดให้บริการในประเทศไทยครั้งแรกในปี 2563 ปัจจุบันเรามีรถแท็กซี่ CABB ให้บริการในกรุงเทพฯ และภูเก็ตรวมกว่า 400 คัน โดยลูกค้าหลักของเราคือกลุ่มลูกค้าพรีเมียมที่ต้องการความเป็นส่วนตัว ความสะดวกสบาย และเชื่อมั่นในบริการที่มีความปลอดภัย ทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ ที่ผ่านมาเราให้บริการผ่านทั้งช่องทางออฟไลน์ โดยลูกค้าสามารถเรียกรถ CABB ได้ตามจุดให้บริการต่างๆ และช่องทางออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชัน CABB ซึ่งมีสัดส่วนราว 40%”

“เพื่อเป็นการเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงฐานลูกค้าใหม่ เราจึงได้ร่วมมือกับ แกร็บ ซึ่งถือเป็นผู้นำแพลตฟอร์มเรียกรถผ่านแอปฯ เพื่อขยายฐานลูกค้าผ่านช่องทางออนไลน์ โดยเราจะเปลี่ยนช่องทางการเรียกรถผ่านแอปพลิเคชัน CABB ไปอยู่ที่แอปพลิเคชัน Grab เพียงช่องทางเดียว ทั้งนี้ เราตั้งเป้าที่จะเพิ่มจำนวนรถแท็กซี่ CABB เป็น 600 คันภายในสิ้นปี พร้อมเตรียมขยายบริการไปยังเมืองท่องเที่ยวสำคัญ อาทิ พัทยา และเชียงใหม่ โดยเราเชื่อมั่นว่าความร่วมมือในครั้งนี้จะช่วยให้บริการของ CABB สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้ามากขึ้น และช่วยส่งมอบบริการขนส่งสาธารณะที่มีคุณภาพให้กับคนไทยและชาวต่างชาติ”

'นักข่าวรับเงิน' เลือดขุ่นวงการสื่อ ถือไพ่เป็นต่อเหนือแหล่งข่าว เปลี่ยนสถานะจากผู้ตรวจสอบ สู่ปากกระบอกเสียงฟอกขาว

(27 ก.ย.66) ผู้ใช้เฟซบุ๊ก 'Tossapol Chaisamritpol' ได้โพสต์ข้อความถึงบทบาทสื่อมวลชนบางกลุ่ม ระบุว่า...

“นักข่าวรับเงิน … เรื่องใหญ่ ไม่ใหญ่?”

บิ๊กโจ๊ก บอกว่า “จ่ายเงินนักข่าว ครั้งละ 10,000 บาท” พร้อมระบุชื่อเล่นออกมาชัดเจน นี่เป็นการเปิดเผยเรื่องที่นักข่าวเรา ๆ ซุกไว้ใต้พรมมานานแล้ว

ถามว่า รับเงินแหล่งข่าวผิดไหม ก็ต้องถามว่า ข่าวนั้นเป็น Advertorial หรือ Sponsored Content หรือเปล่าก่อน ถ้าใช่และมีการระบุชัดเจนในคลิป หรือในคอนเทนต์…สำนักข่าวก็ถือเป็นการขายพื้นที่โฆษณาเหมือนโทรทัศน์นั่นแล หรือเป็น Partnership หรือ Press Trip อันนี้ ถือเป็นการจับมือร่วมกันทำคอนเทนต์ ก็พิจารณาตามเหมาะสม

แต่ถ้ารับเงินจาก ‘แหล่งข่าว’ ที่เป็นบุคคลสาธารณะ ที่สื่ออย่างเราควรต้องไปตรวจสอบ ไม่ใช่รับเงินมาเป็นกระบอกเสียงให้เขา…อันนี้ อันตรายอยู่นะครับ ไม่เพียงความน่าเชื่อถือของบุคคลนั้น องค์กรสื่อนั้นๆ ไปจนถึงทั้งวิชาชีพ ที่เดี๋ยวอีกหน่อยทำข่าวไป ประชาชนก็จะครหาได้ว่า “รับเงินเขามาหรือเปล่า”

ไม่ว่าจะเหตุผลส่วนตัวประการใด เข้ามาในวิชาชีพสื่อสารมวลชนแล้ว การรับเงินจากแหล่งข่าวในลักษณะหลังนี้ ถือว่า ‘เลือดขุ่น’ ไปแล้ว เพราะหากคุณรับเงินเขามา มันมีผลด้านจิตวิทยาว่า คุณจะ Bias และ Lean ไปในทางให้ประโยชน์เขา…ถ้าเขาเป็นคนร้าย คนสีดำ-เทา ก็เท่ากับคุณใช้อาชีพสื่อ ไปฟอกสีให้เขาขาวไร้มลทิน

แหล่งข่าว ถือไพ่เหนือกว่าด้วยนะ เพราะคุณถูกจับเป็นตัวประกันทางวิชาชีพ ในวันที่คุณกลายเป็นอริกับเขา เขาเปิดโปงจนคุณจบอาชีพสายนี้ไปได้เลย โดยเฉพาะหากแหล่งข่าวนั้นเป็นระดับ รอง ผบ.ตร. 

เงินหมื่น สะสมเป็นเรือนแสนนั้น จะทำให้คุณกลายเป็นจำเลย ที่แหล่งข่าวอยากใช้อะไรคุณก็ทำได้ เหมือนธนาคารที่คุณกู้สินเชื่อ ก็ต้องไปชำระหนี้เขานั่นแหละ

ปกติแล้ว ถึงจะให้ก็จะบอกไม่รับ ยิ้มบอกไปว่า “เนื้อหานี้เราเห็นประโยชน์เพื่อสังคม ไม่เป็นไรครับ” หรือบอกให้ เอาไปทำบุญดีกว่า…เงินนั้น สีดำสีเทา เราก็ไม่รู้

อย่างไรก็ดี ดีที่มีการพูดเปิดอกกันเรื่องนี้ รอสมาคมสื่อต่างๆ ออกแถลงการณ์ อย่าให้การจ่ายเงินสื่อที่เป็นปัจเจก มาทำให้วงการมีมลทินมัวหมอง

‘GISTDA’ เตรียมส่ง 'THEOS-2' ฝีมือคนไทยพิชิตอวกาศ 7 ต.ค.นี้ ชี้ เป็นดาวเทียมสำรวจโลกรายละเอียดสูงมากดวงแรกของประเทศ

(27 ก.ย.66) น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ดร.ปกรณ์ อาภาพันธุ์ ผู้อำนวยการ สำนักพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (จิสด้า-GISTDA) นายเรมี ล็องแบร์ อุปทูตรักษาการเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำประเทศไทย และนายโอลิวิเย่ร์ ชาร์ลเวท จากบริษัท AIRBUS ร่วมแถลงข่าวความพร้อมของดาวเทียม THEOS-2 (ธีออส2) ก่อนขึ้นสู่อวกาศ

น.ส.ศุภมาสกล่าวว่า ประเทศไทย มีกำหนดการส่งดาวเทียม THEOS-2 ขึ้นสู่อวกาศในวันเสาร์ที่ 7 ตุลาคม 2566 เวลา 08.36 น. (ตามเวลาประเทศไทย) ณ ท่าอวกาศยานยุโรปเฟรนช์เกียนา (Guiana Space Center) ในทวีปอเมริกาใต้ โดยดาวเทียม THEOS-2 เป็นดาวเทียมสำรวจโลก หรือ Earth observation satellite หนึ่งในสองดวงที่อยู่ภายใต้โครงการระบบดาวเทียมสำรวจเพื่อการพัฒนา ที่ดำเนินการโดยจิสด้า ซึ่งมีศักยภาพถ่ายภาพและผลิตภาพสีรายละเอียดสูงมากในระดับ 50 เซนติเมตร สามารถถ่ายภาพและส่งข้อมูลกลับมายังสถานีภาคพื้นดินได้ไม่ต่ำกว่า 74,000 ตารางกิโลเมตรต่อวัน และข้อมูลจากดาวเทียมจะถูกใช้ในการปรับปรุง (Update) ข้อมูลในทุกพื้นที่ของไทยให้เป็นปัจจุบันอย่างละเอียดและถูกต้อง ช่วยให้การวางแผนบริหารจัดการพื้นที่ที่ตอบสนองต่อสถานการณ์ฉุกเฉินต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถนำมาใช้ในการจัดการเกษตร การบริหารจัดการน้ำ การจัดการภัยธรรมชาติ การจัดการเมือง และทรัพยากรธรรมชาติ รวมถึงยังช่วยพัฒนาและยกระดับโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีอวกาศของประเทศ โดยเฉพาะด้านทรัพยากรมนุษย์และการพัฒนาอุตสาหกรรมอวกาศ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ

รัฐมนตรี อว.กล่าวว่า สำหรับข้อมูล THEOS-2 นี้ GISTDA จะเปิดโอกาสให้ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษา ได้เข้าถึงข้อมูล เพื่อจะได้นำไปต่อยอดหรือการบริการเชิงพาณิชย์ได้ ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมการพัฒนาระบบเศรษฐกิจภายในประเทศ รวมถึงจะเป็นแรงผลักดันเพื่อขับเคลื่อนด้านการศึกษา การวิจัยและนวัตกรรมในการใช้ข้อมูลเชิงพื้นที่ และเทคโนโลยีอวกาศในการพัฒนาองค์ความรู้ สร้างนักพัฒนานวัตกรรมทุกระดับตั้งแต่ระดับเยาวชน startup SMEs และบริษัทเอกชนขนาดใหญ่ ตามนโยบายของ อว. ที่มุ่งเน้นในการสร้างคน สร้างความรู้ สร้างนวัตกรรม เพื่อพัฒนาประเทศ

น.ส.ศุภมาสกล่าวอีกว่า สำหรับการนำส่งดาวเทียม THEOS-2 ในครั้งนี้ เป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์สำหรับอนาคตของประเทศไทย เพราะเป็นการนำส่งดาวเทียมที่จะนำมาสู่การยกระดับรูปแบบการพัฒนาประเทศด้วยการใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ซึ่งในฐานะผู้แทนของรัฐบาลที่กำกับดูแลหน่วยงานกิจการอวกาศของประเทศและคนไทย จะร่วมเดินทางไปปล่อยดาวเทียม THEOS-2 ในครั้งนี้ด้วย เนื่องจากรัฐบาลให้ความสำคัญอย่างมากกับความสำเร็จในการนำดาวเทียมความละเอียดสูงมากของไทยดวงนี้ขึ้นสู่อวกาศ ในโอกาสนี้จึงขอเชิญชวนชาวไทยทุกคนร่วมส่งกำลังใจให้กับทีมงาน GISTDA และประเทศไทยในการส่งดาวเทียม THEOS-2 ขึ้นสู่อวกาศได้สำเร็จ เพราะการนำส่งดาวเทียมสำรวจโลกครั้งนี้ถือเป็นการส่งดาวเทียมความละเอียดสูงมากครั้งแรกของประเทศไทย

เมื่อดาวเทียม THEOS-2 ขึ้นสู่อวกาศแล้วจะใช้เวลาอีกประมาณ 5-7 วัน ในการปรับตัวเองให้เข้าสู่วงโคจรที่แท้จริง และจะใช้เวลาอีกประมาณ 6 เดือน ที่จะทดสอบระบบต่างๆ ก่อนเปิดให้บริการ ทั้งนี้ ดาวเทียม THEOS-2 จะมีส่วนช่วยเสริมสร้างขีดความสามารถของประเทศไทยในการพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ โดยกระทรวง อว. จะผลักดันนโยบายเรื่องเศรษฐกิจอวกาศของประเทศไทยให้เป็นจริงโดยเร็ว

ด้าน ดร.ปกรณ์กล่าวว่า ดาวเทียม THEOS-2 จะเป็นเครื่องมือสำคัญให้กับรัฐบาลในการบริหารจัดการประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดีขึ้น อีกทั้งยังเป็นการเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศทางด้านเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ อีกด้วย สำหรับการนำข้อมูลจากดาวเทียม THEOS-2 มาใช้ในการพัฒนาประเทศ สามารถเป็นไปได้ในหลากหลายมิติ อาทิ การจัดทำแผนที่ เนื่องจากดาวเทียม THEOS-2 สามารถบันทึกภาพและความละเอียดสูงถึง 50 เซนติเมตรต่อ pixel และพัฒนาให้เป็นข้อมูลสามมิติได้ จึงสามารถนำไปผลิตแผนที่มาตราส่วนใหญ่ได้ถึง มาตราส่วน 1:1000

“การจัดการเกษตรและอาหาร ดาวเทียม THEOS-2 สามารถใช้ในการวิเคราะห์ และประเมินพื้นที่เพาะปลูก การจำแนกประเภทพืชเกษตร สุขภาพพืช และการคาดการณ์ผลผลิตที่จะเกิดขึ้น คุณสมบัติเหล่านี้จะนำไปสู่การเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรที่ครอบคลุมพืชเศรษฐกิจหลักอย่างน้อย 13 ชนิด ทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ ตลอดจนการคาดการณ์ผลผลิตล่วงหน้าที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งจะเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นให้แก่ครอบครัวเกษตรกร เป็นต้น”

ดร.ปกรณ์ยังกล่าวอีกว่า การส่งดาวเทียม THEOS-2 ขึ้นสู่อวกาศในครั้งนี้ถือเป็นการส่งดาวเทียมระดับปฏิบัติการที่สามารถนำไปใช้งานได้จริงตามภารกิจของประเทศดวงที่ 2 ของไทยในรอบ 15 ปี หลังจากส่งไทยโชตเมื่อปี 2551 ทั้งนี้ การที่ประเทศไทยมีดาวเทียม THEOS-2 จะเป็นการตอบโจทย์การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนในระยะยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การใช้ข้อมูลจากดาวเทียมเพื่อลดความเหลื่อมล้ำในมิติต่างๆ โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญที่ประเทศไทยกำลังเผชิญ เพราะ ‘เศรษฐกิจ’ คือปากท้องของประชาชน จะเป็นกลไกหลักที่สำคัญในการขับเคลื่อนประเทศ GISTDA ในฐานะหน่วยงานภายใต้กระทรวง อว. พร้อมสนับสนุนและส่งเสริมให้เกิดการใช้ประโยชน์จากข้อมูลดาวเทียมดวงนี้ในการแก้ไขปัญหา ทั้งในมิติของการแก้ไขปัญหาเชิงพื้นที่และมิติของการพัฒนาพื้นที่เพื่อก่อให้เกิดการพัฒนาแบบยั่งยืนของประเทศไทยต่อไป

‘หนุ่ม คงกะพัน’ ยืนยัน ‘เพชรบลูไดมอนด์’ ไม่มีอยู่จริง แค่กระแสข่าวที่ตีแผ่ จนทำให้เกิดการเข้าใจผิด

เมื่อไม่นานนี้ ‘พี่หนุ่ม คงกะพัน แสงสุริยะ’ นักแสดงและพิธีกรชาวไทย ได้ออกมาเล่าย้อนความคดีดังในหน้าประวัติศาสตร์ไทย ‘คดีเพชรซาอุฯ’ ผ่านรายการ ‘แฉ’ ตอน ความลับ 30 ปี ‘เพชรซาอุฯ บลูไดมอนด์’ โจรกรรมสะท้านโลก ออกอากาศเมื่อวันที่ 22 ก.ย. 66 ดำเนินรายการโดย มดดำ คชาภา, ดีเจดาด้า และ น็อต วรฤทธิ์ 

โดยพี่หนุ่มได้เล่าว่า เรื่องราวทั้งหมดนั้น ต้องย้อนกลับไปเมื่อปี 2532 หรือเมื่อ 34 ปีก่อน นายเกรียงไกร เตชะโม่ง (ปัจจุบันเปลี่ยนนามสกุลเป็น ‘เกรียงไกร มงคลสุภาพ’) อดีตคนงานไทย ตำแหน่งพนักงานทำความสะอาดประจำพระราชวังของ ‘เจ้าชายไฟซาล บิน ฟาฮัด อัล ซะอูด’ แห่งซาอุดีอาระเบีย ได้ทำการขโมยเพชรและเครื่องประดับ โดยเริ่มจากการฉกฉวยของมีค่าเล็กๆ น้อยๆ อย่างเช่น ช้อนส้อมที่ทำจากทองคำขาว ซึ่งก็นับว่ามีมูลค่ามากแล้ว

หลังจากนั้นจึงค่อยๆ ขโมยของชิ้นใหญ่มากขึ้น จนกลายเป็นการโจรกรรมเครื่องเพชรกว่า 4 กระสอบ น้ำหนักรวมกันกว่า 91 กิโลกรัม หอบหนีกลับประเทศไทย โดยสาเหตุของจุดเริ่มต้นเกิดจากการที่นายเกรียงไกรเสพติดการเล่นพนัน และต้องหาเงินมาจ่ายเจ้าหนี้ จนนำไปสู่การโจรกรรมเพชรล็อตใหญ่จากราชวงศ์ซาอุดีอาระเบีย

หลังโจรกรรมสำเร็จ นายเกรียงไกรได้กระจายเพชรที่ขโมยมาได้ผ่านพ่อค้าคนกลาง ไปยังร้านค้าเพชรและตลาดเพชรพลอยทั่วประเทศ โดยรายงานของตำรวจพบว่า ร้านของ ‘นายสันติ ศรีธนะขัณฑ์’ พ่อค้าเพชรย่านบ้านหม้อ เป็นแหล่งใหญ่สุดในการรับซื้อเพชรจากเกรียงไกร และขายต่อไปยังพ่อค้ารายย่อย-กลุ่มบุคคลต่างๆ นายสันติจึงเป็นผู้กุมความลับเรื่องการกระจาย ‘เพชรซาอุฯ’

ต่อมา ได้มีการอุ้มหายภรรยาและลูกชายของนายสันติ จากการวิธีการเค้นสอบนอกรีตด้วยฝีมือของเจ้าหน้าที่ตำรวจคนสนิทของ ‘พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ’ ผู้บัญชาการประจำกรมตำรวจในเวลานั้น ที่ต้องการจะไล่ล่าหาเครื่องเพชรส่งคืนซาอุฯ เพื่อกู้หน้าและเรียกคืนความน่าเชื่อถือของรัฐบาลไทยและวงการตำรวจ

จนในที่สุด ‘พล.ต.ต.วีระศักดิ์ มีนะวาณิชย์’ อดีตผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 8 นักสืบมือฉกาจ ผู้ได้รับฉายา ‘เชอร์ล็อก โฮล์มส์ เมืองไทย’ ได้ตามสืบจนสามารถนำส่งคืนราชวงศ์ซาอุฯ ได้จำนวนหนึ่ง

นอกจากนี้ พี่หนุ่มได้เล่าว่า ‘เพชรบลูไดมอนด์’ ในตำนานนั้น ‘ไม่มีอยู่จริง’ แต่เพชรที่ทางราชวงศ์ซาอุฯ ต้องการได้รับคืน คือ ‘สร้อยพลอยสีแดงเม็ดใหญ่’ ที่เป็นมรดกตกทอดจากบรรพบุรุษ ซึ่งใช้ประกอบพิธีละหมาด รวมถึงสร้อยไข่มุก โดยข้อเท็จจริงนี้ ทางการของประเทศซาอุดีอาระเบียก็ได้มีการออกมายืนยันแล้วเช่นกัน ว่าไม่ได้มี ‘เพชรบลูไดมอนด์’ ปรากฏอยู่ในรายชื่อของมีค่าที่ถูกขโมยแต่อย่างใด เรื่องราวและตำนานอาถรรพ์ทั้งหมดนั้น ถูกนำเสนอโดยสื่อในขณะนั้น ที่ต้องการจะตีกระแสข่าวจนทำให้เกิดการเข้าใจผิด

อีกทั้ง พล.ต.ต.วีระศักดิ์ ยังได้เคยออกมาเปิดเผยว่า สิ่งที่ราชวงศ์ซาอุฯ ต้องการมากที่สุด คือ ‘อัลบั้มภาพถ่ายครอบครัวของราชวงศ์’ ซึ่งเป็นความทรงจำที่สามารถประเมินค่าได้ และหาสิ่งใดมาทดแทนไม่ได้ เนื่องจากในสมัยนั้น ยังไม่มีพัฒนาการในการเก็บไฟล์ภาพแบบดิจิทัล การจะเก็บรักษาภาพถ่าย คือต้องนำภาพถ่ายมาอัดล้าง และเก็บรักษาไว้ในอัลบั้มเท่านั้น

โดยอัลบั้มภาพถ่ายแห่งความทรงจำของราชวงศ์ซาอุฯ นั้น ได้ถูกนายเกรียงไกรขโมยติดมือมาพร้อมกับเครื่องเพชรด้วย และต่อมา นายเกรียงไกรหวาดระแวง กลัวจะถูกตามรอยสืบสวนสาวเบาะแสมาถึงตนได้ จึงทำการ ‘เผา’ อัลบั้มภาพถ่ายเป็นการทำลายหลักฐานจนสิ้นซาก

อย่างไรก็ตาม จากประเด็นการโจรกรรมสะท้านโลก สะเทือนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยและซาอุดีอาระเบีย จนเกิดเป็นรอยร้าวฉานยาวนานกว่า 30 ปี ก็ได้จบลง ภายใต้สถานการณ์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ค่อยๆ ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยฝีมือการบริหารของรัฐบาลในยุค พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หรือ ‘ลุงตู่’ ที่พยายามติดต่อ เจรจาในทุกมิติกับทางซาอุฯ อย่างต่อเนื่อง จนสามารถฟื้นสายใยสัมพันธ์อันดีระหว่างทั้ง 2 ประเทศได้อีกครั้ง

นาวิกโยธิน จัดพิธีย่ำพระสุริย์ศรีและสวนสนามเทิดเกียรติ ผู้บัญชาการทหารเรือ ในโอกาสเกษียณอายุราชการ

วันที่ 26 ก.ย.66 เวลา 17.30 น. พลเรือเอก เชิงชาย ชมเชิงแพทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ เดินทางมาที่หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี เพื่อเป็นประธานในพิธีอำลาชีวิตการรับราชการ และพิธีย่ำพระสุริย์ศรี ซึ่งหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน ได้จัดขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้บัญชาการทหารเรือ ในโอกาสเกษียณอายุราชการ โดยมี พลเรือโท เผดิมชัย สุคนธมัต ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน และนายทหารระดับชั้นนายพลเรือเกษียณอายุราชการ นายทหารระดับสูงของกองทัพเรือ และข้าราชการหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน ให้การต้อนรับ

พลเรือเอก เชิงชาย ชมเชิงแพทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ ได้ตรวจแถวทหารกองเกียรติยศ รับคำกล่าวคำสดุดี จากผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน ผู้บัญชาการทหารเรือกล่าวขอบคุณและกล่าวอำลาชีวิตราชการ ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน พร้อมด้วยคุณ ธนิกา สุคนธมัต ประธานชมรมภริยานาวิกโยธิน มอบของที่ระลึกและมอบช่อดอกไม้ ให้แก่ผู้บัญชาการทหารเรือ และคุณจตุพร ชมเชิงแพทย์ นายกสมาคมภริยาทหารเรือ ผู้บัญชาการทหารเรือ และนายกสมาคมภริยาทหารเรือ มอบของที่ระลึกให้กับ พลเรือเอกเถลิงศักดิ์ ศิริสวัสดิ์ รองผู้บัญชาการทหารเรือ และคุณอรัญญา ศิริสวัสดิ์ อุปนายกสมาคมภริยาทหารเรือ พลเรือเอกวุฒิชัย สายเสถียร ประธานคณะที่ปรึกษากองทัพเรือ และคุณเนตรสุภา สายเสถียร อุปนายกสมาคมภริยาทหารเรือ 

นอกจากนี้แล้ว พิธีการอำลาชีวิตราชการของผู้บัญชาการทหารเรือในวันนี้ กองทัพเรือโดยหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน ยังได้จัดให้มีการแสดงการกระโดดร่มแบบดิ่งพสุธา จากนักกีฬาโดดร่มกองทัพเรือทั้งหญิงชาย จำนวน 22 นาย ที่ล่าสุดนำทีมนักกีฬาครองถ้วยพระราชทาน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และถ้วยชนะเลิศโดดร่มกีฬากองทัพไทย ครั้งที่ 53 ที่สามารถครองแชมป์ได้เป็นสมัยที่ 8 ติดต่อกัน การแสดงยิงปืนฉับพลันและท่าบุคคลทำการรบของอาสามสมัครทหารพรานชายและอาสาสมัครทหารพรานหญิง จากหน่วยเฉพาะกิจทหารพรานนาวิกโยธิน พิธีเชิญธงราชนาวีลงจากยอดเสาเมื่อดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า โดยใช้ชื่อว่า "พิธีย่ำพระสุริย์ศรี" ด้วยความหมายเป็นนัยว่า "เป็นการจบลงอย่างสง่างาม" เพื่อให้ผู้บัญชาการทหารเรือและผู้ที่ต้องอำลาชีวิตราชการ มีความภาคภูมิใจ ประทับใจ และเพื่อความทรงจำที่ดีตลอดไป อีกทั้งเป็นการเชิดชูเกียรติที่ท่านได้ทุมเทแรงกาย แรงใจและสติปัญญา ในการปฏิบัติหน้าที่เพื่อชาติบ้านเมืองและเพื่อกองทัพเรือ อย่างเต็มขีดความสามารถตั้งแต่เริ่มต้น จนกระทั่งอำลาชีวิตรับราชการสร้างรากฐานให้กับกองทัพเรือ ให้เป็นหน่วยทหารที่ทรงคุณค่า ให้อนุชนรุ่นหลังจดจำคุณงามความดี ที่ท่านได้กระทำไว้และยึดถือการกระทำของท่าน เป็นแบบอย่างที่ดีต่อไป

ต่อมาเป็นพิธีสวนสนามทางบก โดยมีการสนธิกำลังหน่วยสวนสนามจาก หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน และหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง รวม 6 กองพันสวนสนาม ประกอบด้วย การเดินสวนสนาม การวิ่งสวนสนาม และการสวนสนามยานยนต์ ก่อนที่จะจบลงด้วยการจุดพลุและดอกไม้ไฟ จำนวน 9 ชุด ขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างสวยสดงดงามและสมเกียรติยิ่ง แด่ผู้บัญชาการทหารเรือ และผู้ที่ครบเกษียณอายุราชการ ประจำปี 2566 ในครั้งนี้

รพ.อาภากรเกียรติวงศ์ ฐท.สส. ยกระดับพัฒนาศูนย์การแพทย์ฉุกเฉินทางทะเล

นาวาเอก ไพรัช ยิตติพินิจ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลอาภากรเกียรติวงศ์ ฐานทัพเรือสัตหีบ (รพ.อากรเกียรติวงศ์ ฐท.สส.) เป็นประธานในพิธี เปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการ การพัฒนาศูนย์การแพทย์ฉุกเฉินทางทะเล ในหัวข้อ “Organization Development : Alignment and Application” 

โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อยกระดับการปฏิบัติการแพทย์ฉุกเฉิน ให้กับผู้ป่วยฉุกเฉินทางทะเล และบูรณาการใช้ทรัพยากรของหน่วยงานรัฐ เพื่อให้เกิดกลไกการช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉินที่ประสบอันตรายหรืออุบัติภัยทางทะเล เพื่อให้หน่วยสามารถดำเนินงาน ให้บรรลุวัตถุประสงค์ การจัดตั้งและดำเนินการด้านระบบการแพทย์ฉุกเฉินทางทะเล อย่างมีประสิทธิภาพ ได้มาตรฐาน 

เพื่อโรงพยาบาลอาภากรเกียรติวงศ์ ฐานทัพเรือสัตหีบ มุ่งสู่วิสัยทัศน์ “ศูนย์การแพทย์ทางทะเลของกองทัพเรือ ในปี 2572” ณ ห้องประชุมลุมพิกานนท์ เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2566

ผบช.ทท.ปล่อยแถวระดมกวาดล้างอาชญากรรม สร้างความมั่นใจเมืองพัทยา หลังรัฐบาลมีนโยบายฟรีวีซ่าให้นักท่องเที่ยว

เวลา 16.30 น.วันที่ 27 ก.ย.66 ที่ลานอเนกประสงค์ ท่าเทียบเรือท่องเที่ยวพัทยา (บาลีฮาย) จ.ชลบุรี พล.ต.ท.สุคุณ พรหมายน ผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว ได้เดินทางมาเป็นประธานปล่อยแถวระดมกวาดล้างอาชญากรรมเพื่อยกระดับมาตรการในการรักษาความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยว โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง

ตามที่รัฐบาลมีนโยบายให้นักท่องเที่ยวจีน และคาซัคสถาน เดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทย โดยยกเว้นวีซ่ามีระยะเวลา 5 เดือน เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศไทยนั้น กองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว 1 ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการรักษาความปลอดภัย ให้แก่นักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยในห้วงเวลาดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่เมืองพัทยา ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญที่นักท่องเที่ยวให้ความสนใจเดินทางมาท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก 

ดังนั้น กองกำกับการ 2 กองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว 1 จึงได้บูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อันได้แก่ ตำรวจท่องเที่ยว, ตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี, สถานีตำรวจภูธรเมืองพัทยา, ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดชลบุรี, กองบังคับการตำรวจน้ำ, กองบังคับการตำรวจทางหลวง, เมืองพัทยา, ฝ่ายปกครองอำเภอบางละมุง, เจ้าท่าภูมิภาคสาขาพัทยา, ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดชลบุรี, อาสาสมัครตำรวจท่องเที่ยว และภาคเอกชนในพื้นที่เมืองพัทยา

ทั้งนี้ เพื่อระดมสรรพกำลังร่วมปฏิบัติภารกิจกวาดล้างอาชญากรรมในพื้นที่เมืองพัทยา เพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อย ปลอดภัย และสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยว ตามนโยบายของรัฐบาล และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top