Thursday, 12 June 2025
NewsFeed

‘ลูกปลา สุพินดา’ ไกด์ชาวไทย สอบใบอนุญาตไกด์ปากีสถานสำเร็จ นับเป็นชาวต่างชาติคนแรกและคนเดียว ที่ได้สิทธิ์การนำเที่ยวในประเทศ

เมื่อวันที่ 27 ก.ย. 66 ถือเป็นเรื่องน่ายินดีที่ คุณสุพินดา บุญเกิด หรือ ‘คุณลูกปลา’ ไกด์นำเที่ยวหญิงชาวไทย ที่สามารถประกาศศักดา เป็นต่างชาติคนแรกและคนเดียว ที่สอบใบอนุญาตมัคคุเทศก์ในประเทศปากีสถานได้สำเร็จ

โดยคุณลูกปลา ไกด์ชาวไทยคนเก่ง ต้องใช้ความพยายามและความสามารถในการฝ่าด่านการสอบสุดหิน มหาโหดของรัฐบาลปากีสถาน จนกระทั่งได้รับใบอนุญาตในการนำเที่ยว ทำให้คุณลูกปลามีศักดิ์และสิทธิ์อย่างชอบธรรมในการพาเที่ยวปากีสถาน โดยอยู่ในความควบคุมและคุ้มครองจากกรมการท่องเที่ยวปากีสถาน ในนามรัฐบาลปากีสถาน

‘Swap & Go - OR’ รุกขยายสถานีสลับแบตฯ มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า เชื่อมต่อการเดินทางทุกรูปแบบ ตั้งเป้า 100 แห่ง ภายในปี 67

เมื่อวันที่ 27 ก.ย. 66 ดร.บุรณิน รัตนสมบัติ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจใหม่และโครงสร้างพื้นฐาน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วย นายสุชาติ ระมาศ ผู้อำนวยการใหญ่ นายพิมาน พูลศรี รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านธุรกิจค้าปลีกน้ำมัน บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) (โออาร์) และนางสาวอาวีมาศ สิริแสงทักษิณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สวอพ แอนด์ โก จำกัด ตอกย้ำโปรเจกต์ความร่วมมือ ‘Swap & Go - Universal Battery Swapping Network Expansion Empowered by OR’ การขยายเครือข่ายแพลตฟอร์มสถานีสลับแบตเตอรี่สำหรับมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าของสวอพ แอนด์ โก ที่ใช้ได้กับมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าทุกรูปแบบ (Universal Swapping) ภายในสถานีบริการ PTT Station ของโออาร์ ตอบโจทย์การเดินทางที่ต้องการความสะดวกและรวดเร็ว 

เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านการใช้พลังงานเป็นไปอย่างไร้รอยต่อ (Seamless Mobility) ตั้งเป้าขยายจุดให้บริการสถานีสลับแบตเตอรี่ครอบคลุมกรุงเทพฯ ปริมณฑลกว่า 100 แห่งในปี 2567 และบริการดูแลรักษาและซ่อมบำรุง ผ่านเครือข่ายสถานีบริการ PTT Station เพื่อเพิ่มสัดส่วนการใช้นวัตกรรมพลังงานสะอาดและเป็นทางเลือกของผู้บริโภคในการประหยัดค่าใช้จ่ายทางด้านพลังงาน โดยสร้างระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าทุกมิติ เพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อมเติบโตไปพร้อมกัน

'รองอ๋อง' รับหนังสือค้านโครงการแลนด์บริดจ์ จากตัวแทน จ.ชุมพร หวั่น!! 'แย่งที่ดินทำมาหากิน-ไม่อยากขายที่ดินบรรพบุรุษ'

เมื่อวานนี้ (28 ก.ย. 66) นายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่หนึ่ง รับหนังสือคัดค้านโครงการแลนด์บริดจ์ หรือ โครงการสะพานเศรษฐกิจภาคใต้เชื่อมฝั่งทะเลอ่าวไทย-อันดามัน (ชุมพร-ระนอง) ภาคใต้ จากตัวแทนกลุ่มชาวบ้าน อ.หลังสวน และ อ.พะโต๊ะ จ.ชุมพร ผู้คัดค้านแลนด์บริดจ์ จำนวน 45 คน โดยกล่าวว่า จะนำไปศึกษาเบื้องต้นและนำเรียนประธานสภาผู้แทนราษฎร ยืนยันว่าเสียงของประชาชนทุกคนสำคัญ ต้องพูดคุยกันในสภาผู้แทนราษฎร เพื่อตอบสนองประชาชนไม่ใช่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง

นายปดิพัทธ์ กล่าวว่า นายประเสริฐพงษ์ ศรนุวัตร์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล จะนำปัญหาโครงการแลนด์บริดจ์เข้าสู่การประชุมของพรรค หลังมีการตั้งกรรมาธิการสามัญจะนำเรื่องเข้าสู่ชั้นกรรมาธิการฯ ที่เกี่ยวข้อง เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาชี้แจง ทั้งนี้ ชาวบ้านเชื่อว่าโครงการฯ กระทบต่อวิถีชีวิตชาวบ้านและสิ่งแวดล้อม โดยเวนคืนที่ดินชาวบ้าน นำข้อมูลผิด ๆ ให้แก่ชาวบ้าน ว่า จะให้ราคาที่ดินในราคาสูง เข้าพื้นที่ในยามวิกาล ทั้งนี้ พื้นที่ อ.หลังสวน และ อ.พะโต๊ะ เป็นพื้นที่เกษตรกรรมที่สำคัญ หากโครงการมีผลกระทบกับประชาชนขอให้รัฐบาลพิจารณาโครงการอีกครั้ง

“ชาวบ้านไม่ต้องการขายที่ดินของบรรพบุรุษ แย่งที่ดินไปจากชาวบ้าน โดยออก พ.ร.บ.แลนด์บริดจ์ เวนคืนที่ดินชาวบ้านไร้มรดกสืบทอด รวมถึงทรัพยากรน้ำ ถือเป็นสินทรัพย์ของรัฐ ต้องถูกตัดไปให้แก่นิคมอุตสาหกรรมในโครงการฯ นอกจากนี้ โครงการจะกระทบแหล่งทำประมงชาวบ้านจากน้ำมัน และสารเคมีที่รั่วไหลออกสู่แหล่งน้ำและทะเล ทั้งนี้ ประชาชนมั่นใจ จ.ชุมพร-จ.ระนอง เป็นพื้นที่เกษตรกรรมที่สำคัญของประเทศ นอกจากนี้ สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) จะเวทีแยกส่วนในการให้ข้อมูลแก่ประชาชน จึงทำให้เกิดการตั้งคำถามจะประชาชนในพื้นที่ และสนข. ยืนยันไม่มีการตั้งโรงงานเกี่ยวกับปิโตรเคมี แต่ประชาชนทราบข่าวจากสื่อว่า ซาอุฯ จะลงทุนตั้งโรงกลั่นน้ำมันในพื้นตามที่เป็นข่าว ประกอบกับ สนข. กล่าวหาว่า พื้นที่รกร้างว่างเปล่าของโครงการฯ ที่จะตั้งอยู่ ยิ่งสร้างความไม่พอใจให้แก่ประชาชน” นายปดิพัทธ์ กล่าว

'ชัยชนะ' ยัน '25 สส.ปชป.' ไม่คิดย้ายพรรคจนหมดสมัยสภาฯ เผยได้ 'หัวหน้าพรรค' คนใหม่แน่ไม่เกินต้น พ.ย.นี้

(28 ก.ย. 66) ที่รัฐสภา นายชัยชนะ เดชเดโช สส.นครศรีธรรมราช รักษาการรองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวถึงกระแสข่าวสมาชิกพรรคบางส่วน และอดีต สส.จะไปจัดตั้งพรรคใหม่ เพื่อดัน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรค เป็นหัวหน้าพรรคดังกล่าว ว่า ตนเพิ่งทราบข่าวผ่านสื่อมวลชน ซึ่งไม่ทราบว่าแหล่งข่าวมาจากไหน เพราะในพรรคประชาธิปัตย์ ไม่มีการพูดคุยว่าใครจะย้ายออกจากพรรค หรือไปตั้งพรรคใหม่ แต่เท่าที่อ่านในข่าวบอกว่ามีกลุ่มหนึ่งจะย้ายไปอยู่พรรคการเมืองอีกกลุ่มหนึ่งจะไปตั้งพรรคใหม่ เท่าที่ตนยืนยันได้ สส.ทั้ง 25 คนในปัจจุบัน ไม่มีใครที่จะย้ายพรรคและไปตั้งพรรคใหม่ ส่วนอดีตสมาชิกตนไม่ทราบ เพราะบางคนก็ไม่ได้พูดคุย แต่เท่าที่พูดคุยกันส่วนใหญ่ไม่มีใครมีความคิดแบบนี้

เมื่อถามว่า ยืนยันได้หรือไม่ว่า สส.ทั้ง 25 คน อยู่กับพรรค ปชป.จนถึงการเลือกตั้งครั้งหน้า นายชัยชนะ กล่าวว่า ขอยืนยัน ณ ปัจจุบันก่อน ถ้าไปพูดเหตุการณ์ที่ยังไม่เกิดขึ้น ในอีก 3 ปีจนกว่า ก็ไม่ได้ แต่ตนพูดว่าสมัยนี้จนถึงจบสมัย ไม่มีใครย้ายพรรค แต่หลังจากหมดสมัยสภาฯ แล้วมีการเลือกตั้งใหม่ ก็เป็นสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลที่ใครจะอยู่หรือใครจะย้ายไปพรรคไหน ก็ต้องยอมรับและให้เกียรติซึ่งกันและกัน

เมื่อถามถึง การเลือกหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ในครั้งที่ 3 จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ นายชัยชนะ กล่าวว่า ภายในต้นเดือนตุลาคมจะมีการประชุม กก.บห.ชุดรักษาการ เพื่อกำหนดแนวทางในการประชุมเลือกหัวหน้าพรรค และ กก.บห.พรรคชุดใหม่ อาจจะมีการหารือและขอมติจากที่ประชุม กก.บห.ชุดรักษาการ ว่าเราจะหาทางอย่างไรให้มีการประชุมเลือก กก.บห.ชุดใหม่ เป็นไปด้วยความเรียบร้อย และมีองค์ประชุมครบ ดังนั้น ตนคิดว่าภายในเดือนตุลาคม หรือช้าสุดไม่เกิดต้นเดือนพฤศจิกายน ต้องได้หัวหน้าพรรค ปชป.คนใหม่ อย่างไรก็ตาม บุคคลที่จะเป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ยังคงเป็นชื่อของ นายนราพัฒน์ แก้วทอง รักษาการรองหัวพรรค ปชป.เหมือนเดิม

"ผมคิดว่าวันนี้ทุกฝ่ายต้องถอยคนละก้าวเพื่อมาพูดคุยกัน และหาวิธีที่ดีที่สุด และวันนี้ต้องยอมรับข้อเท็จจริงว่า ประชาธิปัตย์อยู่ในยุคเปลี่ยนแปลงและเปลี่ยนผ่าน เพราะฉะนั้นสิ่งที่ทำในอดีตที่ดี เราต้องสืบทอดต่อไป อะไรที่ต้องเปลี่ยนแปลงให้เข้ากับโลกปัจจุบันก็ต้องเปลี่ยนแปลง ถ้าเรายังยึดติดอยู่กับสิ่งเดิมๆ เก่าๆ เราก็เริ่มต้นใหม่ไม่ได้ และถ้าเริ่มต้นใหม่ไม่ได้ เราก็ไม่มีสิทธิที่จะสู้กับเขาได้" นายชัยชนะ กล่าว

เมื่อถามว่า มีโอกาสที่จะพูดคุยว่าอีกฝั่งเป็นหัวหน้า อีกฝั่งเป็นเลขาหรือไม่ นายชัยชนะ กล่าวว่า ตนคิดว่าอยู่ที่การพูดคุยเจรจากันมากกว่า การเมืองคือการเจรจา ถ้าเจรจาภายใต้ความรักและปรารถนาดีต่อพรรค ปชป.ตนว่าจบ แต่ถ้าเจรจาแล้วมีกำแพงกั้นไว้ตนว่าไม่จบ และที่ผ่านมาพวกตนพร้อมเจรจาตลอดและไม่ได้มีกำแพงกั้น โดยนำเสนอบุคคลใหม่ ๆ เข้ามาทำงานกับพรรค แต่บางครั้งก็โดนมองว่าคนที่เข้ามาใหม่นั้นเป็นสมาชิกไม่ครบ 5 ปีบ้าง อะไรบ้าง ตนจึงมองว่าวันนี้การทำงานเราต้องย้อนกลับไปว่า ในเมื่อเรามีคนที่มีความสามารถแต่เขาเพิ่งเข้ามาในพรรคเราก็ต้องให้โอกาสเขา 

'โหรฟองสนาน' ยกสยามสุดศิวิไลซ์ ใต้ร่มพระบารมี พระมหากษัตริย์ไทย

(28 ก.ย. 66) ฟองสนาน จามรจันทร์ อดีตนักจัดรายการวิทยุของกรมประชาสัมพันธ์ สังกัดสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย ได้โพสต์เฟซบุ๊ก ‘Fongsanan Chamornchan’ ระบุว่า…

#แรงอย่าตกเสน่ห์อย่าจาง

ร.1 ทรงสร้างเมืองเสาหลักเมือง
ร.3 ทรงให้สร้างวัด
ร.4 ทรงพาเมืองสู่ความเป็นตะวันตก-เสาหลักเมืองแห่งที่สอง
ร.5 ทรงสร้างถนนราชดำเนิน-ทรงพาพ้นภัยจากพวกล่าเมืองขึ้น
ร.9 ทรงพาพ้นภัยคอมฯ พาเมืองสู่ศิวิไลซ์ ฯลฯ

#ขนาดชอบทะเลาะกันยังขนาดนี้
#ขนาดขยะในซอยแยะยังขนาดนี้ 

สละตั๋ว 11 ใบ ของขวัญพิเศษจาก ‘คนจีน’ แก่ ‘เทนนิส พาณิภัค’ หลัง ‘ครอบครัววงศ์พัฒนกิจ’ ตามมาเชียร์ แต่บัตรหมดเกลี้ยง

เมื่อวันที่ 27 ก.ย. 66 สำนักข่าวซินหัว, หางโจว รายงานข่าวนักกีฬาเทควันโดทีมชาติไทยชื่อดังอย่าง ‘พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ’ หรือ ‘เทนนิส’ ชัยชนะของเธอจากการแข่งขันเทควันโดหญิง รุ่น 49 กิโลกรัม ในการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 19 หรือ ‘หางโจว เอเชียนเกมส์’ ณ นครหางโจว มณฑลเจ้อเจียงทางตะวันออกของจีน มีความหมายมากกว่าเหรียญทอง โดยเฉพาะเมื่อครอบครัวของเธอได้รับบัตรเข้าชมการแข่งขันฟรีจากคนท้องถิ่นถึง 11 ใบ

โดยก่อนการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศกับ ‘กัวชิง’ นักกีฬาของจีน ครอบครัวของเทนนิสวนเวียนอยู่ใกล้สำนักงานจำหน่ายบัตรเข้าชมอย่างกังวลใจ รวมถึงทารกน้อยที่เดินทางไกลจากไทยมาให้กำลังใจเธอ โดยพี่สาวของเทนนิสเล่าว่า เธอกับพ่อมักมาให้กำลังใจน้องสาวเสมอ และการแข่งขันเอเชียนเกมส์ครั้งนี้ ครอบครัวทั้ง 12 คน ได้เดินทางมาถึงหางโจวเพื่อเชียร์เธอ ซึ่งตอนมาถึงสนามแข่งขัน พวกเขามุ่งหน้าไปซื้อบัตรเข้าชมทันทีแต่พบว่าบัตรได้ขายหมดแล้ว

การแข่งขันรอบชิงชนะเลิศนี้ได้รับความสนใจจากบรรดาผู้ชมอย่างมาก เนื่องด้วยชื่อเสียงของกัวชิงในฐานะตัวเต็ง ครั้นเจ้าหน้าที่ประจำสนามแข่งขันเทควันโดรับทราบสถานการณ์ข้างต้นของครอบครัววงศ์พัฒนกิจแล้ว มีการแจ้งข่าวถึงสื่อท้องถิ่นมารายงานเรื่องราวที่เกิดขึ้น ซึ่งเพียง 2 ชั่วโมงหลังจากนั้น คนท้องถิ่นผู้มีน้ำใจ 11 คน ได้เข้ามาบริจาคบัตรเข้าชม เพื่อเป็นกำลังใจให้ครอบครัววงศ์พัฒนกิจ

‘เหยียนเยี่ยน’ หนึ่งในผู้บริจาคบัตรเข้าชม เผยว่า เธอสามารถหาโอกาสชมการแข่งขันในอนาคตได้ และอยากให้ความสำคัญกับแขกจากต่างบ้านต่างเมืองก่อน ซึ่งนี่เป็นอีกวิธีแสดงการสนับสนุนการแข่งขันเอเชียนเกมส์ด้วย โดยเหยียนเสริมว่า สำหรับสมาชิกครอบครัววงศ์พัฒนกิจที่เดินทางมาไกลมาก หากพลาดชมการแข่งขันคงจะเสียใจไม่น้อย ดังนั้น ทุกคนที่เข้าใจความรู้สึกนี้ดีจึงเต็มใจมอบความช่วยเหลือ

ด้านพี่สาวของเทนนิสถึงกับน้ำตารื้นหลังจากรับบัตรเข้าชม เผยว่าเธอซาบซึ้งใจอย่างมากกับความช่วยเหลือทั้งหมด ทำให้ครอบครัววงศ์พัฒนกิจมีความสุขมาก

โดยท้ายที่สุด ครอบครัววงศ์พัฒนกิจได้ร่วมเป็นสักขีพยาน ในการขึ้นไปยืนอยู่บนแท่นรับเหรียญรางวัลของนักกีฬาสาวชาวไทย ขณะเทนนิสขอบคุณผู้มอบโอกาสให้ครอบครัวของเธอได้เข้ามาเป็นกำลังใจระหว่างการแข่งขัน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่มีความหมายกับเธอมาก พร้อมย้ำว่า ขอบคุณจากใจจริงสำหรับความอบอุ่นและน้ำใจจากเพื่อนๆ ชาวจีน

‘อัษฎางค์’ ชำแหละ!! ‘ข้อบิดเบือน-ดิสเครดิตชาติไทย’ โดย ‘ธนาธร’ ย้อนถาม ‘สถาบันพระปกเกล้า’ ใครเชิญคนแบบนี้มาเป็นวิทยากร

(28 ก.ย. 66) ‘เอ็ดดี้ อัษฎางค์ ยมนาค’ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า…

‘สถาบันพระปกเกล้า’ กำลังเล่นอะไรกับ ‘ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ’ ประธานคณะก้าวหน้า ได้รับเชิญเป็นวิทยากรบรรยายหลักสูตรการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย สำหรับนักบริหารระดับสูง รุ่นที่ 27 (ปปร.27) โดยสถาบันพระปกเกล้า ภายใต้โจทย์ ‘การเมืองใหม่ในโลกปัจจุบัน’

คำถามคือ ใครในสถาบันพระปกเกล้าเป็นผู้เชิญธนาธรมาเป็นวิทยากรอบรมนักบริหารระดับสูง? ทั้งที่คนทั้งชาติทราบว่าธนาธรสนับสนุนให้มีการยกเลิก ม.112 และ ม.116 (ที่มา : https://www.thaipost.net/x-cite-news/307412/)

ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญเคยพิจารณา ข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุมที่ ม.ธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ที่เสนอให้แก้ไขหรือยกเลิกกฎหมายดังกล่าว เป็นภัยต่อความมั่นคงอันนำไปสู่ล้มล้างการปกครองได้

ทั้งที่สถาบันพระปกเกล้า เป็นสถาบันวิชาการชั้นนำด้านการพัฒนาประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ธรรมาภิบาล และสันติวิธี มุ่งนำความรู้สู่สังคม เพื่อประโยชน์ส่วนรวม

ธนาธรบรรยายที่สถาบันพระปกเกล้า ด้วยการยกผลงานของก้าวไกลถือเป็นการมาหาเสียหรือไม่ นอกจากนี้ยังให้ข้อมูลที่ไม่ตรงกับสถานการณ์จริงหรือข้อมูลที่แสดงถึงความไม่เข้าใจสถานการณ์จริงในปัจจุบัน (ข้อมูลจาก https://thestandard.co/thanathorn-26092023/)

ธนาธร กล่าวหาว่า การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ต่ำกว่าอัตราเฉลี่ยของโลกหลายปีติดต่อกัน (ข้อมูลจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา https://www.krungsri.com/…/industry-outlook-2023-2025) ระบุว่า เศรษฐกิจโลกปี 2566-2568 ประเทศแกนหลักมีแนวโน้มชะลอตัว ท่ามกลางกระแส ‘Deglobalization’ หรือ ‘การทวนกระแสโลกาภิวัตน์’ เมื่อโลกไม่อภิวัฒน์ กันแบบเดิม โลกาภิวัตน์กำลังเปลี่ยนโฉมไปหลังจากสงครามการค้าระหว่างสองประเทศมหาอำนาจใหญ่ คือ สหรัฐอเมริกาและจีน ที่แสดงท่าทีล่าสุดออกมาชัดเจนว่า ต่างตั้งเป้าจะเป็นประเทศมหาอำนาจผู้นำของโลก และมีเจตนาจะแข่งขันกันจริงจังขึ้นอีกในระยะข้างหน้า เมื่อกระแสโลกาภิวัตน์กำลังจะเปลี่ยนภาพไปจากเดิม

‘Deglobalization’ หรือ ‘การทวนกระแสโลกาภิวัตน์’ คือ ‘โลกาภิวัตน์บนเงื่อนไขความเป็นมิตร’ การเชื่อมโยงการค้าการลงทุนระหว่างประเทศจะยังเดินหน้าไปได้ แต่จะไม่เน้นประสิทธิภาพสูงสุดของห่วงโซ่การผลิตเช่นเดิมแล้ว จะกลายเป็นเชื่อมโยงกับกลุ่มมิตรประเทศเท่านั้น
ธนาธรเข้าใจเรื่องดังกล่าวนี้หรือไม่? มากน้อยแค่ไหน? จึงออกมาโจมตีว่าประเทศไทยมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจต่ำกว่าอัตราเฉลี่ยโลกจริงหรือไม่?

อัตราการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจโลก จะอยู่ที่ 2.7% ในปี 2566 และจะเพิ่มขึ้นเป็น 3.0% ในปี 2567-2568 ในขณะที่เศรษฐกิจไทยคาดว่าจะขยายตัวเฉลี่ย 3.5% ต่อปีในช่วงปี 2566-2568 ดังนั้น การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยต่ำกว่าอัตราเฉลี่ยของโลกตรงไหน?

มาดูรายละเอียดตรงนี้กัน

เศรษฐกิจโลกในระยะ 3 ปีข้างหน้ามีแนวโน้มเติบโตชะลอลงจาก 3.2% ในปี 2565 สู่ 2.7% ในปี 2566 ก่อนจะกระเตื้องขึ้นเล็กน้อยสู่ราว 3.0% ในปี 2567-2568 แม้ว่าผลเชิงลบจากโรค COVID-19 จะคลี่คลายลงแต่หลายปัจจัยยังคงกดดันเศรษฐกิจโดยเฉพาะประเด็นสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่นำไปสู่มาตรการคว่ำบาตรทางการค้าและวิกฤตพลังงานที่มีแนวโน้มยืดเยื้อ การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน รวมถึงการแบ่งขั้วทางเศรษฐกิจซึ่งนำโดยสหรัฐฯ และจีน จะส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานโลก และอาจทำให้การทวนกระแสโลกาภิวัตน์ (Deglobalization) เข้มข้นขึ้น

เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มเติบโตต่ำในปี 2566-68 โดยคาดว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจจะชะลอลงจาก 1.6% ในปี 2565 เหลือ 1.0% ในปี 2566 และ 1.2% ในปี 2567 ก่อนจะกระเตื้องขึ้นสู่ 1.8% ในปี 2568

เศรษฐกิจของยุโรปจะเผชิญวิกฤตพลังงานที่รุนแรงและยืดเยื้อนาน โดยคาดว่าในช่วงปี 2566-2568 เศรษฐกิจจะขยายตัวเฉลี่ยเพียง 1.4% ต่อปี ชะลอลงแรงจากที่ขยายตัว 3.1% ในปี 2565 ผลพวงจากสงครามรัสเซีย-ยูเครนโดยเฉพาะปัญหาการขาดแคลนพลังงานที่เข้าขั้นวิกฤต

เศรษฐกิจญี่ปุ่นยังเติบโตต่ำจากปัจจัยเชิงโครงสร้างที่จำกัดการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยคาดว่าขยายตัวเฉลี่ย 1.3% ต่อปีในช่วงปี 2566-2568 จาก 1.7% ในปี 2565 เศรษฐกิจจีนคาดว่าจะขยายตัวเฉลี่ย 5.4% ต่อปี ชะลอลงจาก 8.0% ในปี 2564

เศรษฐกิจจีน มีแนวโน้มเผชิญหลายปัจจัยกดดันให้การเติบโตต่ำกว่าช่วงก่อนการระบาดของ COVID-19 แม้เศรษฐกิจอาจปรับดีขึ้นจาก 3.2% ในปี 2565 สู่เฉลี่ย 4.5% ต่อปีในช่วงปี 2566-2568 แต่คาดว่าจะต่ำกว่า 6-7%

เศรษฐกิจไทย คาดว่าจะขยายตัวเฉลี่ย 3.5% ต่อปีในช่วงปี 2566-2568 ปรับตัวดีขึ้นจากที่เติบโต 3.2% ในปี 2565

ธนาธร กล่าวหาว่า ประเทศไทยติดอยู่ใน 5 อันดับแรกของประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำที่สุด

ความจริงคือ ความเหลื่อมล้ำของไทยเคยติด TOP 5 โดยอยู่ในอันดับที่ 4 ประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำด้านความมั่งคั่งมากที่สุดในโลก จากข้อมูล Gini Wealth Index ปี 2018 ของ เครดิต สวิส (Credit Suisse) แต่อันดับของ Gini Wealth Index ในปี 2021 ไทยมีอันดับที่ดีขึ้นแบบก้าวกระโดด คือก้าวจาก อันดับ 4 มาอยู่ที่อันดับ 97 ของประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำมากที่สุด (ที่มา: https://theactive.net/data/inequality-index-truth/)

คุณไปอยู่ไหนมาธนาธร คุณยังหลงหรือจมปลักอยู่ที่ปี 2018 หรือ พ.ศ.2561 หรือ?

คุณจะบริหารประเทศด้วยข้อมูลที่ล้าหลังขนาดนั้นเลยหรือ แล้วประเทศจะเป็นอย่างไร?

สถาบันพระปกเกล้า ปล่อยให้คุณธนาธรเอาข้อมูลเก่าตกยุคไปอบรมข้าราชการที่เป็นนักบริหารระดับสูงแบบนี้ แล้วผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร?

คุณกล่าวว่า ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ผูกพันอย่างแยกไม่ได้ กับอัตราการเกิดของประชากรที่ตกต่ำลง ซึ่งสวนทางกับอัตราการตายของประชากร ซึ่งจะทำให้ประชากรวัยทำงานมีแนวโน้มต้องทำงานหนักขึ้นเพียงเพื่อให้ประเทศไทยยังยืนที่เดิมในด้านผลิตภาพ และการดูแลประชากรผู้สูงอายุที่มีสัดส่วนเพิ่มมากขึ้น

นี่เป็นการหาเสียงของคุณกับประชากรวัยทำงาน ด้วยการสร้างภาพว่ารัฐบาลบริหารประเทศผิดพลาดจนทำให้ประชากรวัยทำงานต้องทำงานหาเงินเลี้ยงประชากรผู้สูงอายุหรือไม่?

ธนาธร กล่าวหาว่า การที่ประเทศไทยมีการเปลี่ยนรัฐธรรมนูญเฉลี่ยทุก 4.5 ปี แสดงให้เห็นว่าเรายังไม่มีฉันทามติร่วมกันว่าจะอยู่ร่วมกันภายใต้กติกาอย่างไร?

ขอยกตัวอย่าง รัฐธรรมนูญปี 60 ประชาชนได้ร่วมกันทำประชามติว่าให้อำนาจ สว. เลือกนายกรัฐมนตรีแต่พรรคก้าวไกลกลับไม่ยอมรับรัฐธรรมนูญและประชามตินี้ แต่กลับเสนอให้ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่าพรรคก้าวไกลก็เป็นหนึ่งในตัวปัญหาที่ต้องการเปลี่ยนรัฐธรรมนูญเพราะไม่ยอมรับในฉันทามติร่วมกัน ว่าจะอยู่ร่วมกันภายใต้กติกาที่กำหนดหรือไม่?

สถาบันพระปกเกล้าเปิดสถานที่ให้ธนาธรมาให้ข้อมูลที่ไม่ตรงกับสถานการณ์จริงหรือไม่ตรงกับความเป็นจริงหรือไม่?

นอกจากนี้ ยังมีถ่อยในลักษณะการเสียงกับผู้บริหารระดับสูงหรือไม่? เช่น เรื่องระบบการคิดค่าน้ำประปาเป็นระบบไอโอที! หรือเรื่องความสำเร็จของพรรคก้าวไกล คือความสำเร็จของการเมืองแบบใหม่ที่เป็นไปได้! และเรื่องที่คณะก้าวหน้าได้ทำร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหลายแห่ง เช่น การทำน้ำประปาที่ดื่มได้! ระบบการคิดค่าน้ำประปาเป็นระบบไอโอที!

‘ศิธา’ แง้ม ‘ไทยสร้างไทย’ พร้อมรับ ‘รองอ๋อง’ เข้าพรรค หาก ‘ก้าวไกล’ มีมติขับพ้นพรรค เพื่อเป็นผู้นำฝ่ายค้าน

(28 ก.ย. 66) ที่รัฐสภา น.ต.ศิธา ทิวารี สมาชิกพรรคไทยสร้างไทย (ทสท.) ให้สัมภาษณ์กรณีพรรคก้าวไกล (ก.ก.) เตรียมประชุมหาความชัดเจนเรื่องตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้าน ที่มีกระแสข่าวว่าจะขับ นายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 ออกจากพรรค พรรค ทสท.พร้อมจะเปิดประตูต้อนรับหรือไม่ ว่า เป็นเรื่องกระบวนการภายในของพรรค ก.ก.และเป็นสิทธิ์ของนายปดิพัทธ์ ว่านายปดิพัทธ์จะออกหรือไม่ออก ซึ่งพรรค ก.ก.ก็มีมติได้ว่า จะให้นายปดิพัทธ์ลาออกหรือไม่ แต่หากนายปดิพัทธ์ไม่ลาออก พรรค ก.ก.ก็ไม่สามารถที่จะทำอะไรได้ ทำได้อย่างเดียวคือต้องขับออก หากต้องการตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร

น.ต.ศิธา กล่าวต่อว่า หากพรรค ก.ก.ขับนายปดิพัทธ์ออกมา ซึ่งนายปดิพัทธ์ยังไม่พ้นสภาพ สส. สามารถเป็นต่อได้อีก 30 วัน ส่วนนายปดิพัทธ์จะไปอยู่พรรคไหนก็ถือว่าเป็นเอกสิทธิ์ การที่ไปบอกว่าให้นายปดิพัทธ์มาอยู่กับพรรค ทสท. หากไม่เข้าใจกัน แต่พูดไปแล้วก็อาจจะเป็นการล้ำเส้น และอาจจะเกิดความคลางแคลงใจกัน ซึ่งทุกวันนี้ตนเชื่อฝ่ายค้านก็ร่วมมือกันในการตรวจสอบรัฐบาลอย่างสร้างสรรค์จริง ๆ ไม่ได้ค้านทุกเรื่อง ถือเป็นส่วนผสมที่ลงตัวอยู่แล้ว แต่หากนายปดิพัทธ์จะอยู่กับพรรค ทสท.ก็ยินดีต้อนรับ แต่คงไม่แสดงความคิดเห็นว่าอยากให้เข้ามา

เบื้องหลังมติ 9:1:2 ‘ผบ.ตร.14’ มาวิน!! ม้วนเดียวจบ ส่วนอนาคต ‘บิ๊กโจ๊ก’ ส่อแวววูบ!! หากใจไม่รู้จักเย็น

ใครจะว่าอย่างไรก็ว่าไป แต่สำหรับ 'เล็ก เลียบด่วน' ขอคารวะและปรบมือดังๆ ให้กับการลงจากตำแหน่ง ผบ.ตร.อย่างสมเกียรติของ 'บิ๊กเด่น' พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ แห่ง นรต.38 เตรียมทหารรุ่น 22 

หนึ่งในพิธีอำลาที่โรงเรียนนายร้อยสามพรานเมื่อเย็นวันที่ 26 ก.ย.คือ พิธีสวนสนามและเชิญธงพิทักษ์สันติราษฎร์ลงจากยอดเสา ณ ลานฝึกศรียานนท์ได้เกิดพายุฝนพัดกระหน่ำอย่างหนักหน่วงรุนแรง แต่ทุกคนในพิธียืนหยัดจนพิธีเสร็จสิ้น...ไม่กลัวฝนไม่กลัวฟ้าผ่า...

เฮ่อ!! ชีวิต 'บิ๊กเด่น' ขึ้นมาอยู่ในตำแหน่ง ผบ.ตร.ตั้งแต่ 1 ต.ค.2565 จนถึง 30 ก.ย.66 พูดได้เต็มปาก แทบจะไม่มีซักสัปดาห์เดียวเดือนเดียวที่มีความรื่นรมย์ในการทำงาน...โดยเฉพาะเดือนส่งท้าย...คดีกำนันนก...ที่บานปลายขยายวงมาเป็นคดีกำนันโจ๊ก...อุ๊ย!! 'บิ๊กโจ๊ก' กล่าวได้ว่า...บิ๊กเด่นคือ "สำลีระหว่างเหล็ก" เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง...

ใครจะว่าจะอย่างไรก็ว่าเถอะ..นายตำรวจที่มือสะอาดอย่าง 'บิ๊กเด่น' ฝากผลงานหลายด้านให้กับวงการตำรวจ โดยเฉพาะด้านไซเบอร์ ปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ หากรัฐบาลไม่รีบคว้าตัวไปใช้งานก็นับว่าน่าเสียดาย...

กลับมาที่สถานการณ์แนวรบสีเลือดหมูในขณะนี้ดีกว่า...ในที่สุดคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) เมื่อวันที่ 27 ก.ย.ที่ผ่านมาก็มีมติแต่งตั้ง 'บิ๊กต่อ' พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รองผบ.ตร.ที่อาวุโสลำดับ 4 ขึ้นเป็น ผบ.ตร.คนที่ 14 ด้วยมติ 9:1:2  จาก ก.ตร.ทั้งหมด 16 คน ลาประชุม 2 คนคือ 'บิ๊กโจ๊ก' และ 'บิ๊กรอย' ส่วน 'บิ๊กต่อ' และ 'บิ๊กต่าย' แม้จะมา แต่โหวตไม่ได้เพราะเป็นแคนดิเดต...ต้องออกจากห้องประชุม

ขยายความมติสักนิด...9 เสียง คือ เห็นชอบตามที่นายกฯ เสนอชื่อ 'บิ๊กต่อ' เป็นผบ.ตร. ส่วน 1 เสียงไม่เห็นชอบ คือ พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ ก.ตร.ทรงคุณวุฒิ ส่วน 2 เสียง คือ งดออกเสียง ประกอบด้วยตัว นายกฯ และ รศ.ประทิต สันติประภพ  ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิ...

แหล่งข่าวที่นั่งอยู่ในห้องประชุม ก.ตร.เปิดเผยกับ 'เล็ก เลียบด่วน' ว่า...หากจะสรุปสั้นๆ ปฏิบัติการม้วนเดียวจบ ไม่ปล่อยให้เกมยืดเยื้อดังที่มีการปล่อยข่าวว่า จะให้ พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รองผบ.ตร.ที่อาวุโสสูงสุดรักษาการไปพลางก่อน ค่อยมาเคาะกันปลายเดือน ต.ค. ก็พอจะสรุปได้ดังนี้...

1) เกมนี้มีการตั้งธงกันมานานแล้วว่า...ยังไงๆ หวยต้องออกที่ 'บิ๊กต่อ' ที่เหลืออายุราชการแค่ปีเดียว...แม้บิ๊กต่อจะอาวุโสน้อยกว่าทุกคน แต่กฎกติกาก็ไม่ได้ระบุว่าความอาวุโสมีน้ำหนักกี่เปอร์เซ็นต์เพียงแค่ระบุว่าให้ 'คำนึงถึง' เท่านั้น ขณะเดียวกันมีสัญญาณผู้นำทางจิตวิญญาณพรรคเพื่อไทยว่า...ต้องจบในวันที่ 27 ก.ย.

2) ก่อนประชุม ก.ตร.นายกฯ เศรษฐา ทวีสิน ในฐานะประธาน ก.ตร.ส่งสัญญาณให้ ก.ตร.รับทราบชัดเจนว่า...ต้องเป็น 'บิ๊กต่อ'

3) นาทีก่อนลงมติ 'บิ๊กเด่น' ได้ประเมินประสิทธิผลของงาน 4 รอง ผบ.ตร.ที่เป็นคนดิเดตให้ที่ประชุมรับทราบ โดยให้น้ำหนักไปที่ 'บิ๊กต่อ' ทั้งเนื้องานและความมีวุฒิภาวะผู้นำ

สรุปรวมความแล้ว...ดุลอำนาจใน สตช.ขณะนี้...ฝ่าย 'บิ๊กต่อ' ที่แม้จะอยู่ในอำนาจเพียงปีเดียว  แต่สามารถกระชับอำนาจไว้แทบหมดสิ้น ขณะที่ 'บิ๊กโจ๊ก' ที่ประกาศว่ามีข้อมูลในมือมากมาย เปิดเผยเมื่อไหร่จะตายกันทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาตินั้น หลายฝ่ายประเมินดูแล้วว่า...อาการน่าเป็นห่วง แม้จะเหลือเวลาราชการถึงปี 2574 หรืออีก 8 ปี แต่ก็ไม่ใช่หลักประกันว่าจะต้องได้เป็น ผบ.ตร.แต่ประการใด...เพราะดาวรุ่งพุ่งแรงในวงการตำรวจก็มีมากมาย...

จะหาผู้ใหญ่ใจดีแบบ 'ลุงป้อม' คอยโอบอุ้ม...จนเป็นแมวเก้าชีวิตได้ อนาคตคงไม่ง่ายดายแล้ว…ใจเย็นลงสักนิดก็น่าจะดีนะครับบิ๊กโจ๊ก..!!

ศาลอาญาฯ พิพากษา ‘ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร’ จำคุก 3 ปี ฐานจับกุม ‘บิลลี่’ นักสิทธิมนุษยชนชาวกะเหรี่ยง ผิด ม.157

(28 ก.ย. 66) ที่ห้องพิจารณา 303 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ถนนเลียบทางรถไฟตลิ่งชัน ศาลนัดฟังคำพิพากษา คดีหมายเลขดำ อท.166/2565 ที่อัยการโจทก์ ยื่นฟ้อง นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ผู้อำนวยการสำนักอุทยานแห่งชาติ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช และพวกรวม 4 คน ฐานปฏิบัติหน้าที่มิชอบฯ กรณีการหายตัวไปของนายบิลลี่

โดยวันนี้ นายชัยวัฒน์ กับพวกจำเลย รวม 4 คน พร้อมทนาย เดินทางมาศาล ส่วนฝ่ายโจทก์ มี โจทก์ร่วม และทนาย เดินทางมาศาล

ศาลพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยข้อแรกว่าจำเลยกระทำผิดมาตรา 157 หรือไม่เห็นว่า จำเลยที่ 1 จับกุมนายบิลลี่พร้อมน้ำผึ้งป่าและรถจักรยานยนต์ที่ด่านตรวจ แต่ไม่ยอมทำบันทึกการจับกุมและนำตัวส่งตำรวจพื้นที่ตามขั้นตอน ถือว่าจำเลยมีความผิด ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ส่วนจำเลยที่ 2 ถึง 4 ทำตามที่จำเลยที่ 1 สั่งยังไม่เป็นความผิด

ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อว่าจำเลยทั้ง 4 ร่วมกัน กักขัง ข่มขืนใจให้นายบิลลี่ขึ้นรถยนต์หรือไม่เห็นว่า มีพยาน เห็นว่าจำเลยทั้ง 4 พานายบิลลี่ขึ้นรถแต่ไม่มีการขู่บังคับโดยใช้อาวุธ แต่ไม่มีพยานคนใดยืนยันได้ว่าจำเลยปล่อยตัวนายบิลลี่ลงที่บริเวณใกล้กับแยกไฟแดง แต่พยานโจทก์ก็ยังไม่มีการเบิกความให้เห็นว่าจำเลยทั้ง 4 ร่วมกันหน่วงเหนี่ยว กักขัง นายบิลลี่แต่อย่างใด

ปัญหาที่ต้องวินิจฉัย ต่อไปว่าจำเลยทั้ง 4 ร่วมกัน ฆ่านายบิลลี่โดยไตร่ตรองหรือไม่ เห็นว่า ชิ้นส่วนกระดูกที่โจทก์นำสืบ ผลตรวจไม่สามารถบ่งชี้ได้ว่าเป็นกระดูกของนายบิลลี่หรือไม่ และโจทก์ไม่สามารถนำสืบได้ว่านายบิลลี่ ยังมีชีวิตอยู่หรือเสียชีวิต ดังนั้นพยานหลักฐานจึงยังไม่อาจ เชื่อได้ว่าจำเลยทั้ง 4 ร่วมกันฆ่านายบิลลี่

ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยข้อสุดท้ายว่าพนักงานสอบสวนมีอำนาจฟ้องจำเลยหรือไม่เห็นว่า ข้อหาที่มีการแจ้งต่อจำเลยเป็นเรื่องเกี่ยวกับความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่พนักงานสอบสวนจะมีอำนาจฟ้องคดี พิพากษาว่า นายชัยวัฒน์ จำเลยที่ 1 มีความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบกรณีที่ไม่ทำบันทึกการจับกุมนำตัวนายบิลลี่ส่งพนักงานสอบสวนสั่งจำคุก 3 ปีโดยไม่รอลงอาญา ส่วนข้อหาอื่นพิพากษายกฟ้อง และ จำเลยที่ 2-4 พิพากษายกฟ้อง

ภายหลังฟังคำพิพากษา นายชัยวัฒน์ ได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์ขอประกันตัวระหว่างอุทธรณ์คดี โดยยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top