Friday, 16 May 2025
NewsFeed

‘ผู้ต้องขัง’ ใน ‘คุกฝรั่งเศส’ พุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ นี่อาจไม่ใช่ 'สวรรค์' ในแบบที่คนไทยหลายคนคิดไว้

(1 ส.ค.66) เพจ 'ดร.โญ มีเรื่องเล่า' ได้เผยความเป็นจริงด้านมืดของประเทศฝรั่งเศส ที่คนไทยหลายคนที่เคยมองว่าเป็นดินแดนสวรรค์ อาจจะต้องพิจารณาใหม่ ว่า...

ฝรั่งเศสที่คนไทยหลายคนคิดว่าเป็น ‘สวรรค์’

ผู้ต้องขังในเรือนจำของฝรั่งเศสพุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์

ความแออัดยัดเยียดภายใต้นโยบาย ‘อาชญากรรมเป็นศูนย์’ กลายเป็นปัญหาที่ผู้ต้องขังหลายพันคนไม่มีแม้แต่พื้นที่ที่พอจะซุกหัวนอนได้

ฝรั่งเศสมีผู้ถูกคุมขังมากกว่าที่เคย โดยสูงถึง 74,513 คน ตามสถิติอย่างเป็นทางการที่เผยแพร่โดยกระทรวงยุติธรรมเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ประเทศนี้ได้ทำลายสถิติผู้ต้องขังของตนเองถึง 6 ครั้ง โดยเกิดขึ้นเกือบทุกเดือน นับตั้งแต่สิ้นปี ค.ศ. 2022

ตัวเลขดังกล่าวแสดงถึงการเพิ่มขึ้น 2,446 คน ตั้งแต่ปีที่แล้ว และ 15,818 คน นับตั้งแต่ฤดูร้อนปี ค.ศ. 2020 หลังจากนักโทษประมาณ 10,000 คน ได้รับการปล่อยตัวเนื่องจากการระบาดของโควิด-19 เพื่อบรรเทาความแออัดยัดเยียดของระบบเรือนจำ ฝรั่งเศสมีผู้ต้องขังเกิน 73,000 คน เป็นครั้งแรกเมื่อเดือนเมษายนปีที่แล้ว (ค.ศ. 2022)

อัตราการคุมขังของระบบเรือนจำในฝรั่งเศสทั้งหมดอยู่ที่ 122.8% และเพิ่มขึ้นเป็น 146.3% สำหรับสถานที่เหล่านั้นซึ่งเป็นคุมขังของผู้ต้องขังก่อนการพิจารณาคดีและผู้ต้องขังที่มีโทษจำคุกระยะสั้น ส่งผลให้ผู้ต้องขัง 2,478 คนไม่มีแม้แต่เตียงที่จะนอนและต้องนอนบนที่นอนที่วางบนพื้นแทน

เรือนจำของฝรั่งเศสล้นเกินขนาดจนกระทั่งในปี ค.ศ. 2020 ศาลสิทธิมนุษยชนยุโรปถึงกับออกโรงประณามระบบการจำคุกของฝรั่งเศส เนื่องจากความแออัดของ 'โครงสร้าง' โดยสั่งให้จ่ายค่าเสียหายให้กับผู้ต้องขัง 32 คน เป็นเงินสูงถึง 25,000 ยูโร (27,500 ดอลลาร์) สำหรับ 'การละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานอย่างร้ายแรง'

ขณะที่รัฐบาลฝรั่งเศสตอบรับด้วยการให้คำมั่นว่าจะเพิ่มเตียงในเรือนจำอีก 15,000 เตียงภายในปี ค.ศ. 2027 แต่ศาลก็ประณามอีกครั้งเมื่อต้นเดือนนี้ แล้วหลายสัปดาห์ต่อมา รัฐสภาฝรั่งเศสได้ออกรายงานที่เน้นถึง 'ความจำเป็นเร่งด่วน' สำหรับกลไกการควบคุมของเรือนจำ

สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลงหลังเหตุจลาจลรุนแรงปกคลุมประเทศเมื่อเดือนก่อน หลังตำรวจยิงวัยรุ่นเชื้อสายแอฟริกันเหนือระหว่างการประท้วงจนเกิดการปืดการจราจรในเมืองนองแตร์ รายงานระบุว่าข้อเรียกร้องของรัฐบาลสำหรับการตอบสนองที่ ‘มั่นคง’ ‘รวดเร็ว’ และ ‘เป็นระบบ’ ทำให้ผู้ประท้วงกว่า 742 คน ถูกตัดสินจำคุก และอีก 600 คน ถูกคุมขัง

เจ้าหน้าที่ตำรวจประมาณ 45,000 นาย ถูกส่งไปปราบความไม่สงบ ซึ่งสร้างความเสียหายมูลค่า 650 ล้านยูโร (721 ล้านดอลลาร์) ตามรายงานของสมาคมประกันภัย France Assureurs ความไม่สงบดังกล่าวส่งผลให้มีพลเมืองฝรั่งเศสกว่า 4,000 คน ถูกควบคุมตัว โดยที่มี 1,200 คน เป็นผู้เยาว์

กลุ่มผู้สนับสนุนนักโทษ Observatoire International des Prisons เตือนว่าความแออัดยัดเยียดอาจเลวร้ายลง เนื่องจากทางการได้เพิ่มนโยบาย ‘อาชญากรรมเป็นศูนย์’ เพื่อเตรียมการสำหรับการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกปี ค.ศ. 2024 ที่กรุงปารีส

ปีที่แล้ว กลุ่มเรียกร้องให้ลดโทษความผิดทางอาญาบางประเภท ซึ่งรวมถึงการขับรถโดยไม่มีใบอนุญาตและการใช้สารเสพติด ตลอดจนลดการใช้การควบคุมตัวก่อนการพิจารณาคดี และคิดค้นทางเลือกอื่นแทนการจำคุกสำหรับอาชญากรรมอื่น ๆ เพื่อเป็นแนวทางที่เป็นไปได้ในการลดความแออัดยัดเยียดในเรือนจำ โดยยืนยันว่าเพียง การสร้างเตียงในคุกให้มากขึ้นนั้น มีแต่จะทำให้ปัญหารุนแรงเพิ่มมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ฝรั่งเศสได้ดำเนินไปในทิศทางตรงกันข้าม โดยกำหนดให้ ‘การล่วงละเมิดทางไซเบอร์’ เป็นความผิดทางอาญา และแม้แต่การกลั่นแกล้งในโรงเรียนก็กลายเป็นโทษทางอาญาเช่นกัน 

'ณัฐวุฒิ' เชื่อ!! ดร.ทักษิณไม่มีส่วนรู้เห็นกับการยึดอำนาจ ปี 57 ชี้!! แผนการยึดอำนาจ ก่อตัวมาตั้งแต่ช่วงต้น รบ.ยิ่งลักษณ์

(1 ส.ค. 66) นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

ผมและพี่น้องแกนนำ นปช.ที่ยังคิด คุยร่วมกันอยู่ เห็นตรงกันและเชื่อว่า ดร.ทักษิณ ไม่มีส่วนรู้เห็นกับการยึดอำนาจ ปี 2557

มุมวิเคราะห์ที่แกนนำหลัก 'ทุกคน' เห็นตรงกันตลอด คือ แผนการยึดอำนาจนี้ ก่อตัวมาตั้งแต่ช่วงต้นรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ประยุทธ์พูดเองว่าเตรียมการมา 3 ปี กปปส.ชุมนุมไปสักพัก พวกเราก็พูดตรงกันแล้วว่าจะเกิดรัฐประหาร ทฤษฎีสมคบคิดแบบเดิมจากการยึดอำนาจปี 49 ไล่ลำดับเหตุการณ์เป็นแบบเดียวกัน 

ชุมนุมต่อเนื่อง ยุบสภา บอยคอตเลือกตั้ง ขัดขวางการเลือกตั้ง เลือกตั้งโมฆะ เรียกร้องรัฐบาลนอกกติกา สร้างเงื่อนไขปิดทุกทางออก และยึดอำนาจ 

ความขัดแย้งระหว่างบุคคลเป็นเรื่องหนึ่ง แต่ประวัติศาสตร์องค์กร นปช. กำลังถูกอธิบายด้านเดียว และถูกบันทึกไปเช่นนั้น ทั้งที่หลายอย่างคลาดเคลื่อนไม่ตรงกัน 

>> นปช.ไม่ได้ดำรงสภาพหลายปีแล้ว 
เหตุแยกทางคือ การไม่ได้ยึดถือแนวปฏิบัติที่เราทำกันมา มีการตกลงตั้งพรรคการเมืองกับบุคคลอื่น โดยไม่ได้หารือในที่ประชุม 

ไม่มีใครหลอกได้ ถ้าเราคุยในที่ประชุม ตามที่ผมและ อ.ธิดาเรียกร้องหลายรอบ เรื่องพรรคไทยรักษาชาติมาทีหลัง ไม่เกี่ยวกับช่วงเวลาตั้งพรรคเพื่อชาติ ที่ไปตกลงนอกวง ไม่บอกพี่น้องที่สู้มาด้วยกัน 

‘กองทัพเรือ’ ชี้แจง เหตุ ‘เรือหลวงนเรศวร’ เสียหายระหว่างฝึกซ้อม เผย!! กำลังพลปลอดภัย พร้อมตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง

(1 ส.ค.66) พล.ร.อ.ปกครอง มนธาตุผลิน โฆษกกองทัพเรือ ชี้แจงข้อเท็จจริงกรณี เรือหลวงนเรศวร ได้รับความเสียหาย ขณะเทียบท่าเรือ ภายในท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด จังหวัดระยอง ว่า เหตุการณ์ดังกล่าว เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 26 ก.ค.66 ขณะที่เรือหลวงนเรศวร กำลังทำการฝึกซ้อมแผนความปลอดภัยของเรือและท่าเรือระหว่างประเทศ (ISPS CODE) ภายในท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด 2566 ภายใต้รหัสการฝึก "Naval  Security Port and Ship Map Taphut Excercise  2023" (NASMEX 2023) ซึ่งจัดที่มีการฝึกในระหว่างวันที่ 25-27 กรกฎาคม 2566 ในพื้นที่ท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด อำเภอเมือง จังหวัดระยอง  

โดยการฝึกดังกล่าวมีวัตถุประสงค์ในการบูรณาการความร่วมมือระหว่างรัฐ หน่วยงานของรัฐ องค์กรปกครองท้องถิ่น เรือและท่าเรือ ในการร่วมตรวจสอบและป้องกันภัยคุกคามที่มาจากทางทะเล ทดสอบความพร้อมของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้มีความพร้อมรับสถานการณ์ ตามแนวทางปฏิบัติด้านการรักษาความปลอดภัยของเรือและท่าเรือระหว่างประเทศ (International Ship and Port Facility Security Code : ISPS Code)  

“ในขณะที่เรือหลวงนเรศวร กำลังนำเรือออกจากท่าเทียบเรือ ตัวเรือกราบซ้ายได้ไปกระแทกกับมุมท่าเทียบเรือ ทำให้แท่นยิงตอร์ปิโดและแพชูชีพ ได้รับความเสียหาย ในขณะที่ตัวเรือได้รับความเสียหายเล็กน้อยโดยเป็นรอยถลอก ส่วนกำลังพล ปลอดภัยไม่มีนายได้รับบาดเจ็บ ซึ่งจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ศูนย์ปฏิบัติการทัพเรือภาคที่ 1 ได้ดำเนินการตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง เพื่อรายงานผลการสอบสวนให้กองทัพเรือได้รับทราบ พร้อมทั้ง ประสานไปยังหน่วยด้านเทคนิคที่รับผิดชอบอุปกรณ์ที่เสียหายในเบื้องต้น เพื่อประเมินความเสียหาย” พล.ร.อ.ปกครอง กล่าว  

โฆษกกองทัพเรือ​ กล่าวอีกว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น กองทัพเรือได้รับรายงานในเบื้องต้น​แล้ว  พร้อมทั้งได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนต่อกรณีดังกล่าว​ เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงว่าเกิดจากอุบัติเหตุหรือไม่​อย่างไร​ ทั้งนี้​ ต้องรอผลการสอบสวนจากคณะสอบสวนต่อไป​ สำหรับความเสียหายของอุปกรณ์​ นั้น​ หน่วยเทคนิคที่เกี่ยวข้องได้เข้าทำการซ่อมทำแล้ว

'ปู จิตกร' ยกกฎหมาย ตอกกลับ 'อ.นันทนา ม.เกริก' หลังให้ความเข้าใจที่ผิดแก่สังคม ปมการเลือกนายกฯ

ไม่นานมานี้ ปู-จิตกร บุษบา พิธีกรและคอลัมนิสต์ชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า...

เรียน นักการเมืองทั้งหลาย ที่ไปเข้าหลักสูตรของอาจารย์ท่านนี้ที่ ม.เกริก เพื่อจะได้ความรู้หรือได้คำนำหน้าชื่อว่า ดร. ก็ไม่ทราบนั้น

สิ่งที่อาจารย์ท่านนี้กล่าว นับเป็นการให้ ‘ความเข้าใจที่ผิด’ แก่สังคมอย่างมหันต์ จนควรจะลังเลว่า ควร ‘รับการศึกษา’ จากคนผู้นี้หรือไม่

1. คำว่า ‘ประชาชนเขาเลือกมาแล้ว’ ประชาชนเลือก ส.ส. หรือ ‘สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร’ ครับ ไม่ได้เลือกนายกฯ การเลือกตั้งทั่วไปนั้น เป็นการให้ประชาชนไปใช้สิทธิเลือก ส.ส.

2. ตรวจสอบได้จากประกาศ ‘ยุบสภา’ ในราชกิจจานุเบกษา วันที่ 17 มีนาคม 2566 ความว่า

พระราชกฤษฎีกา ยุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2566

พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ให้ไว้ ณ วันที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2566 เป็นปีที่ 8 ในรัชกาลปัจจุบัน

พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า ด้วยนายกรัฐมนตรีได้นำความกราบบังคมทูลฯ ว่า ตามที่สภาผู้แทนราษฎรได้ปฏิบัติหน้าที่ตั้งแต่ พ.ศ. 2562 และบัดนี้ได้ปิดสมัยประชุมสามัญประจำปีที่สี่ อันเป็นปีสุดท้ายของอายุสภาผู้แทนราษฎรแล้ว

สมควรยุบสภาผู้แทนราษฎร เพื่อจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่เป็นการเลือกตั้งทั่วไป ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย อันเป็นการคืนอำนาจการตัดสินใจทางการเมืองให้แก่ประชาชนโดยเร็ว เพื่อให้การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง

อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 103 และมาตรา 175 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชกฤษฎีกาขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้...

มาตรา 1 พระราชกฤษฎีกานี้เรียกว่า “พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2566”

มาตรา 2 พระราชกฤษฎีกานี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

มาตรา 3 ให้ยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่ เป็นการเลือกตั้งทั่วไป

มาตรา 4 ให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไปในวันที่คณะกรรมการ การเลือกตั้งประกาศกำหนด ซึ่งต้องไม่น้อยกว่า 45 วันแต่ไม่เกิน 60 วันนับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกานี้ ใช้บังคับ

มาตรา 5 ให้ประธานกรรมการการเลือกตั้ง รักษาการตามพระราชกฤษฎีกานี้

ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี

>> การเลือกตั้งที่จะต้องจัดให้มีขึ้นตามประกาศนี้ ชัดเจนว่า เป็น "การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร"

3. หากดูจากบัตรเลือกตั้ง บนสุดของบัตรก็เขียนไว้อย่างชัดเจนว่า ‘บัตรเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร’ ซึ่งปี 2566 นี้ มีบัตร 2 ใบ คือ แบบ ‘แบ่งเขตเลือกตั้ง’ (บัตรสีม่วง) กับแบบ ‘บัญชีรายชื่อ’ (บัตรสีเขียว) จึงเป็นอีกหลักฐานยืนยันเขา คะแนนของประชาชนนั้น เป็นคะแนนเลือก ‘สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร’

4. ผลการเลือกตั้ง (ที่เกิดจากคะแนนการเลือกของประชาชน) พรรคก้าวไกลได้ สส. มากที่สุด

5. รัฐธรรมนูญมาตรา 159 บัญญัติว่า "ให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรให้ความเห็นชอบ บุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี จากบุคคลซึ่งมีคุณสมบัติ และไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 160 และเป็นผู้ที่มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองแจ้งไว้ ตามมาตรา 88"

>> ชัดเจนนะครับว่า ประชาชนเลือก ส.ส. // ส.ส. เลือกนายกฯ

คำที่นางนันทนา นันทวโรภาส กล่าวว่า "ประชาชนเขาเลือกมาแล้ว" จึงยุติที่การเลือก สส. ครับ จากนั้นเป็นหน้าที่ของ สส. ที่จะเลือกนายกรัฐมนตรี !!

6. ด้วยเหตุของการมี "บทเฉพาะกาล" อยู่ในมาตรา 272 ของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ซึ่งผ่านการลงประชามติของประชาชนชาวไทยแล้ว กำหนดว่า การเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับการ "แต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี" ให้กระทำในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา และมติที่ให้ความเห็นชอบบุคคลใดให้เป็นนายกฯ "ต้องมีคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา"

จึงแปลว่า...
>> นายกรัฐมนตรีไม่ได้มาจากการ ‘เลือกตั้ง’ แต่มาจากการ ‘แต่งตั้ง’ โดยความเห็นชอบของสมาชิกมากกว่ากึ่งหนึ่งของที่ประชุมร่วมรัฐสภา
>> สว. จึงมีหน้าที่ต้อง ‘ให้ความเห็นชอบ’ ว่าใครควรเป็นนายกฯ ด้วยศักดิ์และสิทธิ เท่าเทียมกับ สส. ไม่ได้สำคัญมากหรือน้อยไปกว่า สส. แต่ ๑ สิทธิ ๑ เสียงเท่ากัน และจะเกี่ยงงอนมิได้ เพราะเป็น ‘ฉันทามติ’ ที่เรียกว่า ‘ประชามติ’ ของประชาชนแล้ว
>> เพียงแต่ สว.ทำได้แค่ ‘ระหว่าง 5 ปีแรก นับแต่วันที่มีรัฐสภาชุดแรกตามรัฐธรรมนูญนี้’ เท่านั้น จากนั้นก็เป็นการเห็นชอบของสมาชิกสภาผผู้แทนราษฎร หรือ สส. เท่านั้น

7. นางนันทนา นันทวโรภาส ในฐานะ ‘ผู้จัดการศึกษา’ จึงควรตระหนักว่า การสื่อสารสู่สังคม ไม่ควรบิดเบือนข้อเท็จจริง ที่จะเป็นความรู้ เป็นสติปัญญา ในการมองปัญหา ทำความเข้าใจ ต่อความขัดแย้งที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ และหากไม่แน่ใจในความรู้ หรือความแม่นยำต่อข้อกฎหมายของตนเอง ก็ไม่ควร ‘ให้ความเห็น’ แก่สาธารณะ

8. การที่ สว. ทำหน้าที่เห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ ในกรณีนี้ คือ ไม่เห็นชอบให้นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรี เช่นเดียวกับที่ สส. อีกจำนวนมาก ก็ ‘ไม่เห็นชอบ’ จึงไม่ใช่การ ‘ไปตรวจสอบเสียงของประชาชน’ อย่างที่นางนันทนากล่าวอ้างแต่อย่างใด เป็นความคิดเห็นที่ ‘เกินเลย’ ไปจากหลักการและข้อเท็จจริงอย่างชัดเจน ดังนั้น การลากความไปถึงมะรง มะเร็ง ทั้งหลาย จึงเป็น ‘ความเลอะเทอะ’ ที่เป็นผลจากความไม่รู้ หรือผิดหลงต่อ ‘หลักการ’ และข้อกำหนดของรัฐธรรมนูญ หรืออาจเจือด้วยความรักชอบส่วนตัวเข้าไปด้วยก็เป็นได้ 

9. สว. จึงมิได้เข้าไป ‘ขัดขวางไม่ให้เสียงที่ประชาชนเลือกได้เป็นนายกฯ’ อย่างที่นางนันทนากล่าว เป็นเพียงการ ‘ทำหน้าที่’ ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด ซึ่งรัฐธรรมนูญให้ทำได้ทั้งเห็นชอบ ไม่เห็นชอบ หรืองดออกเสียง จะเห็นได้ว่า สว. ส่วนมากเลือกที่จะลงมติว่า ‘งดออกเสียง’ เพื่อแสดงเจตนาว่ามิได้จงใจ ‘ขัดขวาง’ เพียงแต่มิอาจเห็นชอบด้วยความกังวลเรื่อง ม.112 อันเป็นท่าทีของนายพิธา และพรรคก้าวไกล ที่ก็เป็นความกังวลของคนส่วนใหญ่ในสังคม (ที่ไม่ได้เลือกพรรคก้าวไกล) ด้วย

10. ยังน่าแปลกใจว่า การเลือกนายกรัฐมนตรีครั้งที่แล้ว พรรคเพื่อไทยได้ ส.ส. มากกว่าพรรคพลังประชารัฐ แต่ผู้มีรายชื่อว่าที่นายกฯ ของพรรคเพื่อไทย ก็มิได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี (แถมพรรคเพื่อไทยก็มิได้เสนอชื่อคนในบัญชีของตัวเองด้วย กลับไปเสนอชื่อนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งมิใช่พรรคที่ได้จำนวน ส.ส. มากเป็นอันดับ 1 หรือ 2 ด้วยซ้ำไป) ครั้งนั้น นางนันทนาก็มิได้ออกมากล่าวความเห็นเช่นนี้เลยสักแอะ จึงเป็นเหตุให้น่าสงสัยว่า นางนันทนายึดมั่นในหลักการที่ตนเองกล่าวครั้งนี้แค่ไหน

สังคมต้องแยกแยะระหว่าง ‘ถูกต้อง’ กับ ‘ถูกใจ’ ให้ออก

อย่าเอาความ ‘ไม่ถูกใจ’ มาลากพาไปสู่ความ ‘ไม่ถูกต้อง’ โดยไม่เคารพกติกาที่ตรากันไว้ และผ่านการลงมติเห็นชอบโดยประชาชน หากรับกติกาดังกล่าวมิได้ ก็มิควรลงแข่งขันภายใต้กติกานั้น รอให้พ้น 5 ปี กติกาก็กลับเข้าสู่ภาวะปกติ ตามที่เคยชิน เคยปฏิบัติกันมาก่อน

จึงขอเรียนไปยัง สส. และผู้คนในแวดวงการเมืองทั้งหลาย ที่ไปลงทะเบียนเรียนในหลักสูตรที่นางนันทนากำกับ อยู่ที่มหาวิทยาลัยเกริก พึงทบทวน

ฮือฮา!! เมื่อบลิ๊งค์โยนตุ๊กตาขึ้นเวที ‘ลิซ่า’ จับหมับ!! โยนกลับทันที ชี้ เป็นเทรนด์อันตรายที่ควรหยุด ป้องกันแฟนคลับประสงค์ร้ายแฝงตัว

(1 ส.ค. 66) ‘ลิซ่า Blackpink' แก้ไขสถานการณ์​แฟนคลับโยนของขึ้นเวที ที่กำลังสร้างปัญหาให้กับศิลปินยุคนี้อย่างรวดเร็ว ด้วยการโยนตุ๊กตากลับเข้าไปในฝูงชนทันที หลีกเลี่ยงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับตัวเธอเองหรือเพื่อนร่วมวง

เรียกเสียงชมจากโลกออนไลน์ทันที กับคลิปที่ ลิซ่า แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของความปลอดภัยในระหว่างการแสดงสด เมื่อมีคนโยนของขึ้นมาบนเวที

สำหรับตัวของ ลิซ่า เองก็เคยเกือบได้รับอันตรายจากการโยนของเหล่านี้มาแล้วหลายครั้ง รวมถึงตอนแสดงคอนเสิร์ตที่มาเก๊าด้วย

ซึ่งกระแสแฟนๆ ปาสิ่งของขึ้นเวทีคอนเสิร์ตเริ่มแพร่หลายมากขึ้นในช่วงหลังตั้งแต่ตุ๊กตา โทรศัพท์มือถือ หรือกระทั่งน้ำ หลายครั้งอาจจะเป็นความพยายามในการโยนของขวัญให้ศิลปิน แต่ก็มีแฟนๆ ที่ประสงค์ร้ายที่ตั้งใจเรียกต้องความสนใจ ซึ่งการขว้างสิ่งแบบนี้ถึงขั้นทำให้ศิลปินบางคนได้รับบาดเจ็บมาแล้ว

และไม่เฉพาะกับศิลปินเท่านั้นแต่รวมถึงแฟนๆ คนอื่นๆ ในกลุ่มผู้ชมด้วย สถานที่จัดงานและผู้จัดงานจึงเรียกร้องให้ผู้ชมคอนเสิร์ตละเว้นการปฏิบัติดังกล่าวและหาวิธีอื่นในการแสดงความชื่นชมโดยไม่กระทบต่อความปลอดภัยของใครก็ตาม

'เจย์ปาร์ค' ที่ปรึกษา 'วันเดอร์เฟรม' ในรายการ The Next 2023 แชร์ทริกในการปรับตัวเมื่ออยู่ในประเทศอื่น

(1 ส.ค. 66) รายการ The Next 2023 เรียลลิตี้เซอร์ไวเวอร์ ที่รวมเหล่าศิลปินดังของจีนมาร่วมประชันความสามารถผ่านเสียงเพลง การเต้น และการแสดง โดยมีศิลปินต่างชาติเพียง 2 ประเทศเท่านั้น ที่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของรายการ และ 1 ในนั้นก็มี ‘วันเดอร์เฟรม’ สาวเก่งจากประเทศไทย แถมเจ้าตัวยังมีเมนเทอร์ระดับโลก ‘แจ็คสัน หวัง-เจย์ ปาร์ค’ คอยติวเข้มอีกด้วย

ซึ่งในช่วงหนึ่งของรายการ เจย์ ปาร์ค ได้แชร์ทริกในการปรับตัวเมื่ออยู่ประเทศอื่น ให้แก่ วันเดอร์เฟรม โดยระบุว่า..

"เมื่ออยู่คนละประเทศ ก็ต้องเคารพวัฒนธรรมและข้อจำกัดของท้องถิ่นนั้น แต่ก็ต้องพยายามรักษาความเป็นตัวเองที่แท้จริงเอาไว้ด้วย แสดงตัวตนที่แท้จริงของตัวเองออกมา อย่างตัวผมเกิดที่อเมริกา แล้วมาเกาหลีอีก ช่วงที่เพิ่งมาถึงเกาหลีก็ยังรู้สึกไม่คุ้นเคยกับวัฒนธรรมเกาหลี ตอนแรกจะปรับตัวยากมาก แต่หลังจากที่ปรับตัวแล้ว ดังนั้น ไม่ว่าผมจะไปที่ไหน หรือแม้กระทั่งประเทศไทย ผมก็จะเป็น ‘พวกเดียว’ กับชาวบ้าน เพราะ ‘เคารพผู้อาวุโส’ และนี่คือสิ่งที่คุณต้องทำ ถ้าคุณต้องการเก็บเกี่ยวความรักจากประเทศนั้น ก็ต้องแสดงความรักออกมา โดยเฉพาะกับคนที่รักคุณ ในฐานะที่เราเป็นชาวต่างชาติ ต้องเอาชนะให้ได้ถึงจะได้รับความรัก ผมรู้ว่าผมมีคนเชียร์เยอะมาก แต่ผมต้องเข้าร่วมรายการแร็ปที่ประเทศจีน แล้วใช้ภาษาจีนในการแร็ป กลายเป็นมุกขำเพราะผมออกเสียงไม่ดีเท่าไหร่ แต่ความพยายามนี้สำคัญมาก เพียงแค่มุ่งมั่นต่อไปก็จะได้ผลลัพธ์ออกมา ขอให้เธอยืนหยัดต่อไปอย่ายอมแพ้ สักวันนึงจะทำสำเร็จ…"

‘แจ็คสัน หวัง’ โพสต์ซึ้งก่อนบินกลับ ลั่น!! มีความสุข พร้อมขอบคุณประเทศไทยสำหรับประสบการณ์ครั้งนี้

(1 ส.ค.66) เรียกได้ว่าประเทศไทยกลายเป็นบ้านหลังที่สองของศิลปินชื่อดังระดับโลกอย่าง ‘แจ็คสัน หวัง’ หรือ ‘พี่แจ็ค’ ไปแล้ว หลังจากที่บินมาอยู่ไทยกว่า 2 สัปดาห์ และได้มีโอกาสพบปะอากาเซ่ชาวไทย ในหลายๆ งาน ไม่ว่าจะเป็นงานน้ำดื่ม C2, ยาสระผมแพนทีน, เนสกาแฟ โกลด์เครมมา รวมถึงอีกหนึ่งโมเมนต์ที่ถูกพูดถึงในโซเชียลอย่างมาก คือการไปช่วยเก็บขยะในชุมชม ร่วมกับ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ซึ่งความน่ารักของพี่แจ็คคือตามกำหนดการงานเก็บขยะใช้เวลาประมาณ 20 นาที แต่ศิลปินหนุ่มใช้เวลาเก็บขยะนานกว่า 2 ชั่วโมง จนชัชชาติ ออกมาชื่นชมในความมุ่งมั่น และเป็นแบบอย่างที่ดีของสังคม

นอกจากการมาร่วมงานกับหลายๆ แบรนด์ในไทยแล้ว พี่แจ็คยังได้มีโอกาสมาพักผ่อน ทำกิจกรรมร่วมกับเพื่อนๆ ศิลปินดาราในไทยหลายคนเลยทีเดียว พูดแบบเวอร์ๆ ก็คือเกือบครึ่งวงการ เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งศิลปินที่ใช้ชีวิตคุ้มค่ามากจริงๆ

ล่าสุดวันนี้ ศิลปินหนุ่มได้เดินทางกลับ โดยมีแฟนๆ ไปรอส่งที่สนามบินสุวรรณภูมิเป็นจำนวนมาก ด้าน พี่แจ็ค เองก็ได้ออกมาทวิตข้อความผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัว โดยระบุข้อความสุดซึ้งว่า

“ขอบคุณประเทศไทย สำหรับประสบการณ์ครั้งนี้ ผมรู้สึกเหมือนได้กลับมาเป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งอีกครั้ง ได้หายใจคล่องขึ้น เหมือนได้มาใช้ชีวิตช่วงวันหยุดฤดูร้อนทุกๆ ปี ทำให้ผมรู้สึกสดชื่นขึ้นอีกครั้ง ได้ปรับความคิดใหม่ๆ รื้ออะไรเดิมๆ ออกไป เพื่อเตรียมทั้งร่างกายและจิตใจ ที่จะก้าวเดินไปข้างหน้าอีกครั้ง”

“ขอบคุณที่ยอมรับในความเป็นผม ในตัวของผม และต้อนรับผมด้วยดีเสมอมา ผมซาบซึ้งใจทุกช่วงเวลาที่อยู่ที่นี่ ผมรู้สึกว่าได้รับเกียรติมากเกินไปด้วยซ้ำที่ได้มีทุกคนเคียงข้างผม ขอบคุณที่เดินทางกับผมทั้งช่วงเวลาที่แย่ที่สุด และดีที่สุด การเดินทางนั้นมีทั้งขึ้นและลง ดีและแย่ มันต้องใช้ความกล้าหาญอย่างมากที่จะตัดสินใจเดินทางไปกับใครคนหนึ่ง ผมขอบคุณมากๆ จากใจของผมที่ทุกคนเลือกเดินทางไปกับผม ผมขอสัญญาว่าจะไม่มองสิ่งนี้เป็นของตาย ผมเห็นคุณค่าความจริงใจของทุกคนเสมอ ผมรักทุกคน และขอบคุณทุกคนมากๆ ครับ เจอกันใหม่ครั้งหน้าครับ #ฉันรักคุณ ประเทศไทย” 

'ผู้ว่าฯ ชัชชาติ-จนท.' เคลียร์พื้นที่ชุมชนทิ้งเศษซากขยะ หลังภาพรถไฟญี่ปุ่นวิ่งกลางขยะ จนเป็นไวรัลสนั่นโซเชียล

(1 ส.ค.66) หลังจากที่โลกโซเชียลมีการแชร์คลิป รถไฟขบวน KIHA 183 ซึ่งประเทศญี่ปุ่นได้บริจาคให้การรถไฟแห่งประเทศไทย พร้อมมีการระบุข้อความไว้ว่า "นักท่องเที่ยวญี่ปุ่นมาดูรถไฟ KIHA 183 ที่บริจาคให้ไทย พอมาเห็นนางก็เป็นช็อก แล้วยิงคำถามว่า จะให้รถไฟเขาวิ่งในสภาพเศษแก้ว เศษขยะแบบนี้อีกนานมั้ย? ขอร้องให้หน่วยงานไทยจัดการให้หน่อย ฟีลสงสารรถไฟตัวเอง แต่ดูสภาพเป็นใครก็ต้องสงสาร แถมเสียดาย"

ล่าสุด นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้ลงพื้นที่ทันทีบริเวณชุมชนแดงบุหงา ชุมชนบุญร่มไทรและชุมชนโค้งรถไฟยมราช เขตราชเทวี แขวงทุ่งพญาไท กทม. บริเวณสถานีพญาไท โดยพบว่าจุดนี้ชาวบ้านเพิ่งมีการรื้อถอนบ้านเรือนออกไปโดยได้ทิ้งเศษซากขยะไว้ หลังจากที่ภาพกลายเป็นกระแสข่าว เจ้าหน้าที่กทม.จึงเข้ามาเร่งเก็บทำความสะอาดขยะบางส่วนออกไป

'ยูเนสโก' จ่อขึ้นบัญชี มรดกโลกที่ตกอยู่ในอันตราย เหตุ 'การท่องเที่ยวขยายตัวเกินไป-ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น'

(1 ส.ค. 66) สำนักข่าว BBC ของอังกฤษ เสนอข่าว Unesco recommends adding Venice to endangered list ระบุว่า องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก-UNESCO) เสนอแนะให้เพิ่ม 'เวนิส' (Venice) เมืองในประเทศอิตาลี เข้าไปอยู่ในบัญชี 'มรดกโลกที่ตกอยู่ในอันตราย' โดยเมืองดังกล่าวกำลังเสี่ยงต่อความเสียหายที่แก้ไขไม่ได้ จากการขยายตัวของการท่องเที่ยวและการพัฒนาที่มากเกินไป รวมถึงระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ยูเนสโกกล่าวโทษทางการอิตาลีว่า ขาดวิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์ในการแก้ปัญหาของเมืองที่งดงามแห่งหนึ่งของประเทศ โดยเวนิสเป็นที่รู้จักในชื่อ 'ลา เซเรนิสซีมา' (La Serenissima) ซึ่งเป็นคำในภาษาอิตาเลียน แปลว่า 'เงียบสงบมาก' แต่สมญานามนั้นอาจไม่เหมาะสมอีกต่อไป ทั้งนี้ ยูเนสโกคาดหวังให้มีการอนุรักษ์พื้นที่อย่างจริงจังมากขึ้นในอนาคต ขณะที่ โฆษกของเทศบาลเมืองเวนิส กล่าวว่า เทศบาลจะอ่านข้อเสนออย่างละเอียด และจะหารือร่วมกับรัฐบาลกลางของอิตาลี

เป็นเรื่องที่น่าสะเทือนใจสำหรับทางการซึ่งถูกกล่าวหาว่าล้มเหลวในการปกป้องเมืองประวัติศาสตร์และทะเลสาบโดยรอบ อย่างไรก็ตาม มัสซิโม คาซซิอารี (Massimo Cacciari) อดีตนายกเทศมนตรีเมืองเวนิส ได้ออกมาตอบโต้รายงานของยูเนสโกว่าเป็นการตัดสินโดยปราศจากความรู้ อีกทั้งยังเป็นเพียงการวิพากษ์วิจารณ์ แต่ไม่ได้ให้เงินทุนสำหรับการเปลี่ยนแปลง ซึ่งเมืองต้องการการกระทำที่มากขึ้นและคำพูดที่น้อยลง

ย้อนไปเมื่อ 2 ปีก่อน ยูเนสโกเคยเสนอให้ใส่ชื่อเวนิสในบัญชีมรดกโลกที่ตกอยู่ในอันตรายมาแล้วหนหนึ่ง แต่ก็ยกเลิกในนาทีสุดท้ายเพราะมาตรการฉุกเฉินบางอย่างที่นำมาใช้โดยรัฐบาลอิตาลี โดยเฉพาะการห้ามเรือขนาดใหญ่สัญจรในคลองซานมาร์โก เช่น เรือสำราญ รวมถึงคำมั่นสัญญาที่จะเปิดตัวแผนอนุรักษ์ที่มีความทะเยอทะยานสำหรับเมือง ขณะที่ยูเนสโกได้เรียกร้องเพิ่มเติมว่าควรขยายให้ครอบคลุมเรือประเภทใดๆ ก็ตามที่ก่อให้เกิดมลพิษ ถึงกระนั้น แผนฟื้นฟูเวนิสกลับไม่เคยเกิดขึ้นจริง และยังคงเป็นภาพลวงตา

ตามรายงานของหนังสือพิมพ์ La Repubblica สื่อท้องถิ่นในอิตาลี ผู้เชี่ยวชาญของยูเนสโกได้เขียนจดหมายหลายฉบับถึงรัฐบาลอิตาลีเพื่อขอข้อมูลอัปเดตและตารางเวลา คำตอบที่ได้รับถือว่าไม่เพียงพอ รายงานของยูเนสโกที่เผยแพร่ในสื่อดังกล่าว ระบุว่า เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับเหตุฉุกเฉินในเมืองนี้ขาดกลยุทธ์ในการจัดการกับภัยคุกคามจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

อุณหภูมิของโลกที่ร้อนขึ้นกำลังสร้างความเสียหายโดยทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น ดังนั้นเวนิสซึ่งล้อมรอบด้วยน้ำจึงเสี่ยงต่อน้ำท่วมมาก นอกจากนี้ ในแต่ละปีมีนักท่องเที่ยวประมาณ 28 ล้านคนมาเยือนเวนิส ซึ่งนำไปสู่โครงการขยายเมืองมากขึ้นเรื่อยๆ และสร้างความเสียหายให้กับเมือง ยูเนสโกยังชี้ไปที่อาคารสูงว่าส่งผลกระทบทางสายตาอย่างมีนัยสำคัญต่อเมือง จึงควรก่อสร้างให้ห่างจากใจกลางเมือง

รายงานข่าวยังกล่าวอีกว่า ยูเนสโกระบุแหล่งมรดกโลก 55 แห่งทั่วโลกว่าอยู่ในอันตราย โดยมีอีก 204 แห่งที่หน่วยงานกำลังตรวจสอบอย่างแข็งขันเนื่องจากภัยคุกคามที่สถานที่เหล่านั้นกำลังเผชิญ อาทิ แนวปะการังเกรตแบร์ริเออร์รีฟของออสเตรเลียรอดพ้นจากการติดอันดับในปี 2566 ได้อย่างหวุดหวิด แม้ว่าจะยังคงอยู่ภายใต้ภัยคุกคามร้ายแรงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและมลพิษทางน้ำ โดยจะทบทวนความพยายามในการอนุรักษ์แนวปะการังของรัฐบาลออสเตรเลียอีกครั้งในปี 2567

'น้องเทนนิส' คว้าแชมป์ปัญญาชนโลก 3 สมัยรวด เตะถอนแค้น 'คู่ปรับเก่า-แชมป์โลกคนล่าสุด' 2-0 ยก

(1 ส.ค.66) การแข่งขันกีฬามหาวิทยาลัยโลก ครั้งที่ 31 'เฉิงตูเกมส์ 2021' ที่เมืองเฉิงตู ประเทศจีน เมื่อวันที่ 1 ส.ค.66 โดยกีฬาเทควันโด ประเภทต่อสู้ มีจอมเตะไทย ลงชิงชัย 3 คน ไฮไลต์อยู่ที่รุ่น 49 กก.หญิง 'น้องเทนนิส' พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ เจ้าของเหรียญทอง โอลิมปิกเกมส์ 2020 และเจ้าของเหรียญกีฬาปัญญาชนโลก 2 สมัยรวด โดยเคยทำได้ที่ไต้หวันและอิตาลี รอบ 16 คน พาณิภัค เอาชนะ ครี ลีเดน จากกัมพูชา 2-0 ยก เข้ารอบก่อนรองชนะเลิศ ชนะ อูชราล บัต-เออร์เดเน จากมองโกเลีย 2-0 ยก จากนั้นรอบรองชนะเลิศ เอาชนะ หลัว เหมียวอี้ จากจีน 2-0 ยก

ในรอบชิงชนะเลิศ 'น้องเทนนิส' เจอกับ แมร์เว ดินเซน แชมป์โลกคนล่าสุด ที่เอาชนะ ศุภรดา คัลคิสต์ ลูกครึ่งไทย-เยอรมัน 2-0 ยก คู่นี้เพิ่งเจอกันมาในศึกชิงแชมป์โลก 2023 ที่อาเซอร์ไบจาน ซึ่ง แมร์เว ดินเซล เป็นฝ่ายชนะมา

ส่วนครั้งนี้ 'น้องเทนนิส' โชว์ฟอร์มยอดเยี่ยมถอนแค้นเอาชนะไป 2-0 ยก (5-3, 5-1) ผงาดคว้าเหรียญทอง 3 สมัยติดต่อกันรวดมาอย่างยิ่งใหญ่ และเป็นนักกีฬาไทยคนแรกที่ทำได้อีกด้วย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top