Monday, 19 May 2025
NewsFeed

กระทรวงอุตสาหกรรม โดย กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ‘ดีพร้อม’ (DIPROM) เร่งสนับสนุนผู้ประกอบการธุรกิจใหม่ หรือ สตาร์ทอัพ ให้มีความพร้อมผ่านกิจกรรมเชื่อมโยงตลาดสำหรับวิสาหกิจเริ่มต้น (Startup Connect)

รุ่นที่ 2 มุ่งเน้นการสนับสนุนเงินทุนเพื่อขยายฐานตลาด และสร้างเครือข่าย ผลักดันการนำนวัตกรรมไปใช้ในเชิงพาณิชย์ ผ่านกลยุทธ์ในการขยายเครือข่ายผู้ประกอบการ ขยายเครือข่ายเงินทุน ขยายเครือข่ายตลาด และขยายเครือข่ายนานาชาติ โดยคัดเลือกผู้ประกอบการสตาร์ทอัพ 25 ทีม ในกลุ่มอุตสาหกรรมดีพเทค เจรจาธุรกิจเพื่อส่งเสริมการตลาด (Business Matching) กับบริษัทภาคเอกชนที่สนใจร่วมลงทุน (CVC) เพิ่มศักยภาพในการต่อยอดธุรกิจเชิงพาณิชย์ คาดว่าเกิดการร่วมลงทุนคิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 500 ล้านบาท

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรม โดย กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) เร่งสนับสนุนผู้ประกอบการธุรกิจใหม่ หรือ สตาร์ทอัพ (Startup) ที่ปัจจุบันมีจำนวนกว่า 2,000 ราย ให้มีทักษะทางธุรกิจเพื่อการต่อยอดในเชิงพาณิชย์ ซึ่งพบว่าอุปสรรคของการเติบโตของสตาร์ทอัพ คือ ปัญหาด้านต้นทุนของธุรกิจ ทั้งต้นทุนในเชิงทักษะทางธุรกิจและต้นทุนในเชิงจำนวนเงิน จึงได้จัดกิจกรรมเชื่อมโยงตลาดสำหรับวิสาหกิจเริ่มต้น หรือ Startup Connect

ในประเภทอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าสูงโดยอาศัยเทคโนโลยีขั้นสูง หรือ อุตสาหกรรมดีพเทค (Deep Technology) สอดคล้องกับแนวนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการให้เกิดนวัตกรรมเพื่อการขับเคลื่อนการพัฒนาของประเทศ เพื่อให้ผู้ประกอบการได้เข้าถึงแหล่งเงินทุนคุณภาพจากบริษัทเอกชนชั้นนำที่สนใจลงทุน (CVC) ในการต่อยอดธุรกิจ โดยมีจำนวนผู้ประกอบการที่ได้รับการส่งเสริมทักษะและการพัฒนาโมเดลธุรกิจ จำนวน 25 ทีม คาดว่าจะเกิดความร่วมมือทางธุรกิจผ่านการสนับสนุนเงินทุนกว่า 500 ล้านบาท

สำหรับกลยุทธ์ในการส่งเสริมพัฒนาผู้ประกอบการสตาร์ทอัพ ใช้กลไกการเชื่อมโยงธุรกิจเพื่อส่งเสริมเงินทุนและการตลาด ในการสนับสนุนให้สตาร์ทอัพประสบความสำเร็จ ซึ่งประกอบด้วย 4 แนวทาง ได้แก่ การขยายเครือข่ายสตาร์ทอัพ เพื่อเฟ้นหาสตาร์ทอัพที่มีศักยภาพ มาบ่มเพาะให้มีความพร้อมในการนำเสนอโมเดลธุรกิจกับนักลงทุน การขยายเครือข่ายเงินทุนโดยการสร้างเครือข่ายกับบริษัทเอกชนที่มีศักยภาพและสนใจร่วมลงทุนกับผู้ประกอบการสตาร์ทอัพที่ได้รับการบ่มเพาะ เพื่อสร้างความมั่นใจในการร่วมดำเนินธุรกิจ การขยายเครือข่ายตลาด

โดยส่งเสริมให้หน่วยงานภายใต้กระทรวงอุตสาหกรรมหรือเครือข่ายนำโซลูชั่นของสตาร์ทอัพไปใช้งานจริง เพื่อสนับสนุนสตาร์ทอัพและนวัตกรรมของไทยและการขยายเครือข่ายนานาชาติ เพื่อต่อยอดไปยังตลาดที่มีมูลค่าสูงขึ้น รองรับความต้องการจากต่างประเทศ

นายณัฐพล รังสิตพล อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (ดีพร้อม) กล่าวว่า ดีพร้อม ดำเนินกิจกรรมเชื่อมโยงตลาดสำหรับวิสาหกิจเริ่มต้น (Startup Connect) คัดเลือกผู้ประกอบการสตาร์ทอัพ 25 ทีม จากจำนวนผู้สมัครเข้าร่วมโครงการกว่า 100 ทีม ดำเนินการบ่มเพาะความรู้ด้านธุรกิจอย่างเข้มข้นจากผู้เชี่ยวชาญ ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ - มีนาคม 2564 ที่ผ่านมา และจัดกิจกรรมการจับคู่เจรจาธุรกิจเพื่อส่งเสริมการตลาด (Business Matching) สนับสนุนให้สตาร์ทอัพที่มีศักยภาพมีโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุนคุณภาพและสามารถต่อยอดธุรกิจในตลาดใหม่ เพิ่มโอกาสในการขยายฐานตลาดไปยังต่างประเทศ

โดย ดีพร้อม มุ่งเน้นคัดเลือกผู้ประกอบการสตาร์ทอัพ 4 สาขา ที่มีแนวโน้มเติบโตสูงในตลาดโลก ได้แก่ สาขาเทคโนโลยีอุตสาหกรรม (Industrial Tech) สาขาเทคโนโลยีการแพทย์ (Medical Tech) สาขาเทคโนโลยีการเงิน (Fin Tech) และสาขาไลฟ์สไตล์ (Lifestyle Tech) ซึ่งมีนวัตกรรมที่น่าสนใจ อาทิ นวัตกรรมแพลตฟอร์มวินิจฉัยปัญหาและควบคุมระบบปรับอากาศแบบอัจฉริยะที่สามารถประหยัดพลังงานได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 นวัตกรรมระบบเก็บข้อมูลหมายเลขทะเบียนรถยนต์และรถบรรทุกแบบอัตโนมัติผ่านระบบ AI และกล้อง CCTV นวัตกรรมช่องทางการรับชำระเงินที่หลากหลาย (Payment Gateway)

พร้อมระบบจัดเก็บข้อมูลเพื่อการบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้า (CRM Feature Subscription) นวัตกรรมเครื่องช่วยฝึกเดินสำหรับผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง ช่วยให้ผู้ป่วยมีโอกาสฟื้นตัวได้ดีกว่าวิธีการกายภาพบำบัดและนวัตกรรมระบบบำบัดน้ำเสียที่ใช้จุลินทรีย์สายพันธุ์พิเศษเปลี่ยนน้ำเสียให้เป็นกระแสไฟฟ้า (BioCircuit) เป็นต้น

“นวัตกรรมที่ผ่านการคัดเลือกและบ่มเพาะส่วนใหญ่ อยู่ในรูปแบบแพลตฟอร์ม ที่เกิดขึ้นจากการกำหนดปัญหาเป็นมูลเหตุ ต่อยอดพัฒนาเป็นนวัตกรรม โดยผนวกองค์ความรู้ทางด้านเทคโนโลยี และความคิดสร้างสรรค์ในการแก้ปัญหา ซึ่งถือเป็นจุดเด่นของ ผู้ประกอบการสตาร์ทอัพไทย โดย ดีพร้อม พร้อมสนับสนุนและส่งเสริมผู้ประกอบการให้มีศักยภาพในการต่อยอดนวัตกรรมเชิงพาณิชย์ และเป็นตัวกลางเชื่อมโยงสู่แหล่งเงินทุนคุณภาพ เพิ่มอัตราการอยู่รอดของธุรกิจใหม่ และสนับสนุนการคิดค้นนวัตกรรมในอนาคต” นายณัฐพล กล่าวทิ้งท้าย

อย่างไรก็ดี โครงการเชื่อมโยงตลาดสำหรับวิสาหกิจเริ่มต้น (Startup Connect) ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในภารกิจการส่งเสริม สนับสนุน ผู้ประกอบการให้มีสมรรถนะและขีดความสามารถในการประกอบการ เป็นกิจกรรมการจับคู่เจรจาธุรกิจเพื่อส่งเสริมการตลาด (Business Matching) ที่จัดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ ณ The Grounds ชั้น 31 อาคาร G Tower กรุงเทพฯ

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานเลขานุการกรม กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม โทรศัพท์ 0 2202 4414-18 หรือติดตามความเคลื่อนไหวได้ที่ www.facebook.com/dipindustry และ www.dip.go.th


สนับสนุนข่าวโดย : รับข้อเสนอพิเศษมอเตอร์โชว์ ในงาน Mazda Motor Show สัมผัสปิกอัพใหม่ All-New Mazda BT-50 และยนตรกรรมสกายแอคทีฟจากมาสด้า ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%* รับประกันคุณภาพรถสูงสุด 5 ปี* และบัตรเติมน้ำมัน 10,000 บ.* 24 มี.ค. 64 - 4 เม.ย. 64 ที่บูธและโชว์รูมทั่วประเทศ

รมว.อุตสาหกรรม ชี้ เศรษฐกิจฟื้นตัวหลังการผ่อนคลายมาตรการโควิด-19 หลังพบดัชนีอุตสาหกรรมเดือน ก.พ. 2564 หดตัวลงเล็กน้อย 1.08% แต่ส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เปิดเผยว่า การผลิตในอุตสาหกรรมหลักกลับมาขยายตัว อาทิ อุตสาหกรรมรถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ และอาหาร ส่งผลให้ภาพรวมการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม (ไม่รวมทองคำ) และรายการพิเศษ เดือนกุมภาพันธ์ 2564 ขยายตัวร้อยละ 6.94 ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมที่ขยายตัว เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ คอมพิวเตอร์ ผลิตภัณฑ์ยาง (ถุงมือยาง) เม็ดพลาสติกและเคมีภัณฑ์ สอดรับกับตัวเลขการผลิตที่เพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน

โดยอุตสาหกรรมรถยนต์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.05 เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.1 และอาหารเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.7 ตามลำดับ เนื่องจากความเชื่อมั่นในการจัดหาวัคซีนโควิด-19 ให้บริการแก่ประชาชน ประกอบกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ เช่น โครงการคนละครึ่ง ช้อปดีมีคืน บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เราชนะ และโครงการเรารักกัน จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจ และการกระจายรายได้อย่างหมุนเวียน รวมถึงเศรษฐกิจโลก มีแนวโน้มที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องจากความคืบหน้าของการฉีดวัคซีนโควิด-19 ในหลายประเทศ ทำให้ความเชื่อมั่นในการผลิตและการบริโภคดีขึ้น

ด้านนายทองชัย ชวลิตพิเชฐ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) กล่าวว่า ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เดือนกุมภาพันธ์ 2564 หดตัวเล็กน้อยอยู่ที่ร้อยละ 1.08 โดยอัตราการใช้กำลังการผลิตเดือน ก.พ.64 อยู่ที่ระดับร้อยละ 65.08 ลดลงจากเดือน ม.ค. 64 อยู่ที่ระดับร้อยละ 66.60 เนื่องจากการระบาดระลอกใหม่ของโควิด-19 ทำให้ภาครัฐออกมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดโดยกำหนดพื้นที่ควบคุม แม้ในเดือนนี้จะมีการผ่อนคลายบางส่วนแล้ว แต่ยังส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจและอุปสงค์ในประเทศชะลอตัวลงบ้างเล็กน้อย

นายทองชัย กล่าวต่อว่า เศรษฐกิจภาคอุตสาหกรรมไทยจะมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐอย่างต่อเนื่อง เช่น โครงการคนละครึ่ง บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เราชนะ และโครงการเรารักกัน เป็นต้น อีกทั้งการผ่อนคลายมาตรการควบคุมในบางพื้นที่ ทำให้ประชาชนมีความเชื่อมั่น และพร้อมเดินทางท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลวันหยุดยาว ประกอบกับภาครัฐมีนโยบายเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวเร็วกว่าแผนเดิมจากไตรมาส 4 ขยับมาเป็นไตรมาส 3 และมีแผนนำร่องในเดือนเมษายน โดยจังหวัดภูเก็ตเป็นจังหวัดแรก จะส่งผลให้เศรษฐกิจของไทยมีแนวโน้มดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง

อุตสาหกรรมหลักที่ยังคงขยายตัวดีในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ได้แก่

น้ำตาล ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 19.85 จากปริมาณอ้อยที่เข้าหีบมีมากกว่าปีก่อน 52.77 รวมถึงโรงงานที่ปิดหีบแล้วบางส่วนมีการละลายน้ำตาลดิบเป็นน้ำตาลทรายอย่างต่อเนื่อง

ชิ้นส่วนและแผ่นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 16.30 จาก ความต้องการชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ในตลาดโลกที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะอุตสาหกรรมรถยนต์ที่ยังมีความต้องการต่อเนื่อง

รถยนต์และเครื่องยนต์ ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 4.97 จากรถบรรทุกปิคอัพ และเครื่องยนต์ดีเซล ที่มีคำสั่งซื้อทยอยเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง รวมทั้ง ผู้ผลิตมีการผลิตรถรุ่นใหม่ ๆ

เม็ดพลาสติก ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 16.43 จากความต้องการที่ขยายตัวในอุตสาหกรรมต่อเนื่องต่าง ๆ ทั้งบรรจุภัณฑ์ เครื่องใช้ไฟฟ้าและยานยนต์ ประกอบกับปีก่อนมีผู้ผลิตหลายรายหยุดซ่อมบำรุงตามรอบการซ่อมบำรุง

เหล็กและเหล็กกล้าขั้นมูลฐาน ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 16.04 การเร่งผลิตเพื่อขายทำกำไรในช่วงที่ยังมีภาวะขาดแคลนสินค้า (Short Supply) และผลิตรองรับความต้องการใช้ในอุตสาหกรรมต่อเนื่องต่าง ๆ รวมทั้งความต้องการจากอุตสาหกรรมต่อเนื่องที่เพิ่มขึ้น เช่น อุตสาหกรรมอาหาร อุตสาหกรรมรถยนต์


สนับสนุนข่าวโดย : รับข้อเสนอพิเศษมอเตอร์โชว์ ในงาน Mazda Motor Show สัมผัสปิกอัพใหม่ All-New Mazda BT-50 และยนตรกรรมสกายแอคทีฟจากมาสด้า ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%* รับประกันคุณภาพรถสูงสุด 5 ปี* และบัตรเติมน้ำมัน 10,000 บ.* 24 มี.ค. 64 - 4 เม.ย. 64 ที่บูธและโชว์รูมทั่วประเทศ

“เทพไท" เกาะติด เงินค่าตอบแทน อสม.เสนอรัฐบาลตั้งเป็นงบประมาณ จ่ายเดือนละ1,500 บาท ทุกเดือน

นายเทพไท เสนพงศ์ อดีตส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึง ผลการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ที่มีมติเห็นชอบโครงการค่าตอบแทน เยียวยา ชดเชยและเสี่ยงภัย สำหรับการปฏิบัติงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ในการเฝ้าระวังป้องกันและควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในชุมชน เป็นระยะเวลา 3 เดือน (เมษายน -  มิถุนายน 2564) กรอบวงเงินรวมไม่เกิน 1,575.4590 ล้านบาท นั้นว่า ต้องขอขอบคุณคณะรัฐมนตรี ที่เห็นความสำคัญในการทำงานของ กลุ่มอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ที่เป็นด่านหน้าในการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในพื้นที่ชนบท 

แต่สิ่งที่พี่น้อง อสม.อยากได้มากที่สุด นั่นก็คือการปรับเพิ่มค่าตอบแทนให้กับ อสม.เดือนละ 1500 บาท โดยรัฐบาลตั้งเป็นงบประมาณรายจ่ายประจำปีของทุกปี ซึ่งตนได้เคยเสนอเรื่องนี้ต่อรัฐบาลในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรมาแล้ว และเห็นว่าการเพิ่มค่าตอบแทนให้กับ อสม.อีกเดือนละ 500 บาท จะใช้งบประมาณเพิ่มขึ้นเพียงเดือนละ 500 ล้านบาทเท่านั้น ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่น้อยมาก เมื่อเทียบกับโครงการประชานิยม หรือการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงโควิดของรัฐบาลอีก และจะไม่เป็นภาระด้านงบประมาณของรัฐบาลแต่อย่างใด 

จึงขอเสนอให้รัฐบาลได้ประกาศเป็นนโยบายที่ชัดเจน ในการปรับเพิ่มค่าตอบแทนให้กับ อสม.อีกเดือนละ 500 บาทต่อคน รวมเป็นค่าตอบแทนเดือนละ 1,500 บาท ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่เหมาะสมกับสถานการณ์ในปัจจุบัน ดีกว่ารัฐบาลจะชดเชยเยียวยาให้กับ อสม.เป็นครั้งคราว หรือคราวละ 3 เดือนบ้าง 5 เดือนบ้าง หรือ 12 เดือนบ้าง ซึ่งไม่มีความแน่นอน ไม่ได้เป็นการสร้างหลักประกัน และสร้างขวัญกำลังใจให้กับ อสม.แต่อย่างใด

รายงานข่าวจากทำเนียบ ที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019​ (โควิด-19) ที่มีพล.อ.ประยุทธ์​ จันทร์โอชา​ นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม​ได้เห็นชอบตามที่​ ศบค.ชุดเล็กเสนอเรื่องการตรวจค้นหาเชื้อชาวต่างชาติที่จะเดินทางเข้าประเทศไทย

กรณีแรกเป็นกลุ่มกักตัว 7 วัน หากเป็นชาวต่างชาติที่จะเดินทางเข้ามาจะต้องมีการตรวจหาเชื้อโควิด-19 และยืนยันไม่มีรายงานการติดเชื้อคือเป็นลบ จึงสามารถเดินทางเข้าประเทศ ซึ่งกลุ่มนี้จะตรวจผลโควิด-19 ครั้งที่หนึ่งในวันที่ 5 - 6 แต่สำหรับกรณีคนไทยที่เดินทางกลับบ้าน โดยไม่ได้มีการตรวจโควิด-19 ก่อนเดินทาง จะมีการตรวจหาโควิดแบบสวอปตั้งแต่วันแรกที่เดินทางถึงประเทศไทยและตรวจอีกครั้งในวันที่ 5 - 6 นี่คือกลุ่มกักตัว 7 วัน

ส่วนกลุ่มที่มีการกักตัว 10 วันจะมีการตรวจโควิดสองครั้ง ครั้งแรกคือวันที่ 3 - 5 และตรวจอีกครั้งวันที่ 9 - 10

ส่วนกลุ่มสุดท้ายที่มีการกักตัว 14 วัน จะมีการตรวจหาโควิดโดยวิธีการสวอปสามครั้ง ครั้งที่หนึ่งคือวันที่เดินทางถึงประเทศไทยในวันแรก ครั้งที่สองในวันที่ 6 - 7 และครั้งที่สามคือวันที่ 12 - 13 ทั้งนี้ ทุกกลุ่มยังมีกำหนดด้วยว่าจะต้องอนุญาตให้มีระบบติดตามตัวจนครบ 14 วันถึงแม้ว่าจะออกจากสถานกักกันไปแล้ว

ทั้งนี้​ มาตรดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 เม.ย. 2564 เป็นต้นไป


สนับสนุนข่าวโดย : รับข้อเสนอพิเศษมอเตอร์โชว์ ในงาน Mazda Motor Show สัมผัสปิกอัพใหม่ All-New Mazda BT-50 และยนตรกรรมสกายแอคทีฟจากมาสด้า ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%* รับประกันคุณภาพรถสูงสุด 5 ปี* และบัตรเติมน้ำมัน 10,000 บ.* 24 มี.ค. 64 - 4 เม.ย. 64 ที่บูธและโชว์รูมทั่วประเทศ

‘บิ๊กตู่’ ส่งสารวันข้าราชการพลเรือน ‘ย้ำ’ข้าราชการตระหนักถึงบทบาทและหน้าที่ของตัวเอง

เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2564 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สารเนื่องในโอกาสวันข้าราชการพลเรือน ประจำปี พ.ศ. 2564 ว่า ข้าราชการ คือ ผู้ปฏิบัติงานราชการโดยคำนึงถึงความผาสุกของประชาชนและผลประโยชน์ของชาติเป็นสำคัญ จึงต้องตระหนักถึงบทบาทและหน้าที่ของการเป็นข้าราชการที่ดี ซึ่งต้องเสียสละ อุทิศตน และเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนการบริหารราชการแผ่นดิน โดยนำความรู้ ความเชี่ยวชาญด้านต่าง ๆ มาใช้ในการจัดทำและให้บริการสาธารณะ สามารถบูรณาการการทำงานร่วมกับทุกภาคส่วน เพื่อตอบสนองความต้องการและแก้ขปัญหาของประชาชน ตลอดจนสร้างความเจริญก้าวหน้าให้แก่ประเทศชาติ

เนื่องในโอกาสวันข้าราชการพลเรือน  1 เมษายน 2564 ขอแสดงความยินดีกับข้าราซการพลเรือนทุกคนที่ได้รับรางวัลข้าราชการพลเรือนดีเด่น ประจำปี พ.ศ. 2563 และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกท่านจะดำรงไว้ซึ่งเกียรติและศักดิ์ศรีของข้าราชการ และประพฤติปฏิบัติตนให้เป็นข้าราชการที่ดี มีคุณธรรม จริยธรรม มีความซื่อสัตย์สุจริต และยืนหยัดในสิ่งที่ถูกต้อง เพื่อให้เป็นที่เชื่อถือ ศรัทธาของประชาชน และเพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่ข้าราชการรุ่นใหม่ต่อไป ผมขอถือโอกาสนี้ขอบคุณเพื่อนข้าราชการพลเรือนทุกคนที่ได้ทุ่มเทแรงกาย แรงใจ ทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กับทุกภาคส่วน 

เพื่อช่วยให้ประเทศชาติฟันฝ่าอุปสรรคและช่วงเวลาอันยากลำบากจากการระบาดของเชื้อไวรัส โคโรนา 2019 และขอให้ทุกท่านพัฒนาตนเองอยู่เสมอ เพื่อให้มีความพร้อมรับต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่ โดยเฉพาะเทคโนโลยีดิจิทัลและวิถีการทำงานแบบปกติใหม่ (New Normal) ซึ่งจะทำให้การปฏิบัติงานราชการมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ประชาชนมีความสุข
และประเทศชาติมีความเจริญก้าวหน้าอย่างยั่งยืนตลอดไป

ในโอกาสนี้ ขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากล อีกทั้งพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชีนี ได้โปรดดลบันดาลประทานพรให้ข้าราชการพลเรือนทุกท่าน พร้อมทั้งครอบครัว ประสบแต่ความสุข ความเจริญ มีกำลังกาย กำลังใจที่เข้มแข็ง และสัมฤทธิผลในสิ่งอันพึงปรารถนาทุกประการ เพื่อร่วมกันเป็นพลังสำคัญในการพัฒนาชาติบ้านเมืองให้มีความเจริญก้าวหน้าอย่างยั่งยืนสืบไป

“ราเมศ” แจงหลังพบถูกสวมทวิตเตอร์ พร้อมเอาผิดให้ถึงที่สุด

1 เมษายน 2564 นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ขณะนี้มีผู้แอบอ้างด้วยการนำชื่อและรูปของตนไปใช้ในทางที่ก่อให้เกิดความเสียหายในโซเชียล โดยล่าสุดพบผู้ใช้ทวิตเตอร์แอคเคาท์ @thisisrealmynx มีการใช้ชื่อ และใช้รูปโปรไฟล์เป็นรูปของตน อีกทั้งทวีตข้อความบิดเบือน ซึ่งรายนี้ตนจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด 

พร้อมกับฝากเตือนพี่น้องประชาชนให้ระมัดระวังในการโพสต์หรือแชร์ข่าวต่าง ๆ ในโซเชียลมีเดียว่า หากมีการโพสต์ข้อความเพียงเพื่อความสนุก และบิดเบือน หลอกลวง จะเข้าข่ายมีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560 มาตรา 14 (1) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชนมาตรา 14 (2) ผู้ใดนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือโครงสร้างพื้นฐานอันเป็นประโยชน์สาธารณะของประเทศ หรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชนมาตรา 14 (5) ผู้ใดเผยแพร่หรือส่งต่อซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ดังกล่าวข้างต้น 

ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และมาตรา 16 ผู้ใดนําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่ประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ ที่ปรากฏเป็นภาพของผู้อื่น และภาพนั้นเป็นภาพที่เกิดจากการสร้างขึ้น ตัดต่อ เติม หรือดัดแปลง ด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์หรือวิธีการอื่นใด โดยประการที่น่าจะทําให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินสามปี

นาทีช่วยชีวิต! ดรุณวรรณ - แทนคุณ ร่วมช่วยชีวิตผู้ป่วยความดันสูง เป็นลมหมดสติบนเครื่องบิน ระหว่างเดินทางไปลงพื้นที่ที่จังหวัดสงขลา

ทั้งนี้ผู้ป่วยดังกล่าว ได้เป็นลมหมดสติล้มลงขณะลุกขึ้นยืน โดยมีแอร์โฮสเตสและผู้โดยสารบนเที่ยวบินลำเดียวกันเห็นเหตุการณ์ได้เข้าไปช่วยทันที และแอร์โฮสเตสได้ประกาศขอความช่วยเหลือจากผู้ที่มีวิชาชีพแพทย์หรือพยาบาลมาร่วมให้การช่วยเหลือ

โดยนางดรุณวรรณ ชาญพิพัฒนขัย รองโฆษกพรรค ปชป.ซึ่งเป็นอดีตพยาบาล และนายแทนคุณ จิตต์อิสระ เลขานุการคณะทำงานทางการเมืองประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่เคยรับการอบรมเกี่ยวกับแพทย์แผนจีนได้ร่วมกันอาสาไปช่วยชีวิตผู้ป่วยทันที พร้อมกับพยาบาลวิชาชีพจากกระทรวงสาธารณสุข และโรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์ ที่โดยสารมาในเครื่องบินลำเดียวกัน

โดยได้ใช้เวลาในการปฐมพยาบาลประมาณ 15 นาที จนผู้ป่วยเริ่มฟื้นสติและปลอดภัยในที่สุด สร้างความยินดีให้กับญาติ พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินและผู้โดยสารทุกคนที่ร่วมเดินทางมาด้วยกัน

มาสด้า เซลส์ ประเทศไทย ร่วมมือกรมขนส่งทางบกและผู้จำหน่ายรถยนต์มาสด้าทั่วประเทศ ผุดโครงการ “ตรวจรถฟรี ขับขี่ปลอดภัยเทศกาลสงกรานต์ 2564” ชวนลูกค้ามาสด้ามาตรวจเช็กสภาพรถฟรี 20 รายการ เริ่มวันนี้ 1 เมษายน 2564 ถึงวันที่ 30 เมษายน 2564

นายชาญชัย ตระการอุดมสุข ประธานบริหาร บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ความปลอดภัยในการเดินทางบนท้องถนนนับเป็นสิ่งที่มาสด้าตระหนัก และให้ความสำคัญเป็นอันดับหนึ่งเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเทศกาลสำคัญ ๆ ที่ประชาชนจำเป็นต้องเดินทางกลับภูมิลำเนา และใช้รถใช้ถนนเป็นจำนวนมาก

"เรามีความห่วงใยและขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยลดอุบัติเหตุบนท้องถนน เพื่อยกระดับความปลอดภัยของพี่น้องชาวไทยทุกคนให้เดินทางกลับบ้านโดยสวัสดิภาพ ผ่านโครงการ “ตรวจรถฟรี ขับขี่ปลอดภัยเทศกาลสงกรานต์ 2564” โดยมาสด้าพร้อมให้การบริการตรวจเช็กสภาพรถฟรี 20 รายการ พร้อมมอบส่วนลดและเครดิตเงินคืนกับบัตรเครดิตที่ร่วมรายการ รวมถึงมอบข้อเสนอพิเศษต่างๆ มากมาย เพื่อเป็นการกระตุ้นให้ผู้เดินทางทุกคนได้เตรียมความพร้อมทั้งรถทั้งคนขับ เพื่อเดินทางอย่างปลอดภัยในช่วงเทศกาลสงกรานต์"

สำหรับรายการตรวจเช็กสภาพฟรี 20 รายการ ประกอบด้วย การตรวจสอบระดับน้ำมันเครื่องและความสกปรกของน้ำมันเครื่อง, ตรวจสภาพยาง, ตรวจระดับน้ำหม้อน้ำ หม้อพักน้ำ พร้อมฝาปิดหม้อน้ำ, ตรวจสภาพการทำงานของไฟส่องสว่างและไฟสัญญาณ, ตรวจสอบระบบไฟชาร์จ, ตรวจสภาพสายพานและความตึงของสายพานพร้อมปรับตั้ง, ตรวจสอบท่อยางหม้อน้ำและรอบรั่ว, ตรวจสอบน้ำมันเบรกและน้ำมันคลัตช์, ตรวจสอบคลัตช์, ตรวจสอบระดับน้ำมันกลั่นในแบตเตอรี่ ขั้วแบตเตอรี่, ตรวจระดับน้ำล้างกระจก, ตรวจสอบอุปกรณ์ปัดน้ำฝน, ตรวจสภาพการรั่วซึมของน้ำมันในห้องเครื่องยนต์, ตรวจสอบเบรก, ตรวจสอบเบรกมือ, ตรวจสอบไส้กรองอากาศ, ตรวจสอบสภาพการทำงานของเครื่องยนต์, ตรวจเข็มขัดนิรภัย, ตรวจสอบระบบส่งกำลัง ระบบบังคับเลี้ยวและระบบกรองน้ำหนัก และตรวจสอบระดับก๊าซไอเสีย

ลูกค้าที่สนใจเข้าร่วมโครงการ “ตรวจรถฟรี ขับขี่ปลอดภัยเทศกาลสงกรานต์ 2564” สามารถลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิ์โดยกดเพิ่มเพื่อนกับมาสด้าผ่านทาง Mazda Official LINE Account @MazdaThailand เพื่อรับคูปองตรวจเช็กฟรี 20 รายการ และนำมาใช้บริการได้ที่ศูนย์บริการมาสด้าทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2564 จนถึงวันที่ 30 เมษายน 2564 สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์บริการมาสด้าหรือติดต่อสอบถามเพิ่มเติมที่มาสด้าสปีดไลน์ 02-030-5666


สนับสนุนข่าวโดย : รับข้อเสนอพิเศษมอเตอร์โชว์ ในงาน Mazda Motor Show สัมผัสปิกอัพใหม่ All-New Mazda BT-50 และยนตรกรรมสกายแอคทีฟจากมาสด้า ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%* รับประกันคุณภาพรถสูงสุด 5 ปี* และบัตรเติมน้ำมัน 10,000 บ.* 24 มี.ค. 64 - 4 เม.ย. 64 ที่บูธและโชว์รูมทั่วประเทศ

นร. ต้องมาก่อน “ดร.กนก” ชี้เป้า! จัดซื้อ แนะ “ตรีนุช” เพิ่มเงิน “ครูชนบท”

ศ.ดร.กนก วงษ์ตระหง่าน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวแนะนำหลักในการวางนโยบาย และแลกเปลี่ยนแนวทางปฏิบัติงาน ต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการคนใหม่ “นางสาวตรีนุช เทียนทอง” ที่เน้นย้ำให้เอาประโยชน์ของคุณภาพการเรียนรู้ของนักเรียน และชั้นเรียนเป็นสำคัญ ผ่านภารกิจ 3 เรื่อง คือ  

1.) การกระจายอำนาจให้โรงเรียน โดยเฉพาะงบประมาณ

2.) การนำระบบฝึกหัดครูกับมาสร้างครูใหม่

และ 3.) เปลี่ยนวิธีการสอนของครูในชั้นเรียน เพื่อให้เกิดคุณภาพการเรียนรู้ของนักเรียน

“นี่เป็นสิ่งที่ผม และอีกหลายคน หวังว่ารัฐมนตรีท่านนี้จะทำได้สำเร็จ และแม้จะไม่สามารถครอบคลุมทุกชั้นเรียนได้ ก็อาจกำหนดเป็นพื้นที่เป้าหมาย อาทิ จำนวนโรงเรียน หรือชั้นเรียน แล้วทุ่มงบประมาณอย่างเต็มกำลังเพื่อให้ประสบความสำเร็จภายใน 2 ปี ตามอายุรัฐบาลนี้ และเพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจน ผมเสนอให้กำหนดเป็นโรงเรียนจำนวน 5,000 แห่ง และชั้นเรียนจำนวน 30,000 ห้อง เป็นเป้าหมาย ส่วนระบบฝึกหัดครูนั้น ก็ควรให้จัดทำโครงการฝึกหัดครูร่วมกับมหาวิทยาลัย ที่มากกว่า คณะศึกษาศาสตร์ เช่น ต้องมีคณะวิทยาศาสตร์ คณะเกษตรศาสตร์ หรือคณะวิศวกรรมศาสตร์ เป็นต้น มาเข้าร่วมด้วย 10 แห่งกระจายอยู่ทั่วประเทศ เพื่อสร้างครูพันธุ์ใหม่ จำนวน 4,000-5,000 คนในเวลา 2 ปีนี้ และบรรจุครูกลุ่มนี้ทดแทนครูเกษียณทั้งหมด ส่วนการกระจายอำนาจให้โรงเรียน ก็ควรทดลองปฏิบัติกับโรงเรียนที่คัดเลือกตามนโยบายยกระดับชั้นเรียนจำนวน 5,000 โรงเรียนไปพร้อมกันเลย”

นอกจากนี้ อดีตที่ปรึกษารัฐมนตรีท่านนี้ ยังได้กล่าวเตือนถึงกับดักในกระทรวงศึกษาธิการ ตั้งแต่เรื่องของการจัดซื้อจัดจ้าง และการบรรจุ แต่งตั้ง โยกย้ายข้าราชการ ที่ทำลายอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการมาหลายท่านแล้ว
 
“กระทรวงแห่งนี้ มีงบประมาณกว่า 300,000 ล้าน ซึ่งถือว่ามหาศาล ดังนั้น ข้าราชการบางคน และเอกชนบางกลุ่ม ก็จะหาแนวทางในการเสนอโครงการใหม่ ๆ อยู่เป็นระยะ ๆ ในจำนวนเงินที่สูง และวางจุดมุ่งหมายอันเชื่อมโยงไปกับการพัฒนาคุณภาพการศึกษา และยกระดับการบริหารให้มีประสิทธิภาพ แต่ข้อสังเกตที่น่าสนใจก็คือ โครงการเหล่านี้ ส่วนใหญ่จะเน้นไปที่การซื้ออุปกรณ์จำนวนมาก และเทคโนโลยีทันสมัย ที่มีราคาสูง รวมไปถึงการก่อสร้าง แต่มิได้มีการวางลำดับความสำคัญของการใช้เครื่องมือ หรืออุปกรณ์สำหรับครู เพื่อการพัฒนาสาระวิชา และสร้างการสอนที่มีคุณภาพยิ่งขึ้นเลย 

“ส่วนการบรรจุ แต่งตั้ง โยกย้ายครู และบุคลากรทางการศึกษา ส่วนใหญ่มักเป็นการย้ายตามความประสงค์ของครู หรือบุคลากรทางการศึกษา แต่ไม่ใช่ความจำเป็นของนักเรียน และโรงเรียน แต่อย่างใด ดังนั้น ก่อนการบรรจุ แต่งตั้ง โยกย้าย รัฐมนตรีต้องมีข้อมูลชัดเจนถึงความต้องการ และปัญหาจริงของโรงเรียนแต่ละแห่ง เพื่อบริหารจัดการการบรรจุ แต่งตั้ง โยกย้าย ให้ตรงกับความต้องการ และปัญหาของโรงเรียนนั้น ๆ นี่ถึงจะเป็นประโยชน์ต่อนักเรียน และชั้นเรียนอย่างแท้จริง”

รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ยังทิ้งท้ายถึง “วัฒนธรรมการบริหาร” ในกระทรวงศึกษาธิการ ที่ต้องส่งเสริมให้ “คนเก่งและดี” มีความเจริญก้าวหน้า และได้รับบทบาทให้ช่วยทำงานสำคัญ ในการยกระดับคุณภาพการศึกษาของนักเรียนอย่างต่อเนื่อง “ระบบบริหารของกระทรวงต้องรักษาครูที่ดี ที่เก่ง เป็นที่ต้องการของพื้นที่เอาไว้ ไม่ให้ลาออกหรือขอย้ายจากพื้นที่ที่นักเรียนต้องการ ด้วยการจูงใจและสนับสนุนครูเหล่านั้นอย่างเหมาะสมกับความสามารถ และประสบการณ์ เพื่อที่นักเรียนในพื้นที่ด้อยโอกาสจะได้ครูดี ๆ ที่มีคุณภาพสำหรับพวกเขา เช่น การปรับค่าตอบแทนครูในชนบทห่างไกล หรือโรงเรียนขนาดเล็ก ที่มีผลการสอนตามเกณฑ์มาตรฐาน ควรเพิ่มเงินพิเศษอีกเดือนละ 5,000 บาท นอกเหนือไปจากเงินเดือนประจำ และค่าตอบแทนอื่น ๆ ที่ระบบปัจจุบันกำหนดเอาไว้”

“ทิพานัน” จวก “พิธา” โหนการเมืองเมียนมา หวังดิสเครดิตรัฐบาล-สุมไฟการเมืองไทย

เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2564 นางสาวทิพานัน ศิริชนะ อดีตรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวถึงนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ที่ประณามรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ว่าให้การสนับสนุนความรุนแรงและกองทัพที่เข่นฆ่าประชาชนชาวเมียนมา ว่า เป็นข้อกล่าวหาที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง ตีความเกินเลย คำว่าสนับสนุนความรุนแรงและการเข่นฆ่าเป็นการปรักปรำ ไม่ยุติธรรม ไม่เป็นสุภาพบุรุษ กล่าวหาใส่ร้ายโดยไร้หลักฐาน ต่อรัฐบาล เพราะไม่เคยมีผู้นำหรือผู้แทนในหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเช่นนั้น 

นางสาวทิพานัน กล่าวว่า หากนายพิธา ไม่ทราบและแยกแยะไม่ออกว่าการสนับสนุนความรุนแรงเป็นอย่างไร มีตัวอย่างให้เห็น คือ พรรคสนับสนุนให้นักการเมืองชายที่มีประวัติเกี่ยวข้องคดีใช้ความรุนแรงในครอบครัว ทำร้ายร่างกายผู้หญิงเป็นผู้นำ หรือกรณีที่ ส.ส. บางพรรค ไปร่วมชุมนุมกับกลุ่มที่กระทำความผิดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ โดยเผาพระบรมฉายาลักษณ์ และทำลายทรัพย์สินของทางราชการ และใช้ตำแหน่งประกันตัวผู้ต้องหา 

รวมถึงเคลื่อนไหวในสภาฯให้แก้ไขกฎหมายเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มผู้ชุมนุมที่ฝ่าฝืนกฎหมายให้พ้นจากความผิด และพยายามแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมเพื่อต้องการให้ปล่อยตัวชั่วคราวผู้ต้องหาโดยประกาศจะใช้อำนาจ กมธ. เชิญประธานศาลฎีกา มาชี้แจง การกระทำเหล่านี้น่าจะเข้าข่ายเป็นผู้สนับสนุนและช่วยเหลือผู้กระทำความผิดที่ใช้ความรุนแรงชัดเจนและยังเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศ

นางสาวทิพานัน กล่าวว่า กระทรวงการต่างประเทศ แถลงขอให้ทางการเมียนมา ยุติการใช้ความรุนแรง และปล่อยตัวผู้ที่ถูกควบคุมตัวเพิ่มขึ้น และเตรียมที่จะหารือในเรื่องดังกล่าวในการประชุมอาเซียนซัมมิทในเดือนเม.ย.นี้ ในระหว่างนี้ไทยให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม และอำนวยความสะดวกแก่ผู้หนีภัยความไม่สงบที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์สู้รบในเมียนมา ซึ่งตรงข้ามกับข้อกล่าวหาของนายพิธา ที่โจมตีรัฐบาลว่าให้การสนับสนุนให้ใช้ความรุนแรง แต่นายพิธา กลับฉวยโอกาสนำการเมืองระหว่างประเทศมาเป็นเครื่องมือเพื่อดิสเครดิตรัฐบาล หาประโยชน์ให้กับตนเองและพวกพ้อง 

“ไม่น่าเชื่อว่าคนไทยด้วยกันเอง นักการเมืองบางคนพยายาม โหนกระแสวิกฤตในเมียนมา มาตอมกลิ่มความขัดแย้งในสังคมและขยายผล พยายามทำร้ายและบ่อนทำลายความมั่นคงของประเทศ แต่เชื่อว่าประชาชนรู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่หลงไปกับกระแสที่นักการเมืองพยายามเสี้ยมให้เข้าใจผิดรัฐบาล ที่หวังสุมไฟหวังให้เกิดสงครามกลางเมืองซ้ำเติมให้ประเทศบอบช้ำ” นางสาวทิพานัน กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top