Monday, 19 May 2025
GoodVoice

มาสด้า มอเตอร์ ประเทศญี่ปุ่น ประกาศแต่งตั้ง ‘คนไทย’ ขึ้นเป็น ‘ประธานคนใหม่’ เผย!! อยู่เบื้องหลังความสำเร็จ มีบทบาทสำคัญ บริหารงานมาแล้ว ครบทุกฟังก์ชั่น

(11 ม.ค. 68) มาสด้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น ประกาศแต่งตั้ง นายธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ ขึ้นดำรงตำแหน่ง ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (President & CEO) บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด มีบทบาทสำคัญในการบริหารองค์กรมาสด้ามายาวนาน สร้างผลงานเป็นที่ประจักษ์ชัดเจนนับตั้งแต่ร่วมงานกับมาสด้า เมื่อปี พ.ศ. 2550 เริ่มจากการเป็นผู้ร่วมพัฒนารถยนต์มาสด้าในตำแหน่งผู้จัดการผลิตภัณฑ์ ฝ่ายการตลาด สั่งสมประสบการณ์กว่า 18 ปี บริหารงานครบทุกฟังก์ชั่น สร้างผลงานความสำเร็จมากมาย โดยเฉพาะการเปิดตัวมาสด้า2 ได้รับความนิยมสูงสุดจนสามารถก้าวขึ้นสู่อันดับหนึ่งของตลาดรถยนต์นั่งซิตี้คาร์ ครองแชมป์ทำสถิติยอดขายสูงสุด 3 ปีติดต่อกัน รวมทั้งประสานความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับบริษัทแม่ ประเทศญี่ปุ่น ขยายการลงทุนสร้างโรงงานผลิตรถยนต์นั่ง โรงงานผลิตเครื่องยนต์ และเกียร์อัตโนมัตินอกประเทศญี่ปุ่นครั้งแรกในประเทศไทย ผลักดันโครงการขยายการลงทุนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความมั่นคงให้กับธุรกิจมาสด้าในประเทศไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน

ตลอดระยะเวลา 18 ปี นายธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการบริหารองค์กรมาสด้า ทั้งส่วนงานวางแผนด้านผลิตภัณฑ์ การวางกลยุทธ์การตลาด ส่งเสริมการขาย การพัฒนาผู้จำหน่าย การเอาใจใส่ดูแลลูกค้าเสมือนคนในครอบครัว และส่วนอื่นๆ อย่างรอบด้าน ถือเป็นผู้บริหารที่มีส่วนร่วมสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน และอยู่ในทุกช่วงเวลา ทุกสถานการณ์ ผ่านร้อน ผ่านหนาว ผ่านอุปสรรคมากมาย ร่วมมือปลุกปั้นแบรนด์มาสด้าจนได้รับการตอบรับอย่างดีจากลูกค้าชาวไทย แรกเริ่มเมื่อปี พ.ศ. 2558 จากยอดขาย 11,000 คันต่อปี ก้าวสู่การสร้างสถิติใหม่ด้วยยอดขายสูงสุดถึง 74,000 คันต่อปี

นายธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ ประธานกรรมการบริหารและซีอีโอ บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า การดำรงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ของธุรกิจมาสด้า เป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่ท้าทาย และมีคุณค่ายิ่ง ความผูกพันกับทีมงานคนไทย ผู้จำหน่ายมาสด้า สื่อมวลชน และพันธมิตรทางธุรกิจ ตลอดระยะเวลาที่ทำงานกับมาสด้า ผมสัมผัสได้ถึงความจริงใจ ความไว้วางใจซึ่งกันและกัน เชื่อมั่นในศักยภาพของทีมงานทุกคน การที่มาสด้าทำงานลงลึกในรายละเอียดทุกขั้นตอน ตั้งแต่กระบวนการผลิต การขาย การดูแลและการบริการ การมอบความประทับใจให้ลูกค้า ล้วนเป็นสิ่งที่ถูกหล่อหลอมและส่งเสริมให้มาสด้าก้าวเดินและเติบโตอย่างแข็งแกร่งมาถึงทุกวันนี้ ต่อจากนี้ อีกหนึ่งบทบาทใหม่จะมีความท้าทายยิ่งขึ้น มาสด้าจะเดินหน้าอย่างเต็มกำลังและเข้มข้น เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันทางธุรกิจในทุกมิติ สร้างธุรกิจมาสด้าและผู้จำหน่ายให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน ส่งมอบเทคโนโลยียานยนต์ที่มอบประสบการณ์ความสุขในการขับขี่ให้ลูกค้าตลอดไป

มาสด้ายังคงเดินหน้าตามแผนการดำเนินธุรกิจสู่ความยั่งยืนในระยะยาว สิ่งสำคัญที่จะทำให้มาสด้าเกิดความแข็งแกร่งจึงไม่ใช่การขายรถใหม่เพียงอย่างเดียว ทุกภาคส่วนต้องสร้างความรัก ความผูกพัน ให้ลูกค้าสัมผัสได้ถึงประสบการณ์ที่ดี จนเกิดเป็นความประทับใจ กลับมาซื้อซ้ำ และเป็นเจ้าของรถยนต์มาสด้าได้ทุกรุ่น ทุกช่วงเวลาของชีวิต กลายมาเป็น ‘มาสด้า แฟมิลี่’ นั่นคือแก่นแท้ของการดำเนินธุรกิจในรูปแบบของ Retention Business คือการดูแลเอาใจใส่ลูกค้าให้ดีที่สุด รวมถึงการแนะนำจุดเด่นของรถมาสด้าให้กับคนอื่นๆ ต่อไป มาสด้าเชื่อว่าแนวทางการทำธุรกิจด้วยวิถีนี้จะนำไปสู่การเติบโตที่ยั่งยืน พร้อมยกระดับประสบการณ์ลูกค้าอย่างเต็มกำลัง และให้ความสำคัญสูงสุดต่อการสร้างคุณค่าแบรนด์ โดยเฉพาะการบริการหลังการขายที่ต้องเป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ เป็นแบรนด์อันดับหนึ่งที่ลูกค้าเลือก และเป็นอันดับหนึ่งด้านการบริการ เพื่อส่งมอบรอยยิ้มและความสุขให้ลูกค้า รวมถึงผลประกอบการของผู้จำหน่ายต้องแข็งแกร่งและเติบโตอย่างยั่งยืนไปพร้อมกัน

นายธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ ถือเป็นประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารคนไทยคนแรกที่มาจากสายเลือดอันเข้มข้นของ มาสด้า เซลส์ ประเทศไทย เพียงคนเดียว เป็นคนรุ่นใหม่ ที่มีความรู้ความสามารถ ประสบการณ์ ที่ก้าวขึ้นมาเป็นผู้บัญชาการสูงสุดในองค์กรระดับโลก และมีเพียงคนไทยไม่กี่คนที่สามารถก้าวข้ามอุปสรรคนานัปการมาได้ เป็นขุนศึกที่ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับผู้บริหารระดับสูงมานับไม่ถ้วน โดยดำรงตำแหน่งล่าสุด คือ รองประธานกรรมการบริหาร มาสด้า เซลส์ ประเทศไทย เมื่อช่วงต้นปี 2567 ที่ผ่านมา

มร. ทาดาชิ มิอุระ จะขยับขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นประธานที่ปรึกษาอาวุโส กล่าวสั้นๆ แต่มากด้วยความหมายว่า "ผมเชื่อมั่นในพลังของการทำงานเป็นทีม ด้วยศักยภาพของพนักงานทุกคนใน มาสด้า เซลส์ ประเทศไทย และผู้จำหน่ายมาสด้าทุกราย ตลอดเวลาที่ผ่านมาทุกคนได้ทุ่มเทอย่างเต็มความสามารถ เพื่อสร้างมาสด้าให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งในประเทศไทย แน่นอนที่สุดการสนับสนุนและให้ความร่วมมือจากทุกฝ่ายด้วยดีมาโดยตลอดนั้น คือสิ่งสำคัญยิ่งต่อการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต ผมภูมิใจและมีความสุขกับบทบาทใหม่ที่กำลังจะมาถึง อีกไม่นานจากนี้ไป มาสด้ากำลังเร่งมือเดินหน้าแนะนำยนตรกรรมใหม่และรถยนต์รุ่นใหม่ รวมถึงการสร้างความยั่งยืนที่ครอบคลุมทุกๆ ด้าน เพื่อให้เป็นแบรนด์ที่อยู่คู่สังคมไทยตลอดไป ผมมั่นใจว่าเส้นทางนี้จะเป็นเส้นทางที่นำพามาสด้าในประเทศไทยประสบความสำเร็จและยั่งยืน ทำให้มาสด้าเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่ลูกค้าภาคภูมิใจที่ได้ครอบครอง"

การปรับทัพผู้บริหารของมาสด้าในช่วงเวลาที่ตลาดรถยนต์ไทยมีการแข่งขันรุนแรงเช่นนี้ นับว่าน่าจับตามองอย่างยิ่ง ถือเป็นความท้าทายที่มาสด้าจะต้องก้าวผ่านเพื่อไปสู่ความสำเร็จในระดับสูงขึ้น โดยเฉพาะการแนะนำรถมาสด้ารุ่นใหม่ที่กำลังจ่อคิวลงตลาดตามแผนพัฒนาธุรกิจในอนาคตอันใกล้นี้ จะเป็นแรงผลักดันสำคัญที่จะส่งผลให้มาสด้ากลับมาทวงแชมป์ความยิ่งใหญ่ และได้รับความนิยมสูงสุดจากลูกค้าชาวไทยในเร็วๆ นี้

INTERLINK EXPO 2025 ดีลครบ ลดคุ้ม จัดมหกรรมครั้งใหญ่ เปิดศักราช ลดอลังการให้คู่ค้าที่ภาคกลาง ตอบแทนคืนกำไรให้ในราคาลดหนักประหยัดจริง ตอบโจทย์ทุกงานระบบ ครบทุก Solution

(12 ม.ค. 68) คุ้มค่าเกินคาด!! บมจ. อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น จัดมหกรรมลดราคาครั้งยิ่งใหญ่ ‘INTERLINK EXPO 2025 ดีลครบ ลดคุ้ม’ เพื่อตอบแทนทุนให้คู่ค้า และพันธมิตรในภูมิภาคกลาง ส่งตรงถึงมือ ด้วยส่วนลดสุดพิเศษสูงสุดถึง 70% นำทัพสินค้าคุณภาพดี ราคาโดนใจ จัดให้ในราคาสบายกระเป๋า รวมถึงยกชุดทุกโซลูชันของ สินค้า และอุปกรณ์ LINK AMERICA & GERMAN RACK EVERYWHERE จัดโปรกระหน่ำกว่า 1,000 รายการ คืนกำไรเต็มให้คู่ค้าอย่างแท้จริง กล้ารับประกันถูกกว่านี้ไม่มีที่ไหนแน่นอน ภายในงานประกอบด้วยสินค้า และโซลูชันครบวงจร ทั้งสาย LAN/สาย FIBER OPTIC/Solar Solution/ตู้ LINK RACK และสินค้า 19” GERMANY EXPORT RACK และอุปกรณ์เสริมอื่น ๆ มากมาย จัดดีลพิเศษ Cash Back และกิจกรรมลุ้นรางวัลใหญ่อีกมากมาย นอกจากนี้ยังมีการประกาศข่าวดี เปิดศักราชด้วยนวัตกรรมใหม่ ‘NEW INNOVATION’ พร้อมตอกย้ำแบรนด์ LINK AMERICAN CABLING ที่จะมาตอบโจทย์ยุคดิจิทัล ที่ครอบคลุมทุกความต้องการกันที่งานนี้เป็นที่แรก ความคุ้มค่านี้เป็นการเริ่มต้นปีใหม่อย่างยิ่งใหญ่ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า นำพาธุรกิจเติบโตร่วมกันอย่างต่อเนื่อง และยั่งยืน แบบมีคุณภาพต่อไปในอนาคต

 

Levi’s®  และ Undercover ฉลองครบรอบ 35 ปีของแบรนด์ญี่ปุ่น ด้วยคอลเลกชันพิเศษสุดเอ็กซ์คลูซีฟ

เดือนมกราคมนี้ Levi’s®  และ UNDERCOVER กลับมาร่วมมือกันอีกครั้ง ผสานความโดดเด่นของดีไซน์ Undercover เข้ากับเอกลักษณ์เหนือกาลเวลาของ Levi’s® เพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 35 ปีของแบรนด์ระดับตำนานที่ก่อตั้งโดย จุน ทาคาฮาชิ แบรนด์แฟชั่นสัญชาติญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงด้านการผสมผสานระหว่างสตรีทแวร์ แฟชั่นระดับสูง และดีไซน์ที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร ด้วยการอ้างอิงถึงงานออกแบบในอดีตและเอกลักษณ์เฉพาะตัวของ Levi’s® โดย คอลเลกชัน Levi’s® x Undercover ครั้งที่ 2 นี้จึงเกิดขึ้นจากการสร้างสรรค์อย่างพิถีพิถัน สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในด้านนวัตกรรมและสไตล์ที่แสดงออกถึงตัวตน

คอลเลกชัน Levi’s® x Undercover ประกอบด้วยสินค้าทั้งหมด 9 ชนิดที่เน้นงานฝีมือและรายละเอียดการออกแบบที่ประณีต แจ็คเก็ต Pinnacle Type II Trucker มีดีเทลซิปถอดได้บริเวณแขน คอเสื้อ และตะเข็บข้าง ช่วยให้ผู้สวมใส่สามารถปรับแต่งในสไตล์ของตนเอง ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากโปรแกรม “Exchange” ของ Undercover ในคอลเลกชันฤดูใบไม้ร่วง/ฤดูหนาว 1998 แจ็คเก็ตนี้ผลิตจากผ้าเดนิมริมแดงอินดิโกและผ้าลูกฟูกสีดำ พร้อมตกแต่งด้วยป้าย Jacron จากการออกแบบร่วมกันของทั้ง 2 แบรนด์ และป้ายคอ ‘Small Parts’ ที่สะท้อนถึงคอนเซ็ปต์ดั้งเดิมของ Undercover

แจ็คเก็ต Type I Trucker ใช้ผ้าเดนิมสีดำ-ขาวน้ำหนัก 12 ออนซ์ พร้อมลวดลายปัก ‘Giza’ ที่แขนเสื้อและชายเสื้อ ซึ่งเป็นการอ้างอิงถึงกราฟิกของ Undercover ในปี 2003 ส่วนแจ็คเก็ต Type III Trucker มีลวดลายกราฟิกใหม่ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากแนวคิดหยินหยาง ประดับด้วยการปักคำว่า ‘แสงสว่าง’ และ ‘ความมืด’ บริเวณอกด้านหน้า และตกแต่งด้วยเทคนิคการพิมพ์และปักผสมผสานบริเวณด้านหลัง

ในคอลเลกชันยังมีกางเกงยีนส์อีก 2 รุ่น ได้แก่ 501® Jean และ Baggy Jean ที่สอดคล้องกับรายละเอียดของแจ็คเก็ต 501® Jean มีทรงคลาสสิก พร้อมลวดลายปัก ‘Giza’ ที่ตะเข็บข้าง และป้ายหลังจากการออกแบบร่วมกันของทั้ง 2 แบรนด์ ส่วน Baggy Jean เป็นทรงหลวมสบาย ตกแต่งด้วยเทคนิคการพิมพ์ และปักแบบผสมผสาน เพื่อให้เข้ากับแจ็คเก็ต Type III Trucker

ปิดท้ายด้วยเสื้อยืด 3 แบบที่นำเสนอภาษาภาพลักษณ์เดียวกัน ผลิตจากผ้าฝ้ายเจอร์ซีย์คุณภาพสูง เสื้อยืดแขนยาวสีขาวตกแต่งลายพิมพ์ ‘Giza’ บริเวณคอและแขนเสื้อ ส่วนเสื้อยืดแขนสั้นมีให้เลือกในสีดำและขาว พร้อมกราฟิกที่ใช้เทคนิคการพิมพ์และปักผสมผสาน

แคมเปญนี้ได้ Flea มือเบสวง Red Hot Chili Peppers มาร่วมถ่ายทอดจิตวิญญาณของคอลเลกชัน ผ่านภาพถ่ายที่บ้านในมาลิบูโดย Clara Balzary ลูกสาวของเขา Flea มีชื่อเสียงด้านดนตรีที่สะท้อนทั้งความสว่างและความมืด สไตล์ส่วนตัวที่เป็นเอกลักษณ์ และความคิดสร้างสรรค์แบบไม่มีขีดจำกัด

คอลเลกชัน Levi’s® x Undercover จะวางจำหน่ายทั่วโลกในวันที่ 18 มกราคม ผ่านทาง Levi.co.th, ร้านค้า Levi’s® สาขา ไอคอน สยาม, เซ็นทรัลเวิล์ด, เอ็มสเฟียร์, สยามพารากอน และ เซ็นทรัลชิดลม 

‘เอกนัฏ‘ สั่งปิดโรงงานน้ำตาล-โรงไฟฟ้าไทยอุดรฯ หลังพบฝ่าฝืนกฎหมายความปลอดภัยหลายข้อ

(15 ม.ค.68) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้ 'ทีมตรวจการสุดซอย' นำโดยพนักงานเจ้าหน้าที่กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) และสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดอุดรธานี บูรณาการร่วมกันลงพื้นที่ตรวจสอบโรงงานน้ำตาลของบริษัท น้ำตาลไทยอุดรธานี จำกัด และโรงไฟฟ้าของบริษัท ไทยอุดรธานี เพาเวอร์ จำกัด ตั้งอยู่ในพื้นที่ ต.คำบง อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี

จากการตรวจสอบพบว่า บริษัท น้ำตาลไทยอุดรธานี จำกัด มีการรับอ้อยเผาเข้าหีบสะสมสูงสุดจากโรงงานน้ำตาลทั้งหมด 58 โรงงาน คิดเป็น 43.11% ของปริมาณอ้อยทั้งหมด หรือกว่า 4.1 แสนตัน เทียบเท่าการเผาป่ากว่า 4.1 หมื่นไร่ โดยจังหวัดอุดรธานีเป็นจังหวัดที่มีสัดส่วนการรับอ้อยเผาเข้าหีบสูงสุดของประเทศ อีกทั้งยังพบว่า บริษัท ไทยอุดรธานี เพาเวอร์ จำกัด ประกอบกิจการผลิตไฟฟ้าและไอน้ำส่งให้กับโรงงานน้ำตาลไทยอุดรธานี โดยบริษัทฯ ฝ่าฝืนกฎหมายความปลอดภัย มีการประกอบกิจการในสภาพที่อาจก่อให้เกิดอันตรายอย่างร้ายแรงถึงชีวิตและทรัพย์สินของพนักงานและประชาชนที่อยู่อาศัยใกล้เคียงกับโรงงาน 

นอกจากนี้ บริษัท น้ำตาลไทยอุดรธานี จำกัด ยังมีการประกอบกิจการที่อาจก่อให้เกิดอันตราย ความเสียหายหรือความเดือดร้อนแก่พนักงานหรือทรัพย์สินที่อยู่ในโรงงานหรือที่อยู่อาศัยใกล้เคียงกับโรงงานในหลายประเด็น เช่น มีการจัดเก็บหรือการดำเนินการเกี่ยวกับสารเคมี วัตถุอันตราย และกากอุตสาหกรรมที่ใช้และเกิดจากกระบวนการผลิตของโรงงานที่ไม่ถูกต้องเหมาะสม ตู้ควบคุมไฟฟ้าอยู่ในสภาพชำรุดอาจก่อให้เกิดอันตรายได้ อีกทั้ง มีการติดตั้งระบบดับเพลิงที่ไม่พร้อมใช้งานในหลายจุด อุตสาหกรรมจังหวัดอุดรธานีจึงมีคำสั่งด่วนที่สุดให้บริษัทฯ ระงับการกระทำที่ฝ่าฝืนกฎหมายทั้งหมด จนกว่าจะปรับปรุงแก้ไขโรงงานให้ถูกต้องตามกฎหมายอย่างเข้มงวด

“ผมขอย้ำว่า การประกอบการโรงงานต้องมีกระบวนการผลิตที่ปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เหนือสิ่งอื่นใด การสร้างกำไรจากการทำธุรกิจอุตสาหกรรมต้องไม่เบียดเบียนสร้างผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนและการทำธุรกิจของภาคส่วนอื่นด้วย” นายเอกนัฏฯ กล่าวทิ้งท้าย

OPPO ขอโทษ ออกอัปเดตลบแอปเงินกู้บนมือถือแล้ว 4 รุ่น ยืนยันลบข้อมูลส่วนตัวลูกค้าทั้งหมด

(17 ม.ค.68) OPPO ประเทศไทย ออกแถลงการณ์ต่อสื่อมวลชนครั้งแรก หลังเกิดเหตุการณ์การติดตั้งแอปพลิเคชัน Fineasy และ สินเชื่อความสุข ในสมาร์ทโฟน OPPO และ realme โดยไม่ได้รับการยินยอม  

โดยนายชานนท์ จิรายุกุล ประธานกรรมการอาวุโสฝ่ายบริหาร OPPO ประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัทได้ดำเนินการแก้ไขโดยทันทีผ่านความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยได้เริ่มการอัปเดตระบบ (OTA) เพื่อลบแอปพลิเคชันดังกล่าวแล้ว ซึ่งครอบคลุมถึงรุ่น Find X8 Series, Reno13 Series, Reno12 Series และ OPPO A3 ทั้งตั้งเป้าให้มีการอัปเดตเพื่อการติดตั้งแอปฯ ดังกล่าวภายใน 27 มกราคม 2025 

นายชานนท์ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับผู้ใช้งานเก็บบนคลาวด์ได้ถูกลบอย่างสมบูรณ์แล้ว ส่วนข้อมูลที่อยู่ในอุปกรณ์ ผู้ใช้งานสามารถลบได้ด้วยตัวเองทันที  

ด้านนายธงชัย ม่วงใหม่ ผู้อำนวยการฝ่ายกฎหมายของโพสเซฟี่ กรุ๊ป ได้ย้ำถึงความมุ่งมั่นของ OPPO ประเทศไทยในการปฏิบัติตามกฎหมายความเป็นส่วนตัว โดยไม่เข้าถึงข้อมูลอ่อนไหวของผู้ใช้งานหากไม่ได้รับอนุญาต พร้อมเสริมว่าบริษัทได้ดำเนินการตามมาตรฐานความปลอดภัยระดับสากล  

นอกจากนี้ OPPO ประเทศไทยได้ชี้แจงว่า การติดตั้งแอปพลิเคชันดังกล่าวมาจากบุคคลภายนอก และยืนยันว่าไม่มีการจัดเก็บข้อมูลของผู้ใช้งาน โดยบริษัทได้เริ่มปรับปรุงมาตรการความปลอดภัย พร้อมประสานงานกับธนาคารแห่งประเทศไทย กระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อป้องกันปัญหาในอนาคต  

"เหตุการณ์นี้ถือเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับเรา เราขอโทษผู้ใช้งานอย่างสุดซึ้ง และขอให้คำมั่นว่าจะไม่มีเหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นอีก" นายชานนท์กล่าว  

OPPO ประเทศไทยยังแสดงความตั้งใจที่จะร่วมมือเฉพาะกับพันธมิตรที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น และจะไม่ติดตั้งแอปพลิเคชันสินเชื่อที่ไม่ได้รับการรับรองตามมาตรฐานธนาคารแห่งประเทศไทยอีก  

สำหรับลูกค้าที่ได้รับผลกระทบ OPPO ประเทศไทยได้จัดตั้งสายด่วนที่หมายเลข 1800-019-097 เพื่อให้บริการช่วยเหลือตลอด 24 ชั่วโมง

คาสิโนถูกกฎหมาย สร้างรายได้ภาษี บนความล้มเหลวทางสังคม ดึงการเสี่ยงโชคนอกระบบ ให้มาอยู่ในระบบ เพื่อเพิ่มรายได้ให้รัฐ

(19 ม.ค. 68) รัฐบาลเดินเครื่องอนุมัติหลักการร่างพรบ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร แผนพัฒนาเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ในไทย จะมีการเปิดใบอนุญาตในกรุงเทพฯ 2 แห่ง พัทยา ภูเก็ต และเชียงใหม่

ประเทศไทย อาจอยู่คู่กับการพนันเสี่ยงโชคมาโดยตลอด ที่ถูกกฎหมายในปัจจุบัน มีเพียงแต่การลุ้นรางวัลลอตเตอรี่ ซึ่งคงปฏิเสธไม่ได้ว่า ยังคงมีการเสี่ยงโชคกับหวยใต้ดินมาอย่างต่อเนื่อง

ถึงแม้จะมีการออกสลาก N3 หรือ สลากตัวเลขสามหลัก เพื่อแก้ปัญหาการขายหวยใต้ดิน แต่ผลตอบรับในปัจจุบัน ยังไม่เป็นที่นิยมมากนัก 

มาครานี้ จะเป็นของใหญ่ อย่าง “เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์” หรือเรียกสั้นๆ ว่า ‘คาสิโน’ ที่จะดึงการเสี่ยงโชคนอกระบบ ให้มาอยู่ในระบบ เพื่อเพิ่มรายได้การจัดเก็บภาษีให้รัฐ

สภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน ประชาชนยังคงมีรายได้จำกัด ยังตกงานอีกเป็นจำนวนมาก และกลุ่มผู้มีรายได้น้อย รายได้ส่วนใหญ่ มาจากการรับจ้าง รับค่าแรงรายวัน หาเช้ากินค่ำ ซึ่งคนกลุ่มนี้ ก็นิยมเสี่ยงโชค ลุ้นเล็กๆ น้อยๆ เหมือนเป็นกำลังใจในการใช้ชีวิตไปในแต่ละวันมากกว่า

หวยไม่ถูกกฎหมาย อย่างน้อย ก็ยังพอให้คนเล่น เล่นแบบเล็กๆ น้อยๆ พอหอมปากหอมคอ เล่นเยอะถูกรางวัล เจ้ามือไม่จ่าย คนเล่นชักดาบ ก็แจ้งความไม่ได้ ในมุมมองผู้เขียน ก็เหมือนเป็นการป้องกันการทุ่มเล่นจนหมดตัว

พอถูกกฎหมายแล้ว จะควบคุมคนเล่นอย่างไร ไม่ทำการทำงาน ไปอยู่แต่บ่อนถูกกฎหมาย เล่นเสีย ขอแก้มือ ทุ่มเล่นจนหมดตัว... คือสิ่งที่น่ากังวล

‘ไม่เคยมีใครรวยจากการพนัน’ คนรวย คงไม่พ้น เจ้ามือ หรือผู้ลงทุนในธุรกิจเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ซี่งก็คงไม่ใช่ประชาชนทั่วไป ได้ไปถือหุ้นในธุรกิจนี้

‘คนจนเล่นหวย คนรวยเล่นหุ้น’ คำนี้ อาจจะถูกเพียงท่อนแรก เพราะตลาดหุ้นในปัจจุบัน ดิ่งลงอย่างต่อเนื่อง ก็เป็นอีกสิ่งที่สะท้อนให้เห็นสภาวะเศรษฐกิจไทย ลองย้อนกลับไปดูได้ว่าช่วงปีใด ที่มีแรงซื้อจากนักลงทุนต่างประเทศเป็นจำนวนมาก และในปัจจุบัน ถูกเทขายจนดัชนี SET ไทย ตกมาต่ำกว่าระดับ 1,350 มูลค่าหุ้นหลายๆ คน น่าจะหายไป 30-40% ยังไม่นับรวมผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ที่ถูก Forced Sell (การบังคับขาย)  

อะไรที่ไม่เคยเห็น ก็เริ่มได้เห็น ดันคาสิโนถูกกฎหมาย บริษัทยักษ์ใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์มีการทุจริตเป็นหมื่นล้าน ผู้แทนประชาชนบางพรรคพยายามผลักดัน บุหรี่ไฟฟ้าถูกกฎหมาย สุราเสรี อาชีพ Sex worker ถูกกฎหมาย ตัดงบประมาณบรรเทาสาธารภัย เพิ่มงบใส่นโยบายประชานิยม โครงสร้างพื้นฐานเริ่มชะลอ สังคมไทยในอนาคตจะเป็นอย่างไร... ไม่ขอลุ้นละกันครับ 

กองทุนดีอี BDE ลงพื้นที่อุบลฯ จัดกิจกรรม CSR พัฒนาชุมชนให้เข้มแข็ง สร้างสรรค์กำแพงวัดสู่พื้นที่แห่งการเรียนรู้ของเยาวชนรุ่นใหม่

(23 ม.ค. 68) กองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (กองทุนดีอี) สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (BDE) จัดกิจกรรมสร้างความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กร (Corporate Social Responsibility: CSR) ภายใต้ชื่องาน “DEF ร่วมสร้างกำแพงความรู้สู่ชุมชน” ณ วัดสวนสวรรค์ ตำบลพิบูล อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี โดยมีนายสมบูรณ์ เมฆไพบูลย์วัฒนา ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านการบริหารเทคโนโลยีดิจิทัลและการสื่อสาร สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (BDE) เป็นประธาน พร้อมด้วย นางสาววรรณศิริ พัวศิริ ผู้อำนวยการกองบริหารกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (BDE) และดร. ศิริมาเมธ์วดี ศิรธนิตรา นายกเทศมนตรีเมืองพิบูลมังสาหาร ตลอดจนผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน  และประชาชนในพื้นที่ ร่วมในพิธีเปิดงาน

นายสมบูรณ์ เมฆไพบูลย์วัฒนา ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านการบริหารเทคโนโลยีดิจิทัลและการสื่อสาร สำนักงานคณะกรรมการ ดีอี กล่าวว่า กองทุนดีอีเป็นหน่วยงานภายใต้สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ BDE ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการจัดสรรเงินทุนโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ทุนสนับสนุนให้เกิดการวิจัยและพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม อันเป็นประโยชน์ต่อการให้บริการสาธารณะและไม่เป็นการแสวงหากำไร พร้อมกันนี้ในส่วนของบทบาทของการสร้างประโยชน์ต่อสังคม ก็เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่กองทุนฯ ให้ความสำคัญเช่นเดียวกัน

สำหรับการดำเนินกิจกรรม ในครั้งนี้ จัดขึ้นเพื่อแสดงถึงความมุ่งมั่นของกองทุนฯ ในการทำหน้าที่เป็นส่วนหนึ่งของสังคมที่มีความรับผิดชอบ และเพื่อสนับสนุนการพัฒนาอย่างยั่งยืนในสังคม การจัดกิจกรรมในวันนี้จึงถือเป็นหนึ่งในความตั้งใจของกองทุนฯ ที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกพร้อมทั้งสร้างคุณค่าแก่ชุมชนและสังคมในระยะยาว

“ผมขอขอบคุณผู้มีส่วนร่วมทุกท่าน ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ชุมชน รวมถึงเจ้าหน้าที่ของกองทุนฯ รวมถึงอาสาสมัครทุกคนที่ให้ความร่วมมือและสนับสนุนจนกิจกรรมครั้งนี้  เกิดขึ้นได้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า กิจกรรมในวันนี้จะสร้างประโยชน์และแรงบันดาลใจให้แก่ทุกท่าน ช่วยสานต่อเป้าหมายของกองทุนฯ ในการขับเคลื่อนที่ประเทศไปสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ มีความยั่งยืน และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น” 

และร่วมมอบสิ่งของจำเป็นทั้งเครื่องอุปโภคและบริโภคให้แก่วัดสวนสวรรค์ ซึ่งคาดหวังว่ากิจกรรมทั้งหมดนี้จะสร้างประโยชน์ในเชิงบวกทั้งในระยะสั้นและระยะยาวให้กับชุมชนในพื้นที่แห่งนี้

DIPROM โดยศูนย์วิจัยและพัฒนาวัสดุอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ บุกเชียงใหม่ ผุดกิจกรรมยกระดับอัตลักษณ์เซรามิกล้านนา หนุนซอฟต์พาวเวอร์ไทย

กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ DIPROM โดยศูนย์วิจัยและพัฒนาวัสดุอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ เชิญชวนผู้ประกอบการและผู้ที่สนใจเข้าร่วมชม 'นิทรรศการแสดงผลงานกิจกรรมยกระดับอัตลักษณ์เซรามิกล้านนาด้วยทุนทางวัฒนธรรม' ภายใต้โครงการยกระดับฐานเศรษฐกิจสร้างสรรค์ล้านนาสู่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือ (Creative LANNA Forward) เพื่อเผยแพร่และส่งเสริมความรู้เกี่ยวกับการผลิตเซรามิกในเชิงวัฒนธรรมล้านนา โดยผลงานที่นำมาแสดงนั้นเป็นผลจากกิจกรรม ซึ่งมีศิลปินและช่างฝีมือจากชุมชนต่างๆ ทั่วภาคเหนือของประเทศไทยเข้าร่วม โดยมีการนำเทคนิคการผลิตเซรามิกแบบดั้งเดิมมาผสมผสานกับแนวคิดใหม่ ๆ เพื่อสร้างสรรค์ผลงานที่สะท้อนถึงอัตลักษณ์และวัฒนธรรมท้องถิ่นในรูปแบบที่ร่วมสมัย โดยกำหนดจัดกิจกรรมขึ้น ในวันจันทร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2568 ตั้งแต่เวลา 08.30 - 16.00 น. ณ นิมมาน คอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ ตำบลสุเทพ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่

ภายในงานจะได้พบกับกิจกรรม เสวนาวิชาการงานอัตลักษณ์เซรามิก เข้าร่วมนิทรรศการแสดงผลงาน อัตลักษณ์เซรามิกล้านนา ประกวดต้นแบบผลิตภัณฑ์เซรามิกล้านนา กิจกรรมการทำเทียนหอม กิจกรรมการเพ้นท์สีจานเซรามิก กิจกรรมสาธิตการปั้นแป้นหมุนขึ้นงานเซรามิก เป็นต้น

ทั้งนี้ นิทรรศการแสดงผลงานกิจกรรมยกระดับอัตลักษณ์เซรามิกล้านนาด้วยทุนทางวัฒนธรรม ไม่เพียงแต่จะช่วยเสริมสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับศิลปะเซรามิกล้านนา แต่ยังเป็นการกระตุ้นให้เยาวชนและประชาชนทั่วไปหันมาสนใจเรียนรู้และอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมที่มีคุณค่าของชุมชนในพื้นที่ ผ่านทุนทางวัฒนธรรมที่มุ่งเน้นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าหัตถกรรมพื้นบ้าน พร้อมทั้งสร้างโอกาสให้แก่ชุมชนในการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ในท้องถิ่นอีกด้วย

สำหรับผู้ที่สนใจสามารถสำรองที่นั่งเข้าร่วมงานได้ที่

https://docs.google.com/forms/d/1mfWGN7dcFMdfw81Ib_ggq2NfSuUUFZCWiASqm-vb0Sc/preview  

'ประชัย เลี่ยวไพรัตน์' จี้แบงก์ชาติเลิกอุ้มธนาคารพาณิชย์ แนะลดดอกเบี้ยเพิ่มสภาพคล่องช่วยเหลือประชาชน

เมื่อวันที่ (23 ม.ค. 68) นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงสถานการณ์เศรษฐกิจว่า ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย กำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์ในประเด็นที่ว่าเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มธนาคารหรือไม่ ? โดยขณะนี้ได้ออกพันธบัตรของธนาคารแห่งประเทศไทยมากกว่า 8 ล้านล้านบาท เพื่อช่วยดูดสภาพคล่อง 8 ล้านล้านบาทออกจากตลาด ทำให้ธนาคารไม่ต้องปล่อยกู้ในดอกเบี้ยถูกให้กับประชาชนคนไทย แต่กลับขึ้นดอกเบี้ยเพื่อขูดรีดประชาชนคนไทย จนกระทั่งขณะนี้หนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นเป็น 16 ล้านล้านบาทและเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ 1.2 ล้านล้านบาท และกำลังจะเพิ่มเป็น 4 ล้านล้านบาท

ทำให้ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยถูกมองว่าละเลยการปฏิบัติหน้าที่ไม่ควบคุมอัตราแลกเปลี่ยนของเงินบาทให้อยู่ในระดับที่ทำให้ต้นทุนสินค้าสู้กับคู่แข่งต่างชาติได้ ทั้งๆ ที่เรามี technology ดีกว่าหรือทัดเทียมกับคู่แข่งต่างชาติ เช่น เวียดนาม อินโดนีเซีย มาเลเซีย จีนหรือเกาหลีใต้ โดยอ้างว่าปล่อยให้อัตราแลกเปลี่ยนขึ้นลงตามกลไกตลาดของตลาดอัตราแลกเปลี่ยน ทั้งที่วิญญูชนรู้ว่ามีการปั่นค่าเงินบาทโดยผู้ก่อการร้ายนิวยอร์กและกลุ่มธนาคาร กล่าวคือท่านผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยผู้มีความรู้สูงส่งยิ่งกว่าวิญญูชนผู้ทำหน้าที่ของการเป็นผู้ควบคุมอัตราแลกเปลี่ยนให้มันเป็นไปในทางที่เป็นประโยชน์กับประเทศไทย สารภาพว่าท่านปล่อยให้อัตราแลกเปลี่ยนเป็นไปตามกลไกตลาดโดยไม่ดูแล แต่ปล่อยให้อยู่ภายใต้อิทธิพลของผู้ก่อการร้ายนิวยอร์กและธนาคาร ปั่นราคาตลาดให้มันแข็งขึ้น อย่างเช่น การปล่อยให้การฟิกเงินดอลลาร์ ให้มี Discount ที่ 3 สตางค์ต่อเดือนต่อดอลลาร์ ก็แปลว่าเขาจะทำให้เงินบาทแข็งขึ้น 3 สตางค์ต่อดอลลาร์ทุกๆ เดือน แล้วอย่างนี้จะเรียกว่าเป็นไปตามการกลไกการตลาดเสรีได้อย่างไร

นายประชัย กล่าวว่า การปั่นอัตราแลกเปลี่ยนให้เงินบาทมีค่าแข็งขึ้น ทำให้ต้นทุนสินค้าของไทยสูงกว่าคู่แข่ง เราไม่สามารถส่งออกสินค้าไปแข่งกับต่างประเทศได้ ทำให้การส่งออกลดลงในขณะเดียวกันทำให้สินค้าต่างประเทศมีต้นทุนถูกกว่าเข้ามาตีตลาดภายในประเทศ ทั้งๆ ที่เราไม่มีความจำเป็นต้องนำเข้ายกเว้นน้ำมันดิบ วัตถุดิบบางชนิดและเครื่องจักรบางชนิด ทำให้โรงงานต่างๆ ต้องลดกำลังผลิตหรือปิดตัวลงเป็นจำนวนมาก จนกระทั่งขณะนี้โรงงานกำลังจะปิดหมดอยู่แล้ว มีผลทำให้คนงานตกงานมากมาย ไม่มีเงินที่จะจับจ่ายใช้สอยและใช้หนี้ที่ก่อเอาไว้ เนื่องจากธนาคารรับเงินฝากที่ 2% กว่า แต่ว่าปล่อยกู้ในดอกเบี้ยมหาโหดที่ 6 ถึง 8% และยังมีหน้าไม่ปล่อยกู้ให้กับลูกค้าที่ธนาคารไม่ชอบขี้หน้า และต้องมีการจ่ายใต้โต๊ะในการที่จะให้เงินกู้ ทำให้ธนาคารปล่อยกู้ไม่ออก มีเงินเหลืออยู่ในธนาคารมากมาย จึงถูกครหาว่าเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มธนาคาร โดยการออกพันธบัตรเพื่อไปดูดซับสภาพคล่องพวกนี้เอามาเก็บไว้ในธนาคารประเทศไทย

โดย ธปท.ไม่ได้ประโยชน์แต่เสียดอกเบี้ยให้กลุ่มธนาคาร ทั้งๆ ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยไม่มีความจำเป็นต้องออกพันธบัตรเลยเพราะธนาคารแห่งประเทศไทยมีความสามารถที่จะออกบัตรเองได้ ถ้ามีความจำเป็นที่ต้องใช้เงินบาทจำนวนนี้ เพราะว่าธนาคารแห่งประเทศไทย มีเงินสำรองเงินตราต่างประเทศ ทองคำและ พันธบัตรรัฐบาลอเมริกัน อยู่ในมือมากกว่า 250,000 ล้านเหรียญ สามารถค้ำประกันการออกบัตรได้มากกว่า 8 ล้านล้านบาท ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นหนี้พันธบัตรอยู่ในขณะนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ออกไปเพื่อดูดซับเงินบาทในท้องตลาดเพื่อช่วยกลุ่มธนาคารไม่ต้อง เก็บสภาพคล่องส่วนเกินนี้ไว้โดยไม่ได้รับ ดอกเบี้ยเลย สาเหตุเป็นเพราะธนาคารต้องการปล่อยกู้ดอกเบี้ยมหาโหด 5-8% ขึ้นไป ทั้งๆ ที่เงินฝากอยู่ที่ 2% กว่าเท่านั้นเอง ทำให้เงินเหลืออยู่ในธนาคารมากมาย แต่สภาพคล่องในตลาด หายไปหมด ด้วยความช่วยเหลือของธนาคารแห่งประเทศไทย กลุ่มธนาคารจึงทำกำไรมหาศาลโดยไม่เห็นแก่ความเดือดร้อนของประชาชน

"ถ้า ธปท.ไม่ช่วยเหลือกลุ่มธนาคารก็ต้องลดดอกเบี้ยเพิ่มสภาพคล่องเพิ่มการว่าจ้างแรงงานลดต้นทุนการผลิตการค้าการส่งออกหนี้ครัวเรือน ลดความเดือดร้อนของประชาชน" นายประชัย กล่าว

‘เอกนัฏ‘ ลุยต่อแบบสุดซอย สั่งปิดกิจการ 3 บริษัท พร้อมฟัน 5 ข้อหาหนัก ลอบนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์

'เอกนัฏ' เมินถูกตั้งค่าหัว สั่งขยายผลจับกุม-ขยายผล รง.กำจัดกากอุตฯเถื่อน อ.พนมสารคาม ฐานร่วมกันเคลื่อนย้ายทำลายของกลาง ลอบนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์ ฟัน 5 ข้อหาหนัก พร้อมสั่งระงับกิจการรวม 3 บริษัทที่ตั้งในพื้นที่เดียวกัน 

(24 ม.ค.68) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รมว.อุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ทีมตรวจการสุดซอย กระทรวงอุตสาหกรรม นำโดย น.ส.ฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ หัวหน้าคณะทำงาน รมว.อุตสาหกรรม, นายเอกนิติ รมยานนท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม, กรมโรงงานอุตสาหกรรม, สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดฉะเชิงเทรา (สอจ.ฉะเชิงเทรา) และเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) ร่วมกันขยายผลดำเนินคดีกับ บริษัท ชุน ยิป อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา ฐานลักลอบเคลื่อนย้ายและทำลายของกลางที่ถูกยึดอายัดจาก บริษัท ที แอนด์ ที เวสท์ แมเนจเม้นท์ 2017 จำกัด จ.ปราจีนบุรี ที่ถูกคำสั่งเพิกถอนใบอนุญาต หลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ปทส. และ สอจ.ปราจีนบุรี แกะรอยจากรถบรรทุกที่ออกจาก บริษัท ที แอนด์ ที เวสท์ แมเนจเม้นท์ 2017 จำกัด เมื่อวันที่ 5 ม.ค.68 ที่มีการนำของกลางที่ถูกยึดอายัดไปยัง บริษัท ชุน ยิป อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด โดยไม่ได้รับอนุญาต 

รมว.อุตสาหกรรม กล่าวอีกว่า บริษัท ชุน ยิป อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด ยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับกรณีที่ กรมศุลกากร ตรวจพบการนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์โดยไม่ได้รับอนุญาต จำนวน 10 ตู้คอนเทนเนอร์ บริเวณท่าเรือแหลมฉบัง ที่ บริษัท อีอีอี เทรดดิ้ง จำกัด เป็นผู้นำเข้า และเมื่อขยายผลก็พบว่า บริษัท อีอีอี เทรดดิ้ง จำกัด ตั้งอยู่ในพื้นที่ของบริษัท ชุน ยิป อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด ที่ อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา ด้วย ซึ่งปรากฏว่า บริษัท ชุน ยิป อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด แบ่งพื้นที่ให้ บริษัท อีอีอี เทรดดิ้ง จำกัด เช่าเพื่อตั้งโรงาน โดยไม่ได้ขออนุญาตและแจ้ง สอจ.ฉะเชิงเทรา ทราบ 

“เมื่อเข้าตรวจค้น บริษัท ชุน ยิป อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด ตามมาตรการสุดซอย เบื้องต้นพบการกระทำผิดใน 5 ข้อหา ตั้งแต่ 1.ครอบครองวัตถุอันตรายโดยไม่ได้รับอนุญาต, 2.ตั้งโรงงานโดยไม่ได้รับอนุญาต, 3.ประกอบกิจการโรงงานโดยไม่ได้รับอนุญาต, 4.ฝ่าฝืนกฎกระทรวงเกี่ยวกับเรื่องความปลอดภัย และประกาศกระทรวงเกี่ยวกับสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว และ 5.เคลื่อนย้ายหรือทำลายของกลางที่ถูกยึดอายัดไว้ในคดี” นายเอกนัฏ ระบุ 

นายเอกนัฏ กล่าวด้วยว่า บริษัท ชุน ยิป อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด มีพฤติกรรมกระทำผิดร้ายแรงหลายข้อหา รวมทั้งฝ่าฝืนคำสั่ง มาตรา 37 ตามพระราชบัญญัติโรงงาน (พ.ร.บ.โรงงาน) ที่ สอจ.ฉะเชิงเทรา สั่งให้ระงับการประกอบกิจการไว้ก่อนหน้านี้ จึงได้ยกระดับออกคำสั่งตามมาตรา 39 และแจ้งความดำเนินคดี รวมถึงข้อหารับซื้อของโจร โดยสามารถจับกุมผู้กระทำผิดสัญชาติจีนได้ 2 ราย รายหนึ่งเป็นผู้ดูแลบริษัท ชุน ยิป อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด ส่วนอีกรายเป็นในส่วนของบริษัท อีอีอี เทรดดิ้ง จำกัด 

“สอจ.ฉะเชิงเทรา ได้ออกคำสั่งตามมาตรา 37 แห่ง พ.ร.บ.โรงงาน ระงับการประกอบกิจการโรงงานทั้งหมดของบริษัท ชุน ยิป อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท อีอีอี เทรดดิ้ง จำกัด รวมไปถึง บริษัท ตงไท้ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่เดียวกัน และมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิด รวมทั้งสิ้น 21 ฉบับ“ รมว.อุตสาหกรรม กล่าว 

รายงานข่าวแจ้งว่า นายเอกนัฏ เพิ่งเปิดเผยในระหว่างการตอบกระทู้ถามสดในสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 23 ม.ค.68 ว่า จากนโยบายตรวจจับ และดำเนินคดีผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับอุตสาหกรรมอย่างเด็ดขาด โดยเฉพาะการจัดการปัญหากากอุตสาหกรรม ตลอดจนการลักลอบนำเข้าและผลิตสินค้าด้อยคุณภาพ ไม่ได้มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) ทำให้ถูกตั้งค่าหัว 300 ล้านบาท เพื่อให้เปลี่ยนตัว รมว.อุตสาหกรรม


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top