Wednesday, 9 July 2025
GoodsVoice

ครม. อนุมัติ 32,000 ล้าน ช่วยค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาของศธ.-อว.ภาคเรียน ที่ 1 /2564

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แลถงผลประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)ว่า ครม.โครงการให้ความช่วยเหลือบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ภาคการเรียน ที่ 1 ปีการศึกษา 2564 วงเงิน 32,000 ล้านบาท โดยให้ กระทรวงศึกษาธิการ 22,000 ล้านบาท และกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม 10,000 ล้านบาท เพื่อบรรเทาค่าใช้จ่ายของผู้ปกครอง มีรายละเอียดดังนี้ 1.การใช้จ่ายของกระทรวงศธ. เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาให้นักเรียนนักศึกษา ทุกคนทุกกลุ่มในสถานศึกษาของรัฐและเอกชนทั้งในและนอก 2,000 บาทต่อคน จำนวน 10,952,960 คน วงเงิน 22,000 ล้านบาท  โดยใช้จ่ายจากพ.ร.ก. เงินกู้ ฯและสนับสนุนสถานศึกษาในการจัดการเรียนการสอนและแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของโรควิด-19 ให้โรงเรียนละไม่เกิน 10,000 บาท จำนวน 34,887 แห่ง เป็นสถานศึกษาของรัฐ 30,879 แห่ง สถานศึกษาเอกชน ที่รับเงินอุดหนุนจากรัฐ อีก 4,008 แห่ง วงเงิน 94.08 ล้านบาท โดยให้ใช้เงินจากงบประมาณแทน เนื่องจากไม่เข้าเงื่อนไขการใช้เงินกู้

2. โครงการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาของนิสิต นักศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาภาครัฐและเอกชน ของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม วงเงิน 10,000 ล้านบาท โดยนิสิต นักศึกษา กลุ่มเป้าหมายจำนวน  1,788,522 คน เป็นนิสิต นักศึกษาของสถาบันฯของรัฐในสังกัดกระทรวงการอุดมศึกษา ฯ  จำนวน 1,458,978 คน และนิสิต นักศึกษาของสถาบันฯภาคเอกชนในสังกัดกระทรวงการอุดมศึกษาฯจำนวน 285,000 คน  และนักศึกษาของสถาบันอุดมศึกษาภาครัฐ นอกสังกัดกระทรวงการอุดมศึกษาฯจำนวน 44,544 คน  โดยช่วยเหลือค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาของสถาบันอุดมศึกษาภาครัฐจำนวน 100 แห่ง ตั้งแต่ระดับต่ำกว่าปริญญาตรีและระดับบัณฑิตศึกษาทั้งภาคปกติ ภาคพิเศษ และภาคสมทบ โดยลดค่าเล่าเรียนและค่าธรรมเนียมการศึกษา ที่ต้องจ่ายในส่วนที่ไม่เกิน 50,000 บาท ช่วยเหลือในอัตราร้อยละ 50 ส่วนตั้งแต่ 50,001–100,000 บาท ช่วยเหลืออัตราร้อยละ 30 และตั้งแต่ 100,001 บาทขึ้นไปช่วยเหลือในอัตราร้อยละ 10โดยรัฐบาลและสถาบันอุดมศึกษาภาครัฐจะร่วมกันช่วยเหลือเยียวยาในสัดส่วน 6:4 นอกจากนั้นช่วยค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาของสถาบันอุดมศึกษาภาคเอกชน จำนวน 72 แห่ง เยียวยาค่าใช้จ่ายด้านการศึกษา คนละ 5,000 บาท และช่วยเหลือค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาอื่น เช่น การให้ทุนศึกษา ขยายเวลาการชําระ ค่าธรรมเนียมการศึกษา ผ่อนจ่ายค่าธรรมเนียมการศึกษา ขยายเวลาสําเร็จการศึกษา ลดและคืนค่าหอพัก รวมทั้งการจ้างงาน ส่งเสริมรายได้ให้กับนักศึกษา เป็นต้น 

นายอนุชา กล่าวว่า มาตรการช่วยเหลือบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาทั้งของกระทรวงศึกษาฯและกระทรวงการอุดมศึกษาฯมุ่งช่วยเหลือผู้ปกครองนักเรียน นิสิต นักศึกษาที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโรค โควิด-19 ให้บุตรหลานยังสามารถอยู่ในระบบการศึกษาได้ต่อไปได้ ขณะเดียวกันยังลดภาระค่าใช้จ่ายภายในครัวเรือนให้กับประชาชน ที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจอยู่ในขณะนี้  ส่วนกรณีสถานศึกษาที่อยู่ภายใต้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ครม.ขอให้พิจารณาใช้แหล่งเงินอุดหนุนขององค์กรกปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นลำดับแรกก่อน

ไฟเขียวเยียวยาลูกจ้าง-นายจ้าง 29 จังหวัด ช่วยแท็กซี่-วินจยย.

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมครม. ได้เห็นชอบให้ขยายขอบเขตมาตรการบรรเทาผลกระทบอันเนื่องมาจากข้อกำหนดตามความในมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 (ฉบับที่ 30) เพื่อช่วยเหลือลูกจ้าง และนายจ้างที่ได้รับผลกระทบจากประกาศฉบับนี้ เพิ่มเติมอีก 16 จังหวัดในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด รวมเป็น 29 จังหวัด โดยแรงงานกลุ่มเดิม 13 จังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากประกาศไปแล้วห่อนหน้านี้จะได้รับการช่วยเหลือเพิ่มอีก 1 เดือน ในเดือนส.ค.นี้ พร้อม ๆ กับอีก 16 จังหวัดที่เพิ่มเข้ามาด้วย โดยวงเงินที่ใช้ในการเยียวยาครั้งนี้ ที่ประชุมได้เห็นชอบให้ขยายกรอบวงเงินเพิ่มขึ้นจากเดิม 3 หมื่นล้านบาท เป็น 6 หมื่นล้านบาท 

สำหรับการช่วยเหลือเยียวยา ลูกจ้างและนายจ้าง ในระบบประกันสังคมครั้งนี้จะครอบคลุม 9 กลุ่มอาชีพ โดยจะได้รับเงินเยียวยาจากทางรัฐบาลในลักษณะเดียวกับ 13 จังหวัดก่อนหน้านี้ แบ่งเป็นแรงงาน ตามมาตรา 33 จะได้รับเงินเยียวยารายละ 2,500 บาท ขณะที่นายจ้างจะได้รับชดเชยตามจำนวนลูกจ้างคิดเป็นรายหัวหัวละ 3,000 บาท แต่ไม่เกิน 200 คน หรือไดรับเงินเยียวยาสูงสุดไม่เกิน 6 แสนบาท ส่วนแรงงาน ตามมาตรา 39 และมาตรา 40 จะได้รับเยียวยารายละ 5,000 บาท

พร้อมกันนี้ที่ประชุมยังยังเห็นชอบให้ช่วยเหลือผู้ขับรถแท็กซี่ และมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ที่มีอายุเกิน 65 ปี ซึ่งอยู่ในพื้นที่ 29 จังหวัด แต่สมัครเข้ามาเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 40 เพื่อรับการเยียวยาไม่ได้ ก็ให้สามารถเข้ามารับการเยียวยาตามมาตรการนี้ได้ด้วย ซึ่งในรายละเอียดทางกระทรวงคมนาคมจะไปจัดทำข้อเสนอโครงการ โดยพิจารณาจากฐานข้อมูลการจดทะเบียนที่ถูกต้อง เพื่อให้การช่วยเหลือเป็นไปตามความเหมาะสม สามารถยืนยันตัวตนและตรวจสอบได้

จุรินทร์ กำชับ ดึงประโยชน์ FTA ช่วยผู้ประกอบการส่งออก ลดต้นทุนการผลิต-การส่งออก นำรายได้เข้าประเทศ เพราะสถานการณ์นี้ประเทศต้องพึ่งพาส่งออกเป็นขาหลัก

วันที่ 3 ส.ค. นางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ติดตามนโยบายด้านเขตการค้าเสรี หรือ Free Trade Area หรือ FTA ที่ประเทศไทยได้ประโยชน์ทั้งนี้เพื่อประกอบเป็นฐานข้อมูลสำหรับผู้ส่งออกในการหาตลาดที่เป็นประโยชน์และลดต้นทุนการผลิตและต้นทุนการส่งออกได้นับจากนี้

นางมัลลิกา กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศที่ไทยมี FTA กับ 18 ประเทศ โดยในปี 2563 มีการค้ากับประเทศที่มี FTA รวม 276,005 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 8,044,703 ล้านบาท) คิดเป็นร้อยละ 63 ของการค้าไทยกับทั้งโลก สำหรับในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2564 คือระหว่างเดือนมกราคม-มิถุนายน 2564 การค้าของไทยกับประเทศคู่ FTA มีมูลค่ารวม 167,372 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 5,297,055 ล้านบาท) ขยายตัวร้อยละ 23 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2563 เป็นการส่งออกไปประเทศคู่ FTA มีมูลค่ารวม 81,961 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว ร้อยละ 17 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2563

ซึ่งในรอบ 15 ปีที่ผ่านมา ภาพรวมการค้ามีการขยายตัวในประเทศที่มีการทำ FTA โดยเฉลี่ยประมาณ 150-200% ในขณะที่ประเทศที่ไม่มี FTA มีการขยายตัวอยู่ที่ประมาณ 50-100%โดยการใช้สิทธิประโยชน์ผ่าน FTA ในปี 2563 มีมูลค่า 58,077.19 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 76.5 ของการส่งออก ที่ได้รับสิทธิ FTA

"ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2564 คือ มกราคม-เมษายน 2564 มีการขอใบรับรองเพื่อใช้สิทธิประโยชน์ในการส่งออกด้วย FTA มูลค่า 23,082.45 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนการใช้สิทธิ ร้อยละ 74.91 ของมูลค่าการส่งออกของรายการสินค้าที่ได้รับสิทธิ FTA เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2563 ร้อยละ 18.09 และประเทศที่ไทยมีมูลค่าการส่งออกภายใต้สิทธิ FTA สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ อาเซียน จีน ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น และอินเดีย" นางมัลลิกา กล่าว

อย่างไรก็ตาม รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายจุรินทร์ กำชับให้กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ให้ข้อมูลผู้ประกอบการทุกระยะเพื่อได้ใช้ประโยชน์ทางการค้าและเพิ่มตลาดส่งออกที่สำคัญ โดยในช่วงที่ผ่านมา นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้มีบทบาทสำคัญในการผลักดันเรื่องนี้ในฐานะประธานการประชุมความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค หรือ Regional Comprehensive Economic Partnership หรือ RCEP ระหว่าง 15 ประเทศ

ประกอบด้วยกลุ่มประเทศอาเซียน 10 ประเทศ และบวกอีก 5 ประเทศ คือ จีน ญี่ปุ่น เกาหลี ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ โดยที่ถือว่าเป็นความตกลงทางหุ้นส่วนเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีมูลค่า GDP 1 ใน 3 ของโลกและมีประชากรรวมกัน 1 ใน 3 ของโลก ซึ่งจะมีประโยชน์อย่างมากในการเปิดการค้าเสรีเพิ่มเติม ซึ่งจะช่วยให้ห่วงโซ่มูลค่าการผลิตโลกเพิ่มสูงขึ้น ในส่วนนี้คาดว่าจะเริ่มต้นได้ในต้นปี 2565 จึงอยากเชิญชวนให้ภาคเอกชนใช้ประโยชน์จากความตกลง RCEP โดยสามารถติดต่อขอข้อมูลเพิ่มเติมสามารถเข้าใช้บริการของ RCEP Center ที่กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ โดยสอบถามข้อมูลผ่าน Call Center ที่หมายเลข 02-507-7555 รวมทั้งสามารถสืบค้นข้อมูลผ่านเว็บไซต์ของกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศที่ www.dtn.go.th และเว็บไซต์ของกระทรวงพาณิชย์ที่ www.moc.go.th


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!

A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!!

>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท

>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ

>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต

>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย

***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

พรบ. ทุนรัฐวิสาหกิจเปิดทางให้มูลค่าสินทรัพย์รัฐบาลเพิ่มกว่า1 ล้านล้านบาท จาก ปตท. และ ทอท.

คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2565 ได้ประชุมร่วมกับผู้บริหารสูงสุดของรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ คือ ปตท. การไฟฟ้าทั้ง 3 ทีโอที+กสท. กสทช. การท่าอากาศยาน และ องค์การเภสัช

ดร.พิสิฐ ลี้อาธรรม ในฐานะรองประธาน ได้สอบถามข้อมูลเกี่ยวกับฐานะการเงินของรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ และขอให้แต่ละแห่งต้องบริหารการเงินให้ดีเพราะงบประมาณของรัฐในอนาคตจะไม่มีงบเพื่อสนับสนับสนุนรัฐวิสาหกิจเช่นในอดีต ปตท. และการท่าอากาศยานได้รับความสำเร็จในการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ แต่น่าเสียดายที่ไฟฟ้าและโทรคมนาคมพลาดโอกาส เมื่อ 20 ปีก่อนที่ตนผลักดันพระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา ได้ถูกต่อต้านอย่างมาก จนถูกกล่าวหาว่าเป็นกฎหมายขายชาติ 

แต่ผลในปัจจุบันปรากฏว่ามูลค่าทุนของ ปตท. ที่รัฐเคยถือไว้ก่อนเข้าตลาดได้เพิ่มจาก 30,000  ล้านบาท เป็น 600,000 ล้านบาท ในปัจจุบันและทุนของการท่าอากาศยานได้เพิ่มจาก 5,747 ล้านบาทเป็น 575,000 ล้านบาท รวมทั้งสองแห่งเท่ากับว่า พรบ. ทุนฯ ได้เปิดทางให้มูลค่าทุนของรัฐบาลเพิ่มขึ้นกว่า 1 ล้านล้านบาท นอกเหนือจากเงินปันผลที่ได้รับอีกกว่า 1 ล้านล้านบาทในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา โดยที่กระทรวงการคลังยังถือหุ้นใน ปตท. และ ทอท. 60 % และ 70 % ตามลำดับ

ดร.พิสิฐ กล่าวชม ปตท. ในความสำเร็จที่ผ่านมาจนได้เป็นบริษัทที่มี ฐานะเป็นอันดับ 1 ในตลาดหลักทรัพย์ โดยได้ขยายสัดส่วนในตลาดน้ำมันจาก 10% มาเป็น 40% ในปัจจุบัน นอกจากการเน้นการค้า LNG ปตท. ยังพยายามสร้างธุรกิจใหม่ เช่น แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า รวมทั้งการผลิตรถ EV 
ส่วนการไฟฟ้าทั้ง 3 ผลจาก COVID-19 ทำให้กำไรลดลงเกือบครึ่งหนึ่ง ดร.พิสิฐ ขอให้มุ่งหน้าพัฒนาพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกล

สำหรับการควบรวมทีโอทีและ กสท. จะมีการลดพนักงานโดยการให้สมัครใจลาออกพร้อมค่าสอบแทนเป็นแรงจูงใจถึง 6,000 นายในรอบ 3 ปี ดร.พิสิฐ ขอให้มีการดูแลให้คนที่ออกมีการยกระดับความรู้ (reskill) เพื่อกลับเข้าตลาดแรงงานอย่างมีคุณภาพและขอให้พิจารณาการให้บริการ free WiFi โดยเฉพาะเพื่อการศึกษาในยุคของ WFH และให้ดูตัวอย่างของออสเตรเลียที่สามารถชักนำให้ Facebook ต้องจ่ายเงินเพื่อช่วยสื่อสารมวลชนที่ถูกกระทบจากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น

สำหรับการท่าอากาศยานในรอบ 3 ปี มีความเสียหายจากคนไม่เดินทางเพราะ COVID-19 รวมเป็นการตกต่ำของรายได้ถึง 100,000 ล้าน แต่ฐานะการเงินของ ทอท. ก็ยังมั่นคง อาจไม่จำเป็นต้องรับความช่วยเหลือจากรัฐ

ก.แรงงาน ร่วม อินเตอร์ลิงค์และเครือข่าย เฟ้นหาสุดยอดเยาวชนด้านเน็ตเวิร์ก ปีที่ 9

กระทรวงแรงงาน โดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ร่วมกับ บริษัท อินเตอร์ลิงค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน)  สำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงศึกษาธิการ และสมาคมเคเบิลลิงค์ไทย ยกระดับทักษะเยาวชนไทย จัดการแข่งขันสุดยอดทักษะสายสัญญาณและเน็ตเวิร์ก ปีที่ 9 ชิงถ้วยพระราชทาน พร้อมรับเงินรางวัล 400,000 บาท 

นางดรุณี  นิธิทวีกุล  รองอธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) กระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า นายสุชาติ  ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และศาสตราจารย์ นฤมล  ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน มีนโยบายด้านการบูรณาการร่วมภาคีเครือข่ายตามแนวทางประชารัฐในการพัฒนาทักษะนักเรียน นักศึกษาให้มีความพร้อมเป็นแรงงานคุณภาพในอนาคต ได้มอบหมายให้ กระทรวงแรงงาน โดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ร่วมกับ บริษัท อินเตอร์ลิงค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) สำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงศึกษาธิการ และสมาคมเคเบิลลิงค์ไทย ส่งเสริมการเรียนรู้ความเข้าใจพื้นฐานทางด้านวิศวกรรมระบบสายสัญญาณและอุปกรณ์การสื่อสาร และอุปกรณ์กระจายสัญญาณได้อย่างถูกต้อง สามารถต่อยอดการใช้งานแนวทางใหม่ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้เยาวชนไทยได้พัฒนาทักษะความรู้ในการใช้ทรัพยากรที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศอย่างคุ้มค่า และช่วยกระตุ้นสถาบันการศึกษาให้พัฒนา ผลิตผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางในด้านนี้ให้เพิ่มมากขึ้นในอนาคต 
   
รองอธิบดี กล่าวต่อไปว่า ในปี 2564 กพร.ได้ร่วมจัดการแข่งขันสุดยอดทักษะสายสัญญาณและเน็ตเวิร์ก ปีที่ 9 ชิงถ้วยรางวัลพระราชทานจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี  และเงินรางวัล 400,000 บาท ซึ่งจะมีพิธีเปิดการแข่งขันในวันที่ 11 สิงหาคม 2564 ณ บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) สำนักงานใหญ่ ผ่านโปรแกรมออนไลน์ Zoom Meeting โดยการแข่งขันแบ่งออกเป็น 2 ช่วง ประกอบด้วย รอบคัดเลือก จะคัดเลือกผู้ชนะในแต่ละภูมิภาคจากทั่วประเทศ ระหว่างเดือนกรกฎาคม – พฤศจิกายน 2564 จำนวน 55 คน จากทั้งหมด 5 ภาค ได้แก่ ภาคกลางและกรุงเทพฯ ภาค ภาคตะวันออก ภาคใต้ และภาคเหนือ เพื่อเข้าค่ายทำกิจกรรม CSR เป็นเวลา 3 วัน ระหว่างวันที่ 25-27 พฤศจิกายน 2564 ซึ่งจะมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบของกิจกรรมเป็นแบบออนไลน์ทั้งหมด ทั้งนี้ ผู้เข้ารอบทั้ง 55 คน จะได้รับมอบชุดเครื่องมือ มูลค่า 2,000 บาท พร้อมใบประกาศนียบัตร และจะได้รับการพิจารณาเข้าทำงานในเครือของบริษัทฯ ภายหลังจากจบการศึกษาด้วย และรอบชิงชนะเลิศ  โดยผู้ชนะเลิศจะได้รับทุนการศึกษา 50,000 บาท พร้อมถ้วยรางวัลพระราชทานฯ และประกาศเกียรติคุณ รองชนะเลิศ รับทุนฯ 30,000 บาท พร้อมถ้วยรางวัลจากนายกรัฐมนตรี รางวัลที่ 3 รับทุนฯ 10,000 บาท พร้อมถ้วยรางวัล และรางวัลชมเชย รับทุนฯ 5,000 บาท 
        
คุณสมบัติผู้สมัครต้องเป็นนิสิต นักศึกษาตั้งแต่ระดับอาชีวศึกษาขึ้นไป จนถึงนักศึกษามหาวิทยาลัยระดับปริญญาตรีอายุไม่เกิน 25 ปี  ต้องมีสถาบันการศึกษาและอาจารย์ที่ปรึกษารับรองโดยเป็นตัวแทนของสถาบันไม่เกิน 2 คนต่อสถาบัน ซึ่งผู้สมัครจะต้องกำลังศึกษาอยู่ในเขตพื้นที่ของภูมิภาคนั้นๆ ผู้ที่เคยผ่านการแข่งขันในรอบคัดเลือกในปีอื่น ๆ ไม่สามารถสมัครเข้าร่วมแข่งขันซ้ำได้อีก สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) ฝ่ายการตลาดและสื่อสารองค์กร 02-6661111 ต่อ 368-374 หรือสมัครออนไลน์ได้ที่เว็บไซต์ http://cablingandnetworkingcontest.com อีเมล [email protected] รองอธิบดีกล่าวทิ้งท้าย

สปส. เตือนภัย ผู้ประกันตน ม33 ระวัง “มิจฉาชีพ” หลอกขอข้อมูลรับเงินเยียวยา ผ่าน google form และ sms ปลอม

​นางสาวลัดดา แซ่ลี้ รองโฆษกสำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงการรับสิทธิรับเงินช่วยเหลือเยียวยาผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่ได้รับผลกระทบจากคำสั่งล็อกดาวน์พื้นที่สีแดงเข้ม รวม 13 จังหวัด 9 ประเภทกิจการ ว่า ขณะนี้มีผู้ประกันตนมาตรา 33 จำนวนกว่า 3.1 ล้านคน ที่มีสัญชาติไทย จะได้รับเงินเยียวยาจากรัฐบาลคนละ 2,500 บาท สำนักงานประกันสังคมจะจ่ายครั้งเดียวโดยโอนผ่านบัญชีพร้อมเพย์เลขบัตรประชาชนเท่านั้น ซึ่งเงินเยียวยาจะเริ่มโอนเงินรอบแรกในวันที่ 4 - 6 สิงหาคม 2564 นี้ ส่วนที่เหลือจะทยอยโอนให้ ทุกวันศุกร์ ของสัปดาห์ถัดไป โดยผู้ประกันตนมาตรา 33 สามารถตรวจสอบสิทธิรับเงินเยียวยา ผ่านเว็บไซต์ www.sso.go.th

รองโฆษกสำนักงานประกันสังคม กล่าวเตือนไปยังผู้ประกันตนมาตรา 33 ว่า ขณะนี้พบพวกมิฉาชีพได้จัดทำ google form และส่งข้อความผ่าน SMS ปลอม ไปสอบถามข้อมูล ส่วนตัว เพื่อหลวกลวงให้ผู้ประกันตนแจ้งความประสงค์รับเงินเยียวยา 2,500 บาท และให้กรอกเลขบัตรประจําตัวประชาชน เบอร์โทรศัพท์ติดต่อ และข้อมูลส่วนตัวอื่นๆ จนนำไปกดลิงค์เพื่อยืนยัน ซึ่งเป็นการใช้ความสับสนของผู้ประกันตนมาเป็นกลลวง ที่อาจนำมาซึ่งความเสียหาย ทั้งทรัพย์สิน และการโจรกรรมข้อมูลส่วนบุคคล ของพวกมิฉาชีพจะนำไปใช้ประโยชน์ในทางมิชอบ สำนักงานประกันสังคมจึงขอเตือนให้ผู้ประกันตน โปรดระมัดระวังอย่าหลงเชื่อเป็นอันขาด ด้วยความห่วงใยจากสำนักงานประกันสังคม หากผู้ประกันตนมีข้อสงสัยติดต่อสอบถามที่สายด่วนสำนักงานประกันสังคม 1506

กนง.เสียงแตกคงดอกเบี้ย 0.5% หั่นจีดีพี เหลือเติบโต 0.7%

นายทิตนันทิ์ มัลลิกะมาส ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติ 4 : 2 เสียง ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 0.5% โดยกรรมการ 2 เสียงข้างน้อยเสนอให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% เพื่อช่วยพยุงเศรษฐกิจและรองรับแนวโน้มเสี่ยงสูงในระยะข้างหน้า โดย กนง.มองว่าเศรษฐกิจไทยปี 2564 ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิดมากกว่าที่ประเมินไว้ ซึ่งโจทย์สำคัญ คือ ต้องเร่งควบคุมการแพร่ระบาด และกระจายวัคซีนอย่างทั่วถึงและรวดเร็ว เพื่อฟื้นความเชื่อมั่นของประชาชน และให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมาโดยเร็ว  

พร้อมกันนี้ กนง. ยังปรับลดคาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ของไทยในปี 2564 ลดลงเหลือเติบโต 0.7% จากเดิมคาดไว้ที่ 1.8% และในปี 2565 จะเติบโตเพิ่มเป็น 3.7% จากเดิมคาดไว้ที่ 3.9% เนื่องจากผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ยืดเยื้อและรุนแรงกว่าที่ประเมินไว้ รวมทั้งนโยบายการเปิดประเทศล่าช้า ความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวต่างชาติลดลง แม้ว่าจะมีปัจจัยสนับสนุนคือมาตรการช่วยเหลือของภาครัฐที่คาดว่าจะออกมาเพิ่มเติม แนวโน้มการส่งออกสินค้าดีกว่าคาดก็ตาม

ทั้งนี้ กนง. มองว่าสถานการณ์โควิดรอบใหม่จะส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจทั้งในปีนี้และต่อเนื่องถึงในปีหน้า จึงควรจะต้องเตรียมรับมือความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น โดยประเด็นสำคัญที่ต้องติดตาม คือ สถานการณ์โควิด-19 พัฒนาการด้านวัคซีนทั้งประสิทธิภาพและการกระจายวัคซีน รวมถึงนโยบายการควบคุมโรคและนโยบายการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ รวมทั้งสถานการณ์การแพร่ระบาดในต่างประเทศ โดยเฉพาะจากการกลายพันธุ์ของเชื้อไวรัส, ปัญหา supply disruption ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกสินค้า 

รวมทั้งความต่อเนื่องของแรงสนับสนุนจากมาตรการภาครัฐทั้งมาตรการทางการคลังและมาตรการช่วยเหลือด้านการเงินแก่ภาคธุรกิจ ขณะที่นโยบายสาธารณะ จะต้องเตรียมพร้อมเพื่อรองรับต่อความไม่แน่นอนที่อาจจะเกิดขึ้น โดยโจทย์สำคัญของเศรษฐกิจไทย คือ ต้องคุมการแพร่ระบาดให้ได้ มาตรการการเงินการคลัง ต้องช่วยประคองไม่ให้เศรษฐกิจทรุด และช่วยให้เศรษฐกิจไทยผ่านพ้นวิกฤติไปให้ได้

ส่องเม็ดเงินโฆษณาครึ่งปี 64 สื่อโฆษณาดิจิทัลมาแรง

นายสินิตย์ เลิศไกร รมช.พาณิชย์ เปิดเผยการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า พบว่า ในปี 2564 (มกราคม-มิถุนายน) ว่า ธุรกิจโฆษณา มีจำนวนการจดทะเบียนฯ ใหม่ ทั้งสิ้น 557 ราย เพิ่มขึ้น 26.59% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และทุนจดทะเบียนของธุรกิจโฆษณาในช่วงครึ่งปีแรก ปี 2564 มีจำนวน 893.15 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 59.39% ถือเป็นการส่งสัญญาณแนวโน้มการฟื้นตัวที่ดีของธุรกิจโฆษณาในประเทศไทย หลังสถานการณ์โควิด-19 ทำให้พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป มีการทำงานและเรียนผ่านออนไลน์ที่บ้านมากขึ้น

ทั้งนี้จากสถานการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ปริมาณการใช้งานระบบออนไลน์ การใช้โซเชียลมีเดีย และการรับชมทีวีผ่านอินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้นตามไปด้วย โดยสถิติการใช้อินเทอร์เน็ตบนมือถือของผู้ใช้งานอายุระหว่าง 16-64 ปี ในประเทศไทย พบว่า มีการใช้งานเฉลี่ย 5.07 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งมากเป็นอันดับที่ 3 ของโลก และหากนับรวมการใช้อินเทอร์เน็ตทั้งระบบ คนไทยมีการใช้อินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้นเป็นเฉลี่ยวันละ 10 ชั่วโมง หรือคิดเป็น 41% ของการใช้เวลาภายใน 1 วัน

ดังนั้น ภาคธุรกิจจึงควรให้ความสำคัญและหันมาประกอบธุรกิจ ทำการตลาดบนโลกออนไลน์มากขึ้น สอดคล้องกับข้อมูลเม็ดเงินโฆษณาดิจิทัล ปี 2563 ของสมาคมโฆษณาดิจิทัล (ประเทศไทย) ที่ภาคธุรกิจมีการใช้งบประมาณซื้อสื่อโฆษณาดิจิทัลมูลค่าสูงถึง 21,058 ล้านบาท เติบโตขึ้น 8% เมื่อเทียบกับปี 2562 ที่มีมูลค่า 19,555 ล้านบาท และข้อมูลของบริษัท นีลเส็น ประเทศไทย จำกัด รายงานว่า ช่วงครึ่งปีแรกของปี 2564 มีการใช้เงินโฆษณาผ่านสื่อประชาสัมพันธ์ทุกช่องทางรวมแล้วจำนวน 53,640 ล้านบาท


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!

A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!!

>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท

>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ

>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต

>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย

***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

นายกฯ ย้ำ เดินหน้าโครงการ EEC ดันเศรษฐกิจประเทศ รองรับโลกยุคใหม่ เพื่อวันนี้และอนาคต

ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาล ว่า ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ครั้งที่ 2/2564 ผ่านระบบ Video Conference ที่ห้อง PMOC ชั้น 2 ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน นายอนุขา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า

ที่ประชุมฯ รับทราบความก้าวหน้าโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก และโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน โดยรัฐบาลให้ความสำคัญเดินหน้าปฏิรูปประเทศทั้งด้านเศรษฐกิจ การค้าและการลงทุนในทุกมิติ

ทั้งนี้ โครงการ EEC ถือเป็นหนึ่งในโครงการสำคัญเร่งด่วน รัฐบาลทำงานเพื่อวันนี้และอนาคต รองรับโลกยุคใหม่และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศเพื่อเพิ่มมูลค่าการค้าการลงทุนระหว่างประเทศไทยกับต่างประเทศ

นายอนุชา กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีเปิดเผยถึงการพบปะหารือกับเอกอัครราชทูตหลายประเทศว่า หลายประเทศมีความสนใจที่จะมาร่วมลงทุนในประเทศไทย รวมถึงความร่วมมือในการที่จะถ่ายทอดเทคโนโลยีต่าง ๆ จึงขอให้ทุกหน่วยติดตามและทำให้เกิดผลเป็นรูปธรรมอย่างแท้จริง รวมทั้ง ขอให้เร่งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบความถึง ผลงานและความก้าวหน้าของโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) โดยเฉพาะประโยชน์ที่ประชาชนในพื้นที่และทั้งประเทศจะได้รับจากโครงการ  EEC สำหรับแก้ไขปัญหา อุปสรรคต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นของทุกหน่วยงาน บูรณาการการทำงานให้เป็นไปตามกรอบกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป

“นายกรัฐมนตรีมอบหมายให้กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม เร่งเพิ่มขีดความสามารถของแรงงานในประเทศ ให้เป็นแรงงานที่มีฝีมือสอดคล้องกับความต้องการของตลาดและการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะการดึงคนรุ่นใหม่ หรือ Start Up ที่มีความรู้ความสามารถในแต่ละด้านมาร่วมทำงานด้วย เพิ่มการจ้างงาน ทำให้คนมีรายได้เพิ่มขึ้น รวมทั้งเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยอันส่งผลดีต่อเศรษฐกิจ GDP และเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศอีกด้วย”

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า นายกรัฐมนตรี ขอบคุณ สทนช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการเรื่องของการจัดหาแหล่งน้ำรองรับเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และเตรียมความพร้อมเรื่องน้ำทั้งด้านอุปโภค บริโภค การเกษตร การผลิต และอุตสาหกรรม สำหรับรองรับ EEC ในอนาคต

ขณะที่การพัฒนาโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน และการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการพัฒนาเมืองใหม่ที่จะมีประชากรเพิ่มขึ้นให้มีน้ำเพียงพอกับความต้องการของประชาชน อย่างไรก็ตาม การดำเนินการในเรื่องของอุตสาหกรรมต้องไม่ทำให้ส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ให้มากที่สุดเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความขัดแย้งอันจะทำให้การดำเนินโครงการต่าง ๆ ของรัฐเกิดผลได้เร็วขึ้นและเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด

“ในที่ประชุม นายกรัฐมนตรียืนยันรัฐบาลให้ความสำคัญเดินหน้าปฏิรูปประเทศทั้งด้านเศรษฐกิจ การค้าและการลงทุนในทุกมิติ  โครงการ EEC ถือเป็นหนึ่งในโครงการสำคัญเร่งด่วน รัฐบาลทำงานเพื่อวันนี้และอนาคต รองรับโลกยุคใหม่และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เพื่อเพิ่มมูลค่าการค้าการลงทุนระหว่างประเทศไทยกับต่างประเทศ พร้อมกำชับทุกส่วนราชการเน้นใช้จ่ายงบประมาณต้องเป็นไปด้วยความโปร่งใส ตรวจสอบได้ เกิดความคุ้มค่าและประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนด้วย” นายอนุชา กล่าว


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!

A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!!

>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท

>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ

>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต

>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย

***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

กกร. ปรับลดการเติบโตจีดีพีของไทยปี 2564 อีกครั้งจากเดิมอยู่ในกรอบ 0-1.5% เหลือ -1.5 - 0% หลังรัฐขยายระยะเวลาล็อกดาวน์ แต่ปรับการส่งออกเพิ่มจาก 8-10% เป็น 10-12% จากการฟื้นตัวของศก.โลก แต่ยังคงต้องคุมไม่ให้เกิดการระบาดในโรงงาน

กกร. ปรับลดการเติบโตจีดีพีของไทยปี 2564 อีกครั้งจากเดิมอยู่ในกรอบ 0-1.5% เหลือ -1.5 - 0% หลังรัฐขยายระยะเวลาล็อกดาวน์ แต่ปรับการส่งออกเพิ่มจาก 8-10% เป็น 10-12% จากการฟื้นตัวของศก.โลก แต่ยังคงต้องคุมไม่ให้เกิดการระบาดในโรงงาน ค้านรัฐหากเดินหน้า Full Lockdown

นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย ในฐานะประธานที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ระบุว่า เศรษฐกิจไทยวิกฤติและถลำลึกกว่าที่คาดไว้และเสี่ยงเข้าสู่ภาวะถดถอยต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 จากผลกระทบโควิด-19 ระลอกใหม่ แม้เศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัว เพราะเรายังไม่สบความสำเร็จในการควบคุมโควิด-19 ยังไม่อาจกระจายวัคซีนได้มาก แม้มีการใช้มาตรการล็อกดาวน์ มา 14 วันแล้วก็ตาม ทำให้ภาครัฐต้องขยายมาตรการ Lockdown ออกไปอีกจนถึงสิ้นเดือนสิงหาคม และขยายวงกว้างออกไปหลายจังหวัดซึ่งประเมินว่ากระทบคิดเป็น 300,000-400,000 ล้านบาท เศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปีจึงอยู่ในภาวะที่ฟื้นตัวได้ยาก ธุรกิจทุกส่วนได้รับผลกระทบรุนแรงทั้ง เอสเอ็มอี แรงงาน ไม่เว้นแม้กระทั่งส่งออก และจากการหารือต่างเห็นพ้องกันว่ารัฐบาลไม่ควรดำเนินมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดโดย Full lockdown โดยควรต้องอยู่กับมันให้ได้แต่ต้องมีวัคซีนและชุดตรวจเชื้อเร่งด่วน (Antigen Test Kit) หรือ ATK ที่เพียงพอ

นอกจากนี้ รัฐต้องเตรียมมาตรการเยียวยาเศรษฐกิจให้พร้อมเพราะภาคธุรกิจและภาคครัวเรือนตกอยู่ภายใต้ความเสี่ยงโดยภาคครัวเรือนเผชิญภาระหนี้ที่เพิ่มสูงกว่า 90% ต่อจีดีพี และต้องการการเยียวยาเพื่อชดเชยรายได้ที่หดหายไปและการฟื้นฟู การเตรียมพร้อมงบประมาณซึ่งเพดานหนี้สาธารณะควรขยายให้มากกว่า 60% ต่อจีดีพี เป็น 65-70% เพื่อให้เหมาะสมกับภารกิจในการเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจในภาวะวิกฤต รวมไปถึงการจัดลำดับความสำคัญของงบประมาณภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉิน

ธนาคารแห่งประเทศไทยจำเป็นต้องพิจารณาแนวทางในการผ่อนคลายนโยบายการเงินและมาตรการกับสถาบันการเงินเพิ่มเติมภายใต้ข้อจำกัดที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ใกล้ระดับ 0% เพื่อช่วยรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินของประเทศ

ขณะเดียวกันกกร.เห็นว่าควรขยายระยะเวลาการลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างลง 90% ออกไปอีก 1 ปี ของการจัดเก็บภาษี ปีภาษี 2565 (ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2565) เพิ่มสัดส่วนการค้ำประกันความเสียหายผ่านบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เป็น 60% ขึ้นไป ขอกรมสรรพากร ยกเว้นภาษี SMEs 3 ปี โดยจะต้องทำบัญชีเดียวและยื่นภาษีผ่านระบบ E-Tax รัฐบาลควรมีคำสั่งเดียว (Single Command) ในการสั่งการบริหารจัดการสถานการณ์โควิด-19 และให้เอกชนนำเข้าวัคซีนได้อย่างเสรีโดยไม่ต้องผ่านผู้ผลิตหรือผู้แทนจำหน่ายและหน่วยงานรัฐ ภายใต้การกำกับดูแลจากภาครัฐ

โดยภาครัฐเป็นผู้ออกใบสั่งซื้อและออกค่าใช้จ่าย ให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาหรือ อย. เร่งอนุมัติวัคซีนยี่ห้ออื่น ๆ โดยไม่ต้องรอบริษัทวัคซีนนำเอกสารมายื่น ขอให้ภาครัฐสนับสนุนการลดหย่อนภาษี 2 เท่า สำหรับภาคเอกชนที่มีค่าใช้จ่ายในการซื้อชุดตรวจโควิด-19 แบบเร่งด่วน (Antigen Test Kit) และค่าวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้เอกชนช่วยดำเนินการสนับสนุนการผลิตและจัดหายา "ฟาวิพิราเวียร์" ที่กำลังมีความต้องการสูง เป็นต้น

นายสุพันธ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า กกร.ได้เน้นย้ำมาโดยตลอดว่าการจัดหาวัคซีนเป็นหัวใจของการแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยเห็นว่าวัคซีนทางเลือกควรจะมีเพิ่มขึ้น ซึ่งขณะนี้เอกชนมีค่าใช้จ่ายในการป้องกันดูแลสูงขึ้นโดย ATK ต้องซื้อไว้ตรวจพนักงานอย่างเพียงพอจึงเห็นว่ารัฐควรจะสนับสนุนค่าใช้จ่ายดังกล่าวส่วนหนึ่งซึ่งคิดว่าเป็นเงินไม่มากเมื่อเทียบกับจำนวนเงินที่รัฐต้องใช้เยียวยาซึ่งภาคเอกชนยืนยันว่าไม่เห็นด้วยหากรัฐจะมีการล็อกดาวน์เต็มรูปแบบโดยห้ามออกจากบ้าน หรือ Full Lockdown เพราะจะยิ่งซ้ำเติมเศรษฐกิจที่ขณะนี้ก็ย่ำแย่อยู่แล้วและเศรษฐกิจไทยอาจต่ำสุดในภูมิภาค

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่ววว่า วัคซีนยังเป็นสิ่งสำคัญที่รัฐต้องเร่งจัดหา รวมไปถึง ATK ที่เอกชนมองว่ารัฐควรจะช่วยเหลือเอกชนในส่วนนี้ และยืนยันว่าไม่เห็นด้วยกับ Full Lockdown เพราะหากไม่สามารถจัดวัคซีนแยกคนป่วยที่กลุ่มสุ่มเสี่ยงออกจากกัน ระบบสาธารณสุขเอาไม่อยู่ เศรษฐกิจก็พังลงได้เช่นกัน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top