Tuesday, 8 July 2025
GoodsVoice

รัฐเร่งหาช่องอุ้มผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรม

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรมเสนอมาตรการเยียวยาเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรม เพื่อเสริมสภาพคล่องทางการเงินให้สามารถฟื้นฟูกิจการได้เร็วขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นมาตรการเดิมจากปี 2563 ที่ขยายเวลาต่อเนื่อง ล่าสุด ได้เห็นชอบให้ สมอ. ยกเว้นค่าธรรมเนียมการตรวจโรงงานเพื่อการขออนุญาต มอก. โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 8 มิถุนายน 2564 ที่ผ่านมา 

นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) กล่าวว่า มาตรการยกเว้นค่าตรวจโรงงานเพื่อการขออนุญาต มอก. มีอัตราค่าใช้จ่ายที่ผู้ประกอบการจะต้องจ่ายให้ สมอ. 10,000 บาทต่อวัน ซึ่ง สมอ. มีผู้ประกอบการที่ได้รับใบอนุญาตกว่า 10,000 ราย ทั้งผู้ทำและผู้นำเข้า คาดว่ามาตรการดังกล่าวจะช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายให้ผู้ประกอบการเป็นมูลค่ากว่า 100 ล้านบาท โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 8 มิถุนายน 2564 จนถึงวันที่ 30 เมษายน 2565

อีกทั้งยังมีมาตรการเยียวยาอื่นๆ ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของ ครม. ได้แก่ มาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียมใบอนุญาต มอก. และใบแทนใบอนุญาตเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม และมาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียมใบรับรองระบบงาน ISO สำหรับผู้ประกอบการตรวจสอบและรับรอง หาก ครม. มีมติเห็นชอบแล้ว สมอ.จะดำเนินการต่อทันที ซึ่งจะช่วยเหลือผู้ประกอบการได้กว่า 110 ล้านบาท

"โฆษกพรรคกล้า" ขอรัฐเร่งยื่นมือช่วยเหลือสถานศึกษาเอกชน ปล่อยซอฟโลน เสริมมาตรการคืนค่าเทอมบางส่วนให้ผู้ปกครอง โดยเฉพาะพื้นที่เข้มงวดสูงสุดที่ต้องเรียนออนไลน์ 

นายแสนยากรณ์ สิงห์วีรธรรม โฆษกพรรคกล้า กล่าวถึงการเปิดภาคเรียนอย่างเป็นทางการวันแรกว่า จากสถานการณ์โควิด-19 แม้กระทรวงศึกษาธิการจะมีมาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายให้ผู้ปกครอง ด้วยการคืนค่าเล่าเรียนในส่วนที่ไม่ได้จัดกิจกรรมการเรียนการสอน หรือผ่อนผันการจ่ายค่าเล่าเรียน แต่มาตรการนี้ครอบคลุมเฉพาะสถานศึกษาในกำกับกระทรวงศึกษาธิการเท่านั้น แต่โรงเรียนเอกชนหลายโรงเรียน โดยเฉพาะในพื้นที่ควบคุมสูงสุด ได้แก่จังหวัดกรุงเทพมหานคร , นนทบุรี ,สมุทรปราการ และปทุมธานี ซึ่งยังต้องเรียนออนไลน์อยู่ ไม่สามารถมาเรียนที่โรงเรียนเต็มรูปแบบได้ แต่ยังจำเป็นต้องเก็บค่าเล่าเรียนเต็มจำนวนอยู่ 

นายแสนยากรณ์ กล่าวว่า ผู้ปกครองโรงเรียนเอกชนหลายโรงเรียนในพื้นที่เข้มงวดสูงสุด ต่างบอกว่า หากการเรียนการสอนยังเป็นรูปแบบออนไลน์ ก็ควรคืนค่าเล่าเรียนในส่วนที่ไม่ได้จัดกิจกรรมการเรียนการสอน เช่นเดียวกับที่กระทรวงศึกษาธิการวางมาตรฐานไว้ หรืออาจนำส่วนต่างค่าเล่าเรียนไปทบในเทอมถัดไป และขอให้ภาครัฐปล่อยเงินกู้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (ซอฟโลน) หรือใช้งบ พ.ร.ก.เงินกู้ 5 แสนล้านบาท เข้าไปสนับสนุนสถานศึกษาเอกชน เพื่อลดภาระให้ผู้ปกครอง และสามารถประคองธุรกิจไปได้ 

"ในสถานการณ์วิกฤตโควิด-19 เราเห็นใจทั้งผู้ปกครอง ที่บุตรหลานไม่สามารถเรียนได้อย่างเต็มที่ และยังต้องเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจ ถูกที่ทำงานหักเงินเดือนหรือตกงาน จึงอยากให้มีมาตรการเข้ามาช่วยเหลือเช่นเดียวกับสถานศึกษาของภาครัฐ ขณะที่สถานศึกษาเอกชนก็ต้องแบกรับภาระทั้งค่าจ้างครู และพนักงานในสถานศึกษาเช่นเดียวกัน จึงอยากให้ภาครัฐเร่งยื่นมือเข้าช่วยเหลือ เพื่อให้สถานศึกษาประคองตัวไปได้ ลดค่าใช้จ่ายให้ผู้ปกครอง" นายแสนยากรณ์ กล่าว

ออมสินเร่งหาทางแก้ปัญหาหนี้ครู รับช่วงโควิดระบาด

นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารฯ กำลังเร่งจัดทำมาตรการแก้ไขหนี้ครูและบุคลากรทางการศึกษา โดยทำมหกรรมผ่อนปรนการชำระหนี้ครูและบุคลากรทางการศึกษา เพื่อช่วยยับยั้งไม่ให้ต้องกลายเป็นหนี้เสีย (NPLs) จนเป็นเหตุให้อาจถูกดำเนินคดี ส่งผลเสียทางเครดิตและกระทบต่อหน้าที่ราชการได้ในอนาคต เพราะจากสถานการณ์ปัจจุบันพบว่าครูและบุคลากรทางการศึกษาจำนวนหนึ่งไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามเงื่อนไข โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 อาจส่งผลทางอ้อมต่อรายได้ครอบครัว

ทั้งนี้ ข้าราชการครู ลูกจ้างและบุคลากรทางการศึกษาที่มีปัญหาเรื่องสภาพคล่อง สามารถเข้าร่วมมาตรการพักชำระเงินต้น และเลือกจ่ายดอกเบี้ยบางส่วน ตามแผนการชำระหนี้ที่ธนาคารกำหนด เป็นระยะเวลา 12 เดือน หรือนานที่สุดไม่เกินวันที่ 31 ธันวาคม 2566 โดยการเลือกแผนการชำระหนี้ตามความสามารถในการผ่อนชำระของตนเอง ผ่านแอป MyMo หรือที่เว็บไซต์ธนาคารออมสิน www.gsb.or.th ซึ่งเปิดให้แจ้งความประสงค์จนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2564 นี้เท่านั้น

สำหรับข้าราชการครูที่เกษียณอายุแล้ว และยังไม่เคยใช้สิทธิบำเหน็จตกทอดมาเป็นหลักประกันการกู้เงิน สามารถขอกู้สินเชื่อสวัสดิการสำหรับข้าราชการบำนาญฯ ที่ผ่อนปรนให้ใช้บำเหน็จตกทอดเป็นหลักประกันในการกู้ และนำเงินกู้ไม่ต่ำกว่า 50% ไปชำระหนี้เดิมกับธนาคารได้ ด้วยอัตราดอกเบี้ยเงินกู้พิเศษ คงที่ 2.00% ต่อปี นานถึง 10 ปี หลังจากนั้นคิดดอกเบี้ย MRR-2.50% ต่อปี ให้วงเงินกู้ 100% ของเงินบำเหน็จตกทอด ผ่อนชำระนาน 30 ปี โดยสอบถามรายละเอียดได้ที่ธนาคารออมสินทุกสาขา หรือติดต่อสาขาที่ใช้บริการสินเชื่ออยู่

ปัจจุบัน มีผู้เข้ามาตรการแก้ไขหนี้กับธนาคารแล้วกว่า 6 แสนบัญชี วงเงินรวมกว่า 370,000 ล้านบาท โดยเป็นครูและบุคลากรทางการศึกษากว่า 1 แสนบัญชี วงเงินรวมกว่า 120,000 ล้านบาท 

“บิ๊กตู่” สั่งออกมาตรการช่วยแก้หนี้สินประชาชนรายย่อย

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม โพสต์เฟซบุ๊ก ยอมรับว่า ได้ประชุมกับนายสุพัฒนพงศ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน ผู้แทนจากกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย และผู้เกี่ยวข้อง เพื่อหาทางแก้ไขปัญหาหนี้สินของประชาชนรายย่อย ให้กับประชาชนกลุ่มต่างๆ ได้แก่ หนี้ กยศ. 3.6 ล้านคน ผู้ค้ำประกัน 2.8 ล้านคน หนี้ครู/ข้าราชการ 2.8 ล้านบัญชี หนี้เช่าซื้อรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ 6.5 ล้านบัญชี หนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล 49.9 ล้านบัญชี และปัญหาหนี้สินอื่นๆ ของประชาชน 51.2 ล้านบัญชี

ทั้งนี้ที่ประชุมเห็นว่า การแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนให้เบ็ดเสร็จต้องทำ 3 เรื่องควบคู่กัน คือ การให้ความรู้ทางการเงินแก่ประชาชน การกำกับดูแลเจ้าหนี้ให้สินเชื่ออย่างเป็นธรรม และการปรับโครงสร้างหนี้และการไกล่เกลี่ยปัญหาหนี้สิน โดยมีมาตรการที่นำมาคุยกันในวันนี้ มีทั้งมาตรการระยะสั้นและระยะยาว 

สำหรับ มาตรการระยะสั้น เช่น ไกล่เกลี่ยปัญหาหนี้สินเพื่อลดการดำเนินคดีกับประชาชน เช่น หนี้ กยศ. หนี้สถาบันการเงินเฉพาะกิจ หนี้สหกรณ์ ลดภาระดอกเบี้ยของประชาชน ทั้งในส่วนสินเชื่อรายย่อย สินเชื่อพิโคไฟแนนซ์ PICO และนาโนไฟแนนซ์ สำหรับประชาชน, ปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ของครูและข้าราชการ รวมถึงสหกรณ์ ปรับรูปแบบการชำระหนี้ รวมถึงปรับลดค่าธรรมเนียมต่างๆ ที่ไม่จำเป็น  

ยกระดับการกำกับดูแล เช่น สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) คุ้มครองความเป็นธรรมให้ประชาชนที่เช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์ ธปท. ทบทวนเพดานอัตราดอกเบี้ยและการกำกับดูแลบัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคลและสินเชื่อจำนำทะเบียน, กำกับดูแลไม่ให้การบริหารความเสี่ยงด้านสินเชื่อของสถาบันการเงิน/สหกรณ์สร้างภาระแก่ผู้กู้จนเกินสมควร และเพิ่มการเข้าถึงแหล่งทุนให้ผู้ประกอบการรายย่อยและเอสเอ็มอี เช่น จัดให้มีซอฟต์โลน สำหรับเอสเอ็มอี เป็นหนี้เสีย เพื่อให้ธุรกิจดำเนินต่อไปได้ การเพิ่มจำนวนโรงรับจำนำและโรงรับจำนอง

สำหรับมาตรการระยะยาว ได้มีการพูดถึงหลักการสำคัญ คือต้องทำให้เกิดสภาพแวดล้อมของการเข้าถึงสินเชื่อได้ง่าย และมีการคุมยอดวงเงินกู้ที่เหมาะสม เช่น รัฐต้องเร่งส่งเสริมการแข่งขันให้อัตราดอกเบี้ยถูกลง เพิ่มระบบให้ผู้ฝากเงินมาเป็นผู้ให้สินเชื่อโดยรับความเสี่ยงมากขึ้นผ่านระบบดิจิทัล การจัดตั้งหน่วยงานขึ้นมาใหม่เพื่อกำกับดูแลสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์และสินเชื่อรายย่อยเป็นการเฉพาะ การจัดตั้งศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางธุรกิจและการเงิน เพื่อชะลอการฟ้อง อำนวยความสะดวกให้การฟื้นฟูหนี้รายบุคคลที่มีเจ้าหนี้หลายราย 

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังมีการหารือในเรื่องการให้ความช่วยเหลือเด็กรุ่นใหม่/คนเกษียณที่มีภาระหนี้สิน โดยจะออกมาตรการเพื่อลดภาระค่าใช้จ่าย เรื่องที่อยู่อาศัย และค่าเดินทางระบบขนส่งมวลชนในราคาถูก โดยสิ่งที่คนไทยจะได้รับจากมาตรการดังกล่าว คือ มีเงินเหลือใช้จ่ายมากขึ้นจากภาระหนี้ที่ดอกเบี้ยลดลงได้ 2-3% ต่อปี, ลดปัญหาการสร้างหนี้เกินตัวลงได้ทันที, เพิ่มโอกาสทางสังคมและลดความเหลื่อมล้ำอย่างเป็นรูปธรรม และใช้การจัดการเพิ่มประสิทธิภาพของรัฐมาแก้ไขปัญหารากแก้วโดยใช้งบประมาณรัฐน้อยที่สุด

สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ร่วมกับ PPP Plastics และ Alliance to End Plastic Waste (AEPW) จัดพิธีเปิดตัว “โครงการ ALL_Thailand เพื่อการจัดการพลาสติกอย่างยั่งยืน”

สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ร่วมกับ PPP Plastics และ Alliance to End Plastic Waste (AEPW) จัดพิธีเปิดตัว “โครงการ ALL_Thailand เพื่อการจัดการพลาสติกอย่างยั่งยืน” โดยมีนายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ดร.วิจารย์ สิมาฉายา ประธาน PPP Plastics และ มิสเตอร์เจค็อบ ดูเออร์ (Mr. Jacob Duer) ประธานบริหาร Alliance to End Plastic Waste (AEPW) ร่วมเป็นประธานในพิธี พร้อมผู้แทนจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และผู้บริหารจากหน่วยงานผู้สนับสนุนหลัก PPP Plastics ได้แก่ กลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย, ธุรกิจเคมิคอลส์ เอสซีจี, บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน), บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด และบริษัท สุเอซ เซอร์วิสเซส (ประเทศไทย) จำกัด

โครงการ ALL_Thailand มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาต้นแบบและนวัตกรรมในการนำพลาสติกที่ใช้งานแล้วกลับมาใช้ประโยชน์และป้องกันพลาสติกเหล่านั้นหลุดรอดไปสู่สิ่งแวดล้อม โดยเน้นการสร้างต้นแบบการจัดการตั้งแต่ต้นทางทั้งในระดับชุมชน ท้องถิ่น จนถึงระดับจังหวัด ในทุกไลฟ์สไตล์ ไปจนถึงระบบและนวัตกรรมที่จะช่วยนำพลาสติกเหล่านั้นกลับมาใช้ประโยชน์ตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเมื่อโครงการแล้วเสร็จภาครัฐสามารถนำไปขยายผลให้ครอบคลุมทั่วประเทศต่อไป สอดคล้องกับนโยบาย BCG ของทางภาครัฐและ Roadmap การจัดการขยะพลาสติกของประเทศไทย โดย ALL_Thailand ได้รับทุนสนับสนุนจาก AEPW เพื่อดำเนินงาน 3 โครงการย่อยในประเทศไทย ได้แก่ โครงการ Eco Digiclean Klongtoei (อีโคดิจิคลีนคลองเตย) โครงการ Rayong Less-Waste (ระยองลดขยะ) และโครงการ Paving Green Roads (เพฟวิ่งกรีนโรด) โดยมีระยะเวลาดำเนินงานรวมทั้งสิ้น 2 ปี

นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ได้ให้ความสำคัญกับการจัดการปัญหาขยะพลาสติกในประเทศไทยอย่างยั่งยืน จึงได้ร่วมมือกับกลุ่มพันธมิตร Alliance to End Plastic Waste (AEPW) และ PPP Plastics เพื่อดำเนินโครงการในครั้งนี้ ซึ่งจะทำให้เกิด Business Model ในการจัดการขยะ และสามารถนำไปขยายผล ในวงกว้าง เป็นประโยชน์ต่อสังคม สิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจของประเทศไทย ทั้งนี้ สภาอุตสาหกรรมฯ มีความพร้อมในการดำเนินโครงการเพื่อพัฒนารูปแบบการบริหารจัดการขยะให้ครบวงจร และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับพลาสติกใช้แล้วในรูปแบบต่างๆ เช่น การนำไปใช้สำหรับงานสร้างถนนซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของประเทศ ให้ประเทศไทยมีแนวทางในการจัดการขยะพลาสติกตลอด Supply Chain สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy : BCG Model) และยกระดับความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมไทย สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจและเทคโนโลยีในอนาคต

ดร.วิจารย์ สิมาฉายา ประธาน PPP Plastics กล่าวว่า โครงการ ALL Thailand ประกอบด้วย 3 โครงการย่อย โดยโครงการอีโคดิจิคลีนคลองเตย Eco Digiclean Klongtoei เป็นการนำเทคโนโลยีดิจิตอล มาช่วยในการบริหารจัดการขยะพลาสติกตั้งแต่ต้นทาง เช่น การสร้าง Application เพื่อช่วยบริหารจัดการขยะ การพัฒนาถังขยะรูปแบบใหม่กึ่งอัตโนมัติ เพื่อช่วยแยกขยะประเภทพลาสติก เพื่อเพิ่มมูลค่าของขยะพลาสติก ในส่วน Rayong Less-Waste หรือ ระยองลดขยะ จะเป็นการขยายโมเดลการจัดการขยะระดับชุมชนและท้องถิ่นด้วยเศรษฐกิจหมุนเวียนไปให้ครอบคลุมทั้งจังหวัดระยอง โดยมีเป้าหมายที่จะสร้างชุมชนตัวอย่างในทั้ง 68 เทศบาลของจังหวัดระยอง เพื่อช่วยสร้างรายได้ สร้างอาชีพ สร้างคุณภาพชีวิตที่ดี และลดปริมาณขยะพลาสติกที่ไปหลุมฝังกลบในระยองที่นับวันจะมีพื้นที่ลดน้อยลง และ โครงการ Paving Green Roads (เพฟวิ่งกรีนโรด) เป็นโครงการศึกษาวิจัยเพื่อนำพลาสติกใช้แล้วมาเป็นส่วนผสมในถนนยางมะตอยอย่างมีประสิทธิภาพและไม่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยร่วมกับหลายประเทศ และในประเทศไทย เราได้ร่วมทำงานกับคณะอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เพื่อวิจัยด้านสิ่งแวดล้อมของการทำถนนที่มีส่วนประกอบของพลาสติกใช้แล้ว ทั้งในด้านอากาศและน้ำ รวมทั้งคุณสมบัติความแข็งแรงทนทาน และศักยภาพในการนำถนนพลาสติกที่ถูกรื้อถอนกลับมารีไซเคิลเพื่อสร้างเป็นถนนใหม่ เพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการสร้างถนนของประเทศไทยในอนาคตต่อไป

มิสเตอร์เจค็อบ ดูเออร์ (Mr. Jacob Duer) ประธานและซีอีโอ Alliance to End Plastic Waste กล่าวว่า “ทั้ง 3 โครงการนี้มีเป็นตัวอย่างของกิจกรรมในพื้นที่ ที่มีเอกลักษณ์พิเศษที่แตกต่างกันไป แต่เมื่อนำทั้ง 3 โครงการมารวมกันภายใต้โครงการ ALL_Thailand จะสามารถสร้างแรงกระเพื่อมที่ยิ่งใหญ่ที่จะช่วยกระจายความรู้ สร้างความเข้าใจ เพื่อขับเคลื่อนให้เกิดผลกระทบเชิงบวกในชุมชน สิ่งเหล่านี้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของ AEPW ที่ต้องการขับเคลื่อนการมีส่วนร่วมเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจหมุนเวียนและหยุดขยะพลาสติกในสิ่งแวดล้อม”

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า สายงานส่งเสริมสนับสนุนอุตสาหกรรม ภายใต้สภาอุตสาหกรรมฯ ได้ให้ความสำคัญกับการจัดการขยะพลาสติก พร้อมเป็นตัวแทนภาคธุรกิจร่วมกำหนดมาตรฐานขวด PET พลาสติก จากรูปแบบขวดสี สู่ขวดใส เพื่อส่งเสริมให้เกิดการนำขวดพลาสติกนำกลับมารีไซเคิลได้ใหม่ สร้างมูลค่าเพิ่มและส่งเสริมให้เกิดการจัดเก็บขวดพลาสติกที่ใช้แล้วเข้าสู่ระบบมากยิ่งขึ้น สอดคล้องกับทิศทางเทคโนโลยีในอนาคต ด้วยภารกิจการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy : BCG Model)

นายฉัตรชัย เลื่อนผลเจริญชัย ประธานบริหาร กลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย กล่าวว่า “Dow เห็นความสำคัญของการทำงานร่วมกับทุกภาคส่วนเพื่อจัดการพลาสติกใช้แล้วอย่างยั่งยืน จึงร่วมเป็นหนึ่งในสมาชิกผู้ก่อตั้ง PPP Plastics ตั้งแต่ปี 2560 และขับเคลื่อนโครงการต่างๆ ภายใต้ PPP Plastics รวมทั้งโครงการ ALL_Thailand ในครั้งนี้ เพื่อช่วยขับเคลื่อนการจัดการขยะพลาสติกตามหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียนให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม DOW ยินดีให้การสนับสนุนโครงการและทำงานร่วมกับทุกภาคีเครือข่ายเพื่อให้โครงการบรรลุตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้อันจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยอย่างยิ่ง”

นายศักดิ์ชัย ปฏิภาณปรีชาวุฒิ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจเคมิคอลส์ เอสซีจี กล่าวว่า “ธุรกิจเคมิคอลส์ เอสซีจี ดำเนินธุรกิจภายใต้กลยุทธ์ “ธุรกิจปิโตรเคมีเพื่อความยั่งยืน” ตามแนวทาง ESG (Environmental, Social and Governance) และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) โดยตระหนักถึงผลกระทบของพลาสติกใช้แล้วที่ไม่ได้รับการจัดการอย่างเหมาะสม จนส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม จึงได้นำหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) เข้ามาขับเคลื่อนการทำธุรกิจ มุ่งเน้นไปที่การบริหารจัดการพลาสติกตลอดทั้งวงจรอย่างใส่ใจและรับผิดชอบ โดยมีการดำเนินการ 3 ด้านหลัก คือ

1.) การสร้างความรู้และความเข้าใจเรื่องเศรษฐกิจหมุนเวียน

2.) การประยุกต์หลักเศรษฐกิจหมุนเวียน ให้ครอบคลุมทุกมิติของการทำธุรกิจ

3.) การสร้างเครือข่ายและความร่วมมือ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ความร่วมมือระหว่างองค์กรและกับทุกภาคส่วน เพื่อดูแลและร่วมสร้างการเติบโตให้กับชุมชนและสังคมอย่างยั่งยืนไปด้วยกัน”

ดร.ชญาน์ จันทวสุ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานบริหารความยั่งยืนและภาพลักษณ์องค์กร บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “GC หนึ่งในบริษัทผู้ก่อตั้ง PPP Plastics มีความยินดีที่ PPP Plastics สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ได้ร่วมมือกับกลุ่มพันธมิตร Alliance to End Plastic Waste ในการแก้ปัญหาเพื่อลดปริมาณพลาสติกที่ใช้แล้วบนพื้นฐานของการจัดการขยะอย่างยั่งยืน ตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และหลักการ 3Rs บริษัทฯ เห็นความสำคัญของปัญหาต่างๆ ที่เกิดจากพลาสติกที่ใช้แล้ว จึงนำนวัตกรรมเทคโนโลยีมาปรับใช้ เพื่อสร้างทางเลือกให้กับผู้บริโภค ในรูปแบบที่หลากหลาย บริษัทฯ พร้อมให้ความร่วมมือในการศึกษา พัฒนาการวิจัย และนวัตกรรม เพื่อให้เกิดการสร้างมูลค่าเพิ่มจากขยะพลาสติกให้สอดคล้องกับแนวทาง BCG เพื่อยกระดับความเป็นอยู่ของพวกเราทุกคน GC หวังเป็นอย่างยิ่งว่าความร่วมมือกับ PPP Plastics และพันธมิตร จะช่วยขับเคลื่อนให้เกิดการจัดการพลาสติกที่ใช้แล้วอย่างเป็นระบบ และส่งผลให้โครงการสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ตามที่ได้ตั้งเป้าหมายที่วางไว้ ในการลดปริมาณขยะพลาสติกในทะเลไทยลงไม่ต่ำกว่าร้อยละ 50 ภายใน ปี 2570”

นายนภดล ศิวะบุตร ผู้อำนวยการบริหาร ฝ่ายองค์กรสัมพันธ์ บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด กล่าวว่า “ปัญหาขยะพลาสติกเป็นความท้าทายทางสิ่งแวดล้อมที่ใหญ่หลวงสำหรับทุกภาคส่วน เนสท์เล่ ในฐานะบริษัทอาหารและเครื่องดื่มรายใหญ่ที่สุดของโลก เราตระหนักดีถึงบทบาทและหน้าที่สำคัญของเราในฐานะผู้ผลิตที่ต้องมีส่วนร่วมในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อนำไปสู่อนาคตที่ปลอดขยะ เนสท์เล่ได้มีการเปลี่ยนแปลงบรรจุภัณฑ์ของเราให้สามารถนำไปรีไซเคิลหรือนำกลับมาใช้ใหม่ได้ นอกจากนั้นแล้ว เรายังเล็งเห็นความสำคัญของการทำงานร่วมกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง และยินดีที่จะให้ความสนับสนุนอย่างเต็มที่ เพื่อผลักดันให้เกิดการจัดการขยะพลาสติกอย่างมีประสิทธิภาพและขับเคลื่อนให้เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียนอย่างเต็มรูปแบบโดยเร็ว”

Mr. Stephane Heddesheimer, CEO ของ กลุ่มรีไซเคิล และการนำกลับมาใช้ใหม่ ของสุเอซ เอเชีย กล่าวว่า "การรีไซเคิลพลาสติก มีบทบาทสำคัญในการเร่งให้เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว ของประเทศไทย และวิสัยทัศน์ในการเปลี่ยนผ่านไปสู่ การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน บริษัท สุเอซ มุ่งมั่นที่จะรีไซเคิลพลาสติก และเปลี่ยนขยะให้เป็นพลังงานสำหรับประเทศไทย และยังคงร่วมมือกับสภาอุตสาหกรรม แห่งประเทศไทย PPP Plastics และกลุ่มพันธมิตร ตลอดจนผู้นำอุตสาหกรรมอื่นๆ ทั่วทั้งห่วงโซ่คุณค่า เพื่อบรรลุเป้าหมายสูงสุด ในการยุติขยะพลาสติก และเชื่อมั่นว่าความร่วมมือของเราจะส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อม ความหลากหลายทางชีวภาพ และชุมชนของเรา”


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ศาลล้มละลายเห็นชอบเเผนฟื้นฟูการบินไทยฉบับเเก้ไข ตามมติของที่ประชุมเจ้าหนี้

ที่ศาลล้มละลายกลาง ถนนเเจ้งวัฒนะ ศาลนัดฟังคำสั่งชั้นพิจารณาให้ความเห็นชอบแผนฟื้นฟูกิจการในคดีฟื้นฟูกิจการของ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) คดีหมายเลขแดงที่ฟฟ 20/2563  คดีนี้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รายงานว่าเมื่อวันที่19 พ.ค.64 ที่ประชุมเจ้าหนี้มีมติพิเศษยอมรับแผนฟื้นฟูกิจการและแผนที่มีการแก้ไข ศาลกำหนดนัดพิจารณาแผนแล้วมีเจ้าหนี้ยื่นคำคัดค้านประกอบด้วยเจ้าหนี้รายที่ 11627,10320 และรายที่ 10341ยื่นคำคัดค้านว่าแผนฟื้นฟูกิจการไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ศาลพิจารณาแผนคำคัดค้านรายงานผลประชุมเจ้าหนี้คำชี้แจงของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์และผู้ทำแผนแล้วข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ดำเนินการจัดประชุมเจ้าหนี้โดยชอบด้วยกฎหมายซึ่งที่ประชุมเจ้าหนี้มีมติพิเศษยอมรับแผนฟื้นฟูกิจการโดยถูกต้องตามมาตรา 90/46โดยแผนฟื้นฟูกิจการมีรายการครบถ้วนตามมาตรา 90/42 ทั้งลำดับและข้อเสนอการชำระหนี้ตามแผนฟื้นฟูกิจการได้กำหนดวิธีการชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ที่มีลักษณะเหมือนกันอย่างเท่าเทียมตามกฎหมายแม้การชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้บางกลุ่มจะแตกต่างกันอยู่บ้าง แต่ก็สืบเนื่องจากเจ้าหนี้แต่ละกลุ่มมีลักษณะสิทธิเรียกร้องที่ต่างกันและข้อกำหนดการชำระหนี้ดังกล่าวเป็นไปตามความจำเป็นในการประกอบธุรกิจของลูกหนี้ซึ่งไม่ขัดต่อมาตรา 90/42ตรี

ลำดับและข้อเสนอการชำระหนี้ตามแผนฟื้นฟูกิจการเป็นไปตามลำดับที่กฎหมายบัญญัติไว้ว่าด้วยการแบ่งทรัพย์สินในคดีล้มละลายตามมาตรา 90/48(2) หากลูกหนี้สามารถดำเนินธุรกิจตามแผนลูกหนี้ย่อมมีรายได้จากการดำเนินกิจการสามารถชำระหนี้ได้แผนฟื้นฟูกิจการจึงแสดงให้เห็นโอกาสและแนวโน้มที่จะสำเร็จ

ประกอบกับเมื่อพิจารณาเปรียบเทียบหนี้ที่อาจขอรับชำระได้ในการฟื้นฟูกิจการแล้วเจ้าหนี้จะได้รับชำระหนี้ไม่น้อยกว่ากรณีที่ศาลมีคำพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลายตามหลักการในมาตรา 90/58(3) นอกจากนั้นเมื่อที่ประชุมเจ้าหนี้ได้ลงมติยอมรับแผนฟื้นฟูกิจการแสดงว่าบรรดาเจ้าหนี้ได้พิจารณาถึงคุณสมบัติความสามารถและความน่าเชื่อถือของผู้บริหารแผนแล้วว่ามีความเหมาะสมและการทำแผนเป็นไปโดยสุจริตไม่ต้องห้ามตามกฎหมาย ศาลจึงมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผนฟื้นฟูกิจการและแผนที่มีการแก้ไขตามมติของที่ประชุมเจ้าหนี้

“จุรินทร์” สั่งรื้อค่าบริการฟู้ด เดลิเวอรี่ ตั้งอนุฯ ทำราคาเหมาะสม

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้า (กกร.) ว่า ที่ประชุมเห็นชอบให้ตั้งคณะอนุกรรมการขึ้น 1 ชุด โดยมีอธิบดีกรมการค้าภายใน เป็นประธาน เพื่อพิจารณาโครงสร้างการจัดเก็บค่าส่วนแบ่งการขาย (จีพี) ใหม่ เพื่อให้ได้อัตราการจัดเก็บเหมาะสม หลังปัจจุบันแพลตฟอร์มสั่งอาหารออนไลน์ (ฟู้ด เดลิเวอรี่) ได้เรียกเก็บจากร้านอาหารในอัตรา 30-35% ของยอดขาย 

“คณะอนุกรรมการที่ตั้งขึ้น จะไปพิจารณาเรื่อง แพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี่หรือแพลตฟอร์มให้บริการจำหน่ายอาหารผ่านระบบเดลิเวอรี่ ให้พิจารณาเรื่องค่าจีพี ค่าขนส่งหรือค่าใช้จ่ายอื่น เพื่อให้แพลตฟอร์มอยู่ได้และร้านอาหารและผู้บริโภคได้รับความเป็นธรรมยิ่งขึ้น พร้อมให้ไปหาจุดสมดุลของทั้ง 3 ฝ่าย คือ แพลตฟอร์มต้องทำธุรกิจต่อไปได้ ขณะที่ร้านอาหาร และผู้บริโภคที่สั่งอาหารผ่านแพลตฟอร์ม ต้องได้รับความเป็นธรรมต่อไป”  

นอกจากนี้ ยังมีมติให้ต่ออายุรายการสินค้าและบริการควบคุมปี 63 รวม 51 รายการ แบ่งเป็นสินค้า 46 รายการ และบริการอีก 5 รายการ อีก 1 ปี หรือตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.64-30 มิ.ย.65 เพื่อให้กระทรวงพาณิชย์ ใช้มาตรการทางกฎหมายกำกับดูแลได้อย่างเหมาะสม และได้ปรับมาตรการดำเนินการสำหรับสินค้าและบริการควบคุมบางรายการให้เหมาะสมมากขึ้น โดยในสินค้า 4 รายการ คือ กากดีดีจีเอส (กากที่เหลือจากการผลิตเอทานอล) ข้าวสาลี ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และมันสำปะหลัง ที่กำหนดให้ต้องแจ้งขออนุญาตต่อ กกร.ก่อนการขนย้ายนั้น สามารถแจ้งขนย้ายผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ได้แล้ว   

ส่วนเหล็กเส้น กำหนดมาตรการเพิ่มเติมให้ผู้นำเข้าต้องแจ้งข้อมูลการนำเข้า ทั้งปริมาณการนำเข้า-จำหน่าย ปริมาณคงเหลือ เป็นประจำทุกเดือน เพราะขณะนี้ ราคาเหล็กในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นมาก ขณะที่เหล็กเคลือบดีบุกและเหล็กโครเมียม ที่ทำกระป๋องบรรจุอาหาร ผู้ผลิตต้องปรับมาตรฐานการผลิตให้สอดคล้องกับมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) ใหม่ สำหรับบริการให้สิทธิในการเผยแพร่งานลิขสิทธิ์เพลงเพื่อการค้า กำหนดเพิ่มเติมให้เจ้าของลิขสิทธิ์ต้องแสดงรายละเอียดเพิ่มเติม 8 รายการ เช่น ชื่อผู้แต่งเนื้อร้องและทำนอง วันสิ้นสุดสัญญาอนุญาตให้จัดเก็บค่าตอบแทน เป็นต้น  

‘ดร.พิสิฐ’ ชี้ การจัดสรรงบประมาณลงธนาคารรัฐต่างๆ ไม่คำนึงถึงการฟื้นฟูเศรษฐกิจจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยในยุคโควิด วอนสำนักงบฯ นำไปพิจารณาโอกาต่อไป

ในการประชุมของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2565 ของสภาผู้แทนราษฎร วันที่ 15 มิถุนายน 2564 ภายหลังจากการประชุมร่วมกับธนาคารของรัฐทั้ง 6 แห่ง ดร. พิสิฐ ลี้อาธรรม ในฐานะรองประธานกรรมาธิการได้ชี้ให้เห็นว่า การจัดสรรงบประมาณ 2565 ท่ามกลางวิกฤติเศรษฐกิจโควิด ยังไม่ได้คำนึงถึงผลสัมฤทธิ์ในการก่อให้เกิดการกระตุ้นธุรกรรมเศรษฐกิจจากธนาคารต่างๆ ของรัฐ จากตัวเลขที่สรุปในตาราง พบว่าธนาคารที่มีกำลังมาก คือทุนและสินทรัพย์มากซึ่งน่าจะมีความสามารถในการกระตุ้นเศรษฐกิจได้มาก กลับได้งบประมาณน้อย แต่ธนาคารของรัฐที่มีทุนน้อยและงบดุลน้อยกลับได้รับงบประมาณมากกว่า อย่างเช่น ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ที่สามารถจะช่วยภาคอสังหาริมทรัพย์ อีกทั้งมีความเชื่อมโยงกับการผลิตและการจ้างงานมาก กลับได้งบประมาณน้อย เป็นต้น ยกเว้น ธนาคารเพื่อการเกษตรฯ (ธกส.) ซึ่งเป็นธนาคารที่มีนโยบายช่วยเกษตรกรโดยตรง ดังนั้น ดร.พิสิฐ จึงขอฝากเป็นประเด็นให้สำนักงบประมาณได้นำไปประกอบการพิจารณาการจัดสรรงบประมาณในโอกาสต่อไป

โลตัส เตรียมแจก ‘วัคซีนพาสปอร์ต’ ให้กับประชาชนที่ได้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 สนับสนุนให้คนไทยเข้ารับการฉีดวัคซีน ด้วยคูปองแลกสินค้าฟรีและส่วนลดรวมมูลค่ากว่า 400 ล้านบาท เริ่มแจก 1 กรกฎาคมนี้

นายสมพงษ์ รุ่งนิรัติศัย ประธานคณะผู้บริหารธุรกิจโลตัส ประเทศไทย กล่าวว่า ‘โลตัส สนับสนุนการฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้กับประชาชนอย่างทั่วถึงและเร่งด่วน โดยเราได้ร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สนับสนุนพื้นที่ภายในสาขาและสำนักงานใหญ่เพื่อเป็นจุดฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้กับประชาชน โดยในกรุงเทพมหานคร โลตัส มีจุดฉีดวัคซีนทั้งหมด 3 จุด คือ โลตัส พระราม 4, โลตัส มีนบุรี และโลตัส สำนักงานใหญ่ ถนนนวมินทร์ นอกจากนั้น ยังมีสาขาในต่างจังหวัดที่เริ่มเป็นจุดฉีดวัคซีนโควิด-19 แล้วเช่นกัน เพื่อเป็นการรณรงค์ให้ลูกค้าและประชาชนฉีดวัคซีนโควิด-19 เราได้จัดทำวัคซีนพาสปอร์ตจำนวน 100,000 เล่ม มอบคูปองแลกสินค้าฟรีและส่วนลดมูลค่ากว่า 4,000 บาทต่อเล่ม เพื่อเป็นการขอบคุณประชาชนที่ร่วมใจกันฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ โลตัส ขอบคุณคู่ค้าของเราที่ให้การสนับสนุนสินค้าและส่วนลดต่างๆ มากมาย’

วัคซีนพาสปอร์ต จะถูกกระจายไปยังไฮเปอร์มาร์เก็ตทั่วประเทศ โดยประชาชนที่ได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว (เข็มแรกหรือเข็มที่ 2 ก็ได้) จากจุดฉีดวัคซีนใดก็ได้ ไม่จำกัดว่าต้องเป็นจุดฉีดในสาขาของโลตัส สามารถนำหลักฐานมาแสดงที่จุดบริการลูกค้าเพื่อรับวัคซีนพาสปอร์ต และสามารถใช้คูปองต่างๆ ภายในวัคซีนพาสปอร์ต ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ.2564 จนถึง 30 กันยายน พ.ศ.2564 หรือตามเงื่อนไขที่กำหนด

คูปองแจกสินค้าฟรีและส่วนลดในวัคซีนพาสปอร์ต อาทิ รับฟรี ขนมปลาเส้นแน็คซ์แน็คซ์, เจลล้างมืออนามัยเดทตอล, หน้ากากผ้าแม็คยีนส์, สติ๊กเกอร์เติมลมไนโตรเจนที่ค็อกพิท และคูปองส่วนลด ลดทันที 100 บาท เมื่อซื้อสินค้าครบ 400 บาท ที่โลตัส, ซื้อบัตรฟู้ดคอร์ท 120 บาท ในราคา 100 บาท, ส่วนลด 50 บาท เมื่อซื้อสินค้าภายใต้แบรนด์ 3M, ส่วนลด 100 บาท เมื่อซื้อสินค้าครบ 500 บาท ที่โอเรียนทอล พริ้นเซส และคูปองส่วนลดสินค้าอื่นๆ อีกมากมายทั้งในซูเปอร์มาร์เก็ต และศูนย์การค้า

“โลตัส หวังว่าวัคซีนพาสปอร์ตจะเป็นอีกหนึ่งแรงในการช่วยให้ประเทศไทยสามารถเอาชนะวิกฤติครั้งนี้ไปได้ด้วยกัน ด้วยการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับประชาชน ลดความเสี่ยงในการติดและแพร่เชื้อโควิด-19 และลดความเสี่ยงจากการป่วยหรือเสียชีวิตจากโรคโควิด-19” นายสมพงษ์ กล่าว

 

ที่มา : https://www.naewna.com/lady/580465


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

“วรวุฒิ” ชูไอเดีย พลิกวิกฤตโควิด เป็นโอกาส เปิดศูนย์เทคโนโลยีชุมชน ช่วยเอสเอ็มอีและเกษตรกร ค้าขายออนไลน์ กระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก เติบโตก้าวกระโดด

นายวรวุฒิ อุ่นใจ รองหัวหน้าพรรคกล้า กล่าวในคลับเฮาส์ในหัวข้อ “คลินิกเอสเอ็มอี” ว่า หลายครั้งที่เรามักได้ยินว่า ใครที่เกิดมาจนไม่มีวันจะรวยได้ คนรวยทุกวันนี้ก็เพราะมีพื้นฐานพ่อแม่ที่ร่ำรวย ซึ่งไม่เป็นความจริง โดยส่วนตัวก่อนที่จะมีธุรกิจหมื่นล้าน ผมก็เริ่มมาจากคนยากจนธุรกิจเครื่องเขียนห้องแถวเล็กๆ กำลังจะเจ๊ง เราโดนดูถูกทั้งด้วยคำพูดและสายตา มันจึงเป็นแรงผลักให้เราฮึดสู้และตั้งใจว่าสักวันจะต้องมีบริษัทเครื่องเขียนที่ที่ได้มาตรฐานสูงและดีกว่าบริษัทใหญ่ที่เคยดูแคลนธุรกิจครอบครัวของเรา 

“คนไทยชอบมองว่าประเทศนี้ขาดแคลนโอกาส แต่ในสายตาของต่างชาติเขากลับมองว่าเป็นดินแดนแห่งโอกาส เพราะบ้านเรายังขาดแคลนอะไรอีกเยอะมาก มันมองคนละมุม ยกตัวอย่างที่เกาะแห่งหนึ่งไม่มีใครใส่รองเท้าแตะเลยสักคน จึงไม่มีใครขายรองเท้าแตะเลยสักร้าน เพราะกลัวจะขายไม่ได้ แต่อีกคนกลับมองว่านั่นเป็นโอกาสที่จะไปเปิดร้านขายรองเท้าแตะเพราะไม่มีคู่แข่ง ผมเองก่อนที่จะทำบริษัทออฟฟิศเมท ตอนนั้นมีร้านเครื่องเขียนอยู่แล้ว 5,000 กว่าร้าน คนมักมองว่า ร้านเครื่องเขียนอุปกรณ์ออฟฟิศก็แค่ซื้อมาขายไป กำไรไม่ได้มากมายอะไร แต่ความจริงแล้วผมมองว่า เวลานั้นร้านเครื่องเขียนมาตรฐานสูงยังมีน้อย และที่สำคัญในตลาดโมเดิร์นเทรดยังไม่มีใครทำ ถ้ามีใครมาจัดมาตรฐานธุรกิจนี้ให้สูง คนนั้นชนะ ผมเลยตัดสินใจทำออฟฟิศเมทจนประสบความสำเร็จ ประเทศไทยมีอะไรที่ต้องสร้างอีกเยอะ เพราะมีปัญหาเยอะมาก หากแก้ปัญหาได้ถูกจุด คนนั้นก็จะรวยได้” นายวรวุฒิ กล่าว  

นายวรวุฒิ กล่าวด้วยว่า พรรคกล้า ได้จัดคลับเฮาส์เพื่อระดมสมองกัน โดยมีผู้ประกอบการร้านอาหารตั้งแต่ขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่มาสะท้อนปัญหาต่างๆ จนนำไปสู่การหารือกันในทั้งภาครัฐ เอกชน นักธุรกิจ เจ้าสัวใหญ่อย่าง ห้างเดอะมอลล์ และเซ็นทรัลที่มองว่า ธนาคารต้องปล่อยสินเชื่อให้กับร้านอาหารที่เป็นธุรกิจหลักที่มีเป็นจำนวนมากในประเทศไทย และในที่สุดก็เกิดโครงการ จับคู่กู้เงิน เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการร้านอาหาร และหากท่านใดที่เคยไปติดต่อธนาคารแล้วไม่ได้รับอนุมัติ อยากให้ท่านลองไปติดต่ออีกครั้งและเตรียมเอกสารให้พร้อม หากมีปัญหาอะไรติดต่อมายังพรรคกล้าเราพร้อมที่จะประสานงานให้ เราพร้อมที่จะช่วยเหลืออย่างเต็มกำลัง 

รองหัวหน้าพรรคกล้า กล่าวถึงโครงการ แซนด์บ๊อกซ์ ของรัฐบาลว่า เป็นเรื่องที่ควรทำมาตั้งแต่ช่วงต้นมีเพื่อล้อไปกับการฉีดวัคซีนของกลุ่มประเทศตะวันตก และในช่วงเวลาดังกล่าวบ้านเราการแพร่ระบาดก็ยังต่ำมาก เราพยายามส่งเสียงไปแต่ไม่ได้รับความสนใจ เช่นเดียวกับการสนับสนุนให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจจากฐานรากด้วยการค้าขายผ่านระบบออนไลน์ เพราะประเทศไทยมีทั้งกลุ่ม เอสเอ็มอี เกษตรกร ผู้ประกอบการรายย่อยในต่างจังหวัดอีกมาที่ยังขายออนไลน์ไม่เป็น รัฐบาลน่าจะใช้วิกฤตให้เป็นโอกาสกระตุ้นตลาดอีคอมเมิร์ส เพราะนอกจากจะเพิ่มรายได้ให้กับเอสเอ็มอีแล้วยังสามารถหยุดเชื้อได้เพราะคนไม่ต้องออกไปจับจ่ายสินค้าข้างนอก ซึ่งรัฐควรออกมาตรการช่วยเหลือหากใครค้าขายออนไลน์จะออกค่าขนส่งสินค้าให้ และควรส่งคนลงไปอบรมให้กับชาวบ้าน เชื่อว่าถ้าทำได้ภายใน 1 ปี การค้าขายจะเติบโตอย่างก้าวกระโดด 

“ในอนาคต รัฐควรจัดให้มีศูนย์เทคโนโลยีชุมชน โดยมีนักศึกษามาช่วยแนะนำเกษตรกร ซึ่งอาจจะเป็นคนเฒ่าคนแก่รู้จักการขาย รู้จักการใช้เทคโนโลยี และใช้มือถือเป็นเครื่องมือในการสร้างรายได้ คนดีไซน์โครงการจะต้องเข้าใจระบบ เพราะหากไม่เข้าใจการออกนโยบายก็จะไม่ครบหลูบและเดินหน้าต่อไม่ได้ สินค้าเกษตรนอกจากขายตามฤดูกาลแล้ว ยังควรทำสินค้าแปรรูป ซึ่งรัฐต้องมีโครงสร้างมารองรับ โดยเฉพาะตลาดทั้งในและต่างประเทศ ถ้าทำครบวงจร ผลิตของเกษตรกรจะสร้างรายได้จำนวนมหาศาล และจะพ้นกับดักความยากจนอย่างแท้จริง” รองหัวหน้าพรรคกล้า กล่าว 

นอกจากนี้ นายวรวุฒิ ยังกล่าวถึงเพจ “กล้าหางาน” ที่พรรคกล้าได้จัดทำขึ้น เพื่อช่วยคนหางานและงานหาคน ได้มาเจอกัน จนปัจจุบันสามารถช่วยคนหาได้งานทำเป็นจำนวนมากและ ผู้ประกอบการที่หาคนทำงาน ก็ได้บุคลากรที่มีคุณภาพสูงไปทำงานด้วย จึงขอเชิญชวนผู้สนใจเข้าร่วมแชร์ตวามต้องการในเพจกล้าหางาน เป็นพื้นที่ของทุกคนที่ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top