Sunday, 5 May 2024
GoodsVoice

‘โชกุบุสซึ’ ควงหมอช้าง’ ผุด ‘ครีมอาบน้ำสายมู’ เสริมพลังตามราศีธาตุทั้ง 4 ‘ดิน-น้ำ-ลม-ไฟ’

(23 เม.ย.67) นายประเสริฐ สุรัตนเมธากุล ผู้จัดการส่วนผลิตภัณฑ์ดูแลความงามและเด็ก บริษัท ไลอ้อน (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ครีมอาบน้ำโชกุบุสซึมียอดจำหน่ายเป็นอันดับ 1 ติดต่อกัน 3 ปีซ้อน ในประเทศไทย ปีนี้มีโปรเจ็กต์มากมาย โดยหนึ่งในโปรเจ็กต์ คือ ‘โชกุบุสซึ จักรราศี’ ครีมอาบน้ำสายมูตัวแรกที่ได้ครีเอทร่วมกับผู้บริหารโลตัส และได้รับเกียรติจากหมอช้าง ผู้เชี่ยวชาญสายมูคนสำคัญของเมืองไทย มาช่วยคัดเลือกกลิ่นให้เหมาะสมกับคนแต่ละธาตุ ตามหลักการทางโหราศาสตร์ เพราะมองว่าเทรนด์การมูเป็นกระแสที่กำลังมาแรง

ทั้งนี้ จากข้อมูลที่ทำการรีเสิร์ชจะเห็นได้ว่าคนไทยกว่า 70% มีความสนใจเกี่ยวกับการมูเตลู ประกอบกับหลังจากสถานการณ์โควิค ได้เห็นภาพความยากลำบากในการใช้ชีวิตของผู้บริโภค จึงอยากเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยให้กำลังใจกับทุกคน ภายใต้ผลิตภัณฑ์ที่บริษัทตั้งใจสร้างสรรค์มาเป็นพิเศษ เพื่อเสริมสร้างพลังความโชคดี ทำให้ทุกคนสามารถก้าวออกไปใช้ชีวิตและเผชิญกับสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างมั่นใจ

สำหรับบรรยากาศในงานถูกเนรมิตให้กลายเป็นพื้นที่แห่งความเชื่อ ในคอนเซ็ปต์ ‘มูให้ปังเสริมพลังดวงดี’ เพื่อให้ลูกค้าสายมูเข้ามาเสริมพลังดวงดี พร้อมเปิดรับความเฮงความปังกับกิจกรรมมากมาย ไม่ว่าจะเป็น เปิดดวงไปกับนักพยากรณ์, เปิดประตูบุญ สู่พระธาตุประจำปีเกิด และ เปิดโชครับคำทำนาย Shokubutsu Zodiac นอกจากนี้ ‘หมอช้าง - ทศพร ศรีตุลา’ ยังเผยทริคเสริมดวงชะตาให้เฮงปังอย่างมั่นใจด้วยว่า “หนึ่งในปัจจัยที่ทำให้มีความสุขคือ ช่วงเวลาในการอาบน้ำ ประกอบกับตามหลักฮวงจุ้ย น้ำเป็นสิ่งชำระล้างที่ดี ส่วนธาตุเป็นตัวบอกอารมณ์และความรู้สึกของคน โดยธาตุตามระบบสากล (Zodiac) มี 4 ธาตุ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ

สำหรับปัจจัยที่จะกระตุ้นให้อารมณ์คนเปลี่ยนมีสองประการ คือ ‘สภาพแวดล้อม’ และ ‘กลิ่น’ เมื่อการอาบน้ำและกลิ่นหอมเป็นสองปัจจัยสำคัญในการสร้างความสุข ดังนั้น ถ้าอยากมีความสุข แนะนำให้อาบน้ำด้วยผลิตภัณฑ์ ‘โชกุบุสซึ จักรราศี’ ที่ผ่านการออกแบบมาให้มีกลิ่นหอมตรงตามระบบธาตุ โดยสามารถใช้ได้ทั้งครีมอาบน้ำตามธาตุของตัวเอง หรือครีมอาบน้ำของธาตุอื่น ๆ ยกตัวอย่างเช่น หากต้องการปรับสมดุลก่อนนอน สามารถเลือกใช้ครีมอาบน้ำของธาตุน้ำ เพราะเป็นธาตุของการผ่อนคลาย หรือก่อนออกจากบ้าน อยากกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ก็สามารถเลือกใช้ครีมอาบน้ำของธาตุลมที่ตอบโจทย์ในเรื่องนี้ได้

สัมผัสประสบการณ์สร้างสุขเสริมเฮงกับผลิตภัณฑ์ ‘โชกุบุสซึ จักรราศี’ (Shokubutsu Zodiac) ครีมอาบน้ำสายมูกระตุ้นพลังแห่งความโชคดี ที่ช่วยทำความสะอาดผิวได้อย่างมั่นใจ ท่ามกลางการปลอบประโลมผิวอย่างอ่อนโยนจากกลิ่นของพืชพรรณธรรมชาติ มีมาให้เลือกมูในแบบลิมิเต็ด อิดิชัน พร้อมกัน 4 กลิ่น 4 ธาตุ ได้แก่ ธาตุดิน (สีเขียว) ธาตุน้ำ (สีฟ้า) ธาตุลม (สีชมพู) และ ธาตุไฟ (สีส้ม) บรรจุขวดขนาด 500 มล. จำหน่ายในราคาพิเศษ 99 บาท จากราคาปกติ 125 บาท พร้อมโปรโมชันสุดคุ้มมากมาย อาทิ ซื้อครีมอาบน้ำโชกุบุสซึ จักรราศี ครบ 189 บาท รับฟรี สร้อยข้อมือเสริมดวง 1 ชิ้น จากแบรนด์โชกุบุสซึ มูลค่า 199 บาท สมาชิกมายโลตัส รับสิทธิ์เพิ่มลุ้นรับเบอร์มงคล ใช้แล้วมีแต่ความเฮงความปัง ถึงสิ้นเดือนพฤษภาคม 2567 เท่านั้น

อย่างไรก็ดี ไลอ้อน ประเทศไทย ยังคงเดินหน้าพัฒนานวัตกรรมเพื่อสุขภาวะที่ดีอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และความต้องการของผู้บริโภคทุกกลุ่ม โดยมั่นใจว่า ผลิตภัณฑ์ครีมอาบน้ำโชกุบุสซึ จักรราศี จะเป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่ได้การตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค ครีมอาบน้ำ ‘โชกุบุสซึ จักรราศี’ มีจัดจำหน่ายแบบเอ็กซ์คลูซีฟที่ Lotus’s เท่านั้น! (ยกเว้น Lotus’s go fresh) และ สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทาง Facebook: Shokubutsu

'รัดเกล้า' ชี้!! 'ครม.' เห็นชอบฟรีวีซ่า 'รัสเซีย' 60 วัน  เชื่อ 'ดึงดูดนทท.-กระตุ้นเศรษฐกิจ' เริ่ม 1 พ.ค.-31 ก.ค.นี้

(23 เม.ย.67) นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า​ ในปี 2566 มีนักท่องเที่ยวชาวรัสเซียเดินทางมาประเทศไทยมากกว่า 1.61 ล้านคนซึ่งมากเป็นอันดับหนึ่งของนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคยุโรปและมากเป็นอันดับห้าของนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมดที่เดินทางเข้าประเทศไทย โดยประเทศไทยมีรายได้จากนักท่องเที่ยวชาวรัสเซีย รวม 84,666 ล้านบาท ซึ่งหากย้อนไปเมื่อวันที่ 13 ธ.ค.2548​ ประเทศไทยและรัสเซียได้ลงนามความตกลงว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราหนังสือเดินทางธรรมดาร่วมกัน​ ส่งผลให้ผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดาไทยและรัสเซียสามารถเดินทางระหว่างกันและพำนักในประเทศได้ไม่เกิน 30 วัน โดยไม่ต้องขอรับการตรวจลงตรา

ต่อมา ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง กำหนดรายชื่อประเทศที่ผู้ถือหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางซึ่งเข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเพื่อการท่องเที่ยว ได้รับการยกเว้นการตรวจลงตราและให้อยู่ในราชอาณาจักรได้ไม่เกิน 90 วัน เป็นกรณีพิเศษ โดยมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.2566 ถึงวันที่ 30 เม.ย.2567​ กล่าวคือหมดเขตสิ้นเดือนนี้นั่นเอง

เพื่อความต่อเนื่องของมาตรการ วันนี้ (23 เม.ย.) ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติและเห็นชอบการยกเว้นการตรวจลงตรา (VISA) เพื่อการท่องเที่ยวให้แก่ผู้ถือหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางสัญชาติรัสเซีย เป็นกรณีพิเศษและเป็นการชั่วคราว ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้

1.อนุมัติในหลักการในการกำหนดให้ ‘สหพันธรัฐรัสเซีย’ อยู่ในรายชื่อประเทศในประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องกำหนดรายชื่อประเทศที่ผู้ถือหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางซึ่งเข้าในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเพื่อการท่องเที่ยว ได้รับการยกเว้นการตรวจลงตราและให้อยู่ในราชอาณาจักรได้ไม่เกิน 60 วัน เป็นกรณีพิเศษ โดยมีเงื่อนไขให้มีผลบังคับใช้ชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค.2567 ถึงวันที่ 31 ก.ค.2567เพื่อประโยชน์ต่อมิติเศรษฐกิจและการต่างประเทศกับสหพันธรัฐรัสเซีย โดยเฉพาะด้านความเชื่อมโยงระหว่างประชาชนที่เป็นรากฐานของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

2. ให้ความเห็นชอบร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง กำหนดรายชื่อประเทศที่ผู้ถือหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางซึ่งเข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเพื่อการท่องเที่ยว ได้รับการยกเว้นการตรวจลงตราและให้อยู่ในราชอาณาจักรได้ไม่เกินหกสิบวัน เป็นกรณีพิเศษ และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงมหาดไทย (มท.) และสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองดำเนินการปรับปรุงแก้ไขประกาศหรือกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป

3. มอบหมายให้หน่วยงานความมั่นคงที่เกี่ยวข้องกำกับติดตามและประเมินผลกระทบจากการออกประกาศกระทรวงมหาดไทยฉบับนี้ ทั้งนี้ หากมีผลกระทบต่อความมั่นคงและผลประโยชน์แห่งชาติ หน่วยงานความมั่นคงที่เกี่ยวข้องอาจเสนอต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณายกเลิกประกาศกระทรวงมหาดไทยดังกล่าวต่อไปได้

“การยกเว้นการตรวจลงตราเป็นการดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวรัสเซียให้เดินทางมาท่องเที่ยวและพำนักในราชอาณาจักรตั้งแต่ช่วงเดือนพฤษภาคมถึงเดือนกรกฎาคม 2567 ซึ่งจะช่วยเพิ่มรายได้ของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและกระตุ้นเศรษฐกิจไทยในภาพรวมอีกด้วย” รองโฆษกฯ​ กล่าว

‘พพ.’ ผนึกกำลังลงนาม MOU ‘3 สมาคมวิชาชีพ’ ยกระดับพัฒนาประสิทธิภาพ ‘พลังงาน-พลังงานทดแทน’

พพ. ผนึก 3 สมาคมวิชาชีพ สานต่อการเพิ่มประสิทธิภาพพลังงานและพลังงานทดแทน มุ่งสร้างมาตรฐานวิชาชีพด้านอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทนให้เข้มแข็ง เตรียมผลิตบุคลากรด้านพลังงานกว่า 1,400 คน ขับเคลื่อนการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

นายวัฒนพงษ์ คุโรวาท อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน เปิดเผยว่า กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) ได้จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) การสนับสนุนและพัฒนาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพพลังงานและพลังงานทดแทน ระหว่างสมาคมเครื่องกำเนิดไฟฟ้าไทย โดย นายธวัช มีชัย นายกสมาคมเครื่องกำเนิดไฟฟ้าไทย สมาคมผู้ตรวจสอบอาคาร โดย ดร.พิชญะ จันทรานุวัฒน์ นายกสมาคมผู้ตรวจสอบอาคาร และสมาคมไฟฟ้าแสงสว่างแห่งประเทศไทย โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ปฐมทัศน์ จิระเดชะ นายกสมาคมไฟฟ้าแสงสว่างแห่งประเทศไทย ณ อาคารอนุรักษ์พลังงานเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดปทุมธานี

ทั้งนี้ นายวัฒนพงษ์ กล่าวว่า การลงนามดังกล่าวเป็นการสานต่อความร่วมมือระหว่าง 4 หน่วยงาน ให้มีความต่อเนื่องจากบันทึกข้อตกลงเดิมได้สิ้นสุดลง โดยมีประเด็นสาระสำคัญในการสนับสนุนและพัฒนาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพพลังงานและพลังงานทดแทน ในด้านมาตรฐานการปฏิบัติงาน ระบบฐานข้อมูล การสนับสนุนองค์ความรู้ การพัฒนาบุคลากร ให้กับวิศวกร สถาปนิก ผู้บริหารอาคารและโรงงาน เจ้าหน้าที่อาคารและโรงงานผู้รับผิดชอบด้านพลังงาน ผู้ตรวจสอบและรับรองการจัดการพลังงาน ผู้ตรวจสอบอาคาร ผู้ตรวจประเมินค่าอนุรักษ์พลังงาน ผู้ตรวจระบบผลิตพลังงานควบคุม และบุคคลทั่วไป เพื่อนำไปสู่การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

โดยกิจกรรมแรกที่จะเกิดขึ้นจากความร่วมมือนี้ คือ หลักสูตรอบรม ‘การจัดทำแบบตรวจสอบระบบผลิตพลังงานควบคุม’ กรณีผลิตพลังงานควบคุมจากเครื่องกำเนิดไฟฟ้าและพลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อพัฒนามาตรฐานประสิทธิภาพด้านพลังงานควบคุมเรื่องกำเนิดไฟฟ้า การถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีด้านพลังงานและแบ่งปันข้อมูลการใช้พลังงานสำหรับภาคธุรกิจ และอุตสาหกรรม และการพัฒนาบุคลากรจัดฝึกอบรมผู้ตรวจสอบระบบผลิตพลังงานควบคุมเพื่อเพิ่มพูนความรู้ความเข้าใจในหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการตรวจสอบและจัดทำรายงานแบบตรวจสอบระบบผลิตพลังงานควบคุม เพื่อให้ความเห็นในการพิจารณาออกใบอนุญาตผลิตพลังงานควบคุมจากเครื่องกำเนิดไฟฟ้าและพลังงานแสงอาทิตย์ รวมทั้งพัฒนามาตรฐานประสิทธิภาพการใช้พลังงานและเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับการออกแบบก่อสร้างอาคารหรือดัดแปลงอาคารเพื่อการอนุรักษ์พลังงานให้แก่ภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม โดยในปีที่ผ่านมามีผู้ผ่านการอบรมรวมจำนวน 181 คน โดย พพ.มีเป้าหมายผลิตผู้ตรวจสอบระบบผลิตพลังงานควบคุมให้ได้กว่า 1,400 คน เพื่อให้เพียงพอและทันต่อกระแสการประหยัดพลังงาน การผลิตและใช้พลังงานทดแทน อาทิ การติดตั้งโซลาร์ รูฟท็อป การผลิตพลังงานจากระบบก๊าซชีวภาพ ของสถานประกอบการ เป็นต้น

นายวัฒนพงษ์ กล่าวอีกว่า “จากความร่วมมือนี้ นับเป็นร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ กับสมาคมวิชาชีพ เพื่อร่วมกันผลักดันให้ภาคอุตสาหกรรมและอาคารธุรกิจ มีการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และสร้างมาตรฐานวิชาชีพด้านอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน ที่มีความเข้มแข็ง ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ” นายวัฒนพงษ์ กล่าว

'กมธ.พลังงาน' ต้อนรับอุปทูตด้านเศรษฐกิจจีน ชู 5 แผนเด่น พาพลังงานไทยสู่ความมั่นคง

กมธ.พลังงานให้การต้อนรับอุปทูตด้านเศรษฐกิจและการค้าประจำสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทยและคณะในโอกาสเข้าเยี่ยม กมธ.ผลการหารือชื่นมื่น

(24 เม.ย. 67) ที่อาคารรัฐสภา น.ส.วชิราภรณ์ กาญจนะ สส.สุราษฎร์ธานี พรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การพลังงานสภาผู้แทนราษฎร พร้อมคณะ กมธ.พลังงาน ให้การต้อนรับ น.ส.จาง เซียวเซียว (Ms. Zhang  Xiaoxiao) อุปทูตด้านเศรษฐกิจและการค้า ประจำสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย พร้อมคณะที่เดินทางมาเยี่ยมคณะกมธ.อย่างเป็นทางการ บรรยากาศการพบกันเป็นไปอย่างชื่นมื่น 

น.ส.วชิราภรณ์ กล่าวถึงภารกิจของ กมธ.พลังงาน ว่า ได้มีการพิจารณาศึกษาเกี่ยวกับแผนพลังงานชาติ ซึ่งเป็นแผนที่รวบรวมแผนด้านพลังงานไว้ทั้ง 5 ด้าน ให้อยู่ภายใต้แผนเดียวกัน โดยจะช่วยให้เกิดการวางแผนพลังงานให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งกรอบของแผนพลังงานชาติ จะมุ่งเน้นไปสู่พลังงานสะอาด และลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ (Carbon Neutrality) ภายในปี ค.ศ. 2065 - 2070 สอดคล้องกับทิศทางพลังงานโลกที่มุ่งเน้นการลดโลกร้อน ซึ่งแผนดังกล่าวนี้จะทำให้ประเทศไทยไม่ตกขบวนเทรนด์ใหม่ของโลก

ทั้งนี้ แผนด้านพลังงานทั้ง 5 ด้าน ได้แก่...

1.แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ หรือ Power Development Plan: PDP 
2.แผนบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติ หรือ Gas Plan 
3.แผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก หรือ Alternative Energy Development Plan: AEDP
4.แผนอนุรักษ์พลังงาน หรือ Energy Efficiency Plan: EEP 
และ 5.แผนบริหารจัดการน้ำมันเชื้อเพลิง หรือ Oil Plan

น.ส.วชิราภรณ์ กล่าวว่า การดำเนินงาน กมธ.พลังงานได้มีการพิจารณาศึกษาเรื่องสำคัญ เช่น สถานการณ์พลังงานของประเทศ การพิจารณารับเรื่องร้องเรียนของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินงานด้านพลังงาน การพิจารณาเกี่ยวกับการบริหารจัดการด้านพลังงาน เพื่อให้เกิดความมั่นคงด้านพลังงาน และเกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการใช้พลังงาน เป็นต้น

นอกจากนี้ กมธ.พลังงานได้มีการตั้งคณะอนุกรรมาธิการ จำนวน 3 คณะ เพื่อพิจารณาศึกษาตามหน้าที่และอำนาจของกมธ.พลังงาน และตามที่สภาผู้แทนราษฎรมอบหมาย ได้แก่...

1.คณะอนุกรรมาธิการศึกษาการปรับโครงสร้างราคาพลังงานไฟฟ้า 
2.คณะอนุกรรมาธิการศึกษาการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน 
และ 3.คณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาญัตติแก้ไขปัญหาค่าไฟฟ้าแพง ซึ่งคณะอนุกรรมาธิการ 

ทั้ง 3 คณะ อยู่ระหว่างการศึกษา เพื่อจัดทำรายงานผลการพิจารณาศึกษาเสนอต่อที่ประชุมคณะกมธ.พลังงาน เพื่อให้ความเห็นชอบ และเสนอต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาต่อไป

'กฟผ.' ผนึกกำลัง 'รัฐวิสาหกิจไฟฟ้าลาว - Chiyoda - Mitsubishi' พัฒนาโครงการผลิต 'ไฮโดรเจนสีเขียว-แอมโมเนีย' ในไทย

กฟผ. รัฐวิสาหกิจไฟฟ้าลาว บริษัท Chiyoda และ บริษัท Mitsubishi ร่วมลงนามในบันทึกความร่วมมือการศึกษาและพัฒนาการใช้ใบรับรองพลังงานหมุนเวียน เพื่อผลิตไฮโดรเจนสีเขียวและแอมโมเนีย ในพื้นที่ที่มีศักยภาพของไทย เดินหน้าพลังงานสีเขียว มุ่งสู่ Carbon Neutrality และ Net Zero Emission

(24 เม.ย. 67) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) รัฐวิสาหกิจไฟฟ้าลาว (EDL) Chiyoda Corporation (CYD) และ Mitsubishi Company (Thailand) Ltd. (MCT) ร่วมลงนามในบันทึกความร่วมมือ (MOC) การศึกษาและพัฒนาวิธีการใช้ประโยชน์ใบรับรองพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy Certificates: RECs) แบบข้ามเขตแดน เพื่อนำเข้าไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน จากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) มาใช้ผลิตไฮโดรเจนสีเขียวและแอมโมเนีย ในพื้นที่ที่มีศักยภาพของประเทศไทย รวมถึงศึกษาโอกาสทางธุรกิจของไฮโดรเจน และแอมโมเนียสีเขียวทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศ 

โดยมี นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ ผู้ว่าการ กฟผ. นายวงสกุล ยิ่งยง กรรมการผู้จัดการบริษัท EDL เป็นผู้ลงนาม พร้อมด้วย Mr. Yasuhiro Inoue General Manager - Hydrogen Business Department, CYD และ Mr. Kazuhiro Watanabe Senior Vice President, MCT ร่วมลงนามในฐานะพยาน ณ ห้องออดิทอเรียม อาคาร 50 ปี กฟผ. สำนักงานใหญ่ กฟผ. จ.นนทบุรี

เกี่ยวกับเรื่องนี้ นายเทพรัตน์ ผู้ว่าฯ กฟผ. กล่าวว่า การลงนามในครั้งนี้ สืบเนื่องจากการลงนามข้อตกลงความร่วมมือกับบริษัทชั้นนำของประเทศญี่ปุ่นเมื่อปี 2566 ในการศึกษาและพัฒนาโครงการการผลิตไฮโดรเจนและแอมโมเนียสะอาดบนพื้นที่ศักยภาพ กฟผ. พบว่า ต้นทุนค่าไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาไฮโดรเจนอย่างมีนัยสำคัญ กฟผ. จึงมีแนวคิดในการศึกษาการใช้ประโยชน์จากการผลิตไฟฟ้าพลังน้ำใน สปป.ลาว และหากต้นทุนของพลังงานสะอาดสำหรับโครงการผลิตไฮโดรเจนสีเขียวในประเทศไทยลดลง จะทำให้ราคาของไฮโดรเจนที่ผลิตอยู่ในระดับที่สามารถแข่งขันได้ทั้งตลาดภายในและต่างประเทศ ผลักดันให้เกิดการพัฒนาโครงการที่เกี่ยวข้องกับไฮโดรเจนอย่างต่อเนื่อง ส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซเรือนกระจก เพื่อบรรลุเป้าหมาย Carbon Neutrality และ Net Zero Greenhouse Gas Emissions ของประเทศได้อย่างยั่งยืน

ด้าน นายวงสกุล กรรมการผู้จัดการ EDL เปิดเผยว่า สปป.ลาว มีศักยภาพในการเป็นแหล่งผลิตพลังงานทดแทน และยังมีโครงข่ายไฟฟ้าที่เชื่อมโยงกับ กฟผ. โดย EDL เป็นรัฐวิสาหกิจของ สปป.ลาว ที่มีบทบาท ด้านการวางแผนระบบไฟฟ้าและดูแลความมั่นคงทางพลังงานไฟฟ้าของประเทศ ความร่วมมือในครั้งนี้จึงเป็นโอกาสที่ดีในการพัฒนาด้านพลังงานหมุนเวียนผ่านการศึกษาและการประยุกต์ใช้ RECs ในโครงการไฮโดรเจนสีเขียวและแอมโมเนีย และยังเป็นการส่งเสริมการทำงานและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เพื่อมุ่งสู่พลังงานสีเขียวในอนาคตร่วมกัน

ฟาก Mr. Yasuhiro Inoue General Manager - Hydrogen Business Department (นายยาสุฮิโระ อิโนอุเอะ ผู้จัดการทั่วไป ฝ่ายธุรกิจไฮโดรเจน) ผู้แทน CYD กล่าวถึงความร่วมมือในครั้งนี้ว่า มีความคาดหวังที่จะพัฒนาศักยภาพด้านการผลิตไฮโดรเจนสีเขียวและแอมโมเนีย ซึ่ง CYD ในฐานะบริษัทด้านวิศวกรรมระดับโลกยินดีสนับสนุนความร่วมมือทางด้านเทคนิค เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาและขยายตัวของพลังงานสะอาดในประเทศไทย ลาว และญี่ปุ่นในอนาคต

Mr. Kazuhiro Watanabe Senior Vice President (นายคาซูฮิโระ วาตานาเบะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่) ผู้แทน MCT กล่าวว่า การศึกษาในครั้งนี้นับเป็นอีกก้าวในการขยายและเติมเต็มการพัฒนาการผลิตไฮโดรเจนสีเขียวและแอมโมเนีย ในพื้นที่ที่มีศักยภาพของประเทศไทย ผ่านการนำเข้าไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนจาก สปป.ลาว ด้วยกลไก RECs ซึ่งจะช่วยให้การแข่งขันดียิ่งขึ้น ความร่วมมือระหว่างกันในครั้งนี้จะทำให้เกิดแหล่งผลิตไฮโดรเจนสีเขียวภายในประเทศ ซึ่งจะส่งผลต่อการพัฒนาด้านพลังงานสะอาดของภูมิภาค ที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการเดินหน้าสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนที่ทั่วโลกมีเป้าหมายร่วมกันในอนาคต

‘เต่าบิน’ ประกาศขึ้นราคาเมนูที่มีส่วนผสม ‘โกโก้’ 5 บาท ชี้!! มีผล 25 เม.ย.นี้ หลังเผชิญวิกฤติต้นทุนผลิตสูงขึ้น

(24 เม.ย. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ‘เต่าบิน’ แบรนด์เครื่องดื่มชื่อดัง ออกมาขอแจ้งปรับราคาเมนูโกโก้ มีผล 25 เม.ย.นี้ โดยระบุว่า เนื่องจากปัจจุบันทั่วโลกพบกับวิกฤตการณ์เมล็ดโกโก้ขาดแคลนทำให้มีต้นทุนในการผลิตสูงขึ้น โดยระยะเวลาที่ผ่านมาทางบริษัทฯ ได้พยายามที่ยังคงซึ่งไว้ราคาเดิมเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อลูกค้าผู้มีอุปการคุณทุกท่าน

บริษัทฯ มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะขอปรับราคาเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของโกโก้เพิ่มขึ้นเมนูละ 5 บาท โดยราคาที่ปรับขึ้นจะมีผลตั้งแต่วันที่ 25 เม.ย.67 เป็นต้นไป ทั้งนี้ บริษัทฯ ขออภัยสำหรับความไม่สะดวก และขอบพระคุณลูกค้าทุกท่านที่เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น บริษัทฯ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าคุณลูกค้าจะให้การสนับสนุนเต่าบินต่อไป บริษัทฯ ยังคงคุณภาพ รวมถึงบริการที่ดียิ่งขึ้น

ILINK โชว์ผลประการปี 66 แตะ 6,965.19 ล้านบาท กำไรโต 31.41% จากปี 65 ตั้งเป้าปี 67 แตะ 7,002 ล้านบาท อัตรากำไรสุทธิไม่น้อยกว่า 9% ของรายได้

เมื่อวานนี้ (24 เม.ย.67) บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) ได้จัดการประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2567 ในรูปแบบไฮบริด (Hybrid Meeting) ณ อาคารอินเตอร์ลิ้งค์ (สำนักงานใหญ่ ถนนรัชดาภิเษก) โดยมี กรรมการบริษัทฯ กรรมการอิสระ กรรมการบริหาร อาสาพิทักษ์สิทธิ์ ตัวแทนผู้สอบบัญชี และผู้ถือหุ้น เข้าร่วมประชุมกันอย่างพร้อมเพรียง เพื่อรายงานผลการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทฯ ปีงบประมาณ 2566 เผยถึงแผนการขับเคลื่อนธุรกิจ และทิศทางการเติบโตในอนาคต ตามยุทธศาสตร์ 'เติบโต อย่างต่อเนื่อง และยั่งยืน แบบมีคุณภาพ' ให้แก่ผู้ถือหุ้น หรือ ผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียร่วมพิจารณารับทราบ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ถือหุ้น รวมถึงนำเสนอวาระสำคัญ เพื่อการพิจารณาอนุมัติของผู้ถือหุ้น ได้แก่ การอนุมัติงบการเงิน การจ่ายเงินปันผลประจำปี การแต่งตั้งผู้สอบบัญชี การแต่งตั้งกรรมการใหม่ เป็นต้น เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมกับ ผู้ถือหุ้นถึงความรับผิดชอบต่อสังคมอีกด้วย

สำหรับผลการดำเนินงาน และผลประกอบการ จากภาพรวมทั้ง 3 ธุรกิจ (ธุรกิจจัดจำหน่ายสายสัญญาณ / ธุรกิจวิศวกรรมโครงการ และธุรกิจโทรคมนาคมและดาต้าเซ็นเตอร์) ตลอดทั้งปี 2566 ที่ผ่านมา ทำรายได้พลิกบวก 4 ไตรมาสรวม 6,965.19 ล้านบาท ขานรับทำกำไรสำหรับงวดโดดเด่น อยู่ที่ 712.20 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 170.24 ล้านบาท พุ่งแรง 31.41% 

โดยรายได้จาก 'ธุรกิจจัดจำหน่ายสายสัญญาณ' มีรายได้รวม 2,881.07 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 366.27 ล้านบาท หรือ 14.56% ทำกำไรสุทธิรวม 309.88 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 105.76 ล้านบาท หรือ 51.82% เมื่อเทียบกับปี 65 

ส่วน 'ธุรกิจวิศวกรรมโครงการ' ซึ่งเป็นรายได้จากบริษัทย่อย IPOWER ทำรายได้ก้าวกระโดดจากธุรกิจรวม 1,329.18 ล้านบาท เติบโต 178.96 ล้านบาท หรือ 15.56% และทำกำไรสุทธิรวม 106.36 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 43.96 ล้านบาท หรือ 70.45% 

ในขณะที่มีรายได้จาก 'ธุรกิจโทรคมนาคม' 4 ไตรมาสรวม 2,754.94 ล้านบาท มีกำไรสุทธิรวม 295.96 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 16.75 ล้านบาท หรือ คิดเป็น 6% โดยในอัตรากำไรสุทธิเท่ากับ 10.74% ของรายได้เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 32% 

ถึงแม้จะทำรายได้ลดลงเมื่อเทียบกับปี 65 นั้น แต่ในทางกลับกัน บริษัทย่อย ITEL กลับสามารถเพิ่มอัตราทำกำไรสุทธิเทียบกับยอดขายได้เพิ่มขึ้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตแบบมีคุณภาพได้เป็นอย่างดี ย้ำให้เห็นภาพชัดแล้วว่าทุกธุรกิจในเครือสามารถขับเคลื่อนดำเนินงานให้เป็นไปตามแบบแผน และประสบความสำเร็จเป็นที่ประจักษ์ ทำกำไรแตะจุดสูงสุดได้เป็นประวัติการณ์ 

นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2567 ที่ผ่านมา มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลสำหรับผลประกอบการประจำปี 2566 ในอัตราหุ้นละ 0.39 บาท จากจำนวนหุ้นที่ชำระแล้วทั้งสิ้น 543,632,325 หุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้ หุ้นละ 1 บาท เป็นเงินปันผลจ่ายทั้งสิ้น 212.02 ล้านบาท โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นเพื่อสิทธิในการรับเงินปันผล ในวันที่ 8 พฤษภาคม 2567 และกำหนดวันจ่ายปันผลในวันที่ 23 พฤษภาคม 2567 นี้

สำหรับ ILINK ก่อตั้งบริษัทฯ ตั้งแต่ปี 1987 ด้วยความมุ่งมั่นที่จะนำเทคโนโลยีมาพัฒนาประเทศ โดยได้สร้างปรากฎการณ์ด้วยการไปนำเทคโนโลยีสายสัญญาณ LAN (Local Area Network) เข้ามาเผยแพร่ในประเทศไทยเป็นรายแรก และนำมาสร้างเป็นธุรกิจเริ่มต้น ได้แก่ ธุรกิจจัดจำหน่ายสายสัญญาณ (Cabling Import & Distribution) โดยการเติบโตต่อมาของกลุ่มบริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ฯ ก็ยังคงมุ่งเน้นด้านเทคโนโลยีเป็นหลัก ด้วยความเชื่อว่า เทคโนโลยีจะมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และเป็นปัจจัยที่สำคัญให้เกิดการปรับตัวของธุรกิจและการดำรงชีวิตของมวลมนุษยชาติ

ปัจจุบัน กลุ่มบริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ฯ ประกอบด้วย 3 ธุรกิจหลัก และ 1 มูลนิธิฯ ดังต่อไปนี้...

- ธุรกิจจัดจำหน่ายสายสัญญาณ (Cabling Import & Distribution Business)
- ธุรกิจวิศวกรรมโครงการ (Turnkey Engineering Business)
- ธุรกิจโทรคมนาคม และดาต้าเซ็นเตอร์ (Telecom Business & Data Center Business)
- มูลนิธิอินเตอร์ลิ้งค์ให้ใจ (Interlink Hai Jai Foundation)

- ธุรกิจจัดจำหน่ายสายสัญญาณ เป็นธุรกิจเริ่มต้น และยังคงเป็นธุรกิจหลักที่แข็งแกร่ง และมีผลการดำเนินงานทั้งรายได้ และกำไร ที่เติบโตต่อเนื่องมาตลอดเป็นระยะเวลากว่า 37 ปี มีการดำเนินธุรกิจ โดย บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทตั้งต้นของ กลุ่มบริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ฯ และในปัจจุบันถูกจัดเป็น ผู้นำด้านเทคโนโลยีระบบสายสัญญาณ ประกอบด้วยผลิตภัณฑ์หลัก ได้แก่ สายสัญญาณ LAN (Local Area Network Cable), สายสัญญาณใยแก้วนำแสง (Fiber Optic Cable), สายไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Cable), สายสัญญาณความปลอดภัย (Security Control) และสายระบบควบคุมอัจฉริยะ (Control Cable) รวมทั้งตู้ 19 นิ้ว ใส่อุปกรณ์สื่อสาร (19"Rack Cabinets) เป็นต้น

ปี 2024 ธุรกิจจัดจำหน่ายได้ประกาศเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ช่วยให้โลกของเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงเร็วขึ้น (Technology Transformation) ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ในตระกูล Super-S Series ที่มีความเพียบพร้อมทั้งความเป็น SMART ใช้งานได้หลากหลาย SMALL ทำให้มีขนาดกะทัดรัดติดตั้งง่าย ลดต้นทุนสายสัญญาณ และ SAVE  ซึ่งช่วยให้ประหยัดทั้งค่าติดตั้ง และค่าวัสดุในการติดตั้งโดยคาดว่า ผลิตภัณฑ์ในตระกูล Super-S Series จะได้รับความนิยมอย่างสูงในตลาดเอเชีย และจะสามารถรองรับเทคโนโลยีที่จะเกิดขึ้นได้ไม่น้อยกว่า 15 ปี ข้างหน้า ซึ่งผลิตภัณฑ์สายสัญญาณของ LINK AMERICAN มีการรับประกันยาวนาน 30 ปี

ผลิตภัณฑ์ที่บริษัทฯ เป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียวในประเทศอาเซียน ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ LINK ที่ถือกำเนิดขึ้นสหรัฐอเมริกา หรือ เรียกว่า LINK AMERICAN และผลิตภัณฑ์ 19" GERMANY EXPORT RACK หรือ เรียกว่า GERMAN RACK โดยสามารถมีส่วนแบ่งการตลาดในประเทศไม่น้อยกว่า 80% ในปัจจุบัน

- ธุรกิจวิศวกรรมโครงการ ดำเนินงานโดย บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ เพาเวอร์ แอนด์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด โดยเน้นงานประมูลโครงการภาครัฐที่ต้องใช้เทคโนโลยีชั้นสูงที่บริษัทฯ หรือ กลุ่มบริษัทฯ มีประสบการณ์ และมีผลงานเป็นที่ประจักษ์ ได้แก่ โครงการสายเคเบิ้ลไฟฟ้าแรงสูงใต้น้ำ (High Voltage Submarine Cable), โครงการสายส่งไฟฟ้าแรงสูง (High Voltage Transmission Line), โครงการสายไฟฟ้าแรงสูงใต้ดิน (High Voltage Under Ground Cable), โครงการสถานีไฟฟ้าย่อยแรงสูง (High Voltage Substation) ฯลฯ ซึ่งปัจจุบันกลุ่มบริษัทฯ มีผลงานที่ได้รับการรับรองจาก การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA), การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (EGAT), การไฟฟ้านครหลวง (MEA) และบริษัท การท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT) เป็นต้น

โดยที่ประเทศไทยยังคงต้องพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะสาธารณูปโภคพลังงานไฟฟ้าทำให้หน่วยงานภาครัฐ ได้แก่ PEA, MEA, EGAT ต้องออกมาประกวดราคาโครงการด้านระบบไฟฟ้าต่างๆ และด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า จึงเป็นโอกาสให้ IPOWER ที่มีประสบการณ์ และผลงานเป็นที่ประจักษ์ สามารถเข้าไปประกวดราคา และได้รับการประกาศให้เป็นผู้ก่อสร้างโครงการต่าง ๆ ได้ต่อเนื่องตลอดไป

- ธุรกิจคมนาคมและดาต้าเซ็นเตอร์ จากจุดเริ่มต้นที่กลุ่มบริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ฯ เป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายสายสัญญาณใยแก้วนำแสง (Fiber Optic) ให้กับผู้ให้บริการโทรคมนาคม (Telecom Operator) และมีผลงานการติดตั้งโครงข่าย Fiber Optic ให้กับหน่วยงานภาครัฐมากมาย จึงได้นำจุดแข็ง (Strength) ทั้งสอง และเพิ่มด้วยสัมปทานการวางสาย Fiber บนเส้นรถไฟ และถนนทั่วไป บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ เทเลคอม จำกัด (มหาชน) (ITEL) ได้นำจุดแข็งทุกอย่างมาก่อสร้างโครงข่าย Interlink Fiber Optic เพื่อให้บริการวงจรเช่าความเร็วสูงแก่ผู้ให้บริการโทรคมนาคม หน่วยงานภาครัฐ และเอกชนทั่วไปที่ต้องการเชื่อมต่อข้อมูลการสื่อสารจากทุก ๆ สาขาเข้าด้วยกัน (Data Connectivity) โดยได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมแบบมีโครงข่ายของตัวเอง จากสำนักงานคณะกรรมการกิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และได้วางโครงข่าย Interlink Fiber Optic ไปทั่วทุกจังหวัดของประเทศไทย พร้อมให้บริการมายาวนานกว่า 10 ปีแล้ว 

อีกทั้งยังได้ลงทุนก่อสร้าง 'ศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์' Interlink Data Center ณ ศูนย์ Interlink R&D เพื่อให้บริการพื้นที่เช่า สำหรับ Data Center ของหน่วยงานภาครัฐ และหน่วยงานภาคเอกชน และ Cloud Web Service ให้หน่วยงานขนาดใหญ่ในต่างประเทศ และภายในประเทศ รวมทั้งภาครัฐด้วย ซึ่งในเวลาต่อมายังได้ร่วมทุนกับบริษัทยักษ์ใหญ่ ด้านดาต้า เซ็นเตอร์ ของประเทศออสเตรเลีย ก่อสร้างศูนย์ดาต้า เซ็นเตอร์ ขนาดใหญ่ในชื่อ Etix Itel Bangkok Data Center เพื่อรองรับความต้องการระบบ Web Service ที่บริษัทยักษ์ใหญ่ในต่างประเทศกำลังเข้ามาลงทุนในประเทศไทยจำนวนมาก ตามนโยบายของรัฐบาลนายกรัฐมนตรีเศรษฐาในปัจจุบันอีกด้วย

จากอดีตจนถึงปัจจุบันที่ผ่านมา ITEL ยังสามารถใช้ประโยชน์จากทีมวิศวกรติดตั้ง และซ่อมบำรุงทั่วประเทศ ในการไปเข้าร่วมประมูลโครงการรับเหมาติดตั้ง และดูแลบำรุงรักษาโครงข่าย Fiber Optic ให้กับภาครัฐและให้กับผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ รวมทั้งนำโครงข่าย Interlink Fiber Optic ไปก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มอย่างมากมายในโครงการต่าง ๆ เช่น อินเทอร์เน็ตชายขอบ, อินเทอร์เน็ตทางไกล, โครงการเมืองอัจฉริยะต่างๆ เป็นต้น

‘ปตท.’ รวมพลังผู้บริหาร-พนักงาน ‘ปรับภูมิทัศน์ @คลองเปรมประชากร’ หวังเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้คนเมือง พร้อมถวายเป็นพระราชกุศลแด่ ในหลวง ร.10

เมื่อวานนี้ (24 เม.ย.67) บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) Kick-off ‘โครงการปรับภูมิทัศน์ @ คลองเปรมประชากร’ เพื่อร่วมกันสร้างพื้นที่สีเขียว ถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 72 พรรษา โดยมีนายฉัตรชัย พรหมเลิศ ประธานกรรมการ นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วยคณะกรรมการ ผู้บริหารและพนักงาน ปตท. กว่า 300 คน ร่วมปลูกต้นไม้ ณ ถนนกำแพงเพชร 6 แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร

นายฉัตรชัย กล่าวว่า ปตท. ได้จัดสรรพื้นที่ติดคลองเปรมประชากรจำนวน 10 ไร่ ในโครงการพัฒนาพื้นที่เพื่อปรับปรุงภูมิทัศน์ ถนนกำแพงเพชร 6 ซึ่งพื้นที่นี้มีจุดเด่นในการเข้าถึงได้ 3 เส้นทาง คือ ทางล้อ จากถนนวิภาวดีรังสิต ทางราง จากสถานีรถไฟสายสีแดง-ทุ่งสองห้อง และทางเรือ ถึงคลองเปรมประชากร โดยพื้นที่สีเขียวแห่งนี้ออกแบบให้เป็นสวนเฉลิมพระเกียรติฯ ที่บอกเล่าถึงพระมหากรุณาธิคุณของในหลวงรัชกาลที่ 10 ต่อประชาชน และเพื่อสืบสานประวัติศาสตร์พื้นที่ ภูมิทัศน์วัฒนธรรม 

นายอรรถพล กล่าวเพิ่มเติมว่า ปตท. ตั้งใจให้พื้นที่แห่งนี้สร้างความ สงบ ร่มเย็นให้กับประชาชนในพื้นที่ รวมถึงสร้างการเติบโตให้เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของคนเมือง โดยคำนึงถึงระบบนิเวศที่ยั่งยืน พร้อมยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน โดยวันนี้ได้จัดเตรียมต้นไม้ใหญ่และกล้าไม้ อาทิ ต้นพะยูง ต้นอโศกศรียะลา ต้นปีบ ต้นประดู่ป่า ต้นรวงผึ้ง ต้นโพธิ์ ฯลฯ รวมกว่า 300 ต้น สลับกับไม้พุ่มขนาดกลางรวมพันธุ์ไม้กว่า 54 ชนิด มาปลูกเพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียว โดยแนวทางการปลูกต้นไม้จะเป็นการจัดสรรโครงสร้างของต้นไม้ตามธรรมชาติ อนุรักษ์ต้นไม้เดิมในพื้นที่ และปลูกเพิ่มเติมตามแนวคิดของการใช้ต้นไม้ในโครงการ คือ ต้นไม้เฉลิมพระเกียรติฯ ต้นไม้พื้นถิ่นลุ่มแม่น้ำภาคกลาง ต้นไม้สำหรับพื้นที่แก้มลิงชีวภาพ (Bioretention Ponds) และต้นไม้เพื่อสิ่งแวดล้อม (ไม้กรองฝุ่น - พืชกรองน้ำ)

"ตลอดระยะเวลา 45 ปี ปตท. ได้ให้ความสำคัญกับการดูแลสังคม ชุมชนและสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่องผ่านการดำเนินงานในทุกมิติ ควบคู่กับการดูแลผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างสมดุล โดยมุ่งพัฒนาธุรกิจสู่สังคมคาร์บอนต่ำและเป็นองค์กรที่ดีของสังคม พร้อมจุดพลังและยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทย ให้เติบโตเคียงข้างกันไปอย่างมั่นคงและยั่งยืน" นายอรรถพล กล่าว

'ดร.ก้องเกียรติ' แง้ม!! ทางออกแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 เชียงใหม่ ผลักดันเกษตรกรเข้าสู่ระบบนิเวศโครงการ 'หยุดเผา เรารับซื้อ'

จากรายการ THE TOMORROW มหาชนต้องรู้ ออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES ได้พูดคุยกับ 'ดร.ก้องเกียรติ สุริเย' ผู้เชี่ยวชาญด้านคาร์บอนเครดิต และประธานกรรมการ บริษัท จีอาร์ดี เทค จำกัด ในประเด็น 'ปัญหาฝุ่น PM 2.5 เชียงใหม่ อะไรคือทางออก?' เมื่อวันที่ 27 เม.ย.67 โดยมีเนื้อหาดังนี้ ว่า...

ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ที่จังหวัดเชียงใหม่ซึ่งส่อเค้ารุนแรงขึ้นในปัจจุบัน มีผู้ป่วยจากปัญหาฝุ่น PM 2.5 เข้ารับการรักษาแล้วกว่า 3 หมื่นราย หลังพบปัญหาสภาพอากาศต่อเนื่อง 

คำถาม คือ ปัญหาที่แท้จริงของฝุ่น PM 2.5 คืออะไร? 

ผมได้มีโอกาสอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ประมาณหนึ่งสัปดาห์ เพื่อหาสาเหตุว่าปัญหาฝุ่น PM 2.5 เกิดจากอะไร โดยได้ลงพื้นที่และเข้าไปพูดคุยกับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ทำให้เห็นปัญหาหลัก ๆ อยู่ 3 ประการ ได้แก่...

1.การเผาจากการทำเกษตรแบบดั้งเดิม ซึ่งนิยมเผาตอซังและฟางข้าว เนื่องจากเป็นวิธีที่ง่าย คุ้มค่า ใช้เวลาน้อย สะดวกสบาย และต้นทุนต่ำ 

2.วัฒนธรรมการบริโภคของป่า เช่น หน่อไม้ เห็ดเผาะ ทำให้เกิดการเผาป่าตอนหน้าร้อนเพื่อเก็บของป่าตอนหน้าฝน 

และ 3. เกิดการจ้างเผาจากบุคคลภายนอกหรือบุคคลที่ 3 เพื่อเอาเบี้ยเลี้ยงในการจ้างดับไฟ 

ทั้งนี้ หากมองในส่วนของการแก้ไขปัญหานั้น ดร.ก้องเกียรติ ยกตัวอย่าง กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน ไว้ว่า เมืองเหล่านี้เคยประสบปัญหาเรื่องมลพิษทางอากาศ ฝุ่น PM 2.5 อย่างมาก แต่ปัจจุบันสามารถแก้ปัญหาได้ โดยหยุดกิจกรรมที่ทำให้เกิดมลพิษทางอากาศทั้งหมด เช่น อุตสาหกรรมที่ใช้ถ่านหิน โรงไฟฟ้าถ่านหิน 

โดยหันมาใช้กระบวนการทางกฎหมายและใช้นวัตกรรมเทคโนโลยีเข้าไปแก้ไขในการกรองฝุ่นก่อนปล่อยสู่สิ่งแวดล้อม 

อย่างไรก็ตาม ประเทศไทย อาจใช้วิธีนี้แก้ปัญหาได้ค่อนข้างยาก เนื่องจากต้องมีการบูรณาการในหลายภาคส่วน 

ดร.ก้องเกียรติ กล่าวต่อว่า ส่วนอีกวิธี คือการปลูกจิตสำนึกให้กับประชาชน รณรงค์สร้างการรับรู้ถึงภัยร้ายของฝุ่น PM 2.5 ที่ต้องร่วมแรงร่วมใจกันลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากขึ้น หรือการนำธุรกิจเข้ามาแก้ไข โดยใช้กลไกคาร์บอนเครดิตและนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาพัฒนาในด้านนี้ ซึ่งกำลังเป็นที่ต้องการในตลาดโลก 

อย่าง 'โครงการหยุดเผา เรารับซื้อ' ที่เกิดจากความร่วมมือภาคีเครือข่ายเชียงใหม่ร่วมใจขจัด PM 2.5 และลดโลกร้อน ด้วยการรับซื้อซังข้าวโพดจากเกษตรกร แล้วนำมาแปรรูปเป็นชีวมวลอัดแท่งส่งไปสู่ระบบคาร์บอนเครดิต ที่เป็นโครงการต่อเนื่องจากปี 2566 ก็กำลังได้รับการตอบรับจากเกษตรกรเป็นอย่างดี 

โดยมีแผนงานจัดตั้งโรงงานในภาคเหนือประมาณ 10 แห่งในอนาคต เพื่อรองรับการแปรรูปเป็นชีวมวลอัดแท่งที่ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด ปัจจุบันขยะทางการเกษตรในจังหวัดเชียงใหม่ ที่มีรวมกันประมาณ 600,000 ตัน/ปี ซึ่งหนึ่งโรงงานสามารถแปรรูปเป็นชีวมวลอัดแท่งได้ประมาณ 30,000 ตัน/ปี จึงต้องจัดตั้งโรงงานให้ได้อย่างน้อย 10 แห่ง 

ขณะที่ในระดับโลก มีความต้องการชีวมวลอัดแท่งประมาณ 10 ล้านตันต่อปี แต่ถ้าเผาขยะทางการเกษตร 600,000 ตันจะทำให้เกิดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ (Carbon Footprint) จำนวน 800,000 ตัน/ปี เรียกได้ว่าถ้าหยุดเผา ก็จะกลายเป็นคาร์บอนเครดิตสร้างเม็ดเงินได้เป็นหลักร้อยล้านบาท และสามารถนำขยะทางการเกษตรมาขายคืนสร้างเงินกลับไปสู่เกษตรกรได้อีก 

"สำหรับระบบนิเวศ (Ecosystem) 'หยุดเผาเรารับซื้อ' มีรูปแบบดังนี้ เมื่อเกษตรกรนำขยะทางการเกษตรมาขายให้กับโรงงาน ได้เงินกลับไป ตันละ 700 บาท ทางโรงงานก็จะนำขยะทางการเกษตรนั้นมาแปรรูปเป็นชีวมวลอัดแท่ง โดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัย เพื่อขายให้กับโรงไฟฟ้านำไปทดแทนถ่านหินซึ่งเป็นตัวการใหญ่ทำลายอากาศโลก โดยการใช้ชีวมวลอัดแท่งช่วยลดการปล่อยมลพิษทางอากาศได้ โรงไฟฟ้าก็จะกลายเป็นโรงไฟฟ้าสีเขียว ผลิตพลังงานสะอาดกลับสู่ประชาชน และยังช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย" ดร.ก้องเกียรติ ขยายความในช่วงท้าย

‘สุริยะ’ สั่ง ‘กทพ.’ เร่งหารือเอกชน แก้ปัญหาค่าทางด่วนแพง เล็งลดเหลือ 50 บาทตลอดสาย คาด!! ชงเข้า ครม. ส.ค. นี้

(25 เม.ย. 67) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า เปิดเผยว่า ตามที่ในการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและติดตามผลการดำเนินโครงการสำคัญตามนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ครั้งที่ 1/2567 เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2567 ที่ผ่านมา ได้มอบหมายให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) และสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ไปร่วมกันพิจารณาแก้ไขปัญหาจราจรติดขัดบนทางพิเศษ (ทางด่วน) ในพื้นที่ชั้นในกรุงเทพมหานคร (กทม.) รวมถึงการปรับปรุงระบบค่าผ่านทาง เพื่อลดค่าใช้จ่ายให้ประชาชนนั้น

ล่าสุด กทพ. ได้รายงานว่า ขณะนี้ กทพ. อยู่ระหว่างการหารือร่วมกับ สนข. และบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ในฐานะผู้รับสัญญาสัมปทานบริหารทางด่วน ในการพิจารณาปรับโครงสร้างลดอัตราค่าผ่านทางฯ เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายในการใช้ทางด่วนให้กับประชาชน โดยได้นำผลการศึกษาการแก้ปัญหาจราจรเมื่อปี 2565 มาศึกษาเพิ่มเติม ซึ่งในระยะแรกจะเริ่มดำเนินการใช้กับทางด่วนขั้นที่ 2 สายงามวงศ์วาน - พระราม 9 ระยะทางประมาณ 17 กิโลเมตร (กม.) เนื่องจากมีผู้ใช้ทางเป็นจำนวนมาก

สำหรับอัตราค่าผ่านทางใหม่ที่มีการปรับลดลงนั้น เริ่มต้นที่ 25 บาท และสูงสุดไม่เกิน 50 บาท จากในปัจจุบันมีอัตราอยู่ที่ 25 - 90 บาท กล่าวคือ จะมีการยกเลิกด่านประชาชื่น (ขาออก) และด่านอโศก (ขาออก) ซึ่งมีปริมาณรถหนาแน่น ซึ่งจากเดิมมีค่าผ่านทาง 25 บาท ทำให้เหลือ 0 บาท ส่วนด่านประชาชื่น (ขาเข้า) เดิมมีค่าผ่านทาง 65 บาท เหลือ 50 บาท ขณะที่ ด่านอโศก (ขาเข้า) เดิมมีค่าผ่านทาง 50 บาท เหลือ 25 บาท และด่านศรีนครินทร์ (ขาเข้า) จ่ายเงินทางขึ้น 25 บาท คาดว่าจะหารือและได้ข้อสรุปภายใน 2 เดือน ก่อนที่จะเข้าสู่กระบวนการขั้นตอนอื่น ๆ ต่อไป

ทั้งนี้ ในการปรับลดค่าผ่านทางดังกล่าว จะทำให้รายได้ของผู้รับสัมปทานลดลง ดังนั้น จากการหารือในเบื้องต้น กทพ. มีแนวทางขยายสัญญาสัมปทานให้กับ BEM ระบบทางด่วนขั้นที่ 1 และขั้นที่ 2 ที่จะสิ้นสุดสัญญาในวันที่ 30 ตุลาคม 2578 พร้อมกับการพิจารณาแบ่งสัดส่วนรายได้ โดย กทพ. จะมีรายได้ลดลง เพื่อนำไปชดเชยให้กับผู้รับสัมปทานในการลดค่าผ่านทาง จากเดิม กทพ. มีสัดส่วน 60% ผู้รับสัมปทาน 40% ขณะเดียวกัน BEM จะต้องรับภาระในการลงทุนก่อสร้างโครงการทางพิเศษยกระดับชั้นที่ 2 สายงามวงศ์วาน-พระราม 9 (Double Deck) อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่า การปรับลดค่าผ่านทางในครั้งนี้ จะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนเป็นอย่างมาก

"กระทรวงคมนาคม มีเรื่องใหญ่ที่อยากจะทำให้เห็นผลโดยเร็ว คือ การแก้ไขปัญหาค่าทางด่วนแพง เพราะตอนนี้ มีประชานที่ใช้ทางด่วนช่วงยาว มีระยะทางไกล ต้องจ่ายแพงถึง 100 กว่าบาท ผมเลยให้ กทพ. และ สนข. ไปหารือกับเอกชน เพื่อลดค่าทางด่วน ให้เหลือสูงสุดไม่เกิน 50 บาท หรือ 50 บาทตลอดสาย เพื่อเป็นการลดภาระค่าใช้ทางด่วนให้กับประชาชน" นายสุริยะ กล่าวและว่า

สำหรับขั้นตอนหลังจากนี้ เมื่อ กทพ. หารือร่วมกับ สนข. และ BEM จนได้ข้อสรุปภายใน 2 เดือนนับจากนี้ กทพ. จะเสนอเรื่องให้คณะกรรมการ (บอร์ด) กทพ. พิจารณาเห็นชอบแนวทางการปรับลดค่าผ่านทาง รวมทั้งการขยายสัญญาสัมปทาน, การปรับสัดส่วนรายได้ และ BEM เป็นผู้ลงทุนโครงการ Double Deck ก่อนจะเสนอไปยังคณะกรรมการ มาตรา 43 ตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ.2562 พิจารณาเห็นชอบรายละเอียดการแก้ไขสัญญาฯ

ทั้งนี้ เมื่อผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการมาตรา 43 แล้วจะส่งร่างสัญญา ที่มีการปรับแก้ไขแล้วต่อไปยังสำนักงานอัยการสูงสุดเพื่อตรวจร่างสัญญา จากนั้นจะเสนอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมพิจารณาเห็นชอบการแก้ไขสัญญา และเสนอไปยังคณะกรรมการร่วมทุนรัฐและเอกชน (PPP) เห็นชอบ ก่อนเสนอไปคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาเห็นชอบในเดือนสิงหาคม 2567 หากมีความคืบหน้าจะแจ้งให้ประชาชนทราบต่อไป

นอกจากนี้ กระทรวงคมนาคมยังได้มีนโยบายให้ส่งเสริมให้มีการใช้งานบัตร Easy Pass เพิ่มมากขึ้น โดยสั่งการให้ กทพ. เพิ่มช่องทางการจำหน่าย และการเติมเงิน Easy Pass ให้สะดวกขึ้น อาทิ การจำหน่ายผ่านร้านสะดวกซื้อ ขณะเดียวกัน จะมีการอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้ Easy Pass ให้ได้รับความสะดวกสบายและรวดเร็วในการเดินทาง โดยการยกไม้กั้นออก และจะมีการเพิ่มช่อง Easy pass มากขึ้น


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top