Tuesday, 13 May 2025
GoodsVoice

‘ห้างสรรพสินค้า’ เตรียมสินค้าที่จำเป็นให้เพียงพอ รับมือฝนตก-น้ำท่วม พร้อมป้องกันการกักตุน-ขึ้นราคาสินค้า ขานรับนโยบาย ‘กระทรวงพาณิชย์’

(6 ต.ค. 66) ร้อยตรีจักรา ยอดมณี รองอธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากที่นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้สั่งการให้กรมการค้าภายในดูแลประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากภาวะน้ำท่วมและฝนตกหนักในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคกลางตอนบน ให้มีสินค้าอุปโภคบริโภคจำเป็นอย่างเพียงพอ และไม่มีการฉวยโอกาสจำหน่ายสินค้าแพงเกินสมควร หรือกักตุนสินค้า ซึ่งกรมฯ ได้มีการประชุมติดตามสถานการณ์ และซักซ้อมแนวทางเตรียมความพร้อมกับห้างค้าส่งค้าปลีก ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคแล้ว

โดยเมื่อวันที่ 5 ต.ค. 66 รองอธิบดีกรมการค้าภายใน ได้ลงพื้นที่สำรวจสถานการณ์ ณ ห้างดูโฮม สาขารังสิต จ.ปทุมธานี พบว่าห้างฯ ได้จัดเตรียมสต็อกสินค้าจำเป็นไว้อย่างเพียงพอ ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ซักล้างทำความสะอาด เครื่องสูบน้ำ สายยาง กระสอบทราย หรืออุปกรณ์ซ่อมแซมบ้าน เช่น แผ่นกระเบื้อง สีทาภายใน ปูนซีเมนต์ และยาแนวกันซึม เป็นต้น เมื่อประชาชนมาซื้อสินค้าหน้าร้าน สั่งออนไลน์ หรือสั่งทางโทรศัพท์ ก็จะสามารถรับสินค้าตามที่ต้องการได้โดยทันที ไม่มีปัญหาในการกระจายสินค้า รวมทั้งมีบริการช่างสำรวจหน้างานและซ่อมแซมด้วย

นอกจากนี้ ห้างดูโฮมเป็นหนึ่งในผู้ประกอบการที่ได้ประกาศร่วมกับกระทรวงพาณิชย์เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ว่าจะลดราคาสินค้าจนถึงปลายปี อาทิ กลุ่มวัสดุก่อสร้าง เช่น กระเบื้องปูพื้นและปูผนัง สุขภัณฑ์ ประตู หน้าต่าง เครื่องปั๊มน้ำ ลดสูงสุด 35% กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า เช่น โทรทัศน์ เครื่องปรับอากาศ เครื่องซักผ้า ตู้เย็น และเตาไฟฟ้า ลดสูงสุด 55% กลุ่มของตกแต่งบ้านและอุปกรณ์ช่าง เช่น โคมไฟ สายไฟ แผงโซลาร์เซลล์ ลดสูงสุด 80% ทั้งนี้ จากการสอบถามผู้บริหารห้างฯ คาดว่าประชาชนจะออกมาจับจ่ายใช้สอยกันมากขึ้นในช่วงปลายปี เนื่องจากผู้รับเหมาก่อสร้างจะกลับมาดำเนินการกันมากขึ้นหลังสิ้นสุดฤดูฝน และคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามามากขึ้นด้วย

ทั้งนี้ กรมฯ จะติดตามสถานการณ์ปริมาณและราคาสินค้าจำเป็นอย่างใกล้ชิดต่อไป และขอเน้นย้ำถึงผู้ประกอบการว่าห้ามฉวยโอกาสจำหน่ายสินค้าแพงเกินสมควร และต้องปิดป้ายแสดงราคาสินค้าให้ชัดเจน กรณีการจำหน่ายสินค้าในราคาแพงเกินสมควรหรือกักตุนสินค้า มีโทษสูงสุดจำคุกไม่เกิน 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และกรณีที่ไม่ปิดป้ายแสดงราคาจำหน่ายจะมีโทษสูงสุดปรับไม่เกิน 10,000 บาท หากประชาชนไม่ได้รับความเป็นธรรมทางการค้า สามารถร้องเรียนมาที่สายด่วนกรมการค้าภายใน 1569 หรือทางแอปพลิเคชันไลน์ @MR.DIT

‘ทล.’ เล็งเปิดใช้ ‘มอเตอร์เวย์บางปะอิน-โคราช’ 80 กม. ปลาย ธ.ค. คลุมไป-กลับ ตลอด 24 ชม. รองรับการเดินทางเทศกาลปีใหม่ 67

(6 ต.ค. 66) นายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง (ทล.) เปิดเผยว่า กรมทางหลวง ได้กำกับ ติดตาม และลงพื้นที่ตรวจความพร้อมโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษหมายเลข 6 สายบางปะอิน - นครราชสีมา ตั้งแต่ช่วงปากช่องถึงถนนเลี่ยงเมืองนครราชสีมา (ทล.204) ประกอบด้วย โครงการฯ ตอน 34, ตอน 39, ตอน 40, ด่านเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางสีคิ้ว, ด่านเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางข้ามทะเลสอ และโครงการทางแยกต่างระดับเชื่อมทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองสายบางปะอิน - นครราชสีมา กับทางหลวงชนบทหมายเลข นม.1120 (ถนนสุรนารี 2) เพื่อเร่งรัดการก่อสร้างและพิจารณาความพร้อมทุกด้านในการเพิ่มระยะทางของเส้นทางอีก 16 กิโลเมตร

ที่ผ่านมากรมทางหลวงได้เปิดให้ใช้เส้นทางชั่วคราวสำหรับเทศกาลปีใหม่และเทศกาลสงกรานต์บริเวณช่วงปากช่อง - สีคิ้ว - ขามทะเลสอ ระยะทาง 64 กิโลเมตร โดยกรมทางหลวง คาดว่าจะเปิดให้บริการบางส่วนบนทางหลวงพิเศษหมายเลข 6 ช่วงปากช่อง - สีคิ้ว - ขามทะเลสอ - ถนนเลี่ยงเมืองนครราชสีมา (ทล.204) รวมระยะทาง 80 กิโลเมตร ทั้ง 2 ทิศทาง (ขาไปและขากลับ) ตลอด 24 ชั่วโมง ในปลายเดือนธันวาคม 2566 เพื่อรองรับการเดินทางช่วงเทศกาลปีใหม่ 2567 และอำนวยความสะดวกในการเดินทางสู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนืออีกด้วย

สำหรับภาพรวมโครงการทางหลวงพิเศษหมายเลข 6 สายบางปะอิน - นครราชสีมา ระยะทาง 196 กิโลเมตร งานโยธาแบ่งการก่อสร้างเป็น 40 ตอน ปัจจุบันก่อสร้างแล้วเสร็จ 28 ตอน และอยู่ระหว่างการก่อสร้าง 12 ตอน โดยโครงการมีความคืบหน้า 92 % (สรุป ณ เดือนกันยายน 2566) งานโยธาจะดำเนินการแล้วเสร็จในปีนี้อีก 2 ตอน คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จตลอดสายทางในเดือนมิถุนายน 2568

อย่างไรก็ตามเมื่อโครงการแล้วเสร็จจะเป็นเส้นทางยุทธศาสตร์สำคัญ ที่จะช่วยเติมเต็มโครงข่ายการคมนาคมขนส่งและโลจิสติกส์ เปิดประตูการค้าในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มความสะดวกสบาย รวดเร็ว และปลอดภัยในการเดินทาง พร้อมยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดียิ่งขึ้น

'99 นักวิชาการเศรษฐศาสตร์' นำทัพ!! ค้านแจกเงินดิจิทัล ดึงเงินเฟ้อสูง แถมเสียโอกาสลุยโครงสร้างพื้นฐาน

(6 ต.ค. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นักวิชาการและคณาจารย์เศรษฐศาสตร์จำนวน 99 คน ได้ออกแถลงการณ์คัดค้านและเรียกร้องให้ รัฐบาลยกเลิก ‘นโยบายแจกเงิน digital 10,000 บาท’ เพราะเป็นนโยบายที่ ‘ได้ไม่คุ้มเสีย’ โดยยกเหตุผลประกอบด้วย

1.เศรษฐกิจกำลังอยู่ในภาวะฟื้นตัว โดยสำนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวประมาณ 2.8% ในปีนี้และ 3.5% ในปีหน้าจึงไม่มีความจำเป็นที่รัฐจะต้องใช้จ่ายเงินจำนวนมากเพื่อกระตุ้น การบริโภคภายในประเทศการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่ผ่านมามีการบริโภคส่วนบุคคลเป็นตัวจักรสำคัญ ในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ การบริโภคขยายตัวถึง 7.8% ซึ่งสูงที่สุดใน 20ปี คิดเป็นกว่า 2 เท่าของค่าเฉลี่ย 10 ปี คาดว่าปีนี้ทั้งปีจะขยายตัว 6.1% และ 4.6% ในปีหน้า จึงไม่มีความจำเป็นที่รัฐจะกระตุ้นการบริโภคส่วนบุคคล แต่ควรเน้นการใช้จ่ายของภาครัฐในการสร้างศักยภาพในการลงทุนและการส่งออกมากกว่า

นอกจากนี้ การกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศยังอาจจะเป็นปัจจัยให้เกิดเงินเฟ้อสูงขึ้นมาอีก หลังจากที่เงินเฟ้อได้ลดลงจาก 6.1% มาอยู่ที่ ประมาณ 2.9% ในปีนี้ ท่ามกลางราคาพลังงานที่มีแนวโน้มสูงขึ้นในระยะหลัง การกระตุ้นการบริโภคในช่วงเวลานี้จะทำให้เงินเฟ้อคาดการณ์ (inflationexpectation) สูงขึ้น และอาจนำไปสู่สภาวะที่ต้องขึ้นดอกเบี้ยในที่สุด

2.เงินงบประมาณของรัฐที่มีจำกัดย่อมมีค่าเสียโอกาสเสมอ เงินจำนวนมากถึงประมาณ 560,000 ล้านบาทนี้ ทำให้รัฐเสียโอกาสที่จะลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ในการสร้าง digital infrastructure หรือในการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ เป็นต้น เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งล้วนแต่จะสร้างศักยภาพในการเจริญเติบโตในระยะยาวแทนการใช้เงินเพื่อการกระตุ้นการบริโภคระยะสั้น ๆ ซึ่งไม่สมเหตุสมผลต่อการสร้างภาระหนี้สาธารณะให้เป็นภาระแก่คนรุ่นต่อไปค่าเสียโอกาสสำคัญคือการใช้เงินสร้างงานเพื่อสร้างรายได้ให้ประชาชน

3.การกระตุ้นเศรษฐกิจให้รายได้ประชาชาติ (GDP) ขยายตัวโดยรัฐแจกเงินจำนวน 560,000 ล้านบาทเข้าไปในระบบเป็นการคาดหวังที่เกินจริงเพราะปัจจุบัน ข้อมูลเชิงประจักษ์จากงานวิจัยทำให้นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่เชื่อว่า ตัวทวีคูณทางการคลัง (fiscal mutiplier) ที่เกิดจากการใช้จ่ายของรัฐในลักษณะเงินโอนหรือการแจกเงิน มีค่าต่ำกว่า 1 และต่ำกว่าตัวทวีคูณทางการคลังสำหรับการใช้จ่ายโดยตรงและการลงทุนของภาครัฐ การที่ผู้กำหนดนโยบายหวังว่านโยบายนี้จะกระตุ้นเศรษฐกิจจึงเป็นสิ่งที่เลื่อนลอยไม่มีใครเสกเงินได้ ไม่มีเงินที่งอกจากต้นไม้ ไม่มีเงินที่ลอยมาจากฟ้าไม่ว่าจะแอบซ่อนมาในรูปใดก็ตาม สุดท้ายแล้วประชาชนจะต้องจ่ายคืนเสมอไม่ว่าจะเป็นลักษณะจ่ายภาษีเพิ่มขึ้น และ/หรือ ราคาสินค้าแพงขึ้นเพราะเงินเฟ้ออันเนื่องจากการเพิ่มปริมาณเงิน

4. เราอยู่ในวัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้นมาตั้งแต่ปี 2565 เพราะเงินเฟ้อสูงขึ้นมาก การก่อหนี้จำนวนมาก ไม่ว่ารัฐบาลจะออกพันธบัตรหรือกู้เงินจากรัฐวิสาหกิจหรือกู้สถาบันการเงินของภาครัฐ ก็ล้วนแต่จะทำให้รัฐบาลและคนทั้งประเทศต้องเผชิญกับอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นทั้งสิ้น หนี้สาธารณะของรัฐที่ปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 10.1 ล้านล้านบาท หรือ 61.6% ของรายได้ประชาชาติ (GDP) จะต้องมีภาระที่จะต้องจ่ายดอกเบี้ยสูงขึ้นในยามที่ต้องจ่าย คืนหรือกู้ใหม่ ซึ่งจะมีผลต่อการเงินงบประมาณของรัฐในแต่ละปี นี่ยังไม่นับจำนวนเงินค่าดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นจากการแจกเงิน digital คนละ 10,000 บาทนี้ด้วย

5.ในช่วงที่โลกเผชิญกับวิกฤตโรคระบาดและภาวะเศรษฐกิจถดถอยรัฐบาลแทบทุกประเทศต่างก็จำเป็นที่จะต้องมีการขาดดุลการคลังและสร้างหนี้จำนวนมากเพื่อใช้จ่ายทางด้านสาธารณสุข กระตุ้นเศรษฐกิจ และเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบ แต่หลังจากวิกฤตโรคระบาดและภาวะเศรษฐกิจถดถอยผ่านไป หลายประเทศได้แสดงเจตนารมณ์ที่ฉลาดรอบคอบโดยลดการขาดดุลภาครัฐและหนี้สาธารณะลง (fiscal consolidation) ทั้งนี้เพื่อสร้าง ‘ที่ว่างทางการคลัง’ (fiscal space) ไว้รองรับวิกฤตเศรษฐกิจในอนาคต

“นโยบายแจกเงิน digital 10,000 บาทนี้ ดูจะสวนทางกับสิ่งที่ควรจะเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศไทยที่มีอัตราส่วนรายรับจากภาษี เพียง 13.7% ของรายได้ประชาชาติ (GDP) ซึ่งถือว่าต่ำกว่าประเทศอื่น ๆ มากการทำนโยบายการคลังโดยไม่รอบคอบระมัดระวัง และไม่คำนึงถึงผลเสียที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ยังจะส่งผลต่ออันดับความน่าเชื่อถือ (creditrating) ของประเทศ ซึ่งจะทำให้ต้นทุนการกู้เงินของทั้งภาครัฐบาลและภาคเอกชนไทยสูงขึ้นกว่าที่ควรจะเป็นด้วย”

6.การแจกเงินคนละ 10,000 บาท ให้ทุกคนที่อายุเกิน 16 ปี เป็นนโยบายที่สร้างความไม่เป็นธรรมในสังคมอย่างยิ่ง เศรษฐีและมหาเศรษฐี ที่อายุเกิน 16 ปี ล้วนได้รับเงินช่วยเหลือ ทั้ง ๆ ที่ไม่มีความจำเป็น สำหรับประเทศที่เข้าสู่สังคมสูงวัยเช่นประเทศไทย การเตรียมตัวทางด้านการคลังเป็นสิ่งจำเป็น ขณะที่จำนวนคนในวัยทำงานลดลง แต่สัดส่วนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ภาระการใช้จ่ายทางด้านสวัสดิการและ สาธารณสุขจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก ผู้บริหารประเทศที่มองการณ์ไกลจึงควรใช้งบประมาณอย่างคุ้มค่าและรักษาวินัยและเสถียรภาพทางด้านการคลังอย่างเคร่งครัด

ด้วยเหตุผลต่างๆ ข้างต้น บรรดานักวิชาการและคณาจารย์เศรษฐศาสตร์ จึงเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิก 'นโยบายแจกเงิน digital 10,000บาท' แก่ผู้มีอายุ 16 ปีขึ้นไป เพราะประโยชน์ที่ประเทศจะได้นั้นน้อยกว่าต้นทุนที่เสียไปอย่างมาก นอกจากนี้ยังเป็นการสร้างบรรทัดฐานให้มีการแจกเงินเพื่อกระตุ้นให้คนจับจ่ายใช้สอยในระยะสั้น ๆ โดยไม่คำนึงถึงวินัยและเสถียรภาพการคลังในระยะยาวแม้รัฐบาลทุกรัฐบาลจะต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ต้องไม่ทำลายความยั่งยืนทางการคลังในระยะยาว หากจำเป็นที่จะต้องมีมาตรการช่วยเหลือกลุ่มคนรายได้น้อย ก็ควรทำแบบเฉพาะเจาะจงแทนการเหวี่ยงแหครอบคลุมคนทุกกลุ่ม เพราะเสถียรภาพทางการคลังของไทยและความสามารถในการจัดเก็บภาษี ไม่เอื้อให้ประเทศทำเช่นนั้น

'รมว.อว.' ชี้แจง ปมเลื่อนส่ง 'THEOS-2' ดาวเทียมสำรวจโลกกะทันหัน เหตุพบสัญญาณผิดปกติในจรวดนำส่ง ส่วนกำหนดการใหม่รอแจ้งอีกครั้ง

(7 ต.ค.66) กรณีการส่งดาวเทียมสำรวจโลก THEOS-2 ของไทยขึ้นสู่วงโคจรในช่วงเช้าของวันที่ 7 ต.ค.ที่ ท่าอวกาศยานเฟรนช์เกียนา ทวีปอเมริกาใต้ และปรากฏว่าระบบมีการแจ้งเตือนว่าพบปัญหาจากอุปกรณ์บางอย่างจึงเลื่อนการนำส่งดาวเทียมขึ้นสู่วงโคจรออกไปก่อนนั้น

นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม หรือ อว. เปิดเผยหลังจาก Arianespace แจ้งเลื่อนการนำส่งดาวเทียม THEOS-2 ก่อนนับถอยหลังเพียง 14 วินาที เนื่องจากระบบตรวจสอบได้พบค่ากระแสไฟฟ้าเกินกว่าเกณฑ์ที่กำหนด (threshold) ที่อุปกรณ์ Safety Management Unit ของจรวดนำส่ง ระบบจึงตัดการทำงานทั้งหมดโดยอัตโนมัติ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบอย่างละเอียดจาก Arianespace ซึ่งคาดว่าจะทราบผลในช่วงเช้าวันที่ 8 ตุลาคม (ตามเวลาท้องถิ่น) หรือ คืนนี้ตามเวลาในประเทศไทย ส่วนกำหนดการส่งใหม่อีกครั้งจะเป็นวันและเวลาใด ทาง GISTDA จะแจ้งให้ทราบต่อไป

‘ธ.ก.ส.’ สรุปยอด ‘พักหนี้เกษตรกร’ ผ่านแอปฯ BAAC mobile สัปดาห์แรก ชี้ ขอเข้าโครงการทะลุ 1.2 แสนคนแล้ว ย้ำ ทำได้ถึง 31 ม.ค.67 เท่านั้น

(7 ต.ค.66) ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) แจ้งว่า ยอดผู้แจ้งความประสงค์และตรวจสอบสิทธิเข้าร่วมมาตรการพักชำระหนี้ลูกค้ารายย่อย ผ่านแอปพลิเคชัน BAAC mobile ณ วันที่ 7 ต.ค. 66 เวลา 11.00 น. มีจำนวนทั้งสิ้น 122,206 ราย หลังจากยอดทะลุ 100,000 รายไปเมื่อวานนี้

ทั้งนี้ ธนาคารเปิดให้แจ้งความประสงค์มาตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2566 ซึ่งยังสามารถทำได้จนถึงวันที่ 31 มกราคม 2567 โดย ธ.ก.ส. จะนำข้อมูลมาพิจารณาเพื่อนัดหมายผู้ผ่านเกณฑ์ไปที่สาขาหรือจุดบริการที่นัดหมาย เพื่อจัดทำเอกสารที่เกี่ยวข้องและเข้ารับการประเมินศักยภาพ ความสามารถในการชำระหนี้ รวมถึงการเสริมความรู้ฟื้นฟูทักษะในการประกอบอาชีพต่อไป

โดยการแจ้งความประสงค์และตรวจสอบสิทธิผ่านแอปพลิเคชัน BAAC Mobile เพียงกรอกหมายเลขบัตรประจำตัวประชาชนของผู้แสดงความประสงค์ พร้อมหมายเลขโทรศัพท์ที่สามารถติดต่อได้ จากนั้นระบบจะมีการประมวลข้อมูลตรวจสอบคุณสมบัติ เพื่อนัดหมายผู้ผ่านเกณฑ์และผู้ค้ำประกันไปที่สาขาหรือจุดบริการที่นัดหมาย เพื่อจัดทำเอกสารที่เกี่ยวข้องเพื่อเข้ารับการประเมินศักยภาพและความสามารถในการชำระหนี้

รวมถึงการเสริมความรู้ฟื้นฟูทักษะในการประกอบอาชีพภายใต้แนวทาง ‘ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้ใหม่’ เพื่อให้มีรายได้ที่เพิ่มขึ้นหลังการพักชำระหนี้ พร้อมเตรียมผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่เหมาะสมในการฟื้นฟูการประกอบอาชีพ วงเงินสูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท ในการจัดหาปัจจัยการผลิต เพื่อให้เกษตรกรสามารถยืนได้อย่างมั่นคงหลังการพักชำระหนี้

ทั้งนี้ โครงการพักหนี้เกษตรกร 3 ปี รอบนี้ ลูกหนี้ที่เข้าข่ายต้องมีหนี้ค้างชำระที่มีเงินต้นเป็นหนี้ทุกสัญญารวมกัน ณ 30 กันยายน 2566 ไม่เกิน 300,000 บาท ซึ่งมีลูกหนี้ที่เข้าข่ายกว่า 2.69 ล้านราย 

‘แอนิเทค’ เปิดตัวเครื่องชาร์จ EV แบบพกพา เจ้าแรกที่ผลิตในไทย รับรองมาตรฐาน มอก. เพิ่มความมั่นใจผู้ใช้งาน เบิกทางสู่กรีนเทคโนโลยี

เมื่อไม่นานนี้ นายโธมัส พิชเยนทร์ หงษ์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ก่อตั้ง บริษัท สมาร์ท ไอดี กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า เทรนด์การใช้รถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า ทั้งแบบแบตเตอรี่และแบบปลั๊กอินไฮบริด มีอัตราการเติบโตที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก

โดยมีการคาดการณ์ว่าในปีนี้ มีปริมาณกว่า 15 ล้านคัน และในปี 2567 จะเพิ่มขึ้นรวมกว่า 17.9 ล้านคัน ทั่วโลก ขณะที่ประเทศไทยก็มีส่วนแบ่งยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าประเภท BEV และ PHEV มากที่สุดในภูมิภาคอาเซียนกว่า 59.2% จึงเป็นโอกาสและที่มาของการแตกไลน์เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ของแอนิเทค ซึ่งใช้เวลาในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ร่วมกับวิศวกรรถยนต์ EV กว่า 1 ปี ด้วยงบประมาณกว่า 5 ล้านบาท

‘แอนิเทค’ จึงเป็นแบรนด์แรกที่ผลิต ‘Portable EV Charger’ ในประเทศไทยเป็นเจ้าแรก ด้วยการนำ มอก.11 และ มอก.166 มาใช้กับผลิตภัณฑ์ เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการใช้งานให้แก่ผู้บริโภค และยังรับประกันสินค้า 1 ปี รับประกันสูงสุดถึง 300,000 บาท เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคในกลุ่มตลาดรถยนต์ไฟฟ้าด้วยผลิตภัณฑ์ที่คุณภาพสูงและบริการหลังการขายที่เข้าถึงได้ ด้วยความเชี่ยวชาญกว่า 18 ปี ในตลาดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์

โดยภายในปีนี้ คาดว่าเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ‘แอนิเทค อีวี วัน’ จะสร้างยอดขายได้มากกว่า 1,000 ชิ้น และจะสูงขึ้นในปีต่อๆ ไปตามเทรนด์ ผ่านการขยายตลาดไปยังกลุ่มผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้า และรับผลิตให้กับแบรนด์รถยนต์ที่ตั้งฐานผลิตและประกอบในประเทศไทย

ทั้งยังมองโอกาสที่จะขยายไปยังต่างประเทศ ที่มีส่วนแบ่งยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าประเภท BEV และ PHEV ถึง 40% โดยเฉพาะประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยจะทำการตลาดผ่านช่องทางออนไลน์และตัวแทนจำหน่ายในประเทศต่างๆ

สำหรับ ‘แอนิเทค อีวี วัน’ มีรูปแบบหัวปลั๊ก Type2 ที่ปรับกำลังไฟฟ้า ได้ 4 ระดับตั้งแต่ 16 แอมป์, 13 แอมป์, 10 แอมป์ และ 8 แอมป์ พร้อมกำลังขับ 3.5 กิโลวัตต์ หน้าจอแสดงผล LCD ขนาด 3 นิ้ว ไฟแสดงสถานะแบบ LED พร้อมปุ่มทัชสกรีน มีมาตรฐานการป้องกันน้ำและฝุ่น IP65 ปริมาณกระแสไฟฟ้า Input/ Output : 250 VAC 50 Hz และสายไฟยาว 5 เมตร ทั้งยังเพิ่มความสะดวกสบายด้วยโหมดการตั้งเวลาชาร์จ

โดยมีระบบการป้องกันครอบคลุมทุกความปลอดภัย ได้แก่  ป้องกันแรงดันไฟฟ้าเกิน, ป้องกันไฟฟ้าไหลเกินกำลัง, ป้องกันแรงดันไฟฟ้าตก, ระบบสายดินป้องกันไฟฟ้ารั่วไหล, ป้องกันอุณหภูมิสูงเกินไป รวมถึงป้องกันฟ้าผ่า

“ปีนี้แอนิเทคมีสินค้าที่เปิดตัวใหม่กว่า 150 รายการ เมื่อรวมกับสินค้าทั้งหมดจะทำให้แอนิเทคมีสินค้าที่วางจำหน่ายในตลาดมากกว่า 1,000 รายการ ครอบคลุมในหมวดสินค้า computer accessories, home devices, home appliences และ personal care และในปีหน้าคาดว่าจะเปิดตัวสินค้าใหม่อีก 200 รายการ จะทำให้แอนิเทคมีสินค้ารวมกันมากกว่า 1,200 รายการ” นายโธมัส พิชเยนทร์ กล่าว

ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายในการเดินหน้าสู่อุตสาหกรรม Green Technology ที่กำลังเป็นเทรนด์ของโลกยุคใหม่และมีผลกระทบต่อคนทั่วโลก โดยจะมีสินค้าที่เกี่ยวข้องกับกรีนเทคโนโลยี ตามมาอีกมากมายตัวอย่างเช่น Anitech EV-ONE V2L ที่คาดว่าจะเปิดตัวต้นปีหน้าด้วย

‘ชนินทร์’ ยัน!! เงินดิจิทัล 1 หมื่น ช่วยฟื้นเศรษฐกิจไทยพ้นภาวะโคม่า

นายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง และรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีกลุ่มนักวิชาการเรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่นบาทว่า...

โครงการดิจิทัลวอลเล็ตเป็นการเติมกำลังซื้อครั้งใหญ่ให้ประเทศ กระจายอยู่ทุกชุมชน เงิน 1 หมื่นบาทต่อคนไม่ใช่แค่ช่วยปัญหาค่าครองชีพให้ประชาชนเดินต่อได้ แต่เป็นจำนวนมากพอที่จะดึงดูดการลงทุน เปิดธุรกิจใหม่ ๆ มารองรับกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้นและหมุนวนรอบต่อไปเรื่อย ๆ เงินจำนวนนี้หมุนเวียนต่อเนื่องในระบบเศรษฐกิจไทย 

ส่วนความกังวลที่มาของเงินและมาตรการดำเนินนโยบายต่าง ๆ ที่อาจไม่รัดกุมนั้น รัฐบาลตั้งคณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน 1 หมื่นบาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ตที่ประสานความเห็น มุมมองรอบด้านจากภาคส่วนต่าง ๆ เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณ มาเป็นกรรมการร่วมตัดสินใจดำเนินนโยบาย มั่นใจได้ว่าการตัดสินใจใด ๆ รัดกุม โปร่งใส รักษาผลประโยชน์ประชาชนมากที่สุด 

รัฐบาลมีเป้าหมายกระตุ้นเศรษฐกิจประเทศอย่างรวดเร็ว ปั๊มหัวใจเศรษฐกิจระยะเร่งด่วน ปลุกกำลังซื้อให้ฟื้นตัว ให้เศรษฐกิจประเทศพ้นโคม่า จากนั้นจะมีนโยบายอื่นๆมาเสริมให้ประชาชนสร้างรายได้ เศรษฐกิจหมุนเวียน ฟื้นประเทศไทย ยึดกรอบวินัยการเงินการคลังของประเทศอย่างรัดกุม

‘THEOS-2’ ทะยานขึ้นสู่วงโคจรสำเร็จ พร้อมเริ่มปฏิบัติการสำรวจโลก ด้าน ‘นายกฯ’ ร่วมยินดี หนุนใช้เทคโนโลยีทันสมัยช่วยขับเคลื่อนประเทศ

ดาวเทียม ‘THEOS-2’ ประสบความสำเร็จขึ้นสู่วงโคจรแล้ว เริ่มปฏิบัติการสำรวจโลก นายกฯ เศรษฐา ร่วมยินดี ขอบคุณกระทรวง อว. ขณะที่ ‘ศุภมาส’ ชี้ข้อมูลจากดาวเทียม THEOS-2 จะถูกนำมาวางแผนบริหารจัดการพื้นที่ที่ตอบสนองต่อสถานการณ์ฉุกเฉินต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพภายใน 5 – 8 วันจากนี้

(9 ต.ค. 66) มีการนำส่งดาวเทียมสำรวจโลก ‘THEOS-2’ (Thailand Earth Observation Satellite 2) ขึ้นสู่วงโคจรจากท่าอวกาศยานยุโรปเฟรนช์เกียนา (Guiana Space Center) เมืองกูรู รัฐเฟรนช์เกียนา ทวีปอเมริกาใต้ มี น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) พร้อมด้วยผู้บริหารสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ หรือ ‘GISTDA’ รวมทั้งสักขีพยานจากประเทศไทยและสาธารณรัฐฝรั่งเศสรวมถึงประชาชนทั่วโลก ที่สนใจในเหตุการณ์ครั้งสำคัญนี้

โดยเมื่อถึงเวลา 08.36 น.ตามเวลาในประเทศไทย ดาวเทียมสำรวจโลก THEOS-2 ได้ถูกนำส่งด้วย จรวด ‘VEGA’ พร้อมมีการให้สัญญาณนับถอยหลังใน 10 วินาทีสุดท้ายหลังจากนั้นดาวเทียมสำรวจโลก THEOS-2 ได้ถูกส่งขึ้นสู่วงโคจรท่ามกลางความตื่นเต้นดีใจ หลังจากลุ้นระทึก โดยผู้อยู่ในเหตุการณ์ครั้งสำคัญต่างพากันจับมือแสดงความยินดี

ทั้งนี้ น.ส.ศุภมาส กล่าวภายหลังจากดาวเทียมสำรวจโลก THEOS-2 ขึ้นสู่วงโคจรของอวกาศว่า รู้สึกดีใจและโล่งใจที่การปล่อยดาวเทียมสำรวจโลก THEOS-2 ราบรื่น ประสบความสำเร็จ แม้จะมีอุปสรรคบ้าง แต่ทุกอย่างก็เป็นไปตามกระบวนการ

โดยขณะนี้ สามารถกล่าวได้ว่าดาวเทียม THEOS-2 ได้เริ่มปฏิบัติการสำรวจโลกแล้ว โดยหลังจากปล่อยดาวเทียมในเวลา 08:36 น. จะใช้เวลากว่า 52 นาทีในการเข้าสู่วงโคจรที่ระดับความสูง 621 กิโลเมตร เมื่อดาวเทียมขึ้นไปแล้ว จะทดสอบระบบในอวกาศร่วมกับสถานีภาคพื้นดินราวๆ 3 เดือน ก่อนจะใช้งานได้ แต่อย่างไรก็ตาม หากมีสถานการณ์เร่งด่วนเกิดขึ้น อาทิ ภัยพิบัติ THEOS-2 ก็สามารถสั่งถ่ายภาพได้ภายใน 5 – 8 วัน หลังจากดาวเทียมเข้าสู่วงโคจร

“ภารกิจนี้เป็นภารกิจที่ยิ่งใหญ่ของกระทรวง อว.และประเทศไทย หลังจากนี้จะมีการต่อยอดยกระดับด้านต่างๆ ของประเทศรวมทั้งการให้ข้อมูลข่าวสารกับประชาชนให้รู้ว่าดาวเทียม THEOS-2 มีประโยชน์อย่างไร สามารถนำไปใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง ข้อมูลจากดาวเทียม THEOS-2 จะถูกใช้ในการปรับปรุงและทำให้ข้อมูลในทุกพื้นที่ของไทยเป็นปัจจุบัน ทันสมัย และมีความละเอียดที่ถูกต้อง ช่วยให้ทุกการวางแผนบริหารจัดการพื้นที่ที่ตอบสนองต่อสถานการณ์ฉุกเฉินต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ” รมว.กระทรวง อว.กล่าว

ในโอกาสนี้นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวแสดงความยินดี ว่า ในนามของรัฐบาลไทยและประชาชนคนไทยทุกคน ขอแสดงความยินดีที่วันนี้ประเทศไทยประสบความสำเร็จสามารถส่งดาวเทียม THEOS-2 ขึ้นสู่วงโคจรได้เป็นผลสำเร็จ ซึ่งรัฐบาลมุ่งเน้นมาตลอดว่าจะใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เป็นเครื่องมือในการพัฒนาประเทศ และพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับพี่น้องประชาชน ข้อมูลจากดาวเทียม THEOS-2 จะเป็นข้อมูลพื้นฐานที่สำคัญในการนำไปพัฒนาสร้างประโยชน์ได้ในหลากหลายมิติ อาทิ การบริหารจัดการเกษตร การบริหารจัดการเมือง การบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การบริหารจัดการน้ำ และการบริหารจัดการภัยธรรมชาติ ซึ่งจะนำมาสู่ความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอย่างเท่าเทียมและทั่วถึงของพี่น้องประชาชน

“ผมขอขอบคุณกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) และ GISTDA ที่จะช่วยขับเคลื่อนและผลักดันวงการอวกาศของประเทศไทยให้มีความก้าวหน้า” นายเศรษฐา กล่าว

ด้าน ดร.ปกรณ์ อาภาพันธุ์ ผู้อำนวยการ GISTDA กล่าวว่า “หลังจากดาวเทียมเข้าสู่วงโคจรแล้ว จะทำการปรับตัวเพื่อเข้าสู่โหมดของการทำงาน รวมทั้งทดสอบระบบควบคุมและติดต่อสื่อสารกับภาคพื้นดิน เพื่อความเสถียรและความแม่นยำของข้อมูลโดยใช้เวลาประมาณ 6 เดือน หลังจากนั้น GISTDA จะเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนได้เข้าถึงข้อมูล เพื่อนำไปต่อยอดหรือให้การบริการเชิงพาณิชย์ได้ ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมการพัฒนาระบบเศรษฐกิจภายในประเทศ รวมถึงจะเป็นแรงผลักดันขับเคลื่อนด้านการศึกษา การวิจัยและนวัตกรรมในการใช้ข้อมูลเชิงพื้นที่ และเทคโนโลยีอวกาศในการพัฒนาองค์ความรู้ เพื่อสร้างนักวิทยาศาสตร์และวิศวกรในสาขาที่เกี่ยวข้องต่อไป”

‘กระทรวงพลังงาน’ เกาะติดสถานการณ์สู้รบ ‘อิสราเอล-ฮามาส’ หวั่นดันราคาพลังงานโลกพุ่ง ย้ำ ปริมาณสำรองของไทยยังมีพร้อม

(9 ต.ค. 66) นายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่ากระทรวงพลังงานเกาะติดสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาส (Hamas) หรือองค์กรการเมืองติดอาวุธของชาวปาเลสไตน์อย่างใกล้ชิด

ทั้งนี้ประเทศไทยจะยังไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง เพราะไม่ได้มีการนำเข้าพลังงานทั้งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) จากอิสราเอลหรือปาเลสไตน์

เนื่องจากปัจจุบันไทยนำเข้าน้ำมันดิบจากประเทศกลุ่มตะวันออกกลางประมาณร้อยละ 57 และในส่วนของแอลเอ็นจีนำเข้าจากต่างประเทศประมาณร้อยละ 33 จากหลากหลายแหล่ง

ทางกระทรวงพลังงานก็ได้ติดตามสถานการณ์ต่อเนื่อง เพื่อประเมินและเตรียมความพร้อมหากเกิดสถานการณ์ที่รุนแรงขึ้น โดยกระทรวงพลังงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เตรียมความพร้อมด้านปริมาณสำรองพลังงาน

โดยปัจจุบันไทยมีปริมาณสำรองน้ำมันดิบ 3,910 ล้านลิตร ปริมาณสำรองน้ำมันดิบที่อยู่ระหว่างขนส่งอีก 1,637 ล้านลิตร น้ำมันสำเร็จรูป 2,180 ล้านลิตร ทำให้มีน้ำมันเชื้อเพลิงสำรองใช้ได้กว่า 2 เดือน แบ่งเป็น น้ำมันดิบ 33 วัน อยู่ระหว่างขนส่งอีก 14 วัน และน้ำมันสำเร็จรูป 20 วัน ส่วนก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) สำหรับในภาคครัวเรือนใช้ได้ 21 วัน

“หากสถานการณ์มีความยืดเยื้อและรุนแรงขึ้น สิ่งที่น่ากังวลที่สุดจะเป็นเรื่องของราคาพลังงานโลก เนื่องจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ในภูมิภาคตะวันออกกลาง ที่เป็นผู้ผลิตและส่งออกพลังงานรายใหญ่ของโลก ซึ่ง sentiment หรือสภาวะอารมณ์ของตลาดอาจจะมีผลทำให้ราคาพลังงานสูงขึ้นได้ แม้ว่าในปัจจุบันราคาน้ำมันจะยังคงแกว่งตัวในช่วงแคบ ๆ แต่ยังคงต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด”

นายประเสริฐกล่าวว่า แต่อย่างไรก็ดีกระทรวงพลังงานจะยังคงดำเนินการอย่างเต็มที่ในการบรรเทาให้เกิดผลกระทบกับประชาชนให้น้อยที่สุด และขอให้ประชาชนเข้าใจสถานการณ์วิกฤตนี้และร่วมกันใช้พลังงานโดยเฉพาะน้ำมันอย่างประหยัดและคุ้มค่าที่สุด เพื่อผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกัน

‘สส.ณัฐพงษ์’ ยัน!! ดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่นบาท ไม่ใช่การหาเสียง ย้ำ!! รัฐบาลมุ่งกระตุ้นกำลังซื้อ พ่วงกระตุ้นภาคการผลิต

นายณัฐพงษ์ สุปริยศิลป์ สส.น่าน พรรคเพื่อไทย ประธานกรรมาธิการการเงิน การคลัง สถาบันการเงินและตลาดการเงิน สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงการดำเนินนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตว่า…

ทราบถึงความกังวลและความไม่เข้าใจของคนกลุ่มต่าง ๆ ขณะนี้อยู่ในช่วงที่รัฐบาลเริ่มต้นจัดทำนโยบาย หลายฝ่ายอาจไม่ทราบข้อมูลชัดเจน จากการหารือกับนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง ทราบว่าจะประกาศความชัดเจนเต็มรูปแบบเร็ว ๆ นี้ 

โครงการนี้ไม่ใช่โปรยเงินหาเสียง แต่ต้องการช่วยเหลือประชาชนอย่างเป็นรูปธรรมให้มีกำลังจับจ่ายใช้สอย ทำให้เศรษฐกิจประเทศหมุนเวียนครั้งใหญ่ แม้นักวิชาการบางส่วนเห็นว่าเศรษฐกิจประเทศกำลังดีขึ้นไม่จำเป็นต้องดำเนินโครงการนี้ แต่ในข้อเท็จจริงประชาชน โดยเฉพาะต่างจังหวัดยังยากลำบาก จำเป็นต้องกระตุ้นเศรษฐกิจโดยตรงไปที่ประชาชนจำนวนมากให้มีกำลังซื้อมากขึ้น เมื่อมีกำลังซื้อ สินค้าก็ขายได้ จะกระตุ้นภาคการผลิตสินค้าต่าง ๆ ให้คนมีงานทำ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top