Tuesday, 13 May 2025
GoodsVoice

'สันติธาร เสถียรไทย' ผงาดนั่ง 'บอร์ด กนง.' อายุน้อยที่สุด ดีกรีนักพยากรณ์เศรษฐกิจยอดเยี่ยมระดับโลก 3 ปีซ้อน

(4 ต.ค. 66)​​​​​​ นางสาวดวงพร รอดเพ็งสังคหะ เลขานุการคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2566 ที่ประชุมได้คัดเลือกและแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) แทนกรรมการที่พ้นจากตำแหน่งตามวาระ โดยกรรมการใหม่จะมีวาระการดำรงตำแหน่ง 3 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2566 ดังนี้

1.นายไพบูลย์ กิตติศรีกังวาน
2.นายรพี สุจริตกุล
3.นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส
4.นายสันติธาร เสถียรไทย

สำหรับนายสันติธาร เสถียรไทย ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาบริษัท Sea Group ซึ่งเป็นเจ้าของ Garena, Shopee และ AirPay และเป็นบริษัทเทคโนโลยี “ยูนิคอร์น”ที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน

นายสันติธารเคยเป็นผู้บริหารสูงสุดของทีมเศรษฐกิจเอเชียที่ธนาคาร Credit Suiss มีหน้าที่วิเคราะห์พยากรณ์เศรษฐกิจและให้คำแนะนำการลงทุนใน10 เศรษฐกิจในเอเชีย เป็นนักเศรษฐศาสตร์ผู้เดียวในเอเชียที่ชนะรางวัลพยากรณ์เศรษฐกิจยอดเยี่ยมระดับโลกของ Consensus Economics ติดกันสามปีซ้อน

เคยได้รับการโหวตเป็นนักเศรษฐศาสตร์มหภาคอันดับ 1 ของประเทศไทยโดย Asia Money และเป็นคนเดียวจากอาเซียนที่ได้เชิญจาก World Economic Forum ให้เป็นสมาชิกกลุ่มนักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำที่มาช่วยคิดออกแบบอนาคตเศรษฐกิจโลกหลังโควิด-19 (Global Chief Economist Community) รวมทั้งยังเคยทำงานที่กระทรวงการคลังในประเทศไทย และ Government of Singapore Investment Corporation

นายสันติธาร จบปริญญาเอกด้านนโยบายเศรษฐกิจจาก มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (Harvard University) ด้วยทุนการศึกษาของมหาวิทยาลัย จบปริญญาโทด้านรัฐประศาสนศาสตร์ด้านการพัฒนาระหว่างประเทศจากที่เดียวกันพร้อมรางวัลวิทยานิพนธ์ยอดเยี่ยม และจบปริญญาตรีด้านเศรษฐศาสตร์และโทจากมหาวิทยาลัย London School of Economics and Political Sciences (LSE)

‘NRPT’ จับมือ ‘ION’ เดินเครื่องโรงงาน Plant & Bean (Thailand) ปฏิวัติอุตสาหกรรมอาหาร ผลิตโปรตีนจากพืชด้วยพลังงานโซลาร์ 

เมื่อไม่นานมานี้ บริษัท เอ็นอาร์พีที จำกัด ร่วมกับ บริษัท ไอออน เอนเนอร์ยี่ จำกัด เดินเครื่องกำลังการผลิตโปรตีนจากพืชด้วยพลังงานโซลาร์ ขนาดติดตั้ง 389.61 kWp โดยผ่านการทดสอบระบบแล้ว 3 เดือน ผลิตกระแสไฟฟ้าได้ 800 kWh ต่อวัน สร้างปรากฎการณ์ใหม่แห่งความยั่งยืน ตั้งแต่การผลิตด้วยพลังงานสะอาด ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนเดือนละ 27 ตัน ลดต้นทุนค่าไฟฟ้าได้ถึง 30% สร้างความได้เปรียบในการควบคุมต้นทุนการผลิต พร้อมช่วยให้ผู้บริโภคเข้าถึงอาหารโปรตีนทางเลือกจากพืช ด้วยราคาที่เข้าถึงได้ ตอบโจทย์คนรักสุขภาพและสิ่งแวดล้อม

ดร.บุรณิน รัตนสมบัติ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจใหม่และโครงสร้างพื้นฐาน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และประธานกรรมการ บริษัท อินโนบิก (เอเซีย) จำกัด เปิดเผยว่า โรงงาน Plant & Bean (Thailand) ของ NRPT เป็นโรงงานผลิตอาหารโปรตีนจากพืชครบวงจรที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ด้วยกำลังการผลิตสูงสุดที่ 25,000 ตันต่อปี โดยจะเริ่มเปิดดำเนินการระยะแรก ไตรมาส 4 ปี 2566 ที่กำลังการผลิต 3,000 ตันต่อปี สายการผลิตของโรงงานถูกออกแบบเป็นกึ่งอัตโนมัติเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต

ขณะเดียวกัน บริษัทมุ่งเน้นในเรื่อง ESG (Environmental, Social and Governance) ดังนั้นการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในกระบวนการผลิต นอกจากจะช่วยลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกของโรงงาน ยังช่วยลดภาระค่าไฟได้มากถึง 30% ต่อเดือน เป็นการบริหารจัดการต้นทุนพลังงานที่จะทำให้บริษัทสามารถแข่งขันได้ และได้รับการยอมรับจากลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ ดังนั้นความร่วมมือในครั้งนี้จะสร้างความเปลี่ยนแปลงตั้งแต่กระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ลดต้นทุนให้กับผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมอาหารแห่งอนาคต และเพิ่มทางเลือกให้ผู้บริโภคที่ต้องการการดูแลทางด้านโภชนาการได้เข้าถึงผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพได้ง่ายยิ่งขึ้นตามเป้าหมายของกลุ่ม ปตท. ที่ต้องการสร้างอุตสาหกรรมใหม่ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

นายเกียรติ์กมล ตั้งงามจิตต์ กรรมการผู้จัดการ โรงงานแพลนท์ แอนด์ บีน (ประเทศไทย) กล่าวว่า “ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา การผลิตด้วยพลังงานสะอาดนี้ช่วยให้โรงงานของ NRPT สามารถลดการปล่อยคาร์บอนได้เดือนละ 27 ตัน ซึ่งคาดว่าภายใน 1 ปีจะสามารถลดการปล่อยคาร์บอนได้ถึง 324 ตัน ซึ่งการเปลี่ยนแปลงการผลิตมาสู่พลังงานสะอาดในครั้งนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญ เนื่องจากการขับเคลื่อนด้วยพลังงานสะอาดของ NRPT ในฐานะผู้ผลิตอาหารเพื่อความยั่งยืน ถือเป็นจุดเริ่มต้นการกำหนดรูปแบบธุรกิจที่มุ่งสู่การลดคาร์บอนตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ ทั้งจากการผลิตด้วยพลังงานจากโซลาร์เป็นการลดคาร์บอนโดยตรงแล้ว การส่งเสริมให้ผู้คนหันมาบริโภคโปรตีนจากพืช ก็เป็นอีกวิธีลดคาร์บอนอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากกระบวนการผลิตอาหารปล่อยก๊าซเรือนกระจกราว 30% ของก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดที่เกิดขึ้นบนโลก ในจำนวนนี้กว่าครึ่งหนึ่งเกิดจากการผลิตเนื้อสัตว์ ซึ่งตอบโจทย์ผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพและสิ่งแวดล้อมอีกด้วย”

นายพีรกานต์ มานะกิจ ประธานอำนวยการ บริษัท ไอออน เอนเนอร์ยี่ จำกัด หรือ ION ผู้จัดหาโซลูชั่นพลังงานโซลาร์ครบวงจร ตั้งแต่การจัดหาแผงโซลาร์ การออกแบบและติดตั้ง รวมถึงการลงทุนติดตั้งโซลาร์ฟรี ผ่านการเซ็นสัญญาซื้อขายไฟภาคเอกชน หรือ Private PPA เปิดเผยว่า ION ได้ส่งมอบโครงการติดตั้งระบบพลังงานโซลาร์ครบวงจรขนาดติดตั้ง 389.61 Kilowatt Peak (kWp) ให้กับโรงงาน Plant & Bean (Thailand) โดยก่อนทำการส่งมอบงานในครั้งนี้ได้ผ่านช่วงทดสอบระบบมาแล้วตั้งแต่เดือน มิ.ย. - กลางเดือน ก.ย. 2566 พบว่าสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานโซลาร์ให้กับโรงงานได้สูงสุดวันละ 800 kWh หรือคิดเป็น 60% ของไฟฟ้าทั้งหมดที่โรงงานต้องใช้ในแต่ละวัน สามารถครอบคลุมการใช้ไฟฟ้าในช่วงกลางวันได้เกือบ 100% โดยการให้บริการของ ION จะมีระบบเชื่อมต่อระหว่างการใช้ไฟฟ้าจากโซลาร์และการใช้ไฟฟ้าจากการไฟฟ้าในช่วงกลางคืนอย่างไม่มีสะดุด เพื่อให้โรงงานสามารถเดินหน้าระบบสายการผลิตได้อย่างต่อเนื่องทั้งช่วงกลางวันและกลางคืน รวมถึงมีแอปพลิเคชัน ION Energy ที่สามารถตรวจสอบระบบการทำงาน ควบคุมการทำงาน รวมถึงสามารถตรวจสอบค่าไฟฟ้าจากโซลาร์ได้อย่างสะดวกและแม่นยำ

‘เอ็กโก กรุ๊ป’ เปิดให้บริการ ‘ระบบขนส่งน้ำมันทางท่อไปอีสาน’ ช่วยลดต้นทุน - เพิ่มประสิทธิภาพการขนส่ง - มุ่งเป้า Net Zero

เมื่อวานนี้ (4 ต.ค. 66) บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็กโก กรุ๊ป ประกาศเปิดให้บริการ ‘ระบบขนส่งน้ำมันทางท่อ ไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ’ อย่างเต็มรูปแบบ ภายใต้การดำเนินงานของ บริษัท ไทย ไปป์ไลน์ เน็ตเวิร์ค จำกัด (TPN) ซึ่งเอ็กโก กรุ๊ป ถือหุ้นในสัดส่วน 44.6% โดยระบบขนส่งน้ำมันทางท่อไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะช่วยลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และสนับสนุนการขับเคลื่อนสู่เป้าหมายสังคมคาร์บอนต่ำ พร้อมเสริมทัพธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่อง ในกลุ่มธุรกิจเชื้อเพลิงและสาธารณูปโภคของเอ็กโก กรุ๊ป

นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอ็กโก กรุ๊ป เปิดเผยว่า การเปิดให้บริการระบบขนส่งน้ำมันทางท่อไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะมาช่วยเสริมทัพธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่อง ในกลุ่มธุรกิจเชื้อเพลิงและสาธารณูปโภคของเอ็กโก กรุ๊ป ซึ่งจะช่วยลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 80,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี

โดยคาร์บอนเครดิตจะเป็นของผู้มาใช้บริการระบบขนส่งน้ำมันทางท่อและคลังน้ำมันของ TPN และยังสอดคล้องกับเป้าหมายระยะยาวของเอ็กโก กรุ๊ป ในการบรรลุการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2593 (ปี ค.ศ.2050)

นอกจากนี้ โครงการนี้เป็นโครงการขนาดใหญ่ที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศและสอดคล้องกับนโยบายการส่งเสริมของภาครัฐ เพื่อรองรับความต้องการใช้น้ำมันที่เพิ่มขึ้นในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยจะช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งน้ำมันมายังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมทั้งลดปัญหาการจราจรและอุบัติเหตุบนถนน

TPN ดำเนินธุรกิจให้บริการระบบขนส่งน้ำมันทางท่อไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือและให้บริการคลังน้ำมัน โดยระบบขนส่งน้ำมันทางท่อไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีระยะทางรวม 342 กิโลเมตร และมีกำลัง การขนส่งสูงสุดต่อปีอยู่ที่ 5,443 ล้านลิตร ซึ่งจะเชื่อมต่อคลังน้ำมันของ บริษัท ท่อส่งปิโตรเลียมไทย จำกัด (Thappline) ในจังหวัดสระบุรี ไปยังคลังน้ำมันขนาด 157 ล้านลิตร ของ TPN ที่อำเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น ซึ่งเป็นคลังที่มีความทันสมัยและมีขนาดใหญ่ที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยมีรถน้ำมันของกลุ่มลูกค้าบริษัทค้าปลีกน้ำมันชั้นนำของประเทศใช้บริการและมารับน้ำมันออกแล้วตั้งแต่เดือนกันยายน 2566 

‘กกพ.’ ประกาศ ครม.มีมติ ‘ลดค่าไฟ’ เหลือ 3.99 บาทต่อหน่วย มีผลตั้งแต่ ก.ย.66 ชี้ หากจ่ายไปแล้วจะหักในรอบบิลถัดไปแทน

(5 ต.ค.66) นายคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ในฐานะโฆษก กกพ. เปิดเผยว่า บอร์ด กกพ.มีมติเห็นชอบค่าเอฟทีเรียกเก็บในงวดเดือนกันยายน - ธันวาคม 2566 ตามที่ผู้รับใบอนุญาตซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจเสนอมาในอัตรา 20.48 สตางค์ต่อหน่วย 

ทั้งนี้ จะทำให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยรวมอยู่ที่ 3.99 บาทต่อหน่วย (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 18 กันยายน 2566 ซึ่งมีมติเห็นชอบในหลักการมาตรการปรับลดอัตราค่าไฟฟ้าที่ประกาศเรียกเก็บกับผู้ใช้ไฟฟ้ารอบเดือนกันยายน - ธันวาคม 2566 ในอัตรา 4.45 บาทต่อหน่วย ลงเหลือในอัตรา 3.99 บาทต่อหน่วย 

โดยให้กระทรวงพลังงาน คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) และรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการในส่วน ที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้อง รอบคอบ เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติ ครม. ที่เกี่ยวข้อง

อย่างไรก็ดี สำนักงาน กกพ. อยู่ระหว่างดำเนินการส่งหนังสือแจ้งการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย (กฟผ. กฟน. และ กฟภ.) เพื่อประกาศค่าเอฟทีค่าใหม่ในรอบเดือนกันยายน - ธันวาคม 2566 

สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าที่จ่ายค่าไฟฟ้าในรอบเดือนกันยายน 2566 ไปแล้ว จะได้รับการหักส่วนลดค่าไฟฟ้าดังกล่าวในรอบบิลเดือนตุลาคมนี้ต่อไป

"การดำเนินการดังกล่าวอาศัยอำนาจตามมาตรา 64 ประกอบกับมาตรา 69 แห่ง พ.ร.บ. การประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. 2550 และข้อ 11 ตามประกาศ กกพ. เรื่อง กระบวนการขั้นตอนการใช้สูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ พ.ศ. 2565" 

‘EA’ ส่งมอบชุดแบตเตอรีลิเทียมไอออน ‘อมิตา เทคโนโลยี’ ให้ กทม. หนุนพัฒนารถสันดาปสู่รถไฟฟ้าดัดแปลง หวังแก้ปัญหาฝุ่น-มลภาวะ

บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ (EA) ผู้นำนวัตกรรมพลังงานสะอาด เดินหน้าส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า นายอมร ทรัพย์ทวีกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ ได้ส่งมอบชุดแบตเตอรีลิเทียมไอออน ใช้สำหรับดัดแปลงรถสันดาปเป็นรถไฟฟ้า (EV Conversion) จากนวัตกรรมระบบกักเก็บพลังงานแบบครบวงจร ‘อมิตา เทคโนโลยี (ประเทศไทย)’ โดยมี นางสาวอำภา นรนาถตระกูล ผู้อำนวยการสำนักการคลัง เป็นผู้แทนผู้บริหารกรุงเทพมหานครรับมอบ ณ ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร

สำหรับโครงการรถยนต์ไฟฟ้าดัดแปลงต้นแบบ เป็นความร่วมมือระหว่าง ‘กรุงเทพมหานคร’ กับ ‘สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ’ (สสส.) มูลนิธิส่งเสริมการออกแบบอนาคตประเทศไทย ตามโครงการสานพลังขับเคลื่อนเคานต์ดาวน์ PM2.5 เพิ่มสุขภาวะผู้คนในพื้นที่ กทม. ซึ่งมุ่งแก้ปัญหามลพิษทางอากาศ

โดยหนึ่งในแผนงาน คือ การนำรถยนต์สันดาป มาทำการดัดแปลงเป็นรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าที่ไม่มีการปล่อยมลพิษและฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) เพื่อทำการศึกษาประโยชน์จากการใช้รถยนต์ไฟฟ้า ต้นทุนการดำเนินการ ความคุ้มค่า ความปลอดภัยในการใช้งาน และความเหมาะสมในการปรับเปลี่ยนรถยนต์ราชการของกรุงเทพมหานครเป็นรถยนต์ไฟฟ้า ในการนี้ บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) ได้ให้การสนับสนุนแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนขนาด 30 กิโลวัตต์-ชั่วโมง ซึ่งเป็นอุปกรณ์หลักในการจัดทำรถยนต์ไฟฟ้าดัดแปลงที่มีมูลค่าสูง

โดยการดัดแปลงนั้น กทม. ร่วมกับศูนย์วิจัย Mobility & Vehicle Technology Research Center (MOVE) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ในการดำเนินการดัดแปลงรถยนต์ไฟฟ้าต้นแบบ

คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2566 จากนั้นจะมีการจัดทำชุดความรู้เกี่ยวกับการดัดแปลง

การใช้งาน และการบำรุงรักษารถยนต์ไฟฟ้า รวมถึงจัดทำหลักสูตรการดัดแปลงรถยนต์ไฟฟ้าเพื่ออบรมให้ความรู้แก่ผู้สนใจทั่วไปผ่านโรงเรียนฝึกอาชีพกรุงเทพมหานครต่อไป

'การบินไทย' จัดงาน Thai Networking 'The Rising of Northern' ส่งเสริมการขายตัวแทนจำหน่ายบัตรจาก 'ประเทศญี่ปุ่น-เกาหลีใต้'

(6 ต.ค.66) นายกรกฏ ชาตะสิงห์ ประธานเจ้าหน้าที่สายการพาณิชย์ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เป็นประธานเปิดกิจกรรม 'THAI Networking' 'The Rising of Northern' เพื่อกระชับความสัมพันธ์อันดีระหว่างบริษัทฯ กับตัวแทนจำหน่ายบัตรโดยสารชั้นนำจากประเทศญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ณ โรงแรม สลิล ริเวอร์ไซด์

โดยกิจกรรมครั้งนี้ บริษัท การบินไทยฯ ได้สื่อสารทิศทางการดำเนินงานของบริษัทฯ ต่อตัวแทนจำหน่ายจากประเทศญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ รวมทั้ง ชี้แจงความคืบหน้าการปรับโครงสร้างธุรกิจ และเส้นทางบินของสายการบินไทยสมายล์ และแนะนำเส้นทางบินใหม่สู่อิสตันบูล ประเทศตุรกี ที่จะเปิดให้บริการในวันที่ 1 ธันวาคม 2566 นี้

อีกทั้ง นำเสนอผลิตภัณฑ์และการให้บริการบนเครื่องบินรูปแบบใหม่ อาทิ Amenity Kits จาก Jim Thompson ช็อกโกแลตจากกานเวลา และกาดโกโก้ บริการสื่อสาระบันเทิงบนเครื่องบิน และเมนูอาหารไทยแบบ All day dine สำหรับให้บริการผู้โดยสารในชั้นหนึ่งและชั้นธุรกิจ ที่รังสรรค์โดยเชฟโบ ดวงพร ทรงวิศวะ เจ้าของรางวัลเชฟหญิงที่ดีที่สุดของเอเชีย ปี 2013 (Asia’s 50 Best Restaurants 2013) จากการจัดอันดับของนิตยสาร Restaurant 

ทั้งนี้ เพื่อเป็นการส่งเสริมการขายและการตลาดที่รองรับการขยายเครือข่ายจุดบิน รวมทั้ง วางแผนการขายรองรับเที่ยวบินในตารางบินฤดูหนาว ปี 2566 และเตรียมความพร้อมสำหรับช่วง Low Season ปี 2024

WARRIX ปลื้มโต 30% เล็ง 4 ปีทะลุ 2,700 ล้าน ปูธุรกิจเสริม ‘คลินิกกายภาพ’ ช่วยเสริมแกร่งถึงเป้า

จากรายการ THE TOMORROW ออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES เมื่อวันที่ 7 ต.ค.66 ได้พูดคุยกับ นายวิศัลย์ วนะศักดิ์ศรีสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วอริกซ์ สปอร์ต จำกัด (มหาชน) หรือ WARRIX ผู้จำหน่ายเสื้อผ้าและอุปกรณ์กีฬาชั้นนำของประเทศไทย ได้เปิดเผยถึงทิศทางภาพรวมชุดกีฬาในประเทศไทย พร้อมแนวทางการเติบโตของ วอริกซ์ ไว้ว่า…

จากการประมาณมูลค่าตลาดชุดกีฬาในปัจจุบัน มีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 20,000 -30,000 ล้านบาท (รวมทั้งแบรนด์ไทยและต่างชาติ) โดยวอริกซ์ มีส่วนแบ่งทางการตลาดประมาณ 10% ในกลุ่มเสื้อผ้ากีฬา ไม่รวมรองเท้ากีฬา ซึ่งปัจจุบันมีแข่งขันกันสูงมากในทุกมิติ แต่สินค้าของวอริกซ์ เติบโตอย่างต่อเนื่อง เมื่อปี 2565 ที่ผ่านมา มียอดขายประมาณ 1,070 ล้านบาท เติบโต 20-30%  

นายวิศัลย์ กล่าวด้วยว่า ในปีนี้มีกลยุทธ์ในการขยายทุกมิติทั้งเสื้อกีฬาผู้หญิง เสื้อไลฟ์สไตล์ โดยมีการขยายสาขาไปเปิดร้านที่สยามสแควร์เพื่อเจาะกลุ่มวัยรุ่น โดยภายใน 4 ปี ทางบริษัทฯ มีเป้าหมายเติบโต 2,700 ล้านบาท 

นอกจากนี้ ในปัจจุบันทางวอริกซ์ ได้เปิดให้บริการคลินิกกายภาพ ในรูปแบบสหคลินิก โดยมีการนำวิทยาศาสตร์การกีฬาเข้ามาใช้ โดยมองกลุ่มลูกค้า ได้แก่ นักกีฬามืออาชีพ ผู้สูงอายุ พนักงานบริษัททั่วไปที่มีปัญหาออฟฟิศซินโดรม มีอาการนอนไม่หลับ ฯลฯ โดยตัวคลินิกจะเน้นให้ความรู้ด้านกายภาพ ออกกำลังกาย และมีทั้งด้านโภชนาการ วิตามิน อาหารเสริม รวมถึงมีเสื้อนอนเพื่อสุขภาพ ซึ่งถือเป็นการขยายจากธุรกิจสปอร์ตแวร์ ต่อยอดไปเป็น ‘เฮลท์ แอคทีฟ ไลฟ์สไตล์’ ได้อย่างน่าจับตา

สำหรับผู้ที่สนใจมาใช้บริการคลินิกกายภาพดังกล่าว สามารถดูรายละเอียดได้ทางเฟซบุ๊ก warrixhealth

‘BDMS’ ทุ่ม 300 ล้าน สร้าง ‘ศูนย์มะเร็งภูเก็ต’ ให้บริการรังสีรักษาแห่งแรกในภูเก็ต-อันดามัน

(6 ต.ค. 66) นายแพทย์นรินทร์ บุญจงเจริญ ประธานคณะผู้บริหารกลุ่ม 6 บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วย ศ.พิเศษ นพ.ธีรวุฒิ คูหะเปรมะ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมะเร็งกรุงเทพวัฒโนสถ ร่วมงานแถลงข่าวเปิดตัวโครงการ ‘ศูนย์มะเร็งภูเก็ต’ (Phuket Cancer Center) ศูนย์รังสีรักษาแห่งแรกในจังหวัดภูเก็ตและพื้นที่อันดามัน โดยมี สื่อมวลชนและแขกผู้มีเกียรติเข้าร่วม เมื่อวันที่ 5 ต.ค.ที่ผ่านมา ณ โรงพยาบาลกรุงเทพสิริโรจน์ จ.ภูเก็ต

นายแพทย์นรินทร์ บุญจงเจริญ ประธานคณะผู้บริหารกลุ่ม 6 บริษัทกรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงจุดเริ่มต้นและที่มาของศูนย์มะเร็งภูเก็ต (Phuket Cancer Center) ว่า ปัจจุบันแม้ว่าเทคโนโลยีทางการแพทย์มีการพัฒนาขึ้นเป็นอย่างมาก ประชาชนมีอายุที่ยืนยาวมากขึ้น แต่ข้อมูลจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (NESDB) ปี 2564 พบว่า โรคมะเร็งและเนื้องอก คือ สาเหตุการเสียชีวิตของคนไทยอันดับสูงสุดตลอด 23 ปีที่ผ่านมา

โดยในแต่ละปีอัตราดังกล่าวยังเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในฐานะที่ BDMS Phuket ซึ่งประกอบด้วย โรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ต โรงพยาบาลกรุงเทพสิริโรจน์ และโรงพยาบาลดีบุก เป็นเครือข่ายสถานพยาบาลที่ดูแลสุขภาพชาวภูเก็ตและจังหวัดใกล้เคียงมาอย่างยาวนาน จึงได้มีการติดตามตัวเลขสถิติผู้ป่วยมะเร็งอย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด พบว่า สถิติผู้ป่วยมะเร็งภาคใต้ ที่มีภูมิลำเนาในเขตสุขภาพ 11 ประกอบด้วย จังหวัดชุมพร นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี กระบี่ พังงา ระนอง และภูเก็ต ในเพศชายจะเป็น (Top 3) เพศหญิง (Top 3) ซึ่งโรคมะเร็งดังกล่าวจำเป็นต้องใช้การรักษาด้วยการฉายรังสีร่วมด้วยทั้งสิ้น แต่เนื่องจากศูนย์ให้บริการรังสีรักษาตั้งอยู่ในพื้นที่ภาคใต้ฝั่งตะวันออกเป็นหลัก จึงทำให้คณะผู้บริหารระดับสูงของบริษัทกรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) ตัดสินใจดำเนินโครงการ ‘ศูนย์มะเร็งภูเก็ต’ (Phuket Cancer Center) ขึ้น เพื่อให้คนภูเก็ตและในพื้นที่อันดามันได้เข้าถึงการรักษาได้อย่างรวดเร็ว และมีผลลัพธ์การรักษาที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทั้งยังช่วยสนับสนุนยุทธศาสตร์ Medical and Wellness Destination ของจังหวัดภูเก็ตในฐานะที่เป็นจุดหมายการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพได้อีกด้วย”

ศูนย์มะเร็งภูเก็ต (Phuket Cancer Center) จะเริ่มดำเนินการก่อสร้างขึ้นในเดือนกรกฎาคม 2566 ณ โรงพยาบาลกรุงเทพสิริโรจน์ ภายใต้งบลงทุนกว่า 300 ล้านบาท ในพื้นที่ 1,030 ตารางเมตร ออกแบบภายใต้แนวคิดสิ่งแวดล้อมเพื่อการเยียวยา (Healing Environment) เพื่อให้ผู้รับบริการรู้สึกผ่อนคลาย ประกอบด้วยห้องให้คำปรึกษา โดยแพทย์รังสีรักษาเฉพาะทางใช้เทคโนโลยีการวางแผนการรักษาด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (Computed Tomography Simulator) และให้บริการรังสีรักษาด้วยเครื่องฉายรังสีด้วยการเร่งอานุภาพ (LINAC Accelerator) เครื่องให้รังสีระยะสั้น (High Dose Rate Brachytherapy) และห้องประชุมออนไลน์ ผ่านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (Teleconference) สำหรับวางแผนการรักษาร่วมกับโรงพยาบาลมะเร็งกรุงเทพ วัฒโนสถ โดยจะก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการในไตรมาสที่ 3 ปี 2567

"โรคมะเร็งเป็นภาวะเจ็บป่วยที่ต้องได้รับการรักษาโดยเร็ว เพื่อควบคุมระยะและการแพร่กระจายของโรค แต่ด้วยขั้นตอนการส่งตัวตามระบบเครือข่าย และความหนาแน่นของปริมาณผู้ป่วยที่แตกต่างกันในแต่ละโรงพยาบาลทำให้เป็นอุปสรรคในการเข้าถึงการรักษาได้โดยเร็ว ซึ่งศูนย์มะเร็งภูเก็ต มีนโยบายดูแลผู้ป่วยทุกสิทธิการรักษา ประกอบด้วย ผู้ใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) สิทธิข้าราชการ และสิทธิประกันสังคม ตลอดจนจะเข้าร่วมโครงการ Cancer Anywhere ของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เพื่อช่วยดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็งทั่วประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่อันดามัน ให้สามารถเข้ารับการรักษาตัว ณ ศูนย์มะเร็งภูเก็ต ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ไม่จำเป็นต้องเดินทางไปรักษาไกลบ้านอีกต่อไป สำหรับประชาชนคนไทยที่ไม่ถูกคุ้มครองภายใต้สิทธิการรักษาข้างต้น สามารถอุ่นใจได้ เนื่องจากค่าบริการของศูนย์มะเร็งภูเก็ต (Phuket Cancer Center) จะอยู่ในอัตราเทียบเท่าหรือใกล้เคียงโรงพยาบาลภาครัฐ" นายแพทย์นรินทร์ บุญจงเจริญ ประธานคณะผู้บริหารกลุ่ม 6 บริษัทกรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) กล่าวทิ้งท้าย

ขณะที่ศาสตราจารย์พิเศษ นพ.ธีรวุฒิ คูหะเปรมะ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมะเร็งกรุงเทพ วัฒโนสถ กล่าวเพิ่มเติมถึงความร่วมมือระหว่างโรงพยาบาลในการจัดตั้งศูนย์มะเร็งภูเก็ต (Phuket Cancer Center) ว่า ด้วยประสบการณ์การเป็นโรงพยาบาลเฉพาะทางด้านมะเร็งของโรงพยาบาลมะเร็งกรุงเทพ วัฒโนสถ มีแผนในการขยายการบริการของศูนย์มะเร็งไปจังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ ซึ่งศูนย์มะเร็งภูเก็ตเป็นหนึ่งในโครงการดังกล่าว โดยโรงพยาบาลมะเร็งกรุงเทพ วัฒโนสถ ได้ให้การสนับสนุน ตั้งแต่การฝึกประสบการณ์ด้านการรักษาให้แก่ทีมแพทย์รังสีรักษา พยาบาลรังสีรักษา นักฟิสิกส์ และนักรังสีเทคนิค ไปจนถึงการร่วมออกแบบตัวอาคาร กระบวนการบริการที่คำนึงถึงประสบการณ์ที่ดีของผู้รับบริการ การเลือกเครื่องมือและเทคโนโลยีที่มีความปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โรงพยาบาลมะเร็งกรุงเทพ วัฒโนสถ มีความมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่า ศูนย์มะเร็งภูเก็ต จะเป็นศูนย์รังสีรักษาที่ทำให้คนภูเก็ต และพื้นที่ใกล้เคียงสามารถเข้ารับบริการได้อย่างทันท่วงที อันจะช่วยส่งผลให้การรักษามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

‘ปตท.’ คว้ารางวัล ‘ประชาบดี’ ประจำปี 2566 เชิดชูเกียรติช่วยเหลือสังคมด้วยใจอาสา

เมื่อไม่นานมานี้ นายนิสิต พงษ์วุฒิประพันธ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่เลขานุการบริษัทและองค์กรสัมพันธ์ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) เป็นผู้แทน นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ปตท. เข้ารับโล่และเข็มรางวัลประชาบดี ประเภทบุคคลผู้ทำคุณประโยชน์ ประจำปี 2566 จากนายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ประธานในพิธีมอบรางวัล ‘ประชาบดี’ ประจำปี 2565 และประจำปี 2566 ซึ่งจัดขึ้นโดยกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ เพื่อเชิดชูเกียรติแก่ผู้ทำประโยชน์ดีเด่นที่มุ่งมั่นช่วยเหลือผู้ที่อยู่ในสภาวะยากลำบากและทำงานด้านสังคมด้วยใจจิตอาสา ณ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

‘อ.พงษ์ภาณุ’ ห่วง!! ธนาคารกลางกับวัฏจักรธุรกิจการเมือง ความขัดแย้งกระทบนโยบายการคลังรัฐ สะเทือนเศรษฐกิจ

จากรายการ Easy Econ ซึ่งออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES ได้พูดคุยกับ อ.พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อดีตปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ระดับประเทศ ในหัวข้อ ธนาคารกลางกับวัฏจักรธุรกิจการเมือง (Political Business Cycle) เมื่อวันที่ 8 ต.ค.66 โดย อ.พงษ์ภาณุ กล่าวว่า...
ธนาคารกลางกับวัฏจักรธุรกิจการเมือง (Political Business Cycle)

วัฏจักรธุรกิจเกิดขึ้นเป็นปกติในทุกประเทศ กล่าวคือเศรษฐกิจมีขาขึ้นและขาลง (Boom and Bust) ช่วงขาขึ้นเศรษฐกิจขยายตัวสูงและเงินเฟ้อก็สูงด้วย แต่ช่วงขาลงเศรษฐกิจตกต่ำและเงินเฟ้อก็ต่ำหรือบางทีก็เกิดเงินฝืด 

วัฏจักรธุรกิจสัมพันธ์กับนโยบายการเงินและดอกเบี้ยอย่างใกล้ชิด ธนาคารกลางมีหน้าที่รักษาเสถียรภาพทางการเงินและมีกรอบอัตราเงินเฟ้อเป็นเป้าหมายของการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นและลง (Inflation Targeting) แต่วัฏจักรธุรกิจการเมืองอาจไม่เป็นที่รู้จักกันมากนัก แต่ก็เกิดขึ้นในหลายประเทศทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทย 

เมื่อรัฐบาลใกล้ครบวาระและจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไป มักจะขอหรือสั่งการธนาคารกลางให้ลดหรือไม่ขึ้นอัตราดอกเบี้ย ทั้ง ๆ ที่มีความจำเป็นต้องสกัดภาวะเงินเฟ้อที่จะเกิดขึ้นจากการกระทำดังกล่าว แต่ก็จำเป็นต้องทำเพื่อความอยู่รอดของตนเองและเพื่อให้รัฐบาลที่กำลังจะครบวาระชนะการเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้น เมื่อการเลือกตั้งเสร็จสิ้นและจัดตั้งรัฐบาลแล้ว ค่อยกลับมาขึ้นดอกเบี้ยในภายหลัง แม้ว่าจะสายเกินไปและอาจทำให้ตลาดเงินตลาดทุนเกิดความผันผวนอย่างยิ่งจนสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจในวงกว้างก็ตาม

ประเทศไทยในช่วง 1 ปีกว่าที่ผ่านมามีลักษณะเหมือนวัฏจักรธุรกิจการเมืองดังกล่าว ปี 2565 เกิดภาวะเงินเฟ้อทั่วโลก จนธนาคารกลางเกือบทุกประเทศ นำโดย Federal Reserve ของสหรัฐอเมริกา (ธนาคารกลางสหรัฐฯ) ต้องขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอย่างแรงและเร็วอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน อัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ ขึ้นจาก 0 มาเป็น 5% ในช่วงปลายปี แต่ธนาคารแห่งประเทศไทยกลับรักษาดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่เพียง 1% จนทำให้ไทยมีอัตราเงินเฟ้อสูงที่สุดประเทศหนึ่งในโลก ที่อัตรา 6.1% ซึ่งสูงกว่ากรอบอัตราเงินเฟ้อที่รัฐบาลเห็นชอบกว่า 2 เท่าตัว 

ต่อเมื่อการเลือกตั้งเสร็จสิ้นและมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อจะลดลงมาเหลือเพียง 0.3% และประเทศอื่นเริ่มชะลอการขึ้นดอกเบี้ย แต่ ธปท. กลับมาเร่งขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย จนก่อให้เกิดความสับสนและขัดแย้งกับนโยบายการคลังของรัฐบาล และเกิดความผันผวนในตลาดเงินตลาดทุนอย่างรุนแรงในขณะนี้ สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก

วัฏจักรธุรกิจการเมืองนี้ ถือเป็นวงจรอุบาทว์ และจำเป็นต้องขจัดให้หมดสิ้นเพื่อให้นโยบายการเงินเป็นอิสระจากการเมืองอย่างแท้จริง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top