Thursday, 10 July 2025
GoodsVoice

แบงก์รัฐแข่งดุ ออมสิน เปิดรีไฟแนนซ์บ้าน เปิดกู้ปีนี้ ผ่อนปีหน้า 

นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารออมสินได้ออกสินเชื่อบ้านกู้ปีนี้ ผ่อนปีหน้า ด้วยเงื่อนไขพิเศษที่ยังไม่ต้องผ่อนปีนี้ ให้เริ่มผ่อนปีหน้าและผ่อนต่อเดือนที่ต่ำมาก ทำให้มีเงินสดไว้ใช้จ่ายที่จำเป็น หรือนำไปปิดบัญชีเงินกู้เพื่อปลดล็อกหนี้ต่าง ๆ จึงไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายในช่วงสถานการณ์โควิด-19 เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระการผ่อนบ้านและหนี้สินต่าง ๆ ที่อัตราดอกเบี้ยสูง และช่วยเหลือคนไทยให้ก้าวผ่านความยากลำบากนี้ไปด้วยกัน 

สำหรับการกู้ปีนี้ ผ่อนปีหน้า ประกอบด้วย สินเชื่อบ้าน เพื่อไถ่ถอนจำนองจากสถาบันการเงินอื่น หรือ รีไฟแนนซ์ มีให้เลือกทั้งแบบปลอดชำระเงินต้นและดอกเบี้ย 0% นาน 9 เดือน โดยในเดือนที่ 10-12 ผ่อนล้านละ 2,000 บาท และแบบปลอดชำระเงินต้นและดอกเบี้ย 0% นาน 6 เดือน โดยในเดือนที่ 7-12 ผ่อนล้านละ 1,500 บาท ซึ่งทั้ง 2 แบบ อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี เท่ากับ 2.50% ต่อปี โดยลูกค้าที่รีไฟแนนซ์จะได้สิทธิในการกู้เพิ่มเติม เพื่ออุปโภคบริโภคในโอกาสนี้ด้วย ให้กู้สูงสุด 5 ล้านบาท มีทั้งเงินกู้ระยะยาว ปลอดชำระเงินต้นและดอกเบี้ย 6 เดือนแรก 

จากนั้นคิดอัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 3.90% ต่อปี และวงเงินกู้เบิกเงินเกินบัญชีอัตราดอกเบี้ยปีแรก 3.75% สินเชื่อบ้าน เพื่อซื้อ สร้าง หรือต่อเติมซ่อมแซมที่อยู่อาศัย ปลอดชำระเงินต้นและดอกเบี้ย 0% 6 เดือนเช่นกัน ซึ่งในเดือนที่ 7-12 ผ่อนล้านละ 1,500 บาท โดยธนาคารไม่คิดค่าจัดทำนิติกรรมสัญญาและค่าบริการสินเชื่อ โดยผู้ที่กู้สินเชื่อบ้านและรีไฟแนนซ์ดังกล่าว จะต้องได้รับอนุมัติและจัดทำนิติกรรมสัญญาให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 ธ.ค. 2564 ยกเว้นโปรแกรมรีไฟแนนซ์ปลอดชำระเงินต้นและดอกเบี้ย 9 เดือน ต้องได้รับอนุมัติและจัดทำนิติกรรมสัญญาให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 29 ต.ค.นี้ 

สาวก Apple เตรียมจอง 1 ต.ค. เริ่มขายจริง 8 ต.ค.นี้ สนนราคา 25,900 ถึง 62,900 บาท

15 ก.ย. 64 ในช่วงค่ำคืนที่ผ่านมา Apple เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ iPhone 13 ซึ่งดีไซน์หลักยังคงเดิม แต่ปรับรูปแบบการเรียงกล้องใหม่ มาในแนวทแยงมุม มาพร้อม 5 สีสันใหม่ คือ ชมพู น้ำเงิน มิดไนต์ สตาร์ไลท์ และแดง 

ทั้งนี้ iPhone 13 และ iPhone 13 Pro มีการเพิ่มฟีเจอร์หลากหลายเข้ามา ทั้งชิป A15 bionic ใหม่, กล้องใหม่พร้อมโหมด Cinematic และโหมดถ่ายรูประยะใกล้ (มาโคร) แต่ที่น่าสนใจคือ iPhone 13 Pro Max มีการเพิ่มความจุเข้าไปมากถึง 1TB ซึ่งถือว่ามากที่สุดเท่าที่เคยมีมา ขณะที่จอภาพ Super Retina XDR เพิ่มความสว่างถึง 28% ประหยัดแบตเตอรี่ได้มากขึ้น ใช้ชิป A15 Bionic 

ทั้งนี้ Apple ประกาศวันเปิดขายในไทยที่เร็วกว่าเดิม คือขายวันที่ 8 ตุลาคมนี้เลย ใครสนใจรอสั่ง Pre-Order ได้วันที่ 1 ตุลาคมนี้

โดยราคาวางจำหน่ายสำหรับราคาแต่ละรุ่นที่ประกาศใน Apple Store Thailand ดังนี้

iPhone13 mini หน้าจอขนาด 5.4 นิ้ว
128 GB ราคา 25,900 บาท
256 GB ราคา 29,900 บาท
512 GB ราคา 37,900 บาท

iPhone13 หน้าจอขนาด 6.1 นิ้ว
128 GB ราคา 29,900 บาท
256 GB ราคา 33,900 บาท
512 GB ราคา 41,900 บาท

iPhone13 Pro หน้าจอขนาด 6.1 นิ้ว
128 GB ราคา 38,900 บาท
256 GB ราคา 42,900 บาท
512 GB ราคา 50,900 บาท
1 TB ราคา 58,900 บาท

iPhone13 Pro Max หน้าจอขนาด 6.7 นิ้ว
128 GB ราคา 42,900 บาท
256 GB ราคา 46,900 บาท
512 GB ราคา 54,900 บาท
1 TB ราคา 62,900 บาท

นอกจากนี้ ยังสามารถผ่อน 0% ได้ยาว 10 เดือน เมื่อซื้อผ่านบัตรเครดิตที่ร่วมรายการ เช่น SCB, KTC , กรุงเทพ กสิกรไทย เป็นต้น


ที่มา : https://www.thaipost.net/main/

‘บิ๊กตู่’ เคาะวงเงินกว่า 1 หมื่นล้าน ประกันรายได้ชาวสวนยาง 60 บาท/กก.

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เปิดเผยภายหลังการเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ (กนย.) ว่า ที่ประชุมได้มีการพิจารณาและเห็นชอบหลักการโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยาง ระยะที่ 3 เพื่อช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรชาวสวนยาง ในกรณี ที่ราคายางตกต่ำในช่วงโควิด-19 รวมทั้งเพื่อเพิ่มรายได้และสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรชาวสวนยาง วงเงินรวมทั้งสิ้น 10,065 ล้านบาท โดยมอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยการยางแห่งประเทศไทย แต่งตั้งคณะกรรมการ/คณะทำงาน ดำเนินโครงการชุดต่าง ๆ ตามที่การยางแห่งประเทศไทยเสนอ และดำเนินการจัดทำรายละเอียดโครงการเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป

สำหรับโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยาง ระยะที่ 3 ราคายางที่ประกันรายได้ ได้แก่ (1) ประกันรายได้ราคายางแผ่นดิบคุณภาพดี 60.00 บาท/กิโลกรัม (2) ประกันรายได้ราคาน้ำยางสด (DRC 100%) 57.00 บาท/กิโลกรัม (3) ประกันรายได้ราคายางก้อนถ้วย (DRC 50%) 23.00 บาท/กิโลกรัม

“ได้กำชับการรับรองการเป็นเกษตรกรชาวสวนยางของเกษตรกรที่แจ้งข้อมูลการปลูกยางกับการยางแห่งประเทศไทย ต้องดำเนินการด้วยความระมัดระวังรอบคอบ โดยรัฐบาลจริงจังกับการปลูกยางในพื้นที่บุกรุกและย้ำไม่ให้ปลูกยางในพื้นที่ที่ไม่ถูกต้อง รวมถึงโครงการประกันราคายาง ต้องมีมาตรการที่เข้มงวดและให้เงินถึงมือเกษตรกรโดยตรงอย่าให้มีการทุจริตเด็ดขาด รวมทั้ง ให้พิจารณามาตรการอื่น ๆ ในการยกระดับราคายางเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของรัฐบาลในการประกันราคาและแก้ไขปัญหาราคายางที่ตกต่ำอย่างถาวร” 

เปิดข้อมูลอสังหาฯ ยังวูบ หวังปีหน้าตลาดเริ่มฟื้น

นายวิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยผลสำรวจภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยของกรุงเทพฯ-ปริมณฑล พบว่า ภาพรวมตลาดมีการชะลอตัวอย่างมากในด้านอุปทานของหน่วยเปิดขายใหม่ ซึ่งลดลงกว่า 37% ทั้งจำนวนหน่วยและมูลค่า โดยเป็นการลดลงอย่างมากในส่วนของอาคารชุดเปิดขายใหม่ถึงลบ 42.5% แสดงให้เห็นว่าผู้ประกอบการมีการชะลอตัวในการพัฒนาโครงการใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่จังหวัดนนทบุรี ปทุมธานี และกรุงเทพมหานคร ส่วนในจังหวัดนครปฐม สมุทรสาคร และสมุทรปราการยังคงมีการพัฒนาโครงการใหม่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน

ส่วนของภาพรวมอุปสงค์ของหน่วยขายได้ใหม่พบว่า ทั้งจำนวนหน่วยและมูลค่าลดลงประมาณ 9% และหากพิจารณาอัตราดูดซับอาคารชุดพบว่า มีการปรับตัวสูงขึ้น โดยเป็นผลจากการที่มีหน่วยเปิดขายใหม่ลดลง แต่ไม่ใช่เป็นผลมาจากหน่วยขายได้ใหม่เพิ่มขึ้น 

ทั้งนี้หากมองภาพรวมทั้งปี 2564 คาดว่าจะมีหน่วยที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่เข้าสู่ตลาดประมาณ 53,693 หน่วย มีหน่วยรอการขายสะสมประมาณ 171,283 หน่วย และในปี 2565 คาดว่า หากมีการกระจายวัคซีนได้ทั่วถึงจะทำให้สถานการณ์ที่อยู่อาศัยดีขึ้น และจะส่งผลให้มีหน่วยที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่เข้าสู่ตลาดไม่น้อยกว่า 80,117 หน่วย และคาดว่าจะส่งผลให้มีหน่วยเหลือขายสะสมลดลงโดยมีจำนวนหน่วยประมาณ 161,120 หน่วย หรือ ลดลง 5.9% เมื่อเทียบกับปี 2564

เลื่อนเปิดกรุงเทพฯ รับต่างชาติไป 15 ต.ค.นี้ 

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยภายหลังการหารือกับพล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องถึงการเตรียมความพร้อมเปิดกรุงเทพฯ รับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ว่า จากการหารือได้ข้อสรุปร่วมกันว่าจะเปิดกรุงเทพฯ รับนักท่องเที่ยวต่างชาติให้เดินทางเข้ามาได้ล่าช้าจากกำหนดเดิมคือ 1 ต.ค.64 ไปประมาณ 2 สัปดาห์ หรือจะเริ่มเปิดรับได้ในวันที่ 15 ต.ค.64 เป็นต้นไป เพราะคนกรุงเทพฯ ยังได้รับวัคซีนไม่ครบกำหนด 2 เข็ม เกิน 70% ของประชากร และการเปิดกรุงเทพฯ ครั้งนี้ จะเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาได้ทั่วทั้งกรุงเทพฯ ไม่เหมือนพื้นที่นำร่องอื่น ๆ ที่เปิดเฉพาะพื้นที่เมืองท่องเที่ยวสำคัญเท่านั้น เพราะหากเปิดเป็นบางเขตหรือบางพื้นที่จะทำให้ยากต่อการควบคุม

“ตอนนี้กรุงเทพฯ มีความพร้อมทั้งหมดแล้ว วัคซีนก็มีพร้อม ติดแค่ว่าช่วงเวลาของการรับวัคซีนเข็มที่ 2 ยังไม่ถึงกำหนดเวลา โดยการฉีดวัคซีนเข็ม 2 ตอนนี้ในกรุงเทพฯ ตอนนี้ฉีดไปแล้ว 37% เหลืออีก 30% กว่า ๆ ก็ครบตามจำนวนแล้ว จึงน่าจะเป็นช่วงกลางเดือนต.ค.นี้ จึงสามารถรับนักท่องเที่ยวได้ แม้ว่าการเปิดกรุงเทพฯจะช้าไป 2 สัปดาห์ แต่ก็ต้องเตรียมความพร้อมเพื่อความปลอดภัย”

อย่างไรก็ตามในพื้นที่อื่น ๆ ที่เตรียมเปิดอีก 4 จังหวัด คือ ชลบุรี (พัทยา) อ.บางละมุง อ.สัตหีบ, เชียงใหม่ อ.เมือง อ.แม่แตง อ.แม่ริม อ.ดอยเต่า, เพชรบุรี อ.ชะอำ และ ประจวบคีรีขันธ์ อ.หัวหิน นั้น ยังยืนยันว่ามีความพร้อมเปิดรับนักท่องเที่ยวในวันที่ 1 ต.ค.นี้ โดยพื้นที่ใดมีความพร้อมก็ดำเนินการได้ตามแผน โดยจะเสนอ ที่ประชุม ศปก.ศบค. ใน 1-2 วันนี้ และเสนอที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจ ศบศ. อีกครั้งในเดือนก.ย.นี้ เห็นชอบ 

'กนอ.' เดินตามนโยบายรัฐ พัฒนา BCG โมเดล โชว์ผลงานยกระดับนิคมฯ สู่เมืองอุตฯ เชิงนิเวศ ปี’64

การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เผยผลตรวจประเมินการเป็นนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศในระดับต่าง ๆ ประจำปี 2564 ย้ำทุกนิคมฯ มีส่วนร่วมพัฒนาเมืองฯ ผ่าน 5 มิติ 22 ด้าน สอดคล้องตามนโยบาย BCG (Bio-Circular-Green Economy) ของรัฐบาล 

นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยว่า กนอ.นำแนวคิด “นิเวศอุตสาหกรรม”(Industrial Ecology) มาประยุกต์ใช้ในการพัฒนานิคมอุตสาหกรรม โดยดำเนินการพัฒนาเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศอย่างเป็นรูปธรรม ตั้งแต่ปี 2553 ภายใต้ข้อกำหนด คุณลักษณะ และเกณฑ์ตัวชี้วัด การเป็นเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ 5 มิติ 22 ด้าน ได้แก่ 

1.) มิติกายภาพ 
2.) มิติเศรษฐกิจ 
3.) มิติสังคม 
4.) มิติสิ่งแวดล้อม 
และ 5.) มิติการบริหาร 
โดยจัดทำแผนแม่บทการพัฒนายกระดับนิคมอุตสาหกรรมสู่การเป็นเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ และสนับสนุนให้ภาคอุตสาหกรรมปรับตัวและใช้ทรัพยากรให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด 

โดยการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในสถานประกอบการ เช่น การนำน้ำเสียที่โรงงานอุตสาหกรรมปล่อยทิ้งมาบำบัดแล้วนำมาผลิตน้ำ RO (Reverse Osmosis) และนำกลับมาใช้ใหม่แทนน้ำประปา ซึ่งเป็นการลดต้นทุนการผลิต เพิ่มรายได้ให้กับผู้ประกอบการ การนำเศษวัสดุเหลือใช้จากการประกอบกิจการโรงงานไปเพิ่มมูลค่าด้วยการนำไปใช้ประโยชน์ในรูปแบบอื่น เช่น นำเศษขยะทั่วไปในนิคมอุตสาหกรรมไปแปลงเป็นเชื้อเพลิงในเตาเผาปูนซีเมนต์ หรือนำตะกอนจากโรงงานไปทำปุ๋ยหมักชีวภาพให้กับเกษตรกรในพื้นที่ใกล้เคียงได้ใช้ประโยชน์ รวมทั้งส่งเสริมการสร้างอาชีพจากวัสดุเหลือใช้จากการประกอบกิจการมาดัดแปลงให้เป็นสินค้าที่มีมูลค่าสร้างรายได้ให้กับชุมชน และส่งเสริมกลุ่มอาชีพวิสาหกิจชุมชนในพื้นที่ให้มีการประกอบกิจการที่มีผลกำไร โดยที่ผ่านมาวิสาหกิจชุมชนสามารถทำรายได้เป็นเงินหมุนเวียนให้กับสมาชิกในกลุ่มได้อย่างเป็นรูปธรรม

“แนวคิดหลักของการพัฒนาเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ คือ การสร้างความสมดุลระหว่างปัจจัยด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนด้วยการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย โรงงานอุตสาหกรรม และชุมชนท้องถิ่น โดย กนอ.กำหนดคุณลักษณะมาตรฐานและเกณฑ์ตัวชี้วัดการเป็นเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศไว้ใน 5 มิติ 22 ด้าน แบ่งการยกระดับความเป็นเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศใน 3 ระดับ ประกอบด้วย ระดับ Eco-World Class / Eco-Excellence และ Eco-Champion ตามลำดับ ซึ่งหากนิคมฯ ที่ผ่านเกณฑ์และยกระดับเป็น Eco-World Class แล้ว ต้องรักษาระดับการเป็น Eco-Excellence และ Eco-Champion อย่างต่อเนื่อง ด้วยการบริหารจัดการตามหลักธรรมาภิบาล และการมีส่วนร่วม” นายวีริศ กล่าว

สำหรับในปีงบประมาณ 2564 กนอ.พัฒนายกระดับนิคมอุตสาหกรรมเป็นเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ ดังนี้ ระดับ Eco-World Class จำนวน 2 แห่ง คือ นิคมอุตสาหกรรมเอเซีย และนิคมอุตสาหกรรมหนองแค ระดับ Eco-Excellence จำนวน 3 แห่ง คือ นิคมอุตสาหกรรมบางชัน  นิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง (แหลมฉบัง) และนิคมอุตสาหกรรมผาแดง ระดับ Eco-Champion จำนวน 2 แห่ง คือ นิคมอุตสาหกรรมเอเซีย (สุวรรณภูมิ) และนิคมอุตสาหกรรมทีเอฟดี ทำให้ปัจจุบันความสำเร็จของนิคมอุตสาหกรรมที่สามารถพัฒนาเป็นเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศของ กนอ. ระดับ Eco-Champion มีจำนวน 36 แห่ง ระดับ Eco-Excellence จำนวน 16 แห่ง และระดับ Eco-World Class จำนวน 5 แห่ง 

ทั้งนี้ เมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ หมายถึงรูปแบบการพัฒนาอุตสาหกรรมที่ยั่งยืนบนพื้นฐานความสมดุลของเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม สังคม ความสอดคล้องกับกฎหมาย และความเป็นไปได้ทางเทคโนโลยี กนอ.ดำเนินการขับเคลื่อนการเป็นเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศมาอย่างต่อเนื่อง และกำหนดเป็นวิสัยทัศน์ขององค์กร ขับเคลื่อนผ่านยุทธศาสตร์ของ กนอ.ภายใต้แผนงาน 5G+ ซึ่งแผนงานเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศน์อยู่ในยุทธศาสตร์ Green ที่มีการจัดตั้งคณะทำงานเพื่อขับเคลื่อน ได้แก่ Eco Team, Eco Committee, และ Eco Green Network เพื่อร่วมวางแผนและยกระดับการพัฒนาเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศร่วมกัน

“กนอ.ให้ความสำคัญกับการสร้างสมดุลทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ภาคอุตสาหกรรมอยู่ร่วมกับชุมชน สังคม อย่างยั่งยืน ขณะเดียวกันยังส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบการให้ดำเนินธุรกิจด้วยธรรมาภิบาล และให้ความสำคัญกับการผลิต การบริโภคสินค้า และการบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Environment) ตามนโยบาย BCG (Bio-Circular-Green Economy) ของรัฐบาล ด้วยการส่งเสริมปรับเปลี่ยนรูปแบบการผลิตสู่การเป็นโรงงานอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ (Eco Factory) ที่นำไปสู่การพัฒนาเป็นเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ โดยตั้งเป้าภายใน 5 ปี (2564-2568) จะต้องมีนิคมอุตสาหกรรมที่ได้รับการยกระดับเป็นนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ จำนวน 39 แห่ง” ผู้ว่าการ กนอ.กล่าวปิดท้าย

กระแสแรงไม่ตก ตามรอยลิซ่า 'ลูกชิ้นยืนกิน' ยอดขายทะลุหมื่นต่อวัน

พ่อค้าแม่ค้าขายลูกชิ้นยืนกิน จ.บุรีรัมย์ ต่างยิ้มหน้าบาน แค่ชั่วข้ามคืน กระแส ‘ลิซ่า BLACKPINK’ ทำยอดขายพุ่งวันละเป็นหมื่น จากยอดขายหลักร้อยจากพิษโควิด พ่อค้าแม่ค้าเชิญชวน ‘ลิซ่า’ กินฟรีแทนคำขอบคุณ ขณะที่เหล่าแฟนคลับทั้งในและนอกจังหวัด ไม่พลาดลิ้มลอง ‘ลูกชิ้น-น้ำจิ้ม’ รสเด็ด ตามรอยไอดอล 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังจากที่ ‘ลิซ่า BLACKPINK’ หรือ น.ส.ลลิษา มโนบาล ศิลปินดังระดับโลก ได้ปล่อยโซโล่เดียว MV เพลง LALISA จนมีคนเข้าไปดูมากกว่าร้อยล้านวิว ทั้งยังได้ให้สัมภาษณ์พิเศษกับรายการหนึ่งของไทยว่า ถ้าได้กลับมาบ้านเกิด จ.บุรีรัมย์ สิ่งแรกที่อยากรับประทานคือ ‘ลูกชิ้นยืนกินสูตรน้ำจิ้มพริกเผา’ ซึ่งเป็นอาหารที่เป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร ทำให้เหล่าบรรดาแฟนคลับและประชาชนทั่วไป อยากจะรับประทานลูกชิ้นยืนกินตามรอยลิซ่ากันเลยทีเดียว

บางคนถึงขั้นลงทุนเดินทางมากินถึง จ.บุรีรัมย์ อีกทั้งยังสร้างปรากฏการณ์มีออเดอร์สั่งซื้อผ่านออนไลน์ถล่มทลาย ถึงวันละ 300-400 ชุด ในราคาชุดละ 60-100 บาท จนทำให้บางร้านถึงขั้นแพ็กส่งลูกค้ากันแทบไม่ทัน บางร้านถึงขั้นต้องหยุดทอดขายหน้าร้านชั่วคราว เพื่อแพ็กส่งตามออเดอร์ที่ลูกค้าสั่งผ่านออนไลน์ ส่งผลให้พ่อค้าแม่ค้าที่ขายลูกชิ้นยืนกิน บริเวณสถานีรถไฟบุรีรัมย์มียอดขายวันละมากกว่า 10,000 บาท จากก่อนหน้านี้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิดระบาด ขายได้เพียงวันละหลักร้อยบาทเท่านั้น

จากปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น เหล่าพ่อค้าแม่ค้าต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ขอขอบคุณลิซ่า ที่ทำให้ลูกชิ้นยืนกินกลับมาขายดิบขายดีอีกครั้ง หลังจากที่ซบเซาเพราะพิษโควิดมาเป็นปี ถึงขั้นประกาศเชิญชวนให้ลิซ่า มารับประทานลูกชิ้นยืนกินแบบฟรี ๆ ร้านไหนก็ได้ที่ลิซ่าชอบ เพื่อแทนคำขอบคุณที่ไม่ลืมอาหารที่เป็นเอกลักษณ์ของบ้านเกิด

ด้าน น.ส.อรุณศรี กำเนิดกลาง เจ้าของร้านลูกชิ้น ‘ยายภา’ และ น.ส.รักชนก มณีวรรณ เจ้าของร้านลูกชิ้น ‘เจ้นกกอก’ ต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า หลังจากมีกระแสของลิซ่า ก็ทำให้ลูกชิ้นยืนกินขายดีเป็นประวัติการณ์ แบบที่ไม่เคยมีมาก่อน เพราะมีออเดอร์สั่งผ่านออนไลน์เข้ามาอย่างต่อเนื่องวันละ 300-400 ชุด ตลอดเกือบสัปดาห์แล้ว จนบางวันแพ็กส่งกันแทบไม่ทัน ส่งผลให้ยอดขายพุ่งเพียงชั่วข้ามคืน จากช่วงโควิดขายได้วันละไม่กี่ร้อยบาท แต่พอมีกระแสลิซ่า ยอดขายก็เพิ่มขึ้นเป็นหลักหมื่นบาท พ่อค้าแม่ค้าต่างดีใจและขอขอบคุณน้องลิซ่ามาก เพื่อแทนคำขอบคุณจึงขอเชิญชวนให้น้องลิซ่า มาทานลูกชิ้นยืนกินฟรีเลย ร้านไหนก็ได้ เพราะตอนนี้เกือบทุกร้าน ก็ทำน้ำจิ้มสูตรพริกเผาเหมือนที่น้องอยากกินแล้ว

ขณะที่ น.ส.ถนอมวรรณ สินธุรัตน์ ลูกค้าคนหนึ่ง เปิดเผยว่า ตนอยู่ จ.บุรีรัมย์ พอมีกระแสลิซ่าก็มีเพื่อนจากกรุงเทพฯ และคนรู้จักที่ จ.ชัยภูมิ และภาคใต้ โทรศัพท์มาสอบถามและฝากซื้อให้ช่วยส่งไปให้หลายคน เพราะอยากจะกินตามรอยกระแสลิซ่า สำหรับตนซึ่งเป็นคนบุรีรัมย์ก็มาทานบ่อย ส่วนมากก็จะยืนกินที่ร้านเพราะได้อรรถรสมากกว่า แต่ช่วงโควิดเขามีนโยบายห้ามยืนกินก็จะซื้อไปกินที่บ้านแทน ก็อยากจะเชิญชวนให้มาลองลิ้มรสลูกชิ้นยืนกินของ จ.บุรีรัมย์ ที่เป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร ทั้งลูกชิ้นที่นุ่มอร่อยและน้ำจิ้มรสเด็ด รับรองว่าถ้าได้มาลองทานแล้วจะติดใจ

ขับเคลื่อนเศรษฐกิจจังหวัด ด้วยคำพูดเดียว

ทั้งนี้ หลังจากลิซ่า BLACKPINK ให้สัมภาษณ์ว่า อยากกินลูกชิ้นยืนกิน ก็ทำเอาแม่ค้าปลื้ม ขายดิบขายดี จนล่าสุด สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดบุรีรัมย์ ร่วมกับ สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย จังหวัดบุรีรัมย์ การรถไฟแห่งประเทศไทย สาธารณสุขจังหวัดบุรีรัมย์ สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดบุรีรัมย์ และสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดบุรีรัมย์ แจงร่วมจัดเทศกาลลูกชิ้นยืนกิน 2021 ช่วง 17-23 ก.ย. 64 นี้!


ที่มา : https://www.thairath.co.th/news/local/northeast/2194745

ดันพัทยาศูนย์กลางอุตสาหกรรมภาพยนตร์โลก

นายอิทธิพล คุณปลื้ม รมว.วัฒนธรรม เปิดเผยว่า ขณะนี้ที่ประชุมครม. ได้มีมติรับทราบ การรายงาน เรื่อง มิติวัฒนธรรมกับการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกตามที่ วธ. เสนอ โดยการพัฒนาเมืองพัทยาเป็นศูนย์กลางด้านอุตสาหกรรมภาพยนตร์ระดับโลก รวมถึงการส่งเสริมความร่วมมือของผู้ประกอบการเพื่อใช้ทุนวัฒนธรรม เอกลักษณ์ของถิ่น ในการผลิตภาพยนตร์ ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์ ต่อการสร้างงาน สร้างรายได้ และการกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับจังหวัดทั่วประเทศ ตามยุทธศาสตร์การส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ ระยะที่ 3 (พ.ศ.2560-2564)

ทั้งนี้ กระทรวงวัฒนธรรม ได้ร่วมมือกับ จ.ชลบุรี และเมืองพัทยา รวมทั้ง จ.นครราชสีมา สมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์แห่งชาติและสมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ไทย จัดโครงการสัมมนาสัญจรส่งเสริมการสร้างภาพยนตร์และละครโทรทัศน์เพื่อส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว ประจำปีงบประมาณ 2564 ในรูปแบบออนไลน์ โดยนำร่อง 2 จังหวัด ได้แก่ ชลบุรี วันที่ 21 ก.ย. เวลา 09.30-16.00 น. และนครราชสีมา วันที่ 23 ก.ย. เวลา 09.30-16.00 น. เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับท้องถิ่น ทำให้เกิดการเชื่อมต่อเครือข่ายความร่วมมือระหว่างส่วนกลางและส่วนภูมิภาค การมีส่วนร่วมของส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและภาคเอกชนในการส่งเสริมการสร้างภาพยนตร์และละครโทรทัศน์ 

รวมทั้งการเจรจาจับคู่ธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการภาคเอกชนในพื้นที่กับผู้ผลิตภาพยนตร์ ถือเป็นจุดเริ่มต้นและผลักดันให้เกิดแหล่งเงินทุนในการผลิตภาพยนตร์และละครโทรทัศน์ของผู้ประกอบการไทยด้วยกัน รวมทั้งยังส่งเสริมให้ผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องกับถ่ายทำภาพยนตร์และวีดิทัศน์เข้ามาใช้พื้นที่ต่างๆ ในจังหวัดนำร่อง ทำให้ประชาชนเห็นถึงความสำคัญในการพัฒนาพื้นที่ ก่อให้เกิดกระจายรายได้สู่ระดับภูมิภาคจากการท่องเที่ยว ช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจของท้องถิ่นและประเทศไทย หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 คลี่คลาย

'จุรินทร์” เผย ไทม์ไลน์ 'เจาะตลาด' ขยายการค้า 'ไทย-ไห่หนาน' นำการค้าไทย 'ลุย' ตลาดจีน

(16 ก.ย. 64) นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า จากการที่กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศได้ลงนาม MOU ด้านการค้ากับมณฑลไห่หนาน ประเทศจีน เมื่อปลายเดือนสิงหาคม 2564 ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็น MOU ฉบับประวัติศาสตร์ และเป็นฉบับแรกที่ไทยทำกับระดับมณฑลของจีน ตามนโยบายการเร่งรัดการเจรจาการค้าภายใต้กรอบความร่วมมือระหว่างประเทศ

โดยกระทรวงพาณิชย์มีแผนที่จะจัดกิจกรรมจับคู่ธุรกิจระหว่างไทยกับไห่หนานในช่วงปลายปี 2564 ในรูปแบบของการจับคู่เจรจาธุรกิจออนไลน์ หรือ Online Business Matching: OBM และวิธีการส่งเฉพาะสินค้าตัวอย่างไปจัดแสดงในงานแสดงสินค้าในต่างประเทศ หรือ Mirror & Mirror โดยจะเลือกโมเดลที่เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน และก้าวข้ามขีดจำกัดในยุค New Normal

“นอกจากนี้ สำหรับในปี 2565 ยังมีแผนกิจกรรมที่จะสร้างโอกาสในการส่งเสริมความร่วมมือด้านการค้าการลงทุนระหว่างกันอีกมาก ทั้งการจัดงาน Top Thai Brand ไห่หนาน ซึ่งจะเป็นการยกทัพสินค้าแบรนด์ดังระดับโลกของไทยไปร่วมจัดแสดงในงาน Hainan Expo อีกครั้งเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน โดยมุ่งเน้นการส่งเสริมธุรกิจบริการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ซึ่งไทยมีโอกาสผลักดันทั้งสินค้าและบริการเชิงสุขภาพเข้าไปให้บริการในไห่หนาน อาทิ การนวดแผนไทย สปา ผลิตภัณฑ์ด้านความงาม ผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย และการให้บริการสุขภาพแบบองค์รวม” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าว

ทั้งนี้ นายนันทพงษ์ จิระเลิศพงษ์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ระบุด้วยว่าหลังจากที่รัฐบาลจีนได้มีนโยบายและประกาศให้มณฑลไห่หนานเป็นเมืองท่าการค้าเสรีเชื่อมโยงประเทศที่อยู่ในแนวหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง ยิ่งกระตุ้นให้ภาคธุรกิจให้ความสำคัญกับมณฑลไห่หนานมากยิ่งขึ้น โดยในส่วนของประเทศไทยได้เริ่มมีสินค้าไทยเข้าไปขยายตลาดในมณฑลไห่หนานแล้ว สำหรับมูลค่าการค้าระหว่างไทย - ไห่หนาน ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2564 มีมูลค่ารวม 3,623 ล้านบาท โดยไทยส่งออกไปไห่หนาน 2,482 ล้านบาท และไทยนำเข้าจากไห่หนาน 1,142 ล้านบาท เป็นเบื้องต้น

และการทำข้อตกลงนี้ เป็นนโยบายการค้ายุคใหม่ของ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และเมื่อ 20 สิงหาคม 2564 นายจุรินทร์ได้เป็นประธานและสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจด้านความร่วมมือทางการค้าไทย-ไห่หนาน ระหว่างนายสมเด็จ สุสมบูรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กับนายเฉิน ซี อธิบดีกรมพาณิชย์ไห่หนาน ผ่านระบบทางไกล

"การลงนาม MOU เมื่อเดือนก่อนจะเป็นกลไกที่สำคัญในการส่งเสริมการค้าและการพัฒนาความร่วมมือระหว่างกันได้อย่างเป็นรูปธรรมในอนาคต และรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์พาณิชย์ให้แนวทางไว้ว่าความร่วมมือที่เกิดขึ้นนี้ ถือเป็น Mini-FTA ฉบับแรกที่ไทยทำกับมณฑลในประเทศจีน ซึ่งเป็นนโยบายที่ให้ไว้กับกระทรวงพาณิชย์ว่าให้ทำความตกลงการค้าฉบับเล็ก หรือจะเรียกว่า Mini-FTA ก็ได้ โดยทำกับรัฐต่าง ๆ ที่บางรัฐมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่กว่าหรือมีจำนวนประชาชนมากกว่าประเทศไทย

"โดยไห่หนานเป็นตัวอย่างแรกที่เกิดขึ้นกับประเทศจีน และยังมีแผนที่จะเดินหน้าทำกับมณฑลอื่น ๆ ของจีนเพิ่มขึ้น เช่น มณฑลกานชู ที่มีชาวมุสลิมอยู่มาก เพื่อเป็นลู่ทางในการส่งเสริมการค้าสินค้าฮาลาลของไทย รวมถึงมณฑลอื่น ๆ ที่เห็นว่าเป็นโอกาส ทั้งนี้เป็นไปตามนโยบายรัฐบาล โดยรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ท่านจุรินทร์ " รองอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กล่าว

ด้าน นางสาวสุภาวดี แย้มกมล ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาตลาดและธุรกิจไทยในต่างประเทศ 1 กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม สำหรับเนื้อหาความร่วมมือนั้น ทางรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายจุรินทร์ ให้ไว้ประกอบด้วย 5 ด้าน ได้แก่... 

1.) ความร่วมมือด้านการแลกเปลี่ยนข้อมูลและมาตรการสนับสนุน SMEs เช่น การลงทุน การจัดตั้งตัวแทนการค้าร่วมกัน 
2.) ส่งเสริมเชื่อมโยงธุรกิจ เพื่อยกระดับความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมของ SMEs เช่น การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ พัฒนาสินค้า ขยายโอกาสสู่ตลาดที่สาม 
3.) อำนวยความสะดวกในกิจกรรมทางการค้า เช่น งานสัมมนา งานแสดงสินค้า จับคู่ธุรกิจ คณะผู้แทนการค้า เป็นต้น 
4.) ด้านการมุ่งขยายมูลค่าการค้าใน 3 สินค้าหลัก ประกอบด้วย สินค้าทางด้านการเกษตร สินค้าอาหาร และสินค้าอุตสาหกรรม 
5.) ส่งเสริมความร่วมมือด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ และจับคู่ธุรกิจออนไลน์

“และที่เมืองไห่หนานนั้นมี นางสาวอรนุช วรรณภิญโญ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองกวางโจว พร้อมทีมเซลล์แมนประเทศ หรือทีมทูตพาณิชย์ เจ้าหน้าที่กระทรวงพาณิชย์ประจำสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ดำเนินการประสานงานในพื้นที่ โดยทางฝ่ายไทยมี สำนักพัฒนาตลาดและธุรกิจไทยในต่างประเทศ 1 ประสานดำเนินงานตามพันธกิจนี้” นางสาวสุภาวดี กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top