Friday, 17 May 2024
ElectionTime

‘บิ๊กตู่’ ควง 'พีระพันธุ์' ไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์วัดเล่งเน่ยยี่ ท่ามกลางเสียงเชียร์ "นายกฯ สู้ๆ" จากประชาชน

ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศการลงพื้นที่หาเสียงของบรรดาพรรคการเมือง ในช่วงเทศกาลตรุษจีน ย่านเยาวราชว่า เมื่อวันที่ 22 ม.ค. 66 เป็นไปอย่างคึกคัก ทั้งพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ที่ดอดมาตั้งแต่ช่วงบ่ายแล้ว พรรคก้าวไกล โดยนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมด้วยปารเมศ วิทยารักษ์สรรค์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. เขต 1 กทม. ก็มีกำหนดลงพื้นที่เยาวราชในเวลา 17.00 น. อีกทั้งนายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อหัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ ก็คงพื้นที่ด้วนเช่นกัน

และที่ต้องจับตาคือในส่วนของพรรครทสช. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหมในฐานะสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) และนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรค รทสช. ที่มีกำหนดลงพื้นที่ย่านเยาวราชในเย็นวันเดียวกันนี้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม ในช่วงเช้า พล.อ.ประยุทธ์ ได้พักผ่อนออกรอบตีกอล์ฟกับกลุ่มเพื่อนสนิทเป็นการส่วนตัว 

ทั้งนี้ พรรค รทสช. ได้แจ้งปรับเปลี่ยนกำหนดการเดิมของแกนนำพรรค ว่า เมื่อแกนนำมาเดินทางถึงเยาวราชพบกันที่จุดแรกที่นัดพบที่ I'm Chinatown ห้างและโรงแรมใกล้สถานี MRT วัดมังกร ได้เปลี่ยนเป็นพบกันที่ร้าน TORA CHA ในซอยตรงข้ามมูลนิธิป่อเต็กตึ้ง ซึ่งคาดว่าเพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า เนื่องจาก นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล มีกำหนดเดินทางมาจุดแรกด้วยเช่นกันในเวลา 17.00 น. รวมถึงในจุดที่สอง มีกำหนดการไปนมัสการเจ้าอาวาสวัดมังกรกมลาวาส หรือวัดเล่งเน่ยยี่ ซึ่งตรงกับพรรคก้าวไกล

อย่างไรก็ตาม เวลา 17.20 น.ได้มีการปรับเปลี่ยนอีกครั้ง โดยนายพีระพันธ์ุ และ นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี แกนนำ รทสช. พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง อดีตผู้ว่าฯ กทม. นำแกนนำและสมาชิกพรรค ไหว้ศาลเจ้าพ่อไต่ฮงกงก่อ จากนั้นนั้น แกนนำ รทสช. เดินทางมาเข้ามายังวัดมังกรกมลาวาส หรือ วัดเล่งเน่ยยี่ เพื่อไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขบวนหาเสียงของนายพีระพันธ์ุ สวนกับ ขบวนหาเสียงของนายพิธา ตรงปากประตูวัดเล่งเน่ยยี่ สบตากันไป ซึ่งสมาชิกของทั้งสองพรรค ได้ตะโกนเชียร์พรรคตัวเองอย่างไม่ยอมกัน ทั้งรวมไทยสร้างชาติ สู้ ๆ พรรคก้าวไกล สู้ ๆ ทำเอาประชาชนที่เดินไปมา ต่างหัวเราะชอบใจ

'เสี่ยหนู' อ้อนคน กทม. ขอเปิดใจให้ 'ภูมิใจไทย' ชี้!! แม้ไม่มีฐานเสียงในเมืองกรุง แต่พร้อมดูแลรับใช้

(22 ม.ค.66) เวลา 17.30 น. ที่ชุมชนโรงปูน เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ให้สัมภาษณ์ว่า ต้องการมารับใช้พี่น้องประชาชน เป็นรัฐบาลมา 4 ปีแล้วได้ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่าง ๆ มาทั่วทุกภาคแล้ว และคิดว่าสิ่งที่เราทำมาถ้าเราสามารถนำมาเสริมในพื้นที่ กทม.ได้ก็จะเป็นประโยชน์กับประชาชนมากขึ้น แม้ว่าภท.จะมีฐานส่วนใหญ่อยู่ในต่างจงหวัด แต่คนต่างจังหวัดมาทำงานในกทม.เยอะ เพราะฉะนั้นถ้าเรามีพื้นที่และตัวแทนของเราในกทม. ก็จะได้ร่วมมือกัน โดยที่เรามีผู้แทนฯของประชาชนมาบอกว่าเราจะต้องทำอะไร ประชาชนต้องการอะไร เนื่องจากกทม.เป็นเขตบริหารพิเศษ เราก็ใช้ความสัมพันธ์การพึ่งพาระหว่างหน่วยงาน เช่น ภท. เรามีทั้งกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงคมนาคม กระทรวงการท่องเที่ยวฯ ซึ่งทั้ง 3 กระทรวงนี้ ถ้าเรามาเสริมให้ กทม.ได้มีเครือข่ายเพิ่มอีก 3 กระทรวง คนที่ได้รับประโยชน์คือชาวกทม คนเสียประโยชน์ไม่มี จะเห็นได้ว่าสถานการณ์โควิด เนื่องจากกทม.เป็นพื้นที่ใหญ่มาก แต่สถานพยาบาลมีไม่มาก ถ้าเราไม่ร่วมมือกันเหมือนที่ผ่านมา คนกทม.ก็จะมีอุปสรรคมากในการเข้าถึงระบบสาธารณสุข แต่เมื่อมาร่วมมือกันได้เราก็จัดให้มีโรงพยาบาลสนามรายล้อมพื้นที่กทม.ทำให้ชาวกทม.เข้าถึงระบบสถานพยาบาลของรัฐในส่วนที่พรรคภท.ดูแลได้สะดวก 

“ในพื้นที่กทม.ส่วนใหญ่ที่เราสามารถเติมให้ได้ตามอำนาจ ตามกฎหมายของหน่วยงานที่เรากำกับดูแลอยู่เราก็จะเติมได้เลย ส่วนไหนที่จะต้องอาศัยความร่วมมือจากผู้บริหาร ก็คือกทม. เราก็จะประสานให้ ไม่ใช่มาแย่งกันทำงาน ไม่ใช่มากั๊ก" นายอนุทิน กล่าว

เมื่อถามว่า ผู้สมัครในกทม.จะแตกต่างจากในพื้นที่อื่นอย่างไร เช่น กลยุทธในการหาเสียง นายอนุทิน กล่าวว่า ตนว่าผู้สมัครทั่วประเทศทุกคนสิ่งที่ไม่แตกต่างคือต้องการรับใช้พี่น้องประชาชน ดังนั้นเขาก็ต้องแสดงให้ประชาชนเชื่อมั่นและไว้วางใจ ในกรณีเขตห้วยขวาง นายประเดิมชัย บุญช่วยเหลือ ว่าที่ผู้สมัคร จะเห็นได้ว่าเวลาอภิปรายในสภาฯ จะอภิปรายสิ่งที่เป็นสาระทั้งนั้นไม่เคยอภิปรายดูถูเหยียดหยามคนอื่น นำทุกข์สุขของประชาชนไปตีแผ่ในสภาฯ ซึ่งการอภิปรายเราก็ฟังตลอด เมื่อมีโอกาสเราก็คุยกัน ท่านเหล่านี้ก็ได้เห็นนโยบายพรรคภท.ได้เห็นผลงานของ ภท. สิ่งที่ภท.ทำมาตลอด 4 ปีซึ่งเป็นที่มาของสโลแกน พูดแล้วทำ ท่านก็คงเห็นว่าคนที่มาจากบ้านนอกแท้ ๆ อย่างภท.เขายังมาทำทุกอย่างอย่างเต็มที่ จึงอยากให้เกิดสิ่งเหล่านี้ในกทม.บ้าง 

'พิธา' มั่นใจ ส่ง 'ปารเมศ' เข้าสภาฯ ได้แน่ ยัน!! ไม่จับมือ 'พรรคทหารจำแลง' จัดตั้งรัฐบาล

(22 ม.ค. 66) เวลา 17.00 น. ที่เยาวราช กทม. นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) พร้อมด้วยแกนนำพรรคนำทีม พานายปารเมศ วิทยารักษ์สรรค์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. กทม.เขต 1 ก้าวไกล ลงพื้นที่พบปะประชาชน ในย่านเยาวราช โดยนายพิธา ให้สัมภาษณ์ว่า เราส่งนายปารเมศ ลูกหลานคนเชื้อสายจีน มีความเข้าใจบริบทความต้องการพื้นที่นี่เราเคยได้ที่ 2 ตอนปี 62 ส่วนส.ก.เขตพระนครล่าสุดเราก็ได้รับความไว้วางใจมา เรามั่นใจว่าจะสามารถส่งนายปารเมศ เข้าสู่สภาฯ ได้แน่นอน

เมื่อถามว่าส.ส.เจ้าของพื้นที่เดิม ย้ายไปสังกัดเพื่อไทยถือเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า การเลือกตั้งครั้งต่อไปไม่มีเจ้าของประชาชน แข่งขันกันที่นโยบายว่าใครจะตอบโจทย์คนในพื้นที่ ไม่ว่าจะย้ายพรรคหรือไม่ย้ายพรรค มาจากพรรคไหน ต้องสู้เต็มที่เพื่อเอาประชาชนเป็นที่ตั้งให้ได้ 

'กรณ์' มั่น!! นโยบายเศรษฐกิจชาติพัฒนากล้า ตอบโจทย์ ปชช. เผย 24 ม.ค. แถลงใหญ่ สะเทือนหลายวงการ 

(23 ม.ค.66) นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวถึงเหตุผลทำไมต้องลดภาษีให้คนทำงาน ที่เงินเดือนไม่ถึง 40,000 บาท ว่า มนุษย์เงินเดือนรวมไปถึงฟรีแลนซ์กว่า 4 ล้านคนที่เสียภาษีเงินได้ส่วนบุคคล ครึ่งหนึ่งหรือ 2 ล้านคนมีรายได้ตํ่ากว่าเดือนละ 40,000 บาท มีส่วนน้อยที่มีรายได้หลักแสนต่อเดือน ได้รับประโยชน์ เนื่องจากคนทำงานกลุ่มนี้เสียภาษีเต็มเม็ดเต็มหน่วยเสมอต้นเสมอปลายที่สุด ถึงเวลาที่เขาควรได้รับการช่วยเหลือ ด้วย 4 เหตุผลหลัก คือ...

1. ค่าครองชีพสูงขึ้นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นค่าเช่าที่อยู่อาศัยหรือเงินผ่อนบ้านคอนโด หรือจะเป็นค่าเดินทาง ค่าผ่อนรถ ค่านํ้ามัน ค่ารถไฟฟ้า คนวัยทำงานมีภาระสองเด้ง คือเลี้ยงลูกเล็กและภาระดูแลผู้ใหญ่ในบ้าน ส่วนค่าอาหาร ค่าไฟ ค่าประกันสุขภาพ ทุกอย่างแพงขึ้นหมด ในขณะที่ภาระภาษีแทบไม่เคยปรับลดลง 

2. อัตราภาษีนิติบุคคลของบริษัทขนาดใหญ่ได้รับการปรับลดลงจาก 30% เป็น 20% มาแล้วกว่า 10 ปี เป็นเหตุให้เศรษฐีและผู้มีรายได้สูง เลือกที่จะมีรายได้ผ่านกำไรหุ้นและเงินปันผลมากกว่าผ่านการรับเงินเดือน ซึ่งคนทำงานที่เป็นลูกจ้างไม่มีทางเลือกนี้ 

3. รายได้รัฐเริ่มฟื้น โดยสำนักงบประมาณประมาณการว่ารายรับภาษีรัฐบาลจะเพิ่มขึ้น 270,000 ล้านบาทในปีงบประมาณ 2567 จึงเป็นจังหวะที่ดีที่จะลดภาระคนทำงาน (ซึ่งข้อเสนอของพรรคชาติพัฒนากล้ามีผลต่อรายได้ภาษี 21,000 ล้านบาทต่อปี) 

และ 4. พรรคที่ร่วมรัฐบาลมาตลอด 4 ปีที่ผ่านมาอย่างน้อย 2 พรรคได้หาเสียงไว้ว่าจะลดภาษีเงินได้ แต่ไม่ได้ทำ 

นายกรณ์ ได้ยกตารางคำนวณเปรียบเทียบว่า เงินเดือนไม่เกิน 4 หมื่น ไม่เสียภาษี! สูงกว่านั้นก็คิดตามขั้นบันได ความหมายของเราคือรายได้พึงประเมินต่อปี หลังหักลดหย่อน 0-300,000 บาทแรก อัตราภาษีเป็น 0% พอปรับทอนกลับไปเป็นจำนวนเงิน คนที่รายได้สูงกว่า 4 หมื่นก็จะได้ปรับลดหลั่นกันเป็นขั้นบันไดเช่นกัน 

‘ลุงหนู’ ลั่น!! แนวทาง ภท. ‘ไม่พูด-ด้อยค่า’ นโยบายพรรคอื่น ชี้!! ถ้านโยบายของใครเป็นประโยชน์ พร้อมสนับสนุน

‘อนุทิน’ โว!! กระแส ‘ลุงหนู’ ไม่แพ้ ‘ลุงตู่-ลุงป้อม’ มั่นใจ ปักธง กทม. ลั่น!! ภท.พร้อมเสนอตัวแก้ปัญหาคนกรุง ยัน!! นโยบายค่ารถไฟฟ้าไม่เกิน 40 บาท ศึกษามาดีแล้ว แทงกั๊ก!! จับขั้วการเมือง ชี้!! ให้รอผลเลือกตั้งก่อน 

(23 ม.ค.66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ให้สัมภาษณ์ถึงการเริ่มลงพื้นที่ในกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 22 ม.ค.ที่ผ่านมาว่า ในการลงพื้นที่ดังกล่าว เราได้ปราศรัยนโยบายที่พรรคภูมิใจไทยจัดทำ เวลาพูดอะไรไป ประชาชนก็ชอบใจ เพราะสิ่งที่พูดไปนั้นถูกใจเขา และจะลงไปพื้นที่อื่นด้วย เพราะเราตั้งใจจะส่งผู้สมัคร ส.ส.กทม.ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ 

ถ้าถามว่าคาดหวังเขตไหน ก็ต้องบอกว่าคาดหวังทุกเขต แต่ขึ้นอยู่กับหลายอย่าง ทั้งนโยบายพรรค ความแข็งแรง ความขยัน และความเป็นที่นิยมของผู้สมัคร ในแต่ละเขต เราจะทำให้ดีที่สุด

ผู้สื่อข่าวถามว่ามั่นใจหรือไม่ว่าจะสามารถปักธงได้ใน กทม. หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า มั่นใจ ต้องมั่นใจเพราะกรุงเทพฯ เป็นเมืองสำคัญ ซึ่งเราทำประโยชน์ให้กับจังหวัดอื่น ๆ ไปแล้ว เหลือแต่กรุงเทพฯ ที่พรรคภูมิใจไทย ยังไม่มี ส.ส. จึงอยากเสนอตัวเข้ามา เพราะถ้าเรามี ส.ส.ของเราเอง ก็คิดว่าจะสามารถแก้ปัญหาหลายอย่างได้ ในรูปแบบการร่วมมือทำงานให้เกิดประโยชน์กับประชาชนมากที่สุด ไม่ใช่ไปแข่งหรือแย่งกันทำงาน เพราะกทม.มีผู้ว่าราชการกรุงเทพ อยู่แล้ว เราก็แค่มาเสริม แบ่งเบาภาระ ประชาชนจะได้ประโยชน์สูงสุด

เมื่อถามว่าพรรคภูมิใจไทยจะมีนโยบายอะไรที่โดนใจคนกรุงเทพฯ เพราะพรรคอื่นก็ต้องการปักธง ส.ส.ใน กทม. เช่นเดียวกัน นายอนุทิน กล่าวว่า จะใช้ผลงานในช่วงที่เราเป็นรัฐบาล และได้ทำนโยบายที่ได้หาเสียงไว้ครั้งที่แล้วออกมาเป็นรูปธรรมได้แทบทุกนโยบาย และเราไม่ได้มีความขัดแย้งกับใคร ไม่ชอบและไม่เชื่อว่าความขัดแย้งจะทำให้ประเทศก้าวหน้าได้ แต่เชื่อว่าการทำงานและทำนโยบายให้ครบถ้วนจะทำให้บ้านเมืองได้ประโยชน์สูงสุด และแนวทางของพรรคภูมิใจไทย เวลาหาเสียง เราจะไม่พูดถึงพรรคอื่น ไม่ได้ด้อยค่านโยบายของใคร และถ้านโยบายของพรรคอื่นเป็นประโยชน์ ก็ควรสนับสนุนด้วยซ้ำ เพราะคิดว่าทุกคนปรารถนาดีที่จะทำงานให้กับบ้านเมือง และอุปสรรคใหญ่คือความขัดแย้ง การด้อยค่าและการพูดจาเสียดสีกันเป็นสิ่งที่คนที่อาสามาเป็นตัวแทนประชาชนไม่ควรทำ และถ้ามัวแต่ทะเลาะกัน จะหาความร่วมมือกันได้อย่างไร 

เมื่อถามย้ำว่ามั่นใจหรือไม่ว่านโยบายเรื่องค่าโดยสารรถไฟฟ้าที่พรรคภูมิใจไทยได้นำเสนอแล้ว จะซื้อใจคนกรุงเทพฯ ได้หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า มั่นใจ เพราะ ช่วง 4 ปีที่ผ่านมา พรรคภูมิใจไทยกำกับดูแลกระทรวงคมนาคม เวลาที่พูดว่าค่าโดยสารจะไม่เกิน 40 บาท เราได้มีการศึกษาเรื่องการคุ้มค่าของการลงทุน และประโยชน์ของประชาชน อีกทั้งมีต้นแบบ มีข้อมูล ไม่ใช่มาพูดเพื่อให้ประชาชนรู้สึกดีแล้วมาเลือก คนที่บริหารบ้านเมืองมา 4 ปี ไปพูดชุ่ย ๆ ไม่ได้ แต่พูดโดยใช้ข้อมูลเป็นตัวประกอบ อาทิ มีการศึกษาราคาไม่เกิน 42-43 บาท เราก็หาวิธีการทำให้ราคาไม่เกิน 40 บาท เพื่อให้วิน-วินสำหรับประชาชนและผู้ประกอบการ ประชาชนจะขึ้นโดยสารกี่รอบก็ได้ และผู้ประกอบการไม่ขาดทุน เพราะการทำระบบขนส่งสาธารณะให้ประชาชน จะคิดแต่ได้กำไรมากไม่ได้ ถ้าขาดทุนเล็กน้อยหรืออยู่ตัว แต่เป็นประโยชน์กับประชาชน ก็ต้องทำให้ เพื่อให้ประชาชนลดต้นทุนการดำรงชีวิต มีรายได้เพิ่มขึ้นอีกแบบหนึ่ง

‘ประชาธิปัตย์’ ชู นโยบายเป็นไปได้ - ทำได้จริง สู่หมุดหมายทวงคืนเก้าอี้ 3 จ.ชายแดนใต้

ประชาธิปัตย์กับสามจังหวัดชายแดนใต้ นโยบายที่เป็นไปได้ ทำได้จริง ไม่วาดฝันแค่ช่วงเลือกตั้ง

‘นิพนธ์ บุญญามณี’ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ต้องย้ำหลายครั้งถึงความอุดมสมบูรณ์ของสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพียงแต่มีปัญหาความไม่สงเรียบร้อย จึงต้องการให้สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นคลังอาหารของภาคใต้ นอกจากภาคพื้นดินที่อุดมสมบูรณ์แล้ว มีสองจังหวัดที่ติดทะเล คือปัตตานี และนราธิวาส ซึ่งทางทะเลก็ยังมีความอุดมสมบูรณ์เช่นกัน และยังมีเป้าหมายในการ ‘สร้างสันติภาพให้เกิดสันติสุข’

การเลือกตั้งในรอบหลายปีที่ผ่านมา ได้รับความไว้วางใจจากพี่น้องในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่น้อย มีเพียงครั้งที่ผ่านมา ที่สูญเสียที่นั่งส่วนใหญ่ไป ได้มาเพียงคนเดียว คือ ‘อันวาร์ สาและ’ จังหวัดปัตตานี โดยสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมามี ส.ส.ได้ 11 คน พรรคประชาชาติได้ไป 6 คน พรรคพลังประชารัฐ 3 คน ประชาธิปัตย์ 1 คน และภูมิใจไทย 1 คน การเลือกตั้งครั้งหน้ามี ส.ส.เพิ่มมา 1 คน เป็น 12 คน ยะลา 3 ปัตตานี 4 และนราธิวาสเพิ่มมา 1 คน เป็น 5 คน

สำหรับ ‘พรรคประชาธิปัตย์’ นอกจากจะมีนโยบายใหม่ เช่น ‘สร้างเงิน สร้างคน สร้างชาติ’ โดยภาพรวมแล้ว ‘จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์’ หัวหน้าพรรค ยังเลือกที่จะใช้นโยบายเดิมที่เป็นนโยบายซึ่งทำได้จริงที่เคยประสบความสำเร็จ และเสริมนโยบายใหม่ ๆ ทันสมัย และทำได้จริงเข้าไปและถึงมือประชาชนจริง เช่น นโยบายการประกันรายได้ผลผลิตการเกษตรของเกษตรกร และจะขยายขอบเขตของการประกันรายได้ไปสู่อาชีพอื่น ๆ ที่ไม่ใช่เกษตรกรด้วย

‘ประชาธิปัตย์’ เป็นพรรคการเมืองที่มีนโยบายชัดเจนและต่อเนื่อง ไม่ใช่มีนโยบายเฉพาะกิจในช่วงหาเสียงเพื่อการเลือกตั้ง หวือหวาในช่วงหาเสียง แต่ยังไม่รู้ว่าทำได้จริงหรือไม่ เอางบประมาณมาจากไหน แต่เป็นนโยบายที่วางเป็นรากฐานของการแก้ปัญหาและการพัฒนาประเทศอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีหลักฐานยืนยันได้เป็นอย่างดี เช่น โครงการนมโรงเรียน โครงการอาหารกลางวัน เงินกู้ กยศ. และอีกหลายโครงการที่แยกย่อยลงมาในกระทรวงศึกษาธิการ เมื่อครั้งที่คนของพรรคประชาธิปัตย์เข้าไปเป็นรัฐมนตรี

หรือโครงการ อสม. เงินผู้สูงอายุ ยกระดับสถานีอนามัย 10,000 แห่งให้เป็นโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลหรือ รพ.สต. เมื่อครั้งที่ ‘จุรินทร์’ คนของประชาธิปัตย์เป็นเจ้ากระทรวงสาธารณสุข

ประชาธิปัตย์ก้าวย่างเข้าไปในกระทรวงไหน ก็จะเข้าไปเป็นผู้วางรากฐาน ที่เป็นนโยบาย เพื่อให้เกิดความมั่นคงที่คนของพรรคการเมืองอื่น เมื่อเข้าไปเป็นเจ้ากระทรวงจะได้สานต่อทำให้ดีขึ้นกว่าเดิม เช่น เพิ่มค่าตอบแทนให้ อสม. และเพิ่มเงินผู้สูงอายุ และอื่น ๆ ที่ ‘ประชาธิปัตย์’ เป็นผู้ทำเอาไว้ และไม่มีโครงการไหนที่ประชาธิปัตย์ทำไว้แล้วถูกยกเลิก

นโยบายการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ แม้ในการเลือกตั้งสมัยที่ผ่านมา ประชาธิปัตย์มี ส.ส.เพียงคนเดียวใน จ.ปัตตานี กับอีก 3 คนของ จ.สงขลา แต่ประชาธิปัตย์ก็ไม่ได้ละเลยในการแก้ปัญหาของจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะเรื่องของความยากจนของคนใน จ.ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส พร้อมกับเดินหน้าสรรหาคนเลือดใหม่เข้ามาเสริมทัพให้แข็งแกร่งขึ้น จะต้องมี ส.ส.ทุกจังหวัดใน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้

‘ชวลิต’ ลาเพื่อไทย เตรียมย้ายซบ ‘ไทยสร้างไทย’ ยก ‘หญิงหน่อย’ เป็นผู้นำพาไทยหลุดพ้นความขัดแย้ง

(23 ม.ค. 66) เวลา 8.30 น. นายชวลิต วิชยสุทธิ์ ส.ส. นครพนม เขต 4 (อ.นาแก อ.ปลาปาก และ อ.วังยาง) แถลงข่าวลาออกจากพรรคเพื่อไทย ที่สำนักงานพรรคเพื่อไทย อ.นาแก จ.นครพนม โดยมีทีมงาน และประชาชนในพื้นที่มาร่วมรับฟังจำนวนมาก หลายคนพกข้าวปลาอาหาร และดอกไม้ มาให้กำลังใจ 

นายชวลิต กล่าวว่า ได้ยื่นใบลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยแล้วเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2566 โดยไม่มีปัญหาส่วนตัวใด ๆ ในพรรคเพื่อไทย และยังคงให้ความเคารพนับถือผู้ใหญ่ของพรรคและผู้บริหารพรรค รวมถึง 2 อดีตนายกรัฐมนตรีเสมอมาไม่เปลี่ยนแปลง

แต่ช่วงเวลาที่ผ่านมา ตนเองได้ตกผลึกความคิดทางการเมืองว่า นับจากปี 2549 จนถึงปัจจุบัน เป็นเวลาเกือบ 20 ปี การเมืองประเทศไทยยังอยู่ในวังวนแห่งความขัดแย้ง แบ่งเป็นฝัก เป็นฝ่าย ทำลายล้างกัน จนประเทศตกหล่ม ถอยหลังเข้าคลอง วิ่งตามเพื่อนบ้านไม่ทัน และประชาชนยากจนลงแต่หนี้สินเพิ่มขึ้น

พรรคการเมืองที่เคยสังกัดถูกยุบ 2 ครั้ง ถูกปฏิวัติ 2 ครั้ง รัฐมนตรีของพรรคต้องโทษจำคุกแล้วกว่า 10 คน และยังมีอีกหลายคนที่ต่อคิวเพราะคดีความยังไม่สิ้นสุด ตนเห็นว่าการยุบพรรคการเมืองและการรัฐประหารเป็นสิ่งไม่ถูกต้อง ไม่เป็นธรรม ไม่สอดคล้องกับการปกครองระบอบประชาธิปไตย ยิ่งกระทำกับพรรคการเมืองที่ตนเคยสังกัด ยิ่งทำให้ความขัดแย้งฝังรากลึก ต่อเนื่อง ยาวนาน ดังนั้น ตนเองจึงตกผลึกทางความคิดว่า ต้องหาพรรคการเมืองที่มีจุดยืนอุดมการณ์ประชาธิปไตย และต้องมีนโยบายก้าวข้ามความขัดแย้งระหว่างการเมืองสองขั้ว เพื่อเป็นทางออกให้กับบ้านเมือง

ส่อง!! เฟซบุ๊กพรรคการเมืองไทยที่มีผู้ติดตามมากที่สุด

วันนี้ THE STATES TIMES พามาส่องเฟซบุ๊กเพจของพรรคการเมืองไทย ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่ามีอิทธิพลต่อความคิดของประชาชนในยุคดิจิทัลว่าแต่ละพรรคมีผู้ติดตามกันมากน้อยขนาดไหน
 

'สกลธี' ชูแนวคิด 'พลังใหม่ พลังกรุงเทพ พลังประชารัฐ' จับมือ 'นฤมล' นำ พปชร.สู้ศึกเลือกตั้ง ยึดเมืองหลวง

'สกลธี' รีเทิร์น พปชร. นำแถลงเปิดตัว 30 ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม. 24 ม.ค.นี้ ชูแนวคิด ‘พลังใหม่ พลังกรุงเทพ พลังประชารัฐ’ ไม่ขายฝัน ทุกนโยบายทำได้จริง จับมือ ‘นฤมล’ นำทัพสู้ศึกเลือกตั้ง

(23 ม.ค.66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับกำหนดการเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. กทม. พรรคพลังประชารัฐ ในวันที่ 24 ม.ค. เวลา 16.00 น. ที่พรรคพลังประชารัฐ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรค จะร่วมในงานเปิดตัวครั้งนี้ นำโดยนายสกลธี ภัททิยกุล อดีตรองผู้ว่าฯ กทม. ในฐานะหัวหน้าทีมดูแลการเลือกตั้ง ส.ส.กทม. ร่วมกับนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรค ภายใต้สโลแกน ‘พลังใหม่ พลังกรุงเทพ พลังประชารัฐ ไม่ขายฝัน ทุกนโยบาย ทำได้จริง’ ทั้งนี้ จะมีการเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ประมาณ 30 คน ส่วนที่เหลืออีกประมาณ 5 เขตจะทยอยเปิดหลังจากนี้

‘ลุงหนู’ ปัดตอบ จับมือพรรคเพื่อไทย ชี้!! ทุกอย่างต้องรอดูหลังเลือกตั้ง

(24 ม.ค. 66) เมื่อเวลา 09.25 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงกรณีการลาออกของนายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล จากรมช.คมนาคม ได้แจ้งการลาออกอย่างไร ว่า นายวีรศักดิ์ ลาออกตามขั้นตอน และตอนนี้ก็ยังเป็นสมาชิกพรรคภูมิใจไทยอยู่ แต่ไม่ได้เป็นกรรมการบริหารพรรค

ผู้สื่อข่าวถามถึง กระแสข่าวที่นายวีรศักดิ์ จะไปอยู่กับพรรคเพื่อไทย รวมถึง นายอภิชา เลิศพชรกลม ที่มีข่าวว่าจะลาออกไปด้วย นายอนุทินกล่าวว่า ยังไม่ทราบ นายวีรศักดิ์แจ้งเพียงสุขภาพไม่ดี เมื่อท่านตัดสินใจลาออก ก็ต้องให้กำลังใจ ขอให้ไปรักษาตัวให้แข็งแรง 

เมื่อถามย้ำว่ากระแสข่าวว่าจะไปพรรคเพื่อไทย จะทำให้พื้นที่นครราชสีมายวบไปหรือไม่ หรือจะให้ใครมาดูแลแทน นายอนุทินกล่าวว่า เมื่อวานบอกไปแล้ว การที่มีส.ส.เข้าหรือออก เป็นเรื่องของความสบายใจ ถือเป็นเรื่องปกติ ถ้าสมมุติว่ามีจากฝั่งภูมิใจไทยไปร่วมกับพรรคเพื่อไทย พรรคภูมิใจก็จะได้เคลียร์ที่ว่าใครเป็นประชาธิปไตย ไม่เป็นประชาธิปไตย และจะได้เลิกคุยเรื่องนี้เพราะเมื่อคนเพื่อไทยมาอยู่กับภูมิใจไทย ตอนนี้ถูกกล่าวหาว่าไม่เป็นประชาธิปไตย แต่ตอนนี้คน ภูมิใจไทยไปเพื่อไทย ถามว่าเป็นประชาธิปไตยหรือไม่ เพราะในที่สุดก็สรุปได้ว่าทุกอย่างก็เป็นประชาธิปไตย การย้ายเข้าออกพรรคการเมืองในช่วงเลือกตั้ง ถือเป็นเรื่องปกติ


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top