Sunday, 1 June 2025
Econbiz

‘เอกนัฏ’ เดินหน้าปราบ “อุตสาหกรรมศูนย์เหรียญ” ตั้งทีมสกัดกลุ่มสินค้า สายไฟ เหล็ก ยางล้อ พลาสติก

(20 พ.ค. 68) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ปัญหาสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย เป็นปัญหาใหญ่ระดับประเทศ และสถานการณ์การค้าของโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงและรวดเร็ว ซึ่งในวันนี้ต้องยอมรับว่า การใช้วิธีการเดิม ๆ นั้น ไม่ทันต่อการปราบปรามและแก้ไขปัญหาสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย โดยปัจจุบันกระทรวงอุตสาหกรรม ได้ร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ปราบปรามการผลิต นำเข้า และจำหน่ายสินค้าผิดกฎหมายที่ไม่ผ่านมาตรฐาน มอก. อย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง โดยเฉพาะการจำหน่ายสินค้าผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์  กำหนดรายการสินค้าที่ต้องเฝ้าระวังการลักลอบสวมสิทธิ์เป็นสินค้าไทยเพิ่มเติม เร่งปิดช่องโหว่ทางกฎหมายที่เอื้อต่อการสวมสิทธิ์ เพิ่มบทลงโทษแก่ผู้กระทำความผิด ตรวจสอบโรงงานต่างชาติฝ่าฝืนกฎหมาย ตรวจสอบแหล่งที่มาของเงินทุนจดทะเบียน ทบทวนเงื่อนไขการส่งเสริมการลงทุนให้มีการจ้างแรงงานไทยและการใช้ปัจจัยการผลิตในประเทศ และยกระดับการติดตามตรวจสอบให้เป็นไปตามเงื่อนไขอย่างเคร่งครัด 

“ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา (ตุลาคม 2567- มีนาคม 2568) “ชุดตรวจการสุดซอย” ของกระทรวงอุตสาหกรรม ได้ปราบปราม “อุตสาหกรรมศูนย์เหรียญ” ซึ่งเป็นการกระทำความผิดหลากหลายรูปแบบ อาทิ โรงงานต่างชาติที่มีลักษณะเข้าข่ายเป็นนอมินี ซึ่งอยู่ในระหว่างการขยายผลร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ การลักลอบนำเข้าสินค้าที่ไม่ผ่านมาตรฐาน โดยพฤติกรรมผู้กระทำความผิดมีการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ และไม่มีตัวตนในประเทศไทย การลักลอบสวมสิทธิ์ผลิตสินค้าที่กำหนดให้ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน และส่งออกโดยอ้างว่าเป็นสินค้าไทย การจำหน่ายสินค้าไม่ได้มาตรฐานโดยเฉพาะอย่างยิ่งในแพลตฟอร์มออนไลน์เชื่อมโยงกับกลุ่มทุนศูนย์เหรียญ โดยยึดอายัดสินค้าไม่ได้มาตรฐานกว่า 692.14 ล้านบาท”  นายเอกนัฏ กล่าว

นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เปิดเผยว่า จากการประชุมคณะกรรมการมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา สมอ. ได้เสนอวาระเร่งด่วนให้บอร์ดพิจารณาแต่งตั้ง “คณะอนุกรรมการศึกษาการเพิ่มประสิทธิภาพในการกำกับดูแลมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม" ทำหน้าที่ในการศึกษาการดำเนินการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการกำกับดูแลมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ด้วยการพัฒนากระบวนการทั้งระบบ ตั้งแต่การกำหนดมาตรฐาน การตรวจสอบรับรอง และการกำกับดูแล เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลและรองรับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว รวมทั้งจัดทำข้อเสนอแนะและแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพในการกำกับดูแลผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมไทย และคุ้มครองความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน 

นอกจากนี้ บอร์ดยังได้มีมติเห็นชอบร่างมาตรฐาน จำนวน 46 มาตรฐาน โดยแบ่งเป็นสินค้าควบคุม  2  มาตรฐาน ได้แก่ เคเบิลเส้นใยนำแสงโทรคมนาคมภายนอกอาคารชนิดแขวนในอากาศรับน้ำหนักตัวเองได้ และ เคเบิลเส้นใยนำแสงชนิด ADSS แขวนตามแนวสายไฟฟ้า และมาตรฐานทั่วไป จำนวน 44 มาตรฐาน เช่น ถุงพลาสติกบรรจุอาหาร ถุงพลาสติกบรรจุอาหารสำหรับอุ่นในไมโครเวฟ ยานยนต์ที่ใช้บนถนน – ส่วนควบและเครื่องอุปกรณ์ระบบการใช้ก๊าซธรรมชาติอัดเป็นเชื้อเพลิง อนุภาคนาโนกักเก็บสารสกัดใบกระท่อม รหัสอักษรเบรลล์คอมพิวเตอร์สำหรับประเทศไทย เป็นต้น 

พร้อมทั้งเห็นชอบรายชื่อมาตรฐานที่ สมอ. จะจัดทำเพิ่มเติมในปี 2568 อีก 160 มาตรฐาน ครอบคลุมกลุ่มอุตสาหกรรมการเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ อุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร อุตสาหกรรมหุ่นยนต์เพื่ออุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ และอุตสาหกรรมส่งเสริมผู้ประกอบการ จากเดิมที่บอร์ดอนุมัติรายชื่อมาตรฐานไปแล้ว 611 มาตรฐาน รวมเป็น 771 มาตรฐาน 

เลขาธิการ สมอ. กล่าวเพิ่มเติมว่า คณะอนุกรรมการฯ ชุดดังกล่าว จะประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความรู้ความสามารถจากหลายหน่วยงาน เช่น กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม    การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นต้น และจะเร่งเสนอรายชื่อคณะอนุกรรมการฯ เพื่อให้บอร์ดให้ความเห็นชอบในการประชุมครั้งต่อไป โดยจะนำร่องใน 5 กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ต้องควบคุมกำกับดูแลเป็นพิเศษก่อน เนื่องจากมีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมภายในประเทศและความปลอดภัยของประชาชนในวงกว้าง ได้แก่ กลุ่มสายไฟ เหล็ก และโครงสร้างเหล็กประกอบสำเร็จ(Prefabrication) ยางล้อ และกลุ่มพลาสติก เพื่อเป็นต้นแบบในการขยายผล ไปยังกลุ่มผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ต่อไป” เลขาธิการ สมอ. กล่าว

‘โอ๋-ฐิติภัสร์‘ ลุยตรวจ บ.ลอบนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์ พบเป็นลักษณะโรงงานศูนย์เหรียญ เร่งส่งกลับประเทศต้นทาง

(21 พ.ค.68) นางสาวฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ หัวหน้าคณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม โพสต์เฟซบุ๊กว่า …ประเทศไทยคุ้มมั้ย???

ทีมสุดซอย ร่วมกับ กรมศุลกากร และมูลนิธิบูรณะนิเวศ ร่วมเปิดตู้สินค้านำเข้าจากอเมริกาที่ท่าเรือแหลมฉบัง สำแดงเป็นเศษอลูมิเนียม แต่เครือข่ายมูลนิธิบูรณะนิเวศที่ต่างประเทศ แจ้งว่ามีการนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์

กรมศุลกากรสกัดกั้น และเปิดตู้สินค้าจำนวน 6 ตู้ พบเป็นเศษอลูมิเนียมปนเปื้อนแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ประมาณ 118 ตัน จัดเป็นของเสียอันตรายห้ามนำเข้าเป็นอันขาด 

กรมโรงงานอุตสาหกรรมแจ้งให้ผลักดันกลับประเทศต้นทางภายใน 30 วัน 

กรมศุลกากรดำเนินคดีบริษัท เอ็ม เอช ซี กรุ๊ป ฟรีโซน จำกัด ในฐานะผู้นำเข้าข้อหาลักลอบนำเข้าของเสียวัตถุอันตราย

ทีมสุดซอย ร่วมกับ กรมศุลกากรตรวจสอบบริษัท เอ็ม เอช ซี กรุ๊ป ฟรีโซน จำกัด ตั้งอยู่ในพื้นที่เขตปลอดอากร (Free Zone) อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี

ภายในพื้นที่มีโกดังจำนวน 4 หลัง และกำลังก่อสร้างอีก 2 โกดัง แต่ละโกดังแบ่งพื้นที่สำหรับทำคลังสินค้าและโรงงาน

สอบถามผู้ดูแลแจ้งว่า เนื่องจากเป็นพื้นที่ปลอดอากรจึงให้บริการเป็นพื้นที่ลักษณะคลังพักสินค้าจากจีน เพื่อรอส่งต่อไปอเมริกา

บางครั้งก็พักสินค้าให้กับมณฑลหนึ่งของจีน เพื่อรอส่งต่อไปยังอีกมณฑลหนึ่งของจีน เพราะถ้าทำแบบนี้ภาษีจะถูกกว่า

บางโกดังขออนุญาตจัดตั้งเป็นโรงงานผลิตอลูมิเนียมระบายความร้อนทีวี บางโรงงานฉีดพลาสติกขึ้นรูปบานพับ บางโรงงานบดย่อยและรีดแผ่นยางส่งออก แต่เครื่องจักร วัสดุ อลูมิเนียม เม็ดพลาสติก ยางนำเข้าจากจีน ทำเสร็จแล้วรอส่งประเทศจีนหรืออเมริกา หรือส่งให้โรงงานอื่นที่อยู่ในเขตปลอดอากรเช่นกัน ลักษณะการประกอบกิจการศูนย์เหรียญ!!! อาจจะเพราะด้วยเหตุนี้จึงทำให้ประเทศไทยมียอดการส่งออกสูง

กระทรวงอุตสาหกรรม รมว. เอกนัฏ สั่งให้จัดการอุตสาหกรรมศูนย์เหรียญ เพราะถือเป็นโรคร้ายกัดกินระบบเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมภายในประเทศ

ทีมสุดซอยร่วมกับสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดชลบุรี ตรวจสอบโรงงานภายในพื้นที่ทั้งหมด 4 โรงงาน มีใบอนุญาตโรงงาน 3 ใบ 3 โกดัง ออกเมื่อช่วงต้นปี 2567 พบมีการขยายเครื่องจักรเกินโดยไม่ได้รับอนุญาตจำนวน 2 โรงงานและพบมีการตั้งและประกอบกิจการโดยไม่ได้รับอนุญาตอีก 2 โรงงาน  เจ้าหน้าที่สั่งให้หยุดและดำเนินคดีตาม พรบ.โรงงาน

ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่บูรณาการความร่วมมือระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรมและกรมศุลกากรที่ตรวจสอบโรงงานในพื้นที่ปลอดอากร (Free Zone) ร่วมกัน หลังจากนี้จะมีความร่วมมือในการตรวจสอบในพื้นที่อื่น ๆ และจะรวบรวมข้อมูลทั้งหมดนำเสนอไปยังผู้บริหารกระทรวง ที่อาจจะต้องทบทวนมาตรการ การกำกับดูแล รวมถึงการอนุญาตให้ตั้งโรงงานในพื้นที่ปลอดอากรด้วยค่ะ

#โอ๋สุดซอย #ทีมสุดซอย #ปฏิรูปอุตสาหกรรม

กระทรวงอุตฯ ผนึกกำลัง กระทรวงดีอี – ส.อ.ท. จัดประชุมด้านวิศวกรรมซอฟต์แวร์นานาชาติ

(21 พ.ค. 68) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรมโดยสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมโดยสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) จะร่วมกันเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม ISO/IEC JTC 1/SC 7 Software and systems engineering ระดับนานาชาติ ประจำปี 2568 ระหว่างวันที่ 8 - 13 มิถุนายน 2568 ที่กรุงเทพฯ เพื่อเป็นเวทีให้ประเทศไทยได้มีส่วนร่วมในการจัดทำมาตรฐานระหว่างประเทศสาขาวิศวกรรมซอฟท์แวร์และระบบ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อภาคอุตสาหกรรมดิจิทัลภายในประเทศ รวมทั้งติดตามความคืบหน้าในการจัดทำมาตรฐานระหว่างประเทศสาขาดังกล่าว เพื่อเตรียมความพร้อมและลดอุปสรรคทางการค้าแก่ผู้ประกอบการไทย 

“อุตสาหกรรมดิจิทัล เป็นอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพสูงในการสร้างเม็ดเงินจากเงินตราต่างประเทศ รัฐบาลจึงให้ความสำคัญกับการลงทุนด้านดิจิทัล รวมทั้งเร่งผลักดันภาครัฐสู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัล มีทั้งการส่งเสริมการลงทุนเรื่อง cloud services และ data centers ตลอดจนการลงทุนที่เกี่ยวข้องด้านดิจิทัล ดังนั้น การที่ประเทศไทยได้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับนานาชาติในครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสสำคัญที่จะแสดงถึงศักยภาพของประเทศในการยกระดับผู้ประกอบการและอุตสาหกรรมดิจิทัลไทย ให้ได้รับการยอมรับในระดับสากล และยังเป็นการร่วมกันขับเคลื่อนการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี และนวัตกรรมดิจิทัล ให้เป็นประโยชน์ต่ออุตสาหกรรม เศรษฐกิจ และความมั่นคงของประเทศ รวมไปถึงการพัฒนามาตรฐานดิจิทัลในด้านต่าง ๆ ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับภาคอุตสาหกรรมไทย” นายเอกนัฏ กล่าว

นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) กล่าวเพิ่มเติมว่า  การประชุมดังกล่าวจะมีผู้แทนจากประเทศสมาชิก ISO เข้าร่วมกว่า 38 ประเทศ อาทิ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ฟินแลนด์ มาเลเซีย เยอรมนี สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย อินเดีย และอิสราเอล เป็นต้น โดยภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมในเดือนมิถุนายน สมอ. จะเตรียมการลงนามความร่วมมือ (MoU) กับสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เพื่อร่วมมือกันดำเนินการยกระดับอุตสาหกรรมดิจิทัลไทยสู่ระดับสากล โดยใช้มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเป็นเครื่องมือหลักในการส่งเสริมผู้ประกอบการไทยให้สามารถแข่งขันได้ในระดับสากล และร่วมกันขับเคลื่อนการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัล ทำให้เกิดการพัฒนามาตรฐานดิจิทัลในภาคอุตสาหกรรมไทยเพิ่มมากขึ้น

ซึ่งปัจจุบัน สมอ. มีมาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมดิจิทัล มากกว่า 100 มาตรฐาน ครอบคลุมหลากหลายสาขา เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI)  อินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (IoT) บล็อกเชน และศูนย์ข้อมูล (Data Centers) และในปีนี้จะมีการออกมาตรฐานในสาขาใหม่อย่างเทคโนโลยีควอนตัม (Quantum Technology) เพื่อรองรับการพัฒนาอุตสาหกรรมดิจิทัลของประเทศในระยะยาว สำหรับความร่วมมือในครั้งนี้จะเป็นอีกก้าวสำคัญในการยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมดิจิทัลไทยให้ทัดเทียมสากล เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยสามารถเข้าถึงตลาดโลก และส่งเสริมให้ประชาชนสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์ดิจิทัลที่มีคุณภาพ เชื่อถือได้ และเป็นไปตามมาตรฐานสากลอย่างเท่าเทียม” เลขาธิการ สมอ. กล่าว

กฟผ. – สวีเดน ผสานกำลังหนุนพลังงานสีเขียว หวังตอบโจทย์ลดโลกร้อนด้วยพลังงานสะอาด

กฟผ. ร่วมกับสถานทูตเอกอัครราชทูตสวีเดนและภาคเอกชนสวีเดน ขับเคลื่อนอนาคตพลังงานสะอาด จัดงาน “Pioneer the Possible Thailand 2025” แลกเปลี่ยนความรู้และความร่วมมือด้านพลังงานสีเขียวสู่ความยั่งยืน

เมื่อวันที่ (20 พ.ค. 68) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ร่วมกับ สถานเอกอัครราชทูตสวีเดนประจำประเทศไทย และ The Swedish Trade & Invest Council (Business Sweden) จัดงาน Pioneer the Possible Thailand 2025 เพื่อขยายความร่วมมือด้านการเปลี่ยนผ่านพลังงานสีเขียว โดยมีนายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ ผู้ว่าการ กฟผ. และนางอันนา ฮัมมาร์เกรน (H.E. Mrs. Anna Hammargren) เอกอัครราชทูตสวีเดนประจำประเทศไทย ร่วมเปิดงาน พร้อมด้วยผู้แทน กฟผ. และบริษัทชั้นนำของสวีเดน ร่วมงานฯ ณ อาคาร 50 ปี กฟผ. สำนักงานใหญ่ กฟผ. จ.นนทบุรี

นางอันนา ฮัมมาร์เกรน เอกอัครราชทูตสวีเดนประจำประเทศไทย กล่าวว่า ความร่วมมือนี้เป็นการดำเนินการร่วมกันเพื่อผลักดันการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสีเขียวอย่างเป็นรูปธรรม โดยสวีเดนถือเป็นประเทศผู้นำที่มีการพัฒนาการใช้เชื้อเพลิงทางเลือกที่ยั่งยืน มีบริษัทที่เป็นผู้นำด้าน Solutions เรื่องไฮโดรเจนและพลังงานแสงอาทิตย์ บริษัทที่พร้อมสนับสนุนระบบ Smart Grid ด้วย Solutions 4G และ 5G ที่ทันสมัย ช่วยยกระดับการผลิตและส่งจ่ายพลังงานไฟฟ้าให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น อีกทั้งบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญด้านนวัตกรรมดิจิทัล ที่นำระบบดิจิทัลมาใช้ในการจัดการระบบพลังงานและปรับปรุงกระบวนการดำเนินงานให้เหมาะสมและมีประสิทธิภาพอีกด้วย

นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ ผู้ว่าการ กฟผ. เผยว่า การจัดงานในครั้งนี้เป็นการต่อยอดจากบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่าง กฟผ. และ Business Sweden ที่มุ่งเสริมสร้างความร่วมมือด้านพลังงานชีวมวลและไฮโดรเจนในอนาคต รวมทั้งเป็นเวทีแลกเปลี่ยนแนวคิด นวัตกรรม และความร่วมมือในการสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งในด้านการเปลี่ยนผ่านพลังงานสีเขียว ร่วมผลักดันแนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืนระหว่างสองประเทศ มุ่งมั่นสร้างแรงบันดาลใจและกำหนดอนาคตด้านพลังงานที่ยั่งยืน โดยภายในงานมีการหารือร่วมกัน 3 หัวข้อ คือ 1) เชื้อเพลิงสีเขียว (ชีวมวลและไฮโดรเจน) กับศักยภาพในการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ 2) สมาร์ทกริด (เทคโนโลยีดิจิทัล กังหันก๊าซ และการบูรณาการพลังงานหมุนเวียน) และ 3) การแปลงกระบวนการผลิตและส่งจ่ายไฟฟ้าเป็นดิจิทัล และการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและส่งจ่ายไฟฟ้า

การจัดงาน Pioneer the Possible Thailand 2025 ถือเป็นก้าวสำคัญของความร่วมมือระหว่างไทยและสวีเดนในการขับเคลื่อนสู่อนาคตพลังงานสะอาด โดยเน้นการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรมที่ทันสมัย เพื่อยกระดับระบบพลังงานของไทยให้มีความยั่งยืน มีประสิทธิภาพ และสอดคล้องกับแนวทางลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับโลก

ปตท. ตั้งวอร์รูมเตรียมรับมือสงครามเศรษฐกิจโลก มั่นใจเดินมาถูกทางพร้อมสร้างการเติบโตอย่างมีเสถียรภาพ

(21 พ.ค. 68) ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) ปักหมุดความสำเร็จครบรอบ 1 ปี เดินหน้าตามวิสัยทัศน์ “ปตท. แข็งแรงร่วมกับสังคมไทยและเติบโตในระดับโลกอย่างยั่งยืน” เผยผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2568 สะท้อนทิศทางการบริหารใน 2 เรื่องหลัก คือ เน้นธุรกิจ Hydrocarbon ที่ถนัด ปรับพอร์ตธุรกิจสู่สมดุลใหม่ และเร่งสร้างความแข็งแกร่งจากภายใน ส่งผลให้มีกำไรสุทธิ จํานวน 23,315 ล้านบาท นำส่งรายได้เข้ารัฐในรูปแบบภาษี จำนวน 7,256 ล้านบาท 

ตลอด 1 ปี ที่ผ่านมา มีความก้าวหน้าการดำเนินงานตามกลยุทธ์ที่สำคัญ ประกอบด้วย การมุ่งเน้นธุรกิจหลัก Hydrocarbon สร้างความมั่นคงทางพลังงานให้แก่ประเทศ โดยบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) (ปตท.สผ.) เพิ่มกำลังการผลิตก๊าซธรรมชาติในแหล่งอาทิตย์ เป็น 330 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน และเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นในโครงการสินภูฮ่อม แหล่งปิโตรเลียมบนบกที่สำคัญในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย ช่วยให้ปริมาณสำรองปิโตรเลียมของไทยเพิ่มขึ้น  พร้อมขยายการเติบโตของธุรกิจปัจจุบันในต่างประเทศ โดยเข้าถือหุ้น 10% ใน Ghasha หนึ่งในแหล่งก๊าซธรรมชาติใหญ่ที่สุดของประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ รวมทั้ง บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) (GPSC) มีการขยายพอร์ตธุรกิจพลังงานหมุนเวียนในประเทศอินเดียและไต้หวัน สอดรับกับความต้องการใช้พลังงานสะอาดที่เติบโตพร้อมกันนี้ยังสร้างมูลค่าเพิ่มในธุรกิจ LNG ให้เกิดประโยชน์สูงสุด วิเคราะห์ปัจจัยความสำเร็จ มุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางการซื้อขาย LNG ในภูมิภาค 

โดยใช้จุดแข็งด้านโครงสร้างพื้นฐาน พร้อมนำเข้า LNG รวมปริมาณ 11 ล้านตันต่อปี ครอบคลุมทั้งสัญญาระยะยาวและสัญญาซื้อขายแบบ Spot LNG Hub ของภูมิภาค ธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่นที่มีความท้าทายจาก Industry Landscape ที่เปลี่ยนไป จึงต้องเร่งเพิ่มความสามารถในการแข่งขันและสร้างความมั่นคงด้านวัตถุดิบปิโตรเคมีในระยะยาว โดย บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (GC) จะนำเข้าอีเทนจากสหรัฐอเมริกา ปริมาณ 400,000 ตันต่อปี เพื่อสร้างความมั่นคงด้านวัตถุดิบ  การสร้างมูลค่าเพิ่มจากความร่วมมือภายในกลุ่ม ปตท. ผ่านโครงการต่างๆ อาทิ โครงการ P1 และ D1 ซึ่งเป็นการบริหารจัดการ supply & market ร่วมกัน นอกจากนี้ ปตท. ยังเร่งแสวงหา Strategic Partner เพื่อเสริมแกร่งธุรกิจ ซึ่งจะเป็นผลดีกับ ปตท. และ flagship โดย ปตท. ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 

ปรับพอร์ตธุรกิจ Non-Hydrocarbon โดยประเมินธุรกิจใน 2 มุม คือ 1) ธุรกิจต้องมีความน่าสนใจ (Attractiveness) และ 2) ปตท. มี Right to Play มีความถนัดหรือมีจุดแข็ง สามารถเข้าไปต่อยอดในธุรกิจนั้นๆ ได้ และมี Partner ที่แข็งแรง หลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันสูง ทั้งนี้ ปตท. มีแนวทางการลงทุนในธุรกิจ Non-Hydrocarbon ดังนี้ 1) ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับ EV Value Chain ปตท. จะมุ่งเน้นไปที่ธุรกิจบรรจุกระแสไฟฟ้าสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า และปรับโครงสร้างธุรกิจ ลดสัดส่วนการถือหุ้นใน Horizon Plus และธุรกิจที่มีความเสี่ยง 2) ธุรกิจโลจิสติกส์ ซึ่ง ปตท. ออกจากธุรกิจที่ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหลักของกลุ่ม ปตท. มุ่งเน้นเฉพาะที่มีความเกี่ยวเนื่องกับธุรกิจหลัก และสามารถสร้าง Synergy ภายในกลุ่มได้  3) ธุรกิจ Life Science ปรับพอร์ตมุ่งเน้นเฉพาะ Pharmaceutical และ Nutrition มีแผนการเติบโตที่ชัดเจนร่วมกับพันธมิตรที่เชี่ยวชาญ และสามารถพึ่งพาตัวเองได้ทางการเงิน (Self-funding) ทั้งนี้จากการปรับกลยุทธ์ธุรกิจ Non-Hydrocarbon ข้างต้น ทำให้สามารถรักษาเงินลงทุน (Capital Preservation) ไว้ได้ แทนที่จะนำเงินไปลงทุนในธุรกิจที่มีความเสี่ยงและไม่สร้างผลกำไร

การดำเนินงานด้านความยั่งยืน กลุ่ม ปตท. ให้ความสำคัญกับการสร้างความมั่นคงทางพลังงาน สร้างการเติบโตทางธุรกิจควบคู่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยดำเนินการอย่างบูรณาการร่วมกันทั้งกลุ่ม ปตท. ทั้งนี้ได้มีการ Reconfirm เป้าหมาย Net Zero 2050 และกำหนดแผนงานชัดเจน มีการพิจารณาปัจจัยรอบด้าน อาทิ ต้นทุนของการลดคาร์บอนด้วยวิธีต่างๆ เทียบกับค่าใช้จ่ายของการปล่อยคาร์บอน เช่น ภาษีคาร์บอนที่จะเกิดขึ้น โดยจะต้องมีความคุ้มค่าในการลงทุนเพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายการลดคาร์บอนได้อย่างยั่งยืน 

ทั้งนี้ยังมีความก้าวหน้าในการศึกษาความเป็นไปได้ในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture and Storage: CCS) รวมถึงพัฒนา CCS Hub Model เพื่อสนับสนุนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการดำเนินธุรกิจของกลุ่ม ปตท. ซึ่งจะเป็นต้นแบบสำคัญในการขยายผลเทคโนโลยี CCS ระดับประเทศในอนาคต สำหรับการศึกษาด้านธุรกิจไฮโดรเจนในภาคอุตสาหกรรมปัจจุบันอยู่ระหว่างการหารือกับพันธมิตรทั้งในด้านการจัดหาไฮโดรเจนและแอมโมเนียคาร์บอนต่ำ และการประยุกต์ใช้ในภาคการผลิตไฟฟ้าเพื่อเป็นต้นแบบในการขยายผลเชิงธุรกิจ ตลอดจนสนับสนุนแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (Power Development Plan: PDP) ของประเทศไทยในอนาคต

นอกจากนี้ ปตท. มีการบริหารทางเงินที่เป็นเลิศ โดยมีการจ่ายเงินปันผลสำหรับปี 2567 ที่ 2.10 บาทต่อหุ้น นับเป็นการจ่ายเงินปันผลสูงสุดตั้งแต่ ปตท. เข้าตลาดฯ และ ปตท. ได้มีการขยายระยะเวลาเครดิตทางการค้า (ETC) เพื่อเสริมสภาพคล่องทางการเงินให้แก่บริษัทในกลุ่ม โดยยังคงยึดหลักการรักษาวินัยทางการเงิน (Financial Discipline) อย่างเคร่งครัด นอกจากนี้ในปี 2568 ปตท. มีการซื้อหุ้นคืนเพื่อเป็นการบริหารสภาพคล่องอย่างมีประสิทธิภาพ สร้างความเชื่อมั่นต่อผู้ถือหุ้น และเพิ่มอัตราผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้น

จากสัญญาณสถานการณ์พลังงานที่มีความผันผวน และเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มเผชิญภาวะถดถอย อันเนื่องจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นนโยบายขึ้นภาษีของสหรัฐฯ ในช่วงปลายไตรมาสที่ 1 ปริมาณการผลิตน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นในตลาดโลก และความต้องการใช้พลังงานที่ลดลงตามภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ปตท. จึงได้ดำเนินเชิงรุกจัดตั้งวอร์รูม เตรียมแผนรับมือเศรษฐกิจถดถอยครอบคลุมการดำเนินงานใน 5 ด้าน ได้แก่ 1. Strategy ทบทวนกลยุทธ์เดิมพร้อมพิจารณาความท้าทายใหม่ที่จะเข้ามากระทบ พบว่ากลยุทธ์กลุ่ม ปตท. มาถูกทาง เหมาะสม สามารถรับมือกับปัจจัยภายนอกและความท้าทายจากเรื่องสงครามการค้าได้ เพียงแต่บางเรื่องต้องเร่งให้เร็วขึ้น เช่น การพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขัน และยกระดับความร่วมมือภายในกลุ่ม ปตท. 2. Financial Management รักษาวินัยการเงิน บริหารต้นทุนการเงิน เสริมสภาพคล่องกระแสเงินสด รักษาระดับ Credit Rating 3. Supply Chain & Customer ดูแลคู่ค้า ลูกค้า เพื่อสร้างความต่อเนื่องตลอด Supply Chain พร้อมเร่งดำเนินโครงการสร้างมูลค่าเพิ่ม 4. Project Management ทบทวนความเป็นไปได้ของโครงการและการลงทุน โดยต้องพิจารณาการลงทุนอย่างรอบคอบ รวมถึงการแปลงสินทรัพย์เป็นทุน (Asset Monetization) ของ flagship  5. Communication สื่อสารและสร้างความเข้าใจการดำเนินธุรกิจแก่ผู้มีส่วนได้เสียอย่างทั่วถึง 

ดร.คงกระพัน เปิดเผยว่า “1 ปีที่ผ่านมา หลังจากที่ ปตท. ได้ปรับกลยุทธ์ มั่นใจว่ากลยุทธ์มาถูกทาง สะท้อนจากผลประกอบการที่แข็งแกร่งท่ามกลางความท้าทายจากปัจจัยภายนอก นอกจากนี้กลุ่ม ปตท. พร้อมเร่งสร้างความแข็งแรงภายใน สร้างมูลค่าเพิ่มจากความร่วมมือภายในกลุ่ม ปตท. ผ่านโครงการสำคัญได้แก่ โครงการ P1 และ D1 ซึ่งเป็น PTT Group Synergy บริหารงานแบบ Centralized Supply and Market Management มีเป้าหมาย 3,000 ล้านบาทต่อปี ภายในปี 2028 โครงการ MissionX ยกระดับ Operational Excellence เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน สร้างมูลค่าทั้งกลุ่ม ปตท. ประมาณ 30,000 ล้านบาทต่อปี ภายในปี 2027 มีแผนงานชัดเจนและเป้าหมายเป็นรูปธรรมซึ่งเริ่มดำเนินการแล้ว โครงการ Axis นำเทคโนโลยีดิจิทัลและ AI มาเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ซึ่งจะสร้างมูลค่าได้อีก 11,000 ล้านบาทต่อปี ภายในปี 2029 รวมถึงการทำ Asset Monetization ของกลุ่ม ปตท. ด้วยเป้าหมายที่ชัดเจน รวมทั้งเสริมความแข็งแกร่งด้วยการรักษาวินัยทางการเงินและการลงทุนอย่างเคร่งครัด ตลอดจนบริหารสภาพคล่องกระแสเงินสดภายในกลุ่มอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อสร้างคุณค่าให้กับสังคมและผู้ถือหุ้นอย่างยั่งยืน” 

นอกจากภารกิจในด้านพลังงาน กลุ่ม ปตท. ยังคงยืนหยัดเคียงข้างสังคมไทย โดยส่งเจ้าหน้าที่ PTT Group SEALs ร่วมภารกิจค้นหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากเหตุแผ่นดินไหว สนับสนุนอาหาร เครื่องดื่ม และอุปกรณ์ที่จำเป็นให้แก่ผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ นอกจากนี้ยังให้การสนับสนุนแก่สภากาชาดเมียนมา เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยแผ่นดินไหวในประเทศเมียนมาด้วย 

ปตท. ยึดมั่นพันธกิจสร้างความมั่นคงทางพลังงาน สร้างการเติบโต ควบคู่กับการลดก๊าซเรือนกระจก พร้อมดูแลผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วนอย่างสมดุล สร้างผลตอบแทนที่เหมาะสม และสร้างคุณค่าสู่สังคม เพื่อให้ ปตท. แข็งแรงร่วมกับสังคมไทยและเติบโตในระดับโลกอย่างยั่งยืน

รฟท. ผุดแผนรถไฟสายใหม่ 68 กม. สู่สนามบินกระบี่ เชื่อมอันดามัน–ภูเก็ต–กระบี่ กระตุ้นท่องเที่ยวไทย

(22 พ.ค. 68) การรถไฟแห่งประเทศไทยเตรียมบรรจุเส้นทางรถไฟสายใหม่ 'ทับปุด-กระบี่-สนามบินกระบี่' เข้าสู่แผนการก่อสร้าง โดยอยู่ระหว่างการศึกษาและออกแบบ เบื้องต้นมีระยะทางกว่า 68 กิโลเมตร มุ่งเชื่อมโยงเมืองท่องเที่ยวฝั่งอันดามันและสนามบินกระบี่ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวและเป็นอีกทางเลือกทดแทนสนามบินภูเก็ต

เส้นทางเริ่มต้นจากสถานีทับปุด ในโครงการรถไฟสายสุราษฎร์ธานี-พังงา-ภูเก็ต แล้วแยกลงใต้เลียบทางหลวง 4 ผ่านอ่าวลึก คลองหิน เขาคราม เข้าสู่ตัวเมืองกระบี่ และจบที่สนามบินกระบี่ มีสถานีหลัก 5 แห่ง โดยออกแบบอาคารสถานีให้สอดคล้องกับศิลปะท้องถิ่นของแต่ละพื้นที่

รูปแบบการเดินรถจะมีทั้งขบวนรถไฟด่วน เช่น รถไฟท่องเที่ยวเชื่อมภูเก็ต-กระบี่ และรถไฟโดยสารจากกรุงเทพฯ-กระบี่ รวมถึงขบวนท้องถิ่นจากสุราษฎร์ธานี-ทับปุด-กระบี่ หากโครงการนี้เดินหน้า จะช่วยกระจายผู้โดยสารจากสนามบินภูเก็ตสู่สนามบินกระบี่ และสร้างระบบ Airport Link ฝั่งอันดามันทันที

โครงการนี้ถือเป็นอีกหนึ่งเส้นทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญในการส่งเสริมเศรษฐกิจ การเดินทาง และการท่องเที่ยวของภาคใต้ตอนล่าง โดยเฉพาะฝั่งอันดามัน ที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่องในฐานะแหล่งท่องเที่ยวระดับโลก

‘เอกนัฏ’ ดัน ‘ดีพร้อม’ โชว์ซอฟต์พาวเวอร์ไทย เติมศักยภาพด้านท่องเที่ยวใน World Expo 2025

(21 พ.ค. 68) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นำคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมงาน Expo 2025 Osaka Kansai ณ นครโอซากา ประเทศญี่ปุ่น ซึ่ง กระทรวงอุตสาหกรรม โดย กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือดีพร้อม (DIPROM) ได้ร่วมจัดพื้นที่แสดงศักยภาพซอฟต์พาวเวอร์ไทยผ่าน Temporary Exhibition ในพื้นที่โซนด้านหลัง Thailand Pavilion ระหว่างวันที่ 15 – 26 พฤษภาคม 2568 เพื่อแสดงศักยภาพผลิตภัณฑ์นวัตกรรมเชิงสร้างสรรค์เชื่อมโยงวัตถุดิบไทยสู่ตลาดโลก ภายใต้แนวคิด “Future-Ready Thai Product Champions” และการดึงดูดให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทาง ของชาวต่างชาติและนักท่องเที่ยว ภายใต้แนวคิด “Innovative Agriculture-Industry Development and Tourism Community” รวมถึงขับเคลื่อนซอฟต์พาวเวอร์ไทย ด้วยการสร้างและพัฒนา Thailand Soft Power DNA สร้างสรรค์ ต่อยอด โน้มน้าว เผยแพร่ และสร้างความประทับใจ คาดสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้กว่า 1,500 ล้านบาท

นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า งาน World Expo 2025 Osaka Kansai, Japan เป็นเวทีที่ยิ่งใหญ่และมีความสำคัญระดับโลก สามารถแสดงศักยภาพผ่านการผลักดันซอฟต์พาวเวอร์ไทยไปไกลสู่ระดับโลกโดยตอบโจทย์ความต้องการแสดงอัตลักษณ์ของสินค้าไทยจากสมุนไพรพื้นบ้านสู่ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ และส่งออกไปทั่วโลก ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าสินค้าไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก อีกหนึ่งเสน่ห์ที่ทำให้ประเทศไทยโดดเด่นไม่แพ้ใครคือ ‘การท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์’ ที่นำเอาอัตลักษณ์ของแต่ละท้องถิ่นมาสร้างสรรค์เป็นประสบการณ์ที่ทั้งแปลกใหม่ และลึกซึ้ง นักท่องเที่ยวไม่ได้มาแค่ชมความงามแต่ยังได้สัมผัสวิถีชีวิต เรียนรู้วัฒนธรรมพื้นบ้านและใช้ชีวิตร่วมกับชุมชน ในแบบที่หาไม่ได้จากที่ใดในโลก ตั้งแต่การเรียนรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นไปจนถึงการแปรรูปวัตถุดิบพื้นบ้านทุกกิจกรรม ล้วนเต็มไปด้วยความหมาย เพราะการเดินทางในประเทศไทยคือการเดินทางที่เชื่อมโยงผู้คน วัฒนธรรม และหัวใจเข้าด้วยกัน ดังนั้น กระทรวงอุตสาหกรรม ตามนโยบาย “ปฏิรูปอุตสาหกรรมไทย ให้มีความทันสมัย สะดวก สะอาด โปร่งใส” จึงได้มอบหมายให้ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือดีพร้อม (DIPROM) ร่วมจัดพื้นที่แสดงศักยภาพซอฟต์พาวเวอร์ไทย ผ่าน Temporary Exhibition ในพื้นที่โซนด้านหลัง Thailand Pavilion ระหว่างวันที่ 15 – 26 พฤษภาคม 2568 ใน Exhibition Concept สร้างสรรค์ชีวิต เพื่อความสุขที่ยิ่งใหญ่เป็นเป้าหมายปลายทางของคนทั้งโลก Theme Week ที่ 2 The Future of Community and Mobility (อนาคตของชุมชนและการโยกย้าย) เพื่อแสดงศักยภาพผลิตภัณฑ์นวัตกรรมเชิงสร้างสรรค์เชื่อมโยงวัตถุดิบไทยสู่ตลาดโลก และการดึงดูดให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางของชาวต่างชาติ รวมถึงการขับเคลื่อนซอฟต์พาวเวอร์ไทยด้วยการสร้างและพัฒนา Thailand Soft Power DNA สร้างสรรค์ ต่อยอด โน้มน้าว และเผยแพร่ สร้างความประทับใจ อันจะทำให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวทั่วโลก โดยคาดว่าสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้กว่า 1,500 ล้านบาท

นางสาวณัฏฐิญา เนตยสุภา อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวว่า กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือดีพร้อม (DIPROM) ได้ดำเนินการขับเคลื่อนซอฟต์พาวเวอร์ไทยผ่านผลิตภัณฑ์ที่เป็นอัตลักษณ์ตั้งแต่ต้นน้ำ ที่เป็นวัตถุดิบ แปรรูปจนกลายเป็นผลิตภัณฑ์ ไปจนถึงปลายน้ำที่เป็นการนำผลิตภัณฑ์อยู่คู่กับชุมชนอย่างยั่งยืน ด้วยการแสดงศักยภาพซอฟต์พาวเวอร์ไทยผ่าน Temporary Exhibition ใน 2 Concepts ดังนี้

Concept ที่ 1 เป็นการแสดงผลิตภัณฑ์นวัตกรรมเชิงสร้างสรรค์เชื่อมโยงวัตถุดิบไทยสู่ตลาดโลก (Inside Out) ภายใต้แนวคิด “Future-Ready Thai Product Champions” ที่แสดงถึงผลิตภัณฑ์ของประเทศไทยที่เกิดจากการผสมผสานวัตถุดิบจากทรัพยากรธรรมชาติ ภูมิปัญญา และนวัตกรรมสมัยใหม่ จากสมุนไพรพื้นบ้านสู่ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ตั้งแต่วัตถุดิบในกลุ่มสารสกัดสมุนไพร Natural Extract, Fragrance, Essential Oil, Aroma Therapy, Flavors และผลิตภัณฑ์นวัตกรรม ที่สะท้อนอัตลักษณ์ไทย ซึ่งสอดคล้องกับวิถีชีวิตในปัจจุบันและอนาคต อาทิ ผลิตภัณฑ์ยาสีฟันสมุนไพร น้ำมันมะพร้าวสกัด แป้งขจัดกลิ่นกายเต่าเหยียบโลก Plant-Based Food อาหารเพื่อสุขภาพ และตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ 

Concept ที่ 2 เป็นการแสดงการดึงดูดให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางของชาวต่างชาติ (Outside In) ภายใต้แนวคิด “Innovative Agriculture-Industry Development and Tourism Community” ที่แสดงถึงประเทศไทย เป็นปลายทางการท่องเที่ยวที่ทั่วโลกให้การยอมรับ และยังเป็นผู้นำทางด้าน Medical และ Wellness รวมทั้งมีความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติและทรัพยากรทั้งหมดนี้ทำให้ประเทศไทย มีความพร้อมที่จะรองรับเทรนด์การท่องเที่ยวแบบ Long Stay Medical Tour และ Digital Nomad ผ่านการเชื่อมโยงธุรกิจกับชุมชนและการท่องเที่ยวสร้างความประทับใจในการทำให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางของชาวต่างชาติ “การท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ เสน่ห์ใหม่ของประเทศไทยที่เชื่อมโยงผู้คน วัฒนธรรม และหัวใจ” คือ การเปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสและมีส่วนร่วมกับวิถีชีวิต วัฒนธรรม และภูมิปัญญาท้องถิ่นอย่างแท้จริง ไม่ใช่เพียงแค่การถ่ายภาพหรือชมความงามจากระยะไกล แต่คือการได้ "ใช้ชีวิตร่วมกับชุมชน" เรียนรู้วิธีการแปรรูปวัตถุดิบพื้นบ้าน ลองทำหัตถกรรมด้วยตนเอง หรือแม้กระทั่งเข้าร่วมพิธีกรรมพื้นเมืองที่เปี่ยมด้วยความหมาย กิจกรรมเหล่านี้ไม่เพียงเติมเต็มประสบการณ์ของนักท่องเที่ยว แต่ยังสร้างรายได้ให้กับชุมชน และส่งเสริมการอนุรักษ์วัฒนธรรมท้องถิ่นอย่างยั่งยืน ทำให้การเดินทางในประเทศไทยเป็นมากกว่าการท่องเที่ยว แต่คือการเดินทางของหัวใจที่เชื่อมโยงผู้คนจากหลากหลายวัฒนธรรมเข้าด้วยกัน 

นอกจากนี้ กระทรวงอุตสาหกรรม โดย กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม และหน่วยงานพันธมิตรจากประเทศญี่ปุ่น มีความร่วมมือในด้านการพัฒนาชุมชนและยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในชุมชนผ่านโครงการและกิจกรรมต่าง ๆ ประกอบด้วย โตโยต้าธุรกิจชุมชนพัฒน์ โดยมุ่งเน้นการพัฒนาธุรกิจใน 5 ด้านหลัก ทั้งในด้านการเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการผลิต (Productivity) คุณภาพ (Quality) การส่งมอบสินค้าที่ตรงเวลา (Delivery) การจัดการสินค้าคงคลัง (Inventory) และต้นทุนในกระบวนการ (Work in process) ซึ่งมีส่วนช่วยให้การดำเนินงานของธุรกิจเหล่านี้ มีการพัฒนาและได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นในด้านต่าง ๆ อย่างเป็นรูปธรรม สามารถลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพกระบวการผลิต และสร้างผลกำไร พร้อมทั้งมุ่งหวังให้ธุรกิจต่าง ๆ เหล่านี้สามารถนำความรู้ที่ได้ไปต่อยอดพัฒนาและอยู่รอดได้ด้วยตนเองอย่างยั่งยืน (JIRITSUKA) และบริษัท คาโอ อินดัสเตรียล (ประเทศไทย) จำกัด ยึดมั่นในปรัชญาความยั่งยืน (ESG) ภายใต้แผนงาน Kirei Lifestyle Plan ซึ่งมุ่งเน้นการลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมตลอดวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ การใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและการจัดการวัสดุเหลือใช้จนเกิดประโยชน์สูงสุด

“ดีพร้อม เชื่อมโยงศักยภาพของประเทศไทยสู่สายตาชาวโลกผ่าน Inside Out - Outside In โดยนำเสนอผลิตภัณฑ์นวัตกรรมเชิงสร้างสรรค์ที่ผสานวัตถุดิบธรรมชาติ ภูมิปัญญาไทย และเทคโนโลยีสมัยใหม่สู่ตลาดสุขภาพระดับสากล พร้อมทั้งสะท้อนภาพลักษณ์ไทยในฐานะจุดหมายปลายทางด้าน Medical & Wellness Tourism ที่ตอบโจทย์นักท่องเที่ยว กลุ่มคุณภาพทั่วโลก เสริมด้วยการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ที่เปิดโอกาสให้นักเดินทางได้สัมผัสวิถีชีวิตและวัฒนธรรมท้องถิ่นอย่างลึกซึ้ง ทั้งนี้ ยังแสดงถึงความร่วมมือไทย-ญี่ปุ่นในการพัฒนาชุมชนและยกระดับคุณภาพชีวิตอย่างยั่งยืน”  นางสาวณัฏฐิญา กล่าวทิ้งท้าย

‘พีระพันธุ์’ เดินหน้ารื้อสัญญาชั่วนิรันดร์ Adder - FiT พร้อมเร่งลดผลกระทบจากค่าไฟฟ้าให้ประชาชน

เมื่อวันที่ (19 พ.ค.68) นายกสมาคมพลังงานหมุนเวียนไทย (RE 100) และคณะตัวแทนสมาคมฯ ได้เข้าพบ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เพื่อขอหารือและรับทราบแนวทางเกี่ยวกับการดำเนินการแก้ปัญหาสัญญาซื้อขายไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบมีค่า Adder และ Feed-in Tariff (FiT) ที่ต้องจ่ายให้กับกลุ่มโรงไฟฟ้าขนาดเล็กและเล็กมาก (Non-Firm SPP) แบบไม่มีวันหมดอายุสัญญา หรือที่เรียกกันว่า 'สัญญาชั่วนิรันดร์' ซึ่งส่งผลกระทบต่อค่าไฟฟ้าของประชาชน

ทั้งนี้ ระบบ Adder และ Feed-in Tariff เป็นนโยบายที่ภาครัฐให้เงินสนับสนุน หรือให้เงินส่วนเพิ่มจากอัตราค่าไฟปกติแก่ผู้ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพื่อจูงใจภาคเอกชนให้มาลงทุนในพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น โดยโรงไฟฟ้าเหล่านี้สามารถต่อสัญญาขายไฟฟ้าได้เรื่อย ๆ ครั้งละ 5 ปี และต่อเนื่องโดยอัตโนมัติแบบไม่มีวันหมดอายุสัญญา ตามมติของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อปี 2550 ซึ่งเป็นปัญหาที่ทำให้รัฐต้องแบกรับภาระและทำให้ประชาชนต้องจ่ายค่าไฟแพงขึ้น

ในการหารือครั้งนี้ ทางกลุ่มผู้ประกอบการโรงไฟฟ้าขนาดเล็กในส่วนของสมาคมฯ ได้อธิบายถึงปัญหาข้อขัดข้องในอดีตซึ่งเป็นที่มาของสัญญาดังกล่าว อีกทั้งยังได้รับทราบและเห็นด้วยกับแนวทางที่กระทรวงพลังงานกำลังดำเนินการในการปรับเปลี่ยนสัญญาให้ถูกต้องและเป็นธรรม โดยนายพีระพันธุ์ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน ( กบง.) ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการพิจารณาแนวทางการกำหนดอายุสัญญาการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Non-Firm เพื่อลดผลกระทบค่าไฟฟ้า และได้กำชับให้คณะอนุกรรมการดังกล่าวเร่งดำเนินการพิจารณาหาแนวทางที่เหมาะสมและเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในการพยายามแก้ปัญหาระบบ Adder และ Feed-in Tariff ที่สะสมมานาน โดยทางสมาคมฯ ยินดีที่จะให้ความร่วมมือกับทางรัฐบาลในการแก้ปัญหานี้ และพร้อมเป็นส่วนหนึ่งในความพยายามที่จะลดผลกระทบที่มีต่อค่าไฟฟ้าของประชาชน

BAFS เดินหน้ารุกตลาดต่างประเทศเต็มสูบ เตรียมส่งรถเติมน้ำมันประจำการสนามบินกัมพูชา

BAFS รุกตลาด SEA ส่งมอบรถเติมน้ำมันอากาศยาน นวัตกรรมฝีมือคนไทย เตรียมพร้อมประจำการสนามบินนานาชาติแห่งใหม่กัมพูชา กลางปีนี้!!

ม.ล. ณัฐสิทธิ์ ดิศกุล กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BAFS) เปิดเผยว่า บริษัท บาฟส์ อินเทค จำกัด (BAFS INTECH) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของกลุ่มบริษัทบาฟส์ (BAFS Group) ดำเนินธุรกิจให้บริการออกแบบ ผลิต และประกอบรถเติมน้ำมันอากาศยานรวมถึงรถให้บริการภาคพื้นภายในท่าอากาศยาน ด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของทีมวิศวกรและเทคนิคของ BAFS INTECH ผสานนวัตกรรมที่ทันสมัยเข้ากับเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยขั้นสูง พร้อมสมรรถนะที่โดดเด่น มีความทนทาน ตอบโจทย์ความต้องการผู้ให้บริการภาคพื้นอากาศยานในระดับภูมิภาค ล่าสุด เตรียมส่งมอบรถเติมน้ำมันอากาศยาน Hydrant Dispenser รถให้บริการภาคพื้นอากาศยาน และอุปกรณ์ให้บริการภาคพื้นประเภท Mobile Refueling Cart รวมทั้งสิ้นจำนวน 7 คัน ให้กับบริษัท Phnom Penh Aviation Fuel Service Co., Ltd. (PPAFS) ในเดือนพฤษภาคม 2568 สำหรับให้บริการ ณ ท่าอากาศยานนานาชาติเตโช กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ที่จะเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในเดือนกรกฎาคมนี้ ถือเป็นอีกหมุดหมายสำคัญที่สะท้อนความเป็นผู้นำด้านบริการเติมน้ำมันอากาศยานแบบครบวงจรของ BAFS 

อุตสาหกรรมการผลิตรถเติมน้ำมันอากาศยานของ BAFS INTECH เริ่มต้นจากองค์ความรู้และความชำนาญในการให้บริการเติมน้ำมันอากาศยานของ BAFS ต่อยอดด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย และจุดเด่นในการออกแบบและผลิตรถเติมน้ำมันอากาศยานที่สามารถปรับเปลี่ยนตามความต้องการของผู้ใช้งาน โดยสามารถเลือกขนาดและอัตราการไหล (Flow Rate) ของรถเติมน้ำมันอากาศยาน ให้รองรับกับขนาดและคุณสมบัติของเครื่องบินแต่ละประเภท รวมถึงสภาพแวดล้อมของท่าอากาศยานที่แตกต่างกัน ตอบโจทย์ทั้งด้านคุณภาพ มาตรฐานความปลอดภัย และความเหมาะสมต่อการใช้งาน การันตีคุณภาพการผลิตที่สอดคล้องตามมาตรฐานการบริการน้ำมันอากาศยานระดับสากลของ Joint Inspection Group (JIG) ซึ่งเป็นมาตรฐานระดับสากลสำหรับระบบเติมน้ำมันอากาศยาน 

BAFS INTECH มุ่งพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการเติมน้ำมันอากาศยาน ให้สามารถตอบสนองต่อการขยายตัวของอุตสาหกรรมการบินโดยเฉพาะในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Southeast Asia) ซึ่งกำลังกลายเป็นศูนย์กลางการเดินทางและโลจิสติกส์ระดับภูมิภาค โดยที่ผ่านมา BAFS INTECH เริ่มต้นจากการผลิตรถเติมน้ำมันอากาศยานให้กับ BAFS และลูกค้าในประเทศไทย ก่อนจะขยายตลาดไปยังประเทศเพื่อนบ้าน โดยในระยะ 4 ปีที่ผ่านมา BAFS INTECH ได้รับความไว้วางใจโดยได้รับเลือกให้เป็นผู้ออกแบบ และผลิตรถเติมน้ำมันอากาศยาน รวมถึงรถให้บริการภาคพื้นอากาศยาน ให้กับลูกค้าในประเทศเมียนมา และ สปป. ลาว

“จากประสบการณ์การดำเนินธุรกิจให้บริการน้ำมันอากาศยานด้วยมาตรฐานสากลยาวนานกว่า 40 ปี และความมุ่งมั่นที่จะยกระดับการให้บริการภาคพื้นอากาศยาน ด้วยผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบและผลิตโดยคนไทย การส่งมอบรถในครั้งนี้ สะท้อนถึงศักยภาพและความพร้อมของ BAFS INTECH ในฐานะผู้นำในธุรกิจออกแบบและผลิตยานพาหนะภาคพื้นสำหรับท่าอากาศยาน สำหรับในปีนี้ เรายังมีรถที่อยู่ระหว่างการผลิตและรอการส่งมอบอีก 16 คัน โดยคาดว่าในปี 2568 จะมียอดสั่งซื้อจำนวน 17 คัน นอกจากนี้ BAFS INTECH วางแผนการดำเนินธุรกิจ รุกสู่ลูกค้าในต่างประเทศให้มากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยจุดขายในการผลิตรถสมรรถนะเยี่ยมที่ตอบโจทย์การใช้งานของคนเอเชีย ตั้งเป้าขยายตลาดสู่ เวียดนาม มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์ ภายใน 5 ปี”

‘พิชัย’ ถกอาเซียน-จีน-ญี่ปุ่น-ออสเตรเลีย-นิวซีเเลนด์ จับมือลดความเสี่ยงการค้า ชู WTO เป็นกลไกลฟื้นเศษรฐกิจ

(25 พ.ค. 68) นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนกับจีน ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ว่า ทุกฝ่ายยืนยันสนับสนุนระบบการค้าพหุภาคีภายใต้กลไกขององค์การการค้าโลก (WTO) พร้อมร่วมกันหลีกเลี่ยงมาตรการตอบโต้ทางการค้าและยึดมั่นในความเป็นกลางทางเศรษฐกิจ

ที่ประชุมยังเห็นพ้องร่วมกันเร่งส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจอย่างสมดุล มุ่งพัฒนาความตกลงการค้าเสรี (FTA) ให้ครอบคลุมมากขึ้น โดยเฉพาะการยกระดับความตกลงอาเซียน–จีนภายในปี 2567 เพื่อขยายความร่วมมือในด้านเศรษฐกิจดิจิทัล เศรษฐกิจสีเขียว และการเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทานให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น

สำหรับความร่วมมือกับญี่ปุ่น ไทยได้เสนอให้ขยายการลงทุนในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ เพื่อผลักดันให้อาเซียนเป็นฐานการผลิตระดับโลก ส่วนออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ที่ประชุมเห็นพ้องให้เร่งใช้ประโยชน์จาก FTA ฉบับปรับปรุง โดยเน้นเศรษฐกิจหมุนเวียน พลังงานสะอาด และพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์

ทั้งนี้ จีนยังคงเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของอาเซียนในปี 2567 ด้วยมูลค่าการค้ากว่า 770,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ อยู่ในอันดับ 3, 6 และ 10 ตามลำดับ สะท้อนบทบาทสำคัญของอาเซียนในเศรษฐกิจภูมิภาคและโลกอย่างต่อเนื่อง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top