Tuesday, 29 April 2025
Econbiz

กฟภ. ตั้งโต๊ะแจงยิบ ปมขายไฟฟ้าให้ ‘เมียนมา’ ลั่น ยังตัดไฟไม่ได้เหตุยังไม่พบการทำผิดที่ชัดเจน

การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) เตรียมหารือหน่วยงานด้านความมั่นคงของประเทศครั้งสำคัญ ต้นเดือน ก.พ. 2568  หาแนวทางตัดวงจรแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในเมียนมา ใช้ไฟฟ้าไทยดำเนินการหลอกลวงเงินประชาชน ยอมรับที่ผ่านมาตัดไฟฟ้าไม่ได้ เหตุยังไม่มีหลักฐานชัดเจนเป็นประจักษ์พยาน และไทยยังไม่เคยใช้เหตุผลด้านความมั่นคงเพื่อตัดไฟฟ้าประเทศเพื่อนบ้านมาก่อน คาดหลังหารือจะได้ข้อสรุปเร็ว ๆ นี้ ขณะที่บอร์ด PEA เตรียมออกร่างสัญญาขายไฟฟ้าฉบับใหม่ ที่รัดกุมมากขึ้นและสามารถเลิกสัญญาได้ทันทีหากพบทำผิด

เมื่อวันที่ (29 ม.ค.68) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) แถลงชี้แจงกรณียังไม่ตัดไฟฟ้าที่ส่งไปยังประเทศเมียนมา แม้จะเกิดกรณีกลุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอร์และกลุ่มธุรกิจสีเทา ใช้ไฟฟ้าจากไทยดำเนินการเป็นมิจฉาชีพหลอกลวงเงินประชาชนมานาน โดยสาระสำคัญของการแถลงข่าวระบุเกี่ยวกับการไม่มีเอกสารหลักฐานที่เป็นประจักษ์ในการกระทำผิดสัญญา และยังไม่มีหนังสือจากหน่วยงานด้านความมั่นคงสั่งการมา ทำให้ PEA ไม่สามารถยกเลิกสัญญาได้ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างประสานข้อมูลกับหน่วยงานด้านความมั่นคงเพื่อดำเนินมาตรการให้เข้มข้นขึ้นและเตรียมทำร่างสัญญาขายไฟฟ้าฉบับใหม่ที่รัดกุม ป้องกันการลักลอบใช้ไฟฟ้าผิดวัตถุประสงค์  

นายประดิษฐ์ เฟื่องฟู รองผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) และในฐานะโฆษกประจำการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค กล่าวว่า การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) เตรียมหารือกับหน่วยงานด้านความมั่นคงของประเทศ ช่วงวันที่ 4 หรือ 6 ก.พ. 2568 นี้ เพื่อหามาตรการจัดการปัญหาด้านไฟฟ้ากับประเทศเพื่อนบ้าน เนื่องจากที่ผ่านมา PEA เคยส่งหนังสือสอบถามไปยังหน่วยงานด้านความมั่นคงตั้งแต่ปลายปี 2567 เกี่ยวกับการใช้ไฟฟ้าไม่ถูกต้องตามสัญญาหรือไม่ ซึ่งยังไม่ได้คำตอบที่ชัดเจน อย่างไรก็ตามการหารือที่จะถึงนี้คาดว่าจะได้ผลลัพธ์เร็วๆ นี้ เนื่องจากปัญหาธุรกิจสีเทาในประเทศเมียนมา ส่งผลกระทบต่อประชาชนคนไทยอย่างมาก

ทั้งนี้ตามกฎหมายทาง PEA ไม่สามารถตัดไฟฟ้าโดยทันทีได้ เพราะการตัดไฟฟ้าต้องมีประจักษ์พยานหรือเอกสารที่ชัดเจนต่อการตัดไฟฟ้า ใน 2 กรณี คือ 1.การทำผิดสัญญา เช่น การไม่จ่ายค่าไฟฟ้า 2.กระทบต่อความมั่นคงของประเทศ ซึ่งที่ผ่านมาไทยยังไม่เคยตัดไฟฟ้าด้วยเหตุผลด้านความมั่นคงในประเทศมาก่อน ดังนั้นจึงต้องมีหนังสือเอกสารจากหน่วยงานด้านความมั่นคงที่ระบุชัดเจนถึงสาเหตุการตัดไฟฟ้าส่งมายัง PEA อย่างเป็นทางการก่อนจึงจะดำเนินการได้ โดยหากมีการตัดไฟฟ้าจะต้องตัดในพื้นที่ประเทศไทยบริเวณชายแดนกับเมียนมา ซึ่งเป็นการตัดไฟฟ้าทั้งสาย

สำหรับปัจจุบัน PEA มีลูกค้าทั้งหมดในไทยและต่างประเทศ 22 ล้านราย คิดเป็นรายได้ 6 แสนล้านบาทต่อปี ขณะที่การจ่ายไฟฟ้าไปยังเมียนมา 5 จุด สร้างรายได้เพียง 800 ล้านบาทต่อปี ซึ่งที่ผ่านมา PEA จ่ายไฟฟ้าให้เมียนมา เพราะดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี(ครม.) เพื่อรองรับในด้านเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงชายแดนเป็นหลัก  

สำหรับความเป็นมาในการจ่ายไฟฟ้าให้ประเทศเมียนมานั้น ตามมติคณะรัฐมนตรี ปี 2539 เห็นชอบหลักการให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) ขายไฟฟ้าให้ประเทศเพื่อนบ้านในบริเวณหมู่บ้านที่ใกล้กับเขตชายแดนของประเทศไทย โดยไม่ต้องขออนุมัติในระดับนโยบายอีก ทั้งนี้ให้นำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เพื่อทราบ ยกเว้นมีประเด็นนโยบาย  ที่สำคัญให้เสนอพิจารณา

ปัจจุบัน PEA จ่ายกระแสไฟฟ้าให้เมียนมา จำนวน 5 จุด ดังนี้

1. บ้านเจดีย์สามองค์ – เมืองพญาตองซู รัฐมอญ บริษัท Mya Pan Investment and Manufacturing Company Limited เป็นผู้ได้รับสัมปทานจากสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา

2. บ้านเหมืองแดง – เมืองท่าขี้เหล็ก รัฐฉาน บริษัท อัลลัวร์ กรุ๊ป (พีแอนด์อี) เป็นผู้ได้รับสัมปทานจากสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา

3. สะพานมิตรภาพไทย – พม่า – เมืองท่าขี้เหล็ก รัฐฉาน บริษัท อัลลัวร์ กรุ๊ป (พีแอนด์อี) จำกัด   เป็นผู้ได้รับสัมปทานจากสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา

4. สะพานมิตรภาพไทย – พม่า แห่งที่ 2 อ.เมียวดี รัฐกะเหรี่ยง บริษัท Nyi Naung Oo Company Limited และ Enova Grid Enterprise (Myanmar) Company Limited เป็นผู้ได้รับสัมปทานจากสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา

5. บ้านห้วยม่วง – อ.เมียวดี รัฐกะเหรี่ยง มีบริษัท Shwe Myint Thaung Yinn Industry & Manufacturing Company Limited (SMTY) เป็นผู้ได้รับสัมปทานจากสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา

ทั้งนี้การจ่ายไฟฟ้าในจุดซื้อขายไฟฟ้าไปยังเมียนมา คู่สัญญาทุกจุดซื้อขายไฟฟ้าเป็นผู้ได้รับสิทธิสัมปทานการซื้อขายไฟฟ้าจากรัฐบาลของสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา โดยผ่านการรับรองความถูกต้องและความน่าเชื่อถือด้านเอกสารจากกระทรวงการต่างประเทศ และ PEA ประสานงานกับหน่วยงานด้านความมั่นคงของไทยในพื้นที่ก่อนจำหน่ายไฟฟ้าไปยังเมียนมา

กรณีการงดจ่ายไฟฟ้าหรือบอกเลิกสัญญา มี 2 กรณี ได้แก่ 1)  คู่สัญญาดำเนินการผิดสัญญา เช่น ไม่ชำระค่าไฟฟ้าตามกำหนด หรือไม่วางหลักประกันสัญญา และ 2)  กระทบต่อความมั่นคงของประเทศ

ดังนั้น PEA จำเป็นต้องมีหนังสือเป็นทางการไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น หน่วยงานด้านความมั่นคง กระทรวงการต่างประเทศ ก่อนการดำเนินการบังคับใช้ข้อสัญญาดังกล่าว ซึ่งเป็นกระบวนการเดียวกันกับการเริ่มทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้า หากเป็นในเรื่องนโยบาย PEA จำเป็นต้องขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี

สำหรับในปี 2566 สถานเอกอัครราชทูตเมียนมาประจำประเทศไทย ขอให้กระทรวงการต่างประเทศของไทยแจ้ง PEA ดำเนินการระงับการจำหน่ายไฟฟ้าในพื้นที่ 2 จุดที่บ้านวังผา อ.แม่ระมาด – บ.ก๊กโก๋ อ.เมียวดี รัฐกะเหรี่ยง และบ้านแม่กุใหม่ท่าซุง – อ.เมียวดี รัฐกะเหรี่ยง

ส่วนอีก 1 จุด ปี 2567 ในพื้นที่ อ.เชียงแสน – เมืองพงษ์ จ.ท่าขี้เหล็ก คู่สัญญาผิดนัดชำระค่าไฟฟ้า ทำให้ PEA ยกเลิกจุดซื้อขายไฟฟ้าทั้ง 3 จุดดังกล่าวแล้ว

“การตรวจสอบว่ามีการกระทำใดที่มีผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยหรือความมั่นคงของประเทศไทยนั้น PEA ไม่สามารถเข้าไปตรวจสอบกรณีดังกล่าวในประเทศของคู่สัญญาได้ จึงต้องอาศัยหน่วยงานภาครัฐที่มีอำนาจประสานงานในการตรวจสอบเรื่องดังกล่าว และแจ้ง PEA เพื่อดำเนินการต่อไป”

นอกจากนี้ PEA ยังได้จัดทำหนังสือเป็นทางการผ่านกระทรวงการต่างประเทศไปยังหน่วยงานของเมียนมา เพื่อขอให้กำกับดูแลและควบคุมการจ่ายไฟฟ้าให้เป็นไปตามสิทธิสัมปทาน ณ จุดซื้อขายไฟฟ้า หากหน่วยงานภาครัฐที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงของประเทศไทยตรวจสอบและพิจารณาแล้วเห็นว่าการจ่ายไฟฟ้าส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศไทย และ แจ้งให้ PEA ทราบ ก็จะดำเนินการงดจำหน่ายไฟฟ้าตามขั้นตอนต่อไป

นายประสิทธิ์ จันทร์ประสิทธิ์ รองผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) กล่าวว่า ที่ผ่านมา PEA เคยส่งหนังสือผ่านกระทรวงการต่างประเทศในไทยไปยังสถานทูตในเมียนมา เพื่อให้ช่วยตรวจสอบว่ามีธุรกิจสีเทามาใช้ไฟฟ้าหรือไม่ และได้ขายไฟฟ้าต่อในธุรกิจที่ตกลงตามสัญญาถูกต้องหรือไม่ ซึ่ง PEA จะเข้มข้นในการติดตามเรื่องนี้ต่อไป

นอกจากนี้คณะกรรมการ (บอร์ด) PEA เห็นควรให้มีการแก้ไขรายละเอียดในสัญญาขายไฟฟ้า ซึ่งขณะนี้ได้ทำร่างสัญญาขายไฟฟ้าฉบับใหม่แล้ว และอยู่ระหว่างรออัยการสูงสุดตรวจสอบ โดยร่างสัญญาฉบับใหม่จะรัดกุมมากขึ้น โดยต้องยืนยันว่าซื้อไฟฟ้าไปแล้วจะนำไปขายให้กลุ่มผู้ใช้ไฟฟ้าด้านใดได้บ้าง เช่น ด้านสาธารณสุข ด้านการศึกษา เป็นต้น ซึ่งหากใช้ผิดวัตถุประสงค์ก็สามารถยกเลิกสัญญาได้ง่ายขึ้น ส่วนด้านความมั่นคงของประเทศนั้น สัญญาขายไฟฟ้าจะต้องระบุให้ละเอียดมากขึ้น เพื่อให้สามารถงดจ่ายไฟฟ้าได้เร็วขึ้นด้วย

ทั้งนี้หากอัยการสูงสุดเห็นชอบร่างสัญญาขายไฟฟ้าฉบับใหม่แล้ว ก็จะนำเข้าสู่การพิจารณาของบอร์ด PEA และจัดทำเป็นสัญญาฉบับใหม่ ที่จะใช้เป็นการทั่วไปทันที

รู้เรื่อง...ค่าไฟฟ้า (4) : ไฟฟ้าที่ใช้ในประเทศไทย…มาจากไหน? ‘กระทรวงพลังงาน’ บริหารอย่างไร? ไม่ให้ค่าไฟแพงเกินไป

(30 ม.ค. 68) เมื่อเล่าถึง ‘ค่าไฟฟ้า’ แล้ว เรื่องหนึ่งที่ประชาชนผู้ใช้ไฟฟ้าซึ่งเป็นผู้ที่ใช้ไฟฟ้าและจ่าย ‘ค่าไฟฟ้า’ ควรรู้ก็คือ “รายละเอียดของการผลิตไฟฟ้าที่ใช้ในประเทศไทย” อันเป็นที่มาที่ไปของบริบทโดยรวมที่เกี่ยวข้องกับ ‘ค่าไฟฟ้า’ จากที่ได้เล่าไว้ใน “รู้เรื่อง...ค่าไฟฟ้า (1) : ความเป็นมาของกิจการพลังงานไฟฟ้า หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ ‘ค่าไฟฟ้า’” แล้วนั้น ด้วยแรกเริ่มเดิมทีการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทยเป็นภารกิจของ “การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) หรือ EGAT” ซึ่งทำหน้าที่ผลิตพลังงานไฟฟ้าเองทั้ง 100% เพื่อส่งต่อให้กับ กฟน. กฟภ. 

แต่ต่อมา รัฐบาลในขณะนั้นต้องการเพิ่มการแข่งขันในกิจการพลังงานไฟฟ้า เพื่อให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นและผู้บริโภคมีพลังงานไฟฟ้าใช้อย่างเพียงพอในราคาที่เหมาะสม ทั้งยังเป็นการลดภาระการลงทุนของรัฐและลดภาระหนี้สินของประเทศ และส่งเสริมให้มีการใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงมีการส่งเสริมเอกชนได้เข้ามามีบทบาทในการผลิตไฟฟ้า ผู้ประกอบการผลิตไฟฟ้าเอกชนจึงเข้ามามีบทบาทในการผลิตไฟฟ้าตั้งแต่นั้นมา

ทั้งนี้ กฟผ. ทำหน้าที่เป็นทั้ง ผู้ผลิต และผู้รับซื้อไฟฟ้า เพื่อจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ กฟน. และ กฟภ. โดยปัจจุบัน กฟผ. ผลิตไฟฟ้าได้เอง ราว 34% ส่วนที่เหลือก็จะรับมาจาก (1)ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ หรือ ผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระ (Independent Power Producer : IPP) เป็นโรงไฟฟ้าเอกชนขนาดมากกว่า 90 เมกะวัตต์ (MW) 34% (2)ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายเล็ก (Small Power Producer : SPP)’ เป็นโรงไฟฟ้าเอกชนขนาดน้อยกว่า 90 เมกะวัตต์ (MW) 19% และ (3)นำเข้าจากต่างประเทศอีก 13% โดย กฟผ. ผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าของ กฟผ. ซึ่งตั้งอยู่ทุกภูมิภาคของประเทศรวมจำนวนทั้งสิ้น 53 แห่ง มีกำลังผลิตรวมทั้งสิ้น 16,237.02 เมกะวัตต์ ประกอบด้วยโรงไฟฟ้าประเภทต่าง ๆ ได้แก่ โรงไฟฟ้าพลังความร้อน 3 แห่ง โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม 6 แห่ง โรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน (พลังน้ำ) 30 แห่ง โรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน (ลม แสงอาทิตย์ ความร้อนใต้พิภพ) 9 แห่ง โรงไฟฟ้าดีเซล 4 แห่ง และโรงไฟฟ้าอื่น ๆ (โรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับ) อีก 1 แห่ง 

ข้อมูลต่อไปนี้เป็นข้อมูลกำลังผลิตโรงไฟฟ้าเอกชน ณ เดือนพฤศจิกายน 2567 โดย ‘ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ 13 โรง โดยมีกำลังการผลิตตามสัญญารวมทั้งสิ้น 19,598.50 เมกะวัตต์ และ ‘ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายเล็ก ซึ่งแบ่งเป็น (1)ประเภทสัญญา Firm [1.1]ระบบ Cogeneration (การผลิตพลังงาน 2 รูปแบบได้แก่พลังงานไฟฟ้า (กระแสไฟฟ้าและพลังงานความร้อน (ไอน้ำ, อากาศร้อน) จากแหล่งเชื้อเพลิงชนิดเดียวในระบบ Cogeneration ประกอบด้วย Gas Turbine, Generator และ Heat Recovery) จำนวน 73 โรง มีกำลังการผลิตตามสัญญารวม 5,772 เมกะวัตต์ และ [1.2]พลังงานหมุนเวียน (Renewable) อีก 26 โรง มีกำลังการผลิตตามสัญญารวม 493.53 เมกะวัตต์ โดยมีกำลังการผลิตตามสัญญา Firm รวมทั้งสิ้น 6,265.53 เมกะวัตต์ และ (2)ประเภทสัญญา Non-Firm [2.1]ระบบ Cogeneration จำนวน 6 โรง กำลังการผลิตตามสัญญารวม 278 เมกะวัตต์ และ [2.2]พลังงานหมุนเวียน (Renewable) อีก 56 โรง มีกำลังการผลิตตามสัญญารวม 2,522.35 เมกะวัตต์ โดยมีกำลังการผลิตตามสัญญา Non-Firm รวมทั้งสิ้น 2,800.35 เมกะวัตต์

นอกจากนี้ กฟผ. ยังนำเข้าไฟฟ้าจากต่างประเทศ (สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว) จำนวน 9 โรง และ (สหพันธรัฐมาเลเซีย) อีก 1 โครงการ (โครงการสายส่งเชื่อมโยง ไทย-มาเลเซีย (HVDC) 300 เมกะวัตต์) โดยมีกำลังการผลิตตามสัญญารวมทั้งสิ้น 6,234.90 เมกะวัตต์ ดังนั้น จากกำลังการผลิตไฟฟ้า เพียง 34% หรือเพียง 1 ใน 3 ของกำลังการผลิตทั้งหมด ทำให้บทบาทของ กฟผ. กลายเป็นผู้รับซื้อ-ขายไฟฟ้า และให้บริการการจัดส่งไฟฟ้าที่ผลิตจากโรงไฟฟ้าของ กฟผ. และที่รับซื้อจากผู้ผลิตไฟฟ้ารายอื่นผ่านระบบส่งไฟฟ้าของ กฟผ. ให้กับ กฟน. และ กฟภ.

ข้อมูลเกี่ยวกับไฟฟ้าที่ใช้ในประเทศไทยมาจากไหนนั้นมีผลอย่างสำคัญต่อ ‘ราคาค่าไฟฟ้า’ ด้วยเพราะระบบและเทคโนโลยี ตลอดจนพลังงานที่นำมาใช้ ทำให้เกิดผลกระทบต่อโครงสร้างของ ‘ราคาไฟฟ้า’ โดยเฉพาะ ‘ค่าไฟฟ้าฐาน’ และ ‘ค่าไฟฟ้าผันแปร (Ft)’ จากการที่ประเทศไทยผลิตไฟฟ้าใช้ ‘ก๊าซธรรมชาติ’ ผลิตไฟฟ้าเป็นส่วนใหญ่ ทั้งนี้สัดส่วนการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงชนิดต่าง ๆ ณ เดือนตุลาคม 2567 ลำดับ 1 คือ ‘ก๊าซธรรมชาติ’ 53.441% ลำดับ 2 เป็น ‘ไฟฟ้านำเข้า’ 20.602% ลำดับ 3 มาจาก ‘ถ่านหินนำเข้าและลิกไนต์’ 16.025% ลำดับ 4 คือ ‘พลังงานหมุนเวียน’ 8.379% ลำดับ 5 ได้แก่ ‘พลังงานน้ำ’ 1.529% และลำดับ 6 เป็น ‘น้ำมันดีเซล/น้ำมันเตา’ 0.022%

โดยที่ ‘ค่า Ft’ เป็นค่าไฟฟ้าที่ปรับเปลี่ยนเพิ่มขึ้นหรือลดลง ตามการเปลี่ยนแปลงของต้นทุนค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิงและค่าซื้อไฟฟ้าจากเอกชนหรือประเทศเพื่อนบ้าน รวมไปถึงค่าใช้จ่ายที่ กฟผ. ไม่สามารถควบคุมได้ และ ‘คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.)’ จะเป็นผู้พิจารณาจากข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในการคำนวณเพื่อปรับค่า Ft ทุก ๆ 4 เดือน ซึ่งในส่วนนี้ ‘กระทรวงพลังงาน’ ทำได้เพียงใช้มาตรการต่าง ๆ ภายใต้อำนาจหน้าที่ที่มีอยู่ทำให้ผู้ประกอบการผลิตไฟฟ้ามีต้นทุนการผลิตที่ต่ำที่สุดเพื่อไม่ให้กระทบต่อค่า Ft เพื่อไม่ให้สร้างผลกระทบด้านค่าใช้จ่ายแก่พี่น้องประชาชนคนไทยผู้ใช้ไฟฟ้าได้ ในตอนต่อไปจะได้บอกเล่าถึงเรื่องของ ‘ก๊าซธรรมชาติ’ อันเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้าของไทย ทำให้มีผลอย่างสำคัญต่อ ‘ค่า Ft’ 

กฟผ. ยันไม่ใช่ต้นตอก่อปัญหาฝุ่น PM2.5 ย้ำ คุมเข้มปล่อยฝุ่น โรงไฟฟ้าพระนครเหนือ - ใต้

กฟผ. ตระหนักถึงความสำคัญการดูแลคุณภาพอากาศ เผยควบคุมการปล่อยมลสารจากโรงไฟฟ้า กฟผ. ค่ามาตรฐานที่กฎหมายกำหนดไว้ พร้อมร่วมมือกับชุมชนบรรเทาปัญหาลดฝุ่น ย้ำมีมาตรการลดฝุ่น โรงไฟฟ้าพระนครเหนือ - ใต้

(30 ม.ค.68) นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยว่า ในช่วงนี้สถานการณ์ฝุ่น PM2.5 โดยรวมของประเทศสะสมเกินค่ามาตรฐานอย่างต่อเนื่อง อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน ในส่วนของการดำเนินงานของ กฟผ. ควบคุมดูแลคุณภาพอากาศอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง ตั้งแต่ต้นน้ำของการผลิตไฟฟ้า โดยเลือกใช้เทคโนโลยีในการผลิตกระแสไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพสูง ควบคุมการเผาไหม้ของโรงไฟฟ้าให้สมบูรณ์เพื่อลดการเกิดฝุ่น โดยใช้ระบบควบคุมปริมาณการระบายก๊าซออกไซด์ไนโตรเจน (Dry Low NOx Burner) ร่วมกับการฉีดน้ำเข้าไปยังห้องเผาไหม้ (Water Injection) เพื่อควบคุมอุณหภูมิในการเผาไหม้ ลดปริมาณการเกิดออกไซด์ของไนโตรเจน (NOx) ติดตั้งอุปกรณ์ชุดกรองฝุ่น (Inlet Air Filter System) เพื่อกรองฝุ่นที่ปนมากับอากาศที่ใช้ในการเผาไหม้ และติดตั้งระบบตรวจสอบคุณภาพอากาศแบบต่อเนื่อง (Continuous Emission Monitoring System) ที่ปล่องของโรงไฟฟ้า เพื่อตรวจวัดอัตราการระบายอย่างต่อเนื่อง 

สำหรับโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมของ กฟผ. ดังเช่นโรงไฟฟ้าพระนครเหนือและโรงไฟฟ้าพระนครใต้ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง ซึ่งถือเป็นเชื้อเพลิงที่ปล่อยมลสารน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับเชื้อเพลิงฟอสซิลประเภทอื่น โดยพบว่าโรงไฟฟ้าของ กฟผ. ทุกแห่งควบคุมการปล่อยมลสารได้ดีกว่าค่าควบคุมตามที่กำหนดไว้ในรายงานประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมตั้งแต่ก่อนการพัฒนาโครงการ ซึ่งเป็นค่าที่เข้มงวดกว่าค่ามาตรฐานตามประกาศของกรมโรงงานอุตสาหกรรม 

อีกทั้ง กฟผ. ยังใส่ใจในเรื่องวิกฤต PM2.5 ได้ศึกษาวิจัยร่วมกับสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย สำรวจมลสารทางอากาศ และจำแนกแหล่งกำเนิดของฝุ่น PM2.5 ในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้าพระนครเหนือ 

ผศ.ดร.สุดจิต ครุจิต อาจารย์ประจำสาขาวิชาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ที่ปรึกษาของโครงการวิจัยเผยผลวิจัยว่า ฝุ่นจากปล่องของโรงไฟฟ้าพระนครเหนือไม่ส่งผลกระทบต่อปริมาณฝุ่นในบรรยากาศทั่วไปของชุมชนในพื้นที่ใกล้เคียงโรงไฟฟ้าพระนครเหนือที่พุ่งสูงขึ้น โดยพบว่า สัดส่วนขององค์ประกอบทางเคมีของฝุ่น (DNA) จากปล่องโรงไฟฟ้าพระนครเหนือแตกต่างจาก DNA ของฝุ่นในบรรยากาศในพื้นที่ชุมชน นอกจากนี้ ผลการศึกษาการปล่อยฝุ่น PM2.5 จากแหล่งกำเนิดต่าง ๆ ในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้าพระนครเหนือในรัศมี 5 กิโลเมตร พบว่าฝุ่น PM2.5 มาจากการสัญจรบนถนนสายหลักและถนนสายรองมากถึง 73.5% รองลงมาเป็นโรงงานอุตสาหกรรม 13.4% และที่พักอาศัย 5.4% โดยเป็นฝุ่นจากโรงไฟฟ้าพระนครเหนือคิดเป็นสัดส่วนเพียง 1.8% เท่านั้น ส่วนการปล่อยสาร NOx คิดเป็นเพียง 11% ของแหล่งกำเนิดทุกประเภท

นอกจากนี้โรงไฟฟ้า กฟผ. กำลังพิจารณาแนวทางเพื่อช่วยลดปริมาณฝุ่นในพื้นที่ โดยการเพิ่มอุณหภูมิปากปล่องโรงไฟฟ้า (Stack Temperature) ให้สูงขึ้นในบางช่วงเวลา เพื่อช่วยระบายฝุ่นในชั้นบรรยากาศออกไปด้วย 

ในขณะเดียวกันโรงไฟฟ้าและเขื่อน ของ กฟผ. ทั่วประเทศยังดำเนินมาตรการต่าง ๆ เพื่อช่วยคลี่คลายปัญหาฝุ่นให้กับชุมชนโดยรอบพื้นที่ กฟผ. อาทิ ผลักดันการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ภายในประเทศ ติดตั้งเซนเซอร์ตรวจวัดคุณภาพอากาศแบบ Real Time ผ่านแอปพลิเคชัน Sensor for All กว่า 1,250 จุดทั่วประเทศ เพื่อให้ประชาชนเฝ้าระวังและสามารถวางแผน การใช้ชีวิตประจำวันได้ รวมถึงสนับสนุนภารกิจป้องกันไฟป่าและหมอกควันตามที่ได้รับการร้องขอจากหน่วยงานต่าง ๆ

‘เอกนัฏ’ คิกออฟ 'แจ้งอุต' แจ้งปัญหาอุตสาหกรรมง่ายๆ ผ่านไลน์ ดึงปชช. ร่วมปราบ โรงงานเถื่อน – สินค้าไร้มาตรฐาน - ฝุ่นพิษ

กระทรวงอุตสาหกรรม คิกออฟ 'แจ้งอุต' แพลตฟอร์มแจ้งเรื่องร้องเรียนปัญหาอุตสาหกรรมผ่าน ทางไลน์ โดยเทคโนโลยี 'ทราฟฟี่ ฟองดูว์' ซึ่งผู้ร้องสามารถติดตามสถานการณ์แก้ปัญหาจนแล้วเสร็จ ทราบผลรวดเร็วทันใจ สร้างการมีส่วนร่วมพัฒนาอุตสาหกรรมไทย

(31 ม.ค.68) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรม มีความเอาจริงเอาจังกับการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อปฏิรูปอุตสาหกรรมทั้งการอำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการให้การประกอบกิจการเป็นเรื่องง่าย (Ease of Doing Business) และเพิ่มความคล่องตัวสำหรับประชาชนทั่วไปในการติดต่อกับกระทรวงอุตสาหกรรม จึงได้มอบหมายให้ “คณะกรรมการเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อการปฏิรูปอุตสาหกรรม” นำโดย นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมหาแนวทางขับเคลื่อนร่วมกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ซึ่งเป็นผู้พัฒนาแพลตฟอร์มบริหารจัดการปัญหา 'ทราฟฟี่ฟองดูว์' (Traffy Fondue) จัดทำช่องทางร้องเรียนออนไลน์ของกระทรวงอุตสาหกรรม ในชื่อ 'แจ้งอุต' ที่จะเป็นตัวกลางระหว่างประชาชนกับกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นการเพิ่มช่องทางแจ้งเรื่องและตามติดสถานะของประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากการประกอบกิจการอุตสาหกรรมแบบทันใจยกระดับการมีส่วนร่วมภาคประชาชนเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมไทยให้สะอาด โปร่งใส และเพิ่มประสิทธิภาพให้ภาครัฐโดยการใช้เทคโนโลยีที่อำนวยให้ข้าราชการทำงานง่ายขึ้น อย่างเทคโนโลยีประมวลผลอัจฉริยะ (AI) ที่ช่วยเจ้าหน้าที่ประเมินสถานการณ์ แนะนำแนวทางการแก้ปัญหาอัตโนมัติ เพื่อลดระยะเวลาทำงาน

“ช่วงที่ผ่านมา เราเข้มงวดบังคับใช้กฎหมายกับการจัดระเบียบอุตสาหกรรมไทย กับโรงงานที่ไม่ปฏิบัติตามกฎกติกา ก่อให้เกิดฝุ่น PM2.5 สินค้าไม่ได้มาตรฐานมากมายยังแทรกซึมในตลาด ลำพังกำลังพลของข้าราชการอุตสาหกรรม เราทำได้ไม่เพียงพอเป็นแน่ ผมจึงอยากให้ 'แจ้งอุต' ซึ่งเป็นเหมือนเครื่องมือที่ช่วยรับฟังเสียงจากประชาชนที่เดือดร้อน เพื่อแก้ปัญหา ในขณะเดียวกันยังเป็นการสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐกับประชาชน ในการต่อสู้เพื่อพังวงจรอุตสาหกรรมสีเทา โรงงานเถื่อน เอาผิดผู้ประกอบการไร้ความรับผิดชอบ ลักลอบฝังขยะอันตราย ปิดตายสินค้าข้ามชาติราคาถูกที่ไร้มาตรฐาน ช่วยกันพลิกฟื้นอุตสาหกรรมไทยให้สะอาด โปร่งใส ไม่ให้มีอะไรซุกใต้พรมอีกต่อไป แจ้งอุตมา เราสุดซอยให้แน่ครับ” นายเอกนัฏกล่าว

นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า การทำงานของแพลตฟอร์ม 'แจ้งอุต' นั้น สามารถเข้าใช้งานโดยผ่านระบบของทราฟฟี่ฟองดูว์ (Traffy Fondue) และเลือกไปยัง แจ้งอุต รวมทั้งการสแกนผ่าน QR Code และ Link ซึ่งสามารถแจ้งเรื่องร้องเรียนในเรื่องต่าง ๆ แบ่งออกเป็น 6 ด้าน คือ 1. โรงงาน (ปัญหาเกี่ยวกับการประกอบกิจการโรงงานกลิ่นเหม็น/เสียงดัง/ฝุ่นละออง/ถนนและระบบสาธารณูปโภคภายในนิคมอุตสาหกรรม) 2. อ้อย (ปัญหาเผาอ้อย/รถบรรทุกอ้อยน้ำหนักเกิน) 3. เหมือง (ผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ) 4. มาตรฐานสินค้า 5. บริการอุตสาหกรรม (ร้องเรียนการให้บริการส่งเสริมผู้ประกอบการ SME ของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม) และ 6. ด้านอื่นๆ นอกจากนี้ยังสามารถร้องเรียนการใช้ผลิตภัณฑ์และบริการของธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย 

ในระยะแรก กระทรวงอุตสาหกรรมจะรับแจ้งจัดการเรื่องการร้องเรียนของทุกหน่วยงานในสังกัด จำนวน 8 แห่ง ส่วนระยะต่อไปจะพัฒนาการติดตามสถานะการขอรับบริการ เช่น การขอใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน การขอมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม และสถานะการสมัครเข้าร่วมโครงการของผู้ประกอบการ เอสเอ็มอี สถานะการขอสินเชื่อของผู้ประกอบการ เป็นต้น ทั้งนี้ ระบบใน Traffy Fondue ได้พัฒนาการแสดงผลภาพรวม (dashboard) และฐานข้อมูลการใช้บริการ เช่น สถิติการร้องเรียน พื้นที่ที่ถูกร้องเรียน ประวัติการส่งเรื่องร้องเรียน และจำนวนที่ได้รับการแก้ไข เพื่อให้ผู้รับผิดชอบสามารถนำไปวางแผนการจัดการปัญหาในพื้นที่นั้น ๆ และในอนาคต กระทรวงอุตสาหกรรมมีแผนที่จะเชื่อมโยงแจ้งอุตกับระบบต่าง ๆ ที่มีอยู่ของกรม เช่น I-Dee Pro และระบบอื่น ๆ ต่อไป เพื่อให้ข้อมูลและการจัดการต่าง ๆ เชื่อมโยงถึงกัน 

โดยกระทรวงอุตสาหกรรมได้มีการจัดฝึกอบรมการใช้งาน 'แจ้งอุต' เมื่อวันที่ 27 มกราคม ที่ผ่านมา ให้กับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกว่า 500 คน ทั้งที่ห้องประชุมและทางออนไลน์ เพื่อนำแนวทางและเทคนิคของการจัดการเรื่องร้องเรียนมาฝึกปฏิบัติให้สามารถนำระบบ 'แจ้งอุต' ไปปฏิบัติงานได้อย่างถูกต้อง รวดเร็วและพร้อมให้บริการประชาชน ทั้งนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมมีเรื่องร้องเรียนเฉลี่ยปีละ 500-550 เรื่อง โดยเรื่องร้องเรียนมากที่สุด 11 อันดับ ได้แก่ 1. กลิ่นเหม็นและไอสารเคมี (ร้อยละ 29) 2. ฝุ่นละอองและเขม่าควัน (ร้อยละ 21) 3. เสียงดังและแรงสั่นสะเทือน (ร้อยละ 15) 4. น้ำเสีย (ร้อยละ 8) 5. อื่น ๆ (ร้อยละ 6) 6. ประกอบการในเวลากลางคืน (ร้อยละ 6) 7. กากอุตสาหกรรมและวัตถุอันตราย (ร้อยละ 5) 8. ประกอบการโดยไม่ได้รับอนุญาต (ร้อยละ 5) 9. ความปลอดภัยในการทำงานและสุขภาพ (ร้อยละ 3) 10. คัดค้านการประกอบการ (ร้อยละ 2) 11. เหมืองแร่ (ร้อยละ 0.3) นอกจากนี้ยังมีการร้องเรียนจากเหตุภาวะฉุกเฉิน เฉลี่ยจำนวน 15 เรื่องต่อเดือน อาทิ เหตุเพลิงไหม้ สารเคมีรั่วไหล การชุมนุมคัดค้าน อุบัติเหตุจากการทำงานหรือเครื่องจักรกล เหตุระเบิด เป็นต้น 

การพัฒนาแพลตฟอร์ม 'แจ้งอุต' เป็นการยกระดับการให้บริการของกระทรวงอุตสาหกรรม โดยการนำเทคโนโลยี และนวัตกรรม มาใช้ในการแก้ปัญหาและเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการข้อร้องเรียน นำร่อง รับแจ้งเรื่อง 6 ประเภทเรื่องสำคัญของกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งประชาชนสามารถแจ้งเรื่องผ่านคิวอาร์โค้ด หรือไลน์ไอดี 'traffyfondue' โดยเริ่มอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 30 มกราคม 2568 เป็นต้นไป

รู้เรื่อง...ค่าไฟฟ้า (5) : ‘ก๊าซธรรมชาติ’ เชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้าของไทย

บอกเล่าเรื่องของ ‘ค่าไฟฟ้า’ ก็ต้องพูดถึงเรื่องราวเกี่ยวกับเชื้อเพลิงพลังงานที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทยด้วย ซึ่งในปัจจุบันเราใช้ ‘ก๊าซธรรมชาติ’ เป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้า เพราะสมัยก่อนมีการใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตกระแสไฟฟ้า แต่ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศ ด้วยคุณสมบัติของ ‘ก๊าซธรรมชาติ’ ซึ่ง ถูกและสะอาดกว่าน้ำมัน ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น และไม่มีพิษ ในสถานะปกติมีสภาพเป็นก๊าซ หรือไอที่อุณหภูมิและความดันบรรยากาศ โดยมีค่าความถ่วงจำเพาะต่ำกว่าอากาศ จึงเบากว่าอากาศ เมื่อเกิดการรั่วไหลจะฟุ้งกระจายไปตามบรรยากาศอย่างรวดเร็ว จึงไม่มีการสะสมลุกไหม้บนพื้นราบ และเมื่อเผาไหม้จะเป็นเชื้อเพลิงสะอาดและส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด เมื่อเปรียบเทียบกับการใช้เชื้อเพลิงประเภทน้ำมันและถ่านหิน จัดว่าเป็นพลังงานที่มีความปลอดภัยสูงสุดอย่างหนึ่งในปัจจุบัน

ประเทศไทยได้มีการสำรวจพบแหล่ง ‘ก๊าซธรรมชาติ’ 2 แหล่ง คือ ในทะเลบริเวณอ่าวไทย และบนบก อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น จึงได้นำมาใช้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2524 โดยการนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตกระแสไฟฟ้า และในโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อทดแทนการใช้ถ่านหินและน้ำมันเตา ซึ่งมีราคาสูงและต้องนำเข้าจากต่างประเทศในแต่ละปีมหาศาล และขณะเดียวกันก็ต้องเผชิญความผันผวนของราคาน้ำมันตลาดโลกซึ่งเสี่ยงต่อความมั่นคงด้านพลังงาน การนำก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทยขึ้นมาใช้ จึงเป็นการเปิดศักราชใหม่ของการพึ่งพาพลังงานที่มีอยู่ภายในประเทศของเราเองอย่างเป็นรูปธรรม และเนื่องด้วยก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงที่สะอาด คุณภาพดีและราคาถูกกว่าเชื้อเพลิงชนิดอื่น ๆ ทำให้ปริมาณการใช้ก๊าซธรรมชาติของไทยสูงขึ้นเรื่อย ๆ ทุกปี ผู้รับสัมปทานสำรวจและผลิตก๊าซจึงได้เสาะแสวงหาแหล่งก๊าซใหม่ ๆ เพื่อนำก๊าซจากแหล่งที่มีอยู่ขึ้นมาใช้ให้ได้มากที่สุด ขณะเดียวกันหน่วยงานภาครัฐ และเอกชน ได้พยายามนำก๊าซธรรมชาติมาใช้ให้ได้ประโยชน์สูงสุด นอกเหนือจากการนำไปเป็นเชื้อเพลิงในโรงไฟฟ้า โรงงานอุตสาหกรรมและยานพาหนะ โดยให้การสนับสนุนพิเศษในการนำก๊าซธรรมชาติ มาเป็นเชื้อเพลิงสำหรับยานยนต์ที่เรียกว่า ‘CNG (Compressed Natural Gas)’ หรือ ‘NGV (Natural Gas for Vehicle)’ นั่นเอง

ปัจจุบันประเทศไทยใช้ ‘ก๊าซธรรมชาติ’ จากแหล่งอ่าวไทย ราว 63.5% ซึ่งกำลังจะหมดไป และนำเข้าจากเมียนมา ราว 16% (จากแหล่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติยาดานา และแหล่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติเยตากุน) ภายใต้สัญญาซื้อขาย 30 ปี ซึ่งจะครบสัญญาในปี พ.ศ. 2571 และ 2574 การนำเข้า ‘ก๊าซธรรมชาติ’ จากเมียนมาถือเป็นความเสี่ยงด้านความมั่นคงทางพลังงานของไทย ด้วยย้อนกลับไปในปี พ.ศ. 2558 เมียนมาต้องซ่อมบำรุงแหล่งผลิตก๊าซธรรมชาติ จนต้องหยุดจ่ายก๊าซธรรมชาติให้ไทย ซ้ำในปัจจุบันเองเมียนมาก็มีปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองภายในจนอาจทำให้เกิดความเสี่ยงต่อระบบการจ่าย ‘ก๊าซธรรมชาติ’ เข้ามาในประเทศไทยได้ จึงต้องเพิ่มการนำเข้า ‘ก๊าซธรรมชาติ’ ในรูปของ ‘ก๊าซธรรมชาติเหลว (Liquefied Natural Gas : LNG) ซึ่งก็คือ ‘ก๊าซธรรมชาติ’ ที่ถูกทำให้กลายเป็นของเหลวโดยผ่านกระบวนการทำให้เย็นลง เพื่อสามารถบรรจุในถังเก็บเพื่อการขนส่งได้

เมื่อ ‘ก๊าซธรรมชาติ’ จากแหล่งเดิมที่ไทยใช้ในการผลิตไฟฟ้าเริ่มผลิตได้ไม่เพียงพอต่อความต้องการ ทำให้ต้องนำเข้า LNG จากประเทศผู้ผลิตทั่วโลก (ราว 20.5%) แต่เมื่อเกิดสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนขึ้นใน ปี พ.ศ. 2565 ประเทศสมาชิกองค์การ NATO ซึ่งเคยนำเข้า LNG จากรัสเซียเพื่อใช้เป็นพลังงานในครัวเรือน ยกเลิกการซื้อ LNG จากรัสเซีย จึงทำให้ LNG ในแหล่งผลิตต่าง ๆ มีราคาพุ่งสูงขึ้นตั้งแต่นั้นมา ราคา LNG ในตลาดโลกที่พุ่งสูงขึ้น รวมถึงสถานการณ์อัตราแลกเปลี่ยนที่อ่อนค่านั้น ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการคำนวณ ‘ค่าไฟฟ้า’ ของไทยด้วย โดยเฉพาะ ‘ค่าไฟฟ้าผันแปร’ หรือ ‘ค่า Ft (Fuel Adjustment Charge (at the given time))’ ซึ่งใช้ในการคำนวณเพื่อปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ โดยเป็น ‘ค่าไฟฟ้า’ ในส่วนที่มีการปรับเปลี่ยนเพิ่มขึ้นหรือลดลงเป็นไปตามการเปลี่ยนแปลงของต้นทุนค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิงและค่าซื้อไฟฟ้าจากเอกชนหรือประเทศเพื่อนบ้าน รวมไปถึงค่าใช้จ่ายที่การไฟฟ้าฯไม่สามารถควบคุมได้ ซึ่งคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) จะเป็นผู้พิจารณาปรับค่า Ft ทุก 4 เดือน (แต่จนถึงทุกวันนี้คนไทยส่วนใหญ่ยังเข้าใจว่า รัฐบาลโดยกระทรวงพลังงานเป็นผู้ที่กำหนดราคาค่าไฟฟ้า) 

แต่เดิมการนำเข้า ‘ก๊าซธรรมชาติ’ ของไทยนั้นถูกผูกขาดโดย ปตท. ทั้งจากแหล่งในอ่าวไทยและเมียนมา และ LNG ก็เช่นกัน พึ่งจะไม่นานมานี้เองที่ ‘ผู้ประกอบการผลิตไฟฟ้าเอกชน’ สามารถจะนำเข้า LNG ได้เอง ปัญหาความเสี่ยงด้านความมั่นคงทางพลังงานของไทยจากการใช้ ‘ก๊าซธรรมชาติ’ และ LNG เป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้านั้น กำลังได้รับการแก้ไขโดย พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ด้วยการจัดตั้ง ‘ระบบสำรองน้ำมันและก๊าซเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Petroleum Reserve : SPR)’ เพื่อให้รัฐสามารถถือครองสำรองน้ำมันและก๊าซสำรองให้เพียงพอใช้ในประเทศได้ถึง 90 วัน ปัจจุบันการสำรองดังกล่าวดำเนินการโดยผู้ค้า ‘ก๊าซธรรมชาติ’ และ LNG มีการสำรองในปริมาณที่ค่อนข้างน้อยมาก ด้วยปริมาณที่สำรองที่มีอยู่จึงต้องแบกรับความเสี่ยงจากผลกระทบทั้งด้านปริมาณและราคาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

สำหรับตอนต่อไปจะได้บอกเล่าถึงเรื่องของ ‘ไฟฟ้าสำรอง’ ด้วยการกำหนดให้มี ‘ไฟฟ้าสำรอง’ ในปริมาณที่ไม่ถูกต้องเหมาะสมกับสถานการณ์ตามบริบทของการใช้ไฟฟ้าในขณะที่เป็นอยู่นั้น จะเป็นปัจจัยที่ (1)ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าสูงขึ้น เนื่องจาก กฟผ. จะต้องเสีย ‘ค่าพร้อมจ่าย (ค่า AP)  มากขึ้น และ (2)เกิดความเสี่ยงด้านความมั่นคงทางพลังงานไฟฟ้า หาก ‘ไฟฟ้าสำรอง’ ไม่เพียงพอต่อการรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินด้านไฟฟ้าของประเทศที่อาจเกิดขึ้นได้ ทั้งนี้ในปัจจุบัน ยังมีข้อถกเถียงโต้แย้งถึงความถูกต้องเหมาะสมของปริมาณ ‘ไฟฟ้าสำรอง’ ที่ประเทศไทยอย่างมากมาย

‘ปีกทอง ทองใหญ่’ CEO คนใหม่ OR โชว์วิสัยทัศน์ ตั้งเป้าส่วนแบ่งการตลาดปีนี้ 38% กลับไปเท่ากับ ปี 66

(31 ม.ค.68) หม่อมหลวงปีกทอง ทองใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารคนใหม่ของ OR ประกาศวิสัยทัศน์มุ่งเสริมความแข็งแกร่งองค์กรผ่าน 3 พันธกิจหลัก ทั้ง Seamless Mobility, All Lifestyles และ Global Market โดยใช้ดิจิทัลและนวัตกรรมเป็นตัวขับเคลื่อน พร้อมผลักดันไทยสู่การเป็น Oil Hub แห่งภูมิภาค ด้วยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ครบวงจร ด้วยแนวคิด 'They grow We grow' เพื่อสร้างการเติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืน

หม่อมหลวงปีกทอง ทองใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR เปิดเผยในโอกาสที่ได้เข้ารับตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารคนใหม่ว่า ตนพร้อมสานต่อวิสัยทัศน์ 'Empowering All toward Inclusive Growth' หรือ 'เติมเต็มโอกาส เพื่อทุกการเติบโตร่วมกัน' พร้อมเน้นย้ำถึงการต่อยอดนโยบาย OR SDG ที่มุ่งสร้างสมดุลในทุกมิติ ทั้ง ด้าน S: Small การสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการรายย่อย ด้าน D: Diversified การลงทุนในธุรกิจที่เสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจหลักของ OR และ ด้าน  G: Green การดูแลสิ่งแวดล้อม โดยที่ผ่านมา OR ได้สร้างผลงานที่โดดเด่น อาทิ การยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรและวิสาหกิจชุมชนผ่านโครงการไทยเด็ด การสนับสนุนผู้เปราะบางทางสังคมผ่าน Café Amazon for Chance รวมถึงการติดตั้ง Solar Roof ในสถานีบริการ PTT Station ที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก พร้อมตั้งเป้าสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2030 และ Net Zero ในปี 2050 พร้อมทั้งตั้งเป้าที่จะทำให้ส่วนแบ่งทางการตลาดของ OR เพิ่มขึ้น 2-3% ในปี 68 หรือเติบโตอยู่ที่ระดับ 38% เหมือนปี 66 หลังจากที่ปัจจุบันอยู่ที่ 35% 

ในด้านการขับเคลื่อนธุรกิจ OR จะมุ่งเน้นการใช้ Digitalization & Innovation เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการเสริมความแข็งแกร่งของธุรกิจ โดยที่ผ่านมา OR ถือเป็นบริษัทแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่นำระบบ SAP S/4 HANA มาใช้ในอุตสาหกรรมน้ำมันและค้าปลีก พร้อมพัฒนา Control Tower Dashboard เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการและตัดสินใจทางธุรกิจ โดยมุ่งเสริมความเข้มแข็งใน 3 พันธกิจสำคัญ ได้แก่  Seamless Mobility มุ่งเสริมความเป็นผู้นำในธุรกิจน้ำมันผ่านการขยายเครือข่ายสถานีบริการและเพิ่มประสิทธิภาพโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง ควบคู่กับการพัฒนาสู่พลังงานทางเลือก เช่น สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า EV Station PluZ และการติดตั้งพลังงานแสงอาทิตย์ โดยใช้กลยุทธ์ Thailand Mobility Partner ในการเปลี่ยนผ่านจากธุรกิจน้ำมัน (Fossil Based) สู่ธุรกิจพลังงานแบบผสมผสาน (New Energy-Based) ด้าน All Lifestyles มุ่งเสริมความแข็งแกร่งของ Café Amazon ตลอด Value Chain พร้อมแสวงหาโอกาสการลงทุนร่วมกับพันธมิตรในธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม รวมถึงเริ่มศึกษาธุรกิจ Health & Wellness ที่มีโอกาสเติบโตสูง ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์กระจายพอร์ทการลงทุน (Diversify Portfolio) และ Global Market ที่ให้ความสำคัญกับการลงทุนในประเทศที่มีศักยภาพสูง โดยมีแผนลงทุนเพื่อสร้างความเข้มแข็งในโครงสร้างพื้นฐานในต่างประเทศ 

นอกจากนี้ OR จะมุ่งเน้นการขับเคลื่อนองค์กรอย่างรอบด้าน พร้อมผลักดันประเทศไทยสู่การเป็น Oil Hub แห่งภูมิภาค ด้วยการลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ครบวงจร ทั้งการเชื่อมโยงเครือข่ายด้านน้ำมันระหว่างประเทศ และการสร้าง New Magnet เพื่อยกระดับระบบนิเวศทางธุรกิจให้แข็งแกร่ง สอดคล้องกับวิสัยทัศน์การเติมเต็มโอกาส เพื่อสร้างการเติบโตร่วมกันอย่างมั่นคงและยั่งยืน

“การขับเคลื่อนองค์กรในยุคที่มีความท้าทายและการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนี้ จะต้องสร้างความแข็งแกร่งจากภายใน ควบคู่ไปกับการสร้างการเติบโตในทุกมิติ ทั้งด้านธุรกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการปรับแนวความคิดการดำเนินธุรกิจภายใต้หลักการ 'They grow We grow' โดยจะสร้างความเชื่อมั่นและการสื่อสารที่ใกล้ชิดผ่านโครงการ 'CEO on tour' เพื่อพบปะพูดคุยกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยงานภาครัฐ พนักงาน พันธมิตร นักลงทุน และสื่อมวลชน” หม่อมหลวงปีกทอง กล่าวเสริมในตอนท้าย

ในโอกาสนี้ หม่อมหลวงปีกทอง ได้เปิดตัว Facebook Fanpage 'ต้น ปีกทอง - Tone Peekthong' อย่างเป็นทางการ เพื่อเป็นช่องทางในการสื่อสารและแลกเปลี่ยนข้อมูลอีกด้วย

‘กระทรวงอุตสาหกรรม’ อัดฉีดเงิน 20 ล้านบาท ผ่าน 4 โครงการเด็ด เสริมแกร่ง!! สร้างความเท่าเทียมในการแข่งขัน รับเศรษฐกิจยุคใหม่

(2 ก.พ. 68) นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะประธานกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอี ตามแนวประชารัฐ เปิดเผยว่า ตามนโยบายการปฏิรูปอุตสาหกรรม สู่เศรษฐกิจยุคใหม่ที่ นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้เน้นย้ำเรื่องการสร้างความเท่าเทียมในการแข่งขันของ SME ไทยนั้น กระทรวงอุตสาหกรรมเล็งเห็นถึงความสำคัญของผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ซึ่งถือเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย คิดเป็นสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 99.5 ของผู้ประกอบการทั้งหมด และมีบทบาทสำคัญในการสร้างงาน สร้างรายได้ให้กับประชากรกว่า 12.8 ล้านคนทั่วประเทศ 

ปัจจุบัน SMEs กำลังเผชิญกับความท้าทายรอบด้าน ทั้งจากสภาวะเศรษฐกิจ การแข่งขันที่รุนแรง และการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว กระทรวงอุตสาหกรรมจึงมุ่งมั่นที่จะให้ความช่วยเหลือ SMEs อย่างครบวงจร ทั้งในด้านการเข้าถึงแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำ การพัฒนาศักยภาพธุรกิจ และการเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว และในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 กองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ ได้รับงบประมาณจำนวน 20 ล้านบาท เพื่อดำเนิน "โครงการส่งเสริมและพัฒนาเอสเอ็มอี" โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับศักยภาพของ SMEs ไทย ให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก และเติบโตอย่างยั่งยืน

สำหรับ ‘โครงการส่งเสริมและพัฒนาเอสเอ็มอี’ ประกอบด้วย 4 โครงการย่อย ที่ครอบคลุม ความต้องการของ SMEs ในทุกมิติ ดังนี้

1. โครงการเสริมแกร่งการเงิน เพิ่มทุนหนุนธุรกิจ (สุขใจ) มุ่งเน้นเสริมสร้างความรู้ทางการเงิน (Financial Literacy) และเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนให้กับ SMEs ทุกขนาด(Micro/Small/Medium) ในทุกสาขาอุตสาหกรรม โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาศักยภาพ SMEs ในด้านการบริหารจัดการ และช่วยให้สามารถเข้าถึง
แหล่งเงินทุนเพื่อต่อยอดธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ กิจกรรมในโครงการประกอบด้วยอบรมเชิงปฏิบัติการ ‘บริหารเงิน ฉบับ SMEs’ การจัด Business Matching เชื่อมโยง SMEs กับแหล่งเงินทุน และการให้คำปรึกษาแนะนำ
ด้านการเงินแบบตัวต่อตัว โดยตั้งเป้าหมายไว้ที่ 60 กิจการ และ 300 คน ด้วยงบประมาณ 1.08 ล้านบาท

2. โครงการยกระดับธุรกิจเพื่อการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืน (เปิดใจ) มุ่งเน้นการพัฒนาธุรกิจ SMEs ในอุตสาหกรรมศักยภาพ (S-Curve) สู่ยุคดิจิทัล และปรับปรุงกระบวนการผลิตให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยนำเทคโนโลยี นวัตกรรม และโมเดลเศรษฐกิจ BCG มาประยุกต์ใช้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน ลดต้นทุน และสร้างมูลค่าเพิ่ม โดยมีกิจกรรมต่างๆ เช่น การอบรม ‘Digital Transformation for SMEs’ การศึกษาดูงานธุรกิจต้นแบบด้าน BCG และการสนับสนุนการเข้าถึงเทคโนโลยีและเครื่องจักรที่ทันสมัย โครงการนี้ตั้งเป้าหมาย ไว้ที่ 200 กิจการ และ 400 คน ด้วยงบประมาณ 10 ล้านบาท

3. โครงการพัฒนาฮาลาลไทย รับรองได้ ขายส่งออกชัวร์ (มั่นใจ) มุ่งพัฒนาศักยภาพธุรกิจฮาลาลของ SMEs ให้ได้มาตรฐานสากล พร้อมขยายตลาดสู่ต่างประเทศ โดยให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการทุกขนาด (Micro/Small/Medium) ในอุตสาหกรรมฮาลาล ผ่านกิจกรรมต่างๆ เช่น การให้คำปรึกษาแนะนำการขอรับรองมาตรฐานฮาลาล การอบรม ‘เจาะตลาดฮาลาลโลก’ และการพัฒนาบรรจุภัณฑ์และกลยุทธ์ทางการตลาดสำหรับ
สินค้าฮาลาลเพื่อผลักดันให้สินค้าไทยสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ โดยตั้งเป้าหมายไว้ที่ 100 กิจการ และ 300 คน ด้วยงบประมาณ 7 ล้านบาท

4. โครงการพลิกชีวิต ฟื้นธุรกิจ ปรับหนี้ให้อยู่รอด (สู้สุดใจ) มุ่งช่วยเหลือ SMEs ที่กำลังประสบปัญหาหนี้สิน ให้สามารถฟื้นฟูกิจการและกลับมาดำเนินธุรกิจได้อีกครั้ง โดยเปิดโอกาสให้ลูกหนี้ของกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ ทุกขนาด (Micro/Small/Medium) ในทุกสาขาอุตสาหกรรมเข้าร่วมโครงการ เพื่อรับคำปรึกษาแนะนำ ในการปรับโครงสร้างหนี้ การเจรจาไกล่เกลี่ยหนี้กับเจ้าหนี้และการอบรม ‘ปรับแผนธุรกิจ สร้างโอกาสใหม่’ โดยตั้งเป้าหมายช่วยเหลือ SMEs ไว้ที่ 40 กิจการด้วยงบประมาณ 1.92 ล้านบาท

“โครงการส่งเสริมและพัฒนาเอสเอ็มอีนี้ จะเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยคาดว่าจะช่วยให้ SMEs เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มากขึ้น สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ และช่วยให้ลูกหนี้ของกองทุนฯ สามารถแก้ไขปัญหาหนี้สิน และพลิกฟื้นธุรกิจกลับมาเติบโตได้อีกครั้ง” ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวทิ้งท้าย

‘กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม’ จัดนิทรรศการ!! แสดงผลงาน ‘เซรามิกล้านนา’ เพื่อสร้างนักออกแบบรุ่นใหม่ ในกรอบการพัฒนา อุตสาหกรรมสร้างสรรค์

(2 ก.พ. 68) กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม โดย ศูนย์วิจัยและพัฒนาวัสดุอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ได้เล็งเห็นศักยภาพและโอกาสในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือ ได้แก่จังหวัด เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง ได้จัดนิทรรศการแสดงผลงานเซรามิก กิจกรรม’ยกระดับอัตลักษณ์เซรามิกล้านนาด้วยทุนทางวัฒนธรรม’ ภายใต้โครงการยกระดับฐานเศรษฐกิจสร้างสรรค์ล้านนาสู่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือ (Creative LANNA Forward) เมื่อวันที่ 27 มกราคม พ.ศ.2568 ณ โรงแรม แอท นิมมาน จังหวัดเชียงใหม่ อยู่ในกรอบการพัฒนาอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ (Creative Industry) เพื่อสร้างนักออกแบบรุ่นใหม่ (Young & Smart Designer) รองรับการพัฒนาผลิตภัณฑ์เซรามิกอัตลักษณ์ล้านนาให้สามารถแข่งขันได้ทั้งตลาดภายในประเทศและตลาดต่างประเทศ เน้นการพัฒนาต่อยอดทางทุนทางวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์เซรามิกอัตลักษณ์ล้านนาที่มีมูลค่าสูงด้วยความคิดสร้างสรรค์ เผยแพร่ผลงานการออกแบบและสามารถต่อยอดสู่การผลิตเชิงพาณิชย์ ตามแนวทางเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy) 

โดยผู้ว่าราชการจังหวัดลำปางได้มอบหมายให้ นายประสิทธิ์ ศรีพรหม อุตสาหกรรมจังหวัดลำปาง เป็นประธานในพิธีกล่าวเปิดงาน และนายภาสันต์ วิชิตอมรพันธ์ รักษาการผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาวัสดุอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ กล่าวรายงานในกิจกรรม ภายในงานผู้มีเกียรติทั้งภาครัฐและภาคเอกชนเข้าร่วมกิจกรรม ได้แก่ นายกษิต พิสิษฐ์กุล กรรมการบริหารและรองเลขาธิการสมาคมวัฒนธรรมและเศรษฐกิจไทย-จีน นายจิตรเทพ เนื่องจำนงค์  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทซีดีไอพี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ดร.สิทธิชัย แดงประเสริฐ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท โรงงานเภสัชอุตสาหกรรม เจเอสพี  (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) นายองอาจ กิตติคุณชัย ประธานกิตติมศักดิ์สภาอุตสาหกรรมจังหวัดเชียงใหม่ นายปรกฤษฎิ์ สายหัสดี ประธานกรรมการหอการค้าจังหวัดเชียงใหม่ กรรมการเลขาธิการ นายสมิต ทวีเลิศนิธ รองประธาน ฝ่ายอุตสาหกรรมเกษตรและอุตสาหกรรมอื่นๆสภาอุตสาหกรรมจังหวัดเชียงใหม่ นายวิเชียร เชิดชูตระกูลทอง รองประธานฝ่ายนวัตกรรมและไอที สภาอุตสาหกรรมจังหวัดเชียงใหม่ นายชัดชาญ เอกชัยพัฒนกุล รองประธาน ฝ่ายเศรษฐกิจและการลงทุน สภาอุตสาหกรรมจังหวัดเชียงใหม่ นายปรีชา ศรีมาลา นายกสมาคมเครื่องปั้นดินเผาลำปาง นายปรัชญ์ชา ธณาธิปศิริสกุล อาจารย์ชมรมครูทัศนศิลป์จังหวัดลำปาง และนายณัฐนนท์ ภู่อริยพงศ์ ผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคนิคลำปาง 

ในงานมีกิจการที่เข้าร่วมทั้งหมด 23 กิจการ โดยมีการประกวดนำเสนอยกระดับอัตลักษณ์เซรามิกล้านนาด้วยทุนทางวัฒนธรรม ผู้ได้รางวัลชนะเลิศในการประกวด ได้แก่ เตาหลวงสตูดิโอ เงินรางวัลมูลค่า 5,000 บาท เงินรางวัลรวมทั้งสิ้นมูลค่า 16,000 บาท และการเสวนาในหัวข้อ ‘การขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเซรามิกสร้างสรรค์อัตลักษณ์เซรามิกล้านนา’ ตลอดทั้งงานมีการจัดแสดงผลงานอัตลักษณ์เซรามิกล้านนาของกิจการที่เข้าร่วม ทำให้มีคนสนใจและเข้าร่วมกิจกรรมเป็นจำนวนมาก

งบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจ ยังไม่เป็นผล!! ประชาชนเริ่ม ส่ายหน้า เสื่อมศรัทธา รัฐบาล ไทยเดินหน้า ‘คาสิโน’ แต่ ‘เวียดนาม’ เตรียมเป็นผู้ผลิต ‘เซมิคอนดักเตอร์ชิป’ รายใหญ่

(2 ก.พ. 68) ผลการเลือกตั้ง นายก อบจ. 47 จังหวัด ประกาศครบถ้วนไปแล้ว พรรคการเมืองครอบครองพื้นที่ไหน คงมีหลายๆ สื่อนำเสนอไปแล้ว แต่คงพอให้เห็นความนิยมบางอย่าง ที่เปลี่ยนแปลงจากเวทีใหญ่

ภาพใหญ่จากความพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจไทย โครงการดิจิทัลวอลเล็ต ที่แจกเฟส 2 ก่อนสนามการเมืองระดับท้องถิ่น เหมือนจะสร้างความเชื่อมั่นไม่ได้มาก เพราะตั้งแต่แจกเงินเฟสแรก เศรษฐกิจไทย ก็ยังไม่กระเตื้องขึ้น แถมใช้เม็ดเงินงบประมาณเป็นจำนวนมาก ซึ่งหากนับรวมเฟส 3 ที่จะแจกประชาชนทั่วไปอายุ 16-60 ปี ประมาณ 16 ล้านคน จะใช้งบประมาณราว 334,500 ล้านบาท มากกว่างบประมาณรวมจากหลายๆ โครงการ ที่อาจเป็นรูปธรรมมากกว่า 

บริษัทจากประเทศญี่ปุ่น เริ่มทยอยเพลี้ยงพล้ำ ถอนธุรกิจจากประเทศไทย ล่าสุด Z.Com ยุติให้บริการโบรกเกอร์ในไทย เริ่มปิดบัญชีลูกค้า 3 มีนาคม นี้  ทั้งค่ายรถยนต์ ที่เจอคู่แข่งรถไฟฟ้าสัญชาติจีน โรงงานผลิตชิ้นส่วนอีกหลายแห่ง ที่จำเป็นต้องซาโยนาระ (ลาก่อน) จากประเทศไทย

แถมมีข่าว 7-11 ญี่ปุ่น ทาบทาม 'เครือซีพี' ของไทย ร่วมลงทุนในดีลใหญ่ ซื้อหุ้นคืน 9 ล้านล้านเยน สู้ศึกเทกโอเวอร์จากกลุ่มแคนาดา ศักยภาพผู้นำเศรษฐกิจในไทยยังคงแข็งแกร่ง ส่วนผู้นำอุตสาหกรรมโลก เห็นภาพชัดว่าจีน แข็งแกร่งมากเพียงใด 

แต่รัฐบาลไทย กลับจะปั้นเศรษฐกิจประเทศด้วย “เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์” หรือเรียกสั้นๆ ว่า ‘คาสิโน’ แทนที่จะเร่งต่อยอดโครงสร้างพื้นฐาน และส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี ที่ตอนนี้ กลายเป็น ‘เวียดนาม’ เตรียมขึ้นแท่นก้าวเป็นผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ชิปรายใหญ่ของโลก

กำลังซื้อยังไม่ฟื้น ถึงจะแจกเงินดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง ประชาชนยังคงมีรายได้จำกัด ยังตกงานอีกเป็นจำนวนมาก เลือกตั้งการเมืองท้องถิ่น อาจเป็นภาพเล็กๆ ที่สะท้อนให้เห็นว่า ประชาชน เริ่มมีความไม่เชื่อมั่นทีมการเมืองจากพรรคแกนนำรัฐบาล

ฝุ่นพิษ PM 2.5 กรุงเทพ ก็ยังไม่ลด ผู้นำที่เคยขายภาพฝัน ‘ถ้าทำไม่ได้ ก็อย่าอาสามาเป็นผู้ว่า’ ยังแก้ไขอะไรไม่ได้ ปริมาณฝุ่นลดลง 2 วัน ฝ่ายรัฐบาลเคลมทันที ว่าเป็นเพราะนโยบายขึ้นรถไฟฟ้า-รถเมลล์ ฟรี โดยใช้งบประมาณ 140 ล้านบาท ทั้งที่เป็นเพราะมีลมมรสุมพัดเข้ามา แถมเตรียมของบประมาณเพิ่มเป็น 329 ล้านบาท ดันนโยบายต่อ!!  

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เร่งศึกษาตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน มูลค่า 3 แสนล้านบาท ซื้อคืนทรัพย์สินเดินรถของเอกชน ผลักดันนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย สำหรับการลงทุนเพื่อซื้อสินทรัพย์การเดินรถในส่วนที่เอกชนเป็นผู้ลงทุน ซึ่งคาดว่าจะมีความชัดเจนภายในปีนี้

เม็ดเงินที่จะใช้เพื่อตรึงราคาค่าโดยสารรถไฟฟ้า ก็น่าจะใช้งบประมาณอุดหนุนใส่กองทุนค่อนข้างมาก เอกชนหรือประชาชน จะสนใจการลงทุนนี้ไหม เพราะหากมีเพียงโครงการรถไฟฟ้า ภาพขาดทุนแทบจะชัดเจน เพราะกว่าที่จะเพิ่มยอดผู้โดยสารได้ถึงจุดคุ้มทุน ก็น่าจะอีกหลายปี 

แต่ละนโยบาย แต่ละโครงการ ใช้งบประมาณเป็นจำนวนมาก คงได้แต่หวังว่า งบประมาณที่จัดเก็บภาษีในแต่ละปีจะเพียงพอ หวังว่าประชาชนผู้เสียภาษีรายได้ส่วนบุคคล จะไม่ท้อไปซะก่อน 

อินเตอร์ลิงค์ จัดงานขอบคุณผู้ประกอบการหน้าร้าน พาพักผ่อนริมทะเลชายหาดจอมเทียนสุดหรู พร้อมเดินหน้าสานต่อความเชื่อมั่นให้เหนียวแน่นและยั่งยืน

(3 ก.พ. 68) "INTERLINK THANK YOU VIP 2025" ส่งมอบความสุข แทนคำขอบคุณให้ผู้ประกอบการหน้าร้าน ด้วยการพักผ่อนริมทะเลชายหาดจอมเทียนสุดหรู สานต่อความเชื่อมั่นให้เหนียวแน่น ก้าวพาธุรกิจสู่การเติบโต อย่างต่อเนื่อง และยั่งยืนร่วมกัน

กระชับความสัมพันธ์ คืนกำไรด้วยความสุข บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ฯ จัดงาน "INTERLINK THANK YOU VIP 2025" ให้คู่ค้าผู้ประกอบการหน้าร้าน มอบประสบการณ์พักผ่อนให้แก่ลูกค้าคนสำคัญ ร่วมเติมเต็มเก็บเป็นความทรงจำสุดพิเศษ ท่ามกลางธรรมชาติริมทะเลสุดหรู ในบรรยากาศสุดชิล ชมวิวริมทะเลแบบพาโนรามา เพื่อตอบแทนความไว้วางใจ และขอบคุณลูกค้า คู่ค้า และพันธมิตรทางธุรกิจ ที่ให้การสนับสนุน และร่วมเดินทางมาทั้งปีด้วยดีเสมอมา ตั้งใจมอบความสุขเหนือระดับที่เต็มไปด้วยความประทับใจ และความสุขแบบไม่รู้ลืม ณ Ocean Marina Hotel Pattaya เมื่อวันที่ 1-2 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา

ภายในงาน เริ่มต้นด้วยการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากทีมงานอินเตอร์ลิ้งค์ฯ โดยได้ต้อนรับด้วยเครื่องดื่มแสนสดชื่น เพื่อเตรียมความพร้อมให้ทุกท่านได้ไปดื่มด่ำกับบรรยากาศแห่งการพักผ่อนอย่างเต็มที่ สัมผัสกลิ่นอายบรรยากาศสุดหรูของชายหาดจอมเทียน ท่ามกลางทิวทัศน์เวิ้งน้ำที่งดงาม มองเห็นท่าเรือยอร์ชที่จอดเทียบท่าเรียงรายอย่างตระการตา อีกทั้งทุกท่านยังจะได้ดื่มด่ำกับ Exclusive Dinner สุดพิเศษแห่งค่ำคืน ในธีมแคมป์ปิ้ง พร้อมแต่งกายสบาย ๆ สไตล์ชิล ๆ ริมทะเล ภายใต้บรรยากาศที่ผ่อนคลาย และเป็นกันเอง 

นำโดย นายสมบัติ อนันตรัมพร ประธานกรรมการ บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ฯ ได้ขึ้นกล่าวขอบคุณลูกค้า และพันธมิตรทุกท่าน พร้อมแสดงวิสัยทัศน์เกี่ยวกับทิศทาง และนวัตกรรมโซลูชันล้ำสมัยแห่งปี 2025 นอกจากนี้ ยังมีการอัปเดตเทรนด์เทคโนโลยีดิจิทัลที่พร้อมรองรับการพัฒนาระบบโครงข่ายพื้นฐานในปีนี้ ผ่านผลิตภัณฑ์คุณภาพจาก LINK AMERICAN & 19" GERMANY EXPORT RACK อีกทั้ง ยังเผยข่าวดีเกี่ยวกับความก้าวหน้าของบริษัทฯ ตอกย้ำความแข็งแกร่งของแบรนด์ LINK AMERICAN CABLING ให้เป็นที่รับรู้โดยทั่วกัน และยังได้นำโซลูชันมาจัดแสดงให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญอย่างทรางประสิทธิภาพ ที่มาพร้อมกับสินค้า และอุปกรณ์มากด้วยคุณภาพอย่างครบวงจรให้ลูกค้าทุกท่านได้เห็นที่งานนี้อีกด้วย ไฮไลต์สำคัญของงาน มีโซนกิจกรรมร่วมทำของที่ระลึกสุดพิเศษ เทียนหอม ที่อินเตอร์ลิ้งค์ฯ ได้จัดเตรียมไว้ให้แขกคนสำคัญโดยเฉพาะ เพื่อบันทึกเป็นความทรงจำอันแสนอบอุ่นร่วมกัน 

งานนี้ ได้รับการตอบรับอย่างอบอุ่นจากคู่ค้าหน้าร้านกว่า 120 ท่าน ที่มาร่วมสังสรรค์ และแบ่งปันช่วงเวลาแห่งความสุขร่วมกัน เพื่อเป็นการขอบคุณลูกค้าคนสำคัญนั้น อินเตอร์ลิ้งค์ฯ ได้เนรมิต จัดสรรค์ประสบการณ์พักผ่อนอย่างมีระดับ ทุกท่านจะได้ลิ้มรสอาหารระดับพรีเมียม ดื่มด่ำกับอาหารเลิศรสที่คัดสรรมาอย่างดี ชมวิวริมทะเลแบบพาโนรามา 360 องศา พร้อมมองเห็นพระอาทิตย์อัสดงที่สะท้อนประกายระยิบระยับบนผืนน้ำ ภายใต้สายลมเย็นที่พัดผ่านให้ความรู้สึกสดชื่น ผ่อนคลาย และในค่ำคืน ทุกท่านยังได้มองเห็นท้องฟ้าที่ เคียงคู่กับพระจันทร์เต็ม โอบล้อมด้วยดวงดาวพร่างพราว พร้อมเพลิดเพลินกับเสียงดนตรีอันครื้นเครงที่ได้มาร่วมสร้างสีสันให้ตลอดทั้งค่ำคืน เป็นช่วงเวลาสุดพิเศษที่เต็มอิ่มไปด้วยความสนุกสนาน และความประทับใจ

นอกจากนี้ ภายในงานยังมีกิจกรรมมากมาย เพื่อให้ทุกท่านได้ร่วมสนุก เพื่อลุ้นรับแจกของรางวัลสุดเอ็กซ์คลูซีฟที่เตรียมไว้เซอร์ไพรส์แทนคำขอบคุณให้กับลูกค้าคนสำคัญตลอดทั้งงาน พร้อมกันนี้ยังมีการแสดงมายากลสุดตื่นตาตื่นใจจากนักแสดงมืออาชีพ ที่มาร่วมสร้างรอยยิ้ม และเสียงหัวเราะตลอดทั้งคืน

เช้าวันถัดมา ลูกค้าคนสำคัญได้ร่วมพิธีทำบุญตักบาตร ท่ามกลางบรรยากาศที่อบอุ่นและเป็นกันเอง เพื่อเสริมสิริมงคล และเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข บรรยากาศของพิธีเป็นไปอย่างสงบ อบอวลด้วยความอบอุ่น และความปรารถนาดีต่อกัน นับเป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาที่ช่วยเติมเต็มความทรงจำดี ๆ และกระชับความสัมพันธ์ระหว่างอินเตอร์ลิ้งค์ และลูกค้าให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

งาน INTERLINK THANK YOU VIP 2025 ไม่เพียงเป็นการตอบแทนคำขอบคุณ แต่ยังเป็นโอกาสสำคัญในการกระชับความสัมพันธ์ และแสดงความซาบซึ้งต่อการสนับสนุนที่ดีจากลูกค้า และพันธมิตร อินเตอร์ลิ้งค์ฯ จึงขอขอบพระคุณทุกท่านที่ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จ และพร้อมมุ่งมั่นเดินหน้าสร้างประสบการณ์พิเศษ พร้อมนำนวัตกรรมที่ดีที่สุดมาตอบแทนความไว้วางใจของลูกค้า เพื่อการเติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top