Wednesday, 14 May 2025
Econbiz

BDMS ขยายความร่วมมือกลุ่มเฮลท์แคร์ยักษ์ใหญ่จากรัสเซีย เพิ่มการเข้าถึงการแพทย์คุณภาพสูงระหว่างสองประเทศ

(4 ก.ย. 67) ณ กรุงมอสโก บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด มหาชน (BDMS) และ MEDSI Group ร่วมกันลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) เพื่อขยายความร่วมมือระหว่างสองผู้ให้บริการด้านสุขภาพเอกชนรายใหญ่ที่สุดของไทยและรัสเซีย ณ MEDSI Group สำนักงานใหญ่ กรุงมอสโก โดยมี มร. เอ จี โซโคลอฟ (Mr. A.G. Sokolov) ประธาน MEDSI Group และนายบุรณัชย์ ลิมจิตติ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่อาวุโส ส่วนการตลาดต่างประเทศ โฆษณาและประชาสัมพันธ์ของ BDMS เป็นตัวแทนลงนามในข้อตกลง

MOU ฉบับนี้ ขยายขอบเขตความร่วมมือทั้งด้านทางการแพทย์ การให้บริการคำปรึกษาทางไกล การให้บริการความเห็นที่สอง การดูแลอย่างต่อเนื่อง และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มการเข้าถึงบริการทางการแพทย์คุณภาพสูงระหว่างทั้งสองประเทศ สำหรับผู้ป่วยชาวรัสเซียทั้งที่พำนักอยู่ในประเทศไทย และเมื่อกลับไปรัสเซีย

ในฐานะผู้ให้บริการด้านสุขภาพเอกชนรายใหญ่ที่สุดของไทย ด้วยจำนวนโรงพยาบาลในเครือฯ ถึง 58 แห่ง พร้อมคลินิกสุขภาพและธุรกิจที่เกี่ยวข้อง BDMS มีความพร้อมในการดูแลผู้ป่วยชาวรัสเซียทั้งที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย และกลุ่มนักท่องเที่ยว ด้วยมาตรฐานของเครือข่ายที่แข็งแกร่งในจุดหมายปลายทางที่ได้รับความนิยมมากที่สุดของชาวรัสเซีย ทั้งกรุงเทพฯ, ภูเก็ต, พัทยา และเกาะสมุย

นอกจากการดูแลกลุ่มผู้ป่วยที่รอการรักษาแล้ว BDMS ยังมีเครือข่ายศูนย์ช่วยเหลือฉุกเฉินเอกชนที่ครอบคลุมทั่วประเทศ ซึ่งหมายถึงความพร้อมทั้งด้านความต้องการทางการแพทย์เร่งด่วน และกรณีฉุกเฉินที่เป็นอันตรายถึงชีวิต ผู้ป่วยจึงสามารถมั่นใจได้ว่า BDMS สามารถให้บริการได้ไม่ว่าจะอยู่ในพื้นที่ใดก็ตาม 

นอกจากนี้ BDMS ยังมีศูนย์เคลื่อนย้ายฉุกเฉิน (BDMS Medevac Center) ที่ให้บริการ 24 ชั่วโมง โดยสามารถติดต่อได้ที่หมายเลข 1724 ซึ่งไม่เพียงแต่ดูแลประสานงานเคลื่อนย้ายผู้ป่วยในกรณีฉุกเฉินเท่านั้น แต่ยังสามารถดำเนินการส่งตัวผู้ป่วยกลับไปยังภูมิลำเนาได้ในกรณีที่จำเป็น

MEDSI Group เป็นเครือข่ายโรงพยาบาลและคลินิกเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศรัสเซีย โดยให้บริการทางด้านสุขภาพแบบครบวงจร ตั้งแต่การดูแลทางการแพทย์เบื้องต้น เคสฉุกเฉิน ตลอดจนการวินิจฉัยด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง การรักษาด้วยศัลยกรรมที่ซับซ้อน และการฟื้นฟูทางการแพทย์ MEDSI Group ประกอบด้วยโรงพยาบาลและคลินิกจำนวน 148 แห่งในประเทศรัสเซีย โดยตั้งอยู่ในกรุงมอสโกและพื้นที่ใกล้เคียงจำนวน 69 แห่ง ซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่รับผู้ป่วยหลัก ศูนย์วินิจฉัยทางคลินิก คลินิกเด็ก โรงพยาบาลคลินิก คลินิกดิจิทัล SmartLab นอกจากนั้น อีก 79 แห่งตั้งอยู่ในภูมิภาคต่างๆ ของรัสเซีย และมีบริการให้คำปรึกษาทางไกล ปัจจุบัน MEDSI Group มีพนักงานมากกว่า 15,000 คน และมีบุคลากรทางการแพทย์กว่า 5,000 คน

'สถานทูตจีน' เผย!! บทสรุปการลงทุนในประเทศไทยช่วง 2 ปีหลัง ลงทุน 7 พันล้านเหรียญ-รายได้ท่องเที่ยวเข้าไทย 3.5 แสนล้านบาท

(4 ก.ย. 67) สถานทูตจีนประจำประเทศไทย เปิดเผยถ้อยแถลงการณ์เกี่ยวกับประเด็นความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศจีนกับประเทศไทย มีทั้งหมด 5 ข้อ ระบุว่า...

เมื่อเร็ว ๆ นี้ สื่อมวลชนไทยติดต่อกับสถานทูตจีนประจำประเทศไทยเพื่อสัมภาษณ์ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้าจีน-ไทย โดยทางสถานทูตจีนได้รวบรวมประเด็นและตอบคำถามต่าง ๆ ที่น่าสนใจไว้ดังนี้...

1.นโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจของจีนในปัจจุบันเป็นอย่างไร?

จีนเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของโลก และเป็นตลาดหลักและประเทศที่มีอุตสาหกรรมการผลิตใหญ่ของโลก ประเทศจีนดำเนินตามยุทธศาสตร์การเปิดประเทศที่เอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกัน ได้ประโยชน์ร่วมกัน โดยเป็นคู่ค้ารายใหญ่ของกว่า 140 ประเทศทั่วโลก ที่สำคัญจีนมีส่วนร่วมต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจโลกอยู่ที่ประมาณ 30% มานานกว่า 10 ปีติดต่อกัน

จีนมุ่งมั่นที่จะสร้างระบบเศรษฐกิจตลาดสังคมนิยมที่มีคุณภาพสูง และเปิดกว้าง เพื่อบรรลุถึงความทันสมัยอย่างครอบคลุม โลกในปัจจุบันอยู่ในภาวะสับสนวุ่นวาย จีนยินดีที่จะเพิ่มเสถียรภาพให้กับโลกด้วยการพัฒนาอย่างสันติ และเสนอโอกาสใหม่ ๆ เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของโลกด้วยการพัฒนาแบบเปิดกว้างของตัวเอง โดยทำงานร่วมกับประเทศอื่น ๆ เพื่อสร้างประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันสำหรับมนุษยชาติ

2. ท่านประเมินผลความร่วมมือทางเศรษฐกิจไทย-จีนอย่างไร?

จีนและไทยเป็นเพื่อนบ้านที่ดี เปรียบเหมือนเป็นญาติที่ดีที่มีความใกล้ชิดทางสายเลือด เป็นหุ้นส่วนที่ดีที่มีอนาคตร่วมกัน ประชาชนทั้งสองประเทศมีความใกล้ชิดดุจพี่น้อง ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน

ปัจจุบันจีนเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของไทย เป็นตลาดส่งออกสินค้าเกษตรของไทยที่สำคัญ โดยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จีนนำเข้าสินค้าเกษตรของไทยมากกว่า 40% เฉพาะทุเรียนเพียงรายการเดียวก็มีมูลค่า 4,566 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปีที่ผ่านมา

กิจการต่าง ๆ ของจีนยังเข้ามาลงทุนในไทยอย่างต่อเนื่อง จากสถิติเบื้องต้นพบว่า บริษัทจีนลงทุนในไทยมากกว่า 1,000 แห่ง โดยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา มีการยื่นโครงการการลงทุน 588 โครงการ มูลค่าการลงทุนเกือบ 7,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ การลงทุนส่วนใหญ่อยู่ในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า เศรษฐกิจดิจิทัล พลังงานใหม่ และการผลิตสมัยใหม่ ซึ่งสอดคล้องกับแผนการพัฒนาของประเทศไทยเป็นอย่างมาก มีส่วนสนับสนุนที่สำคัญต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมในไทย การจ้างงาน การเก็บภาษี การฝึกอบรมบุคลากร สวัสดิการสังคม และด้านอื่น ๆ

ไทยยังเป็นจุดหมายสำคัญของนักท่องเที่ยวจีน ก่อนการระบาดของโควิด-19 นักท่องเที่ยวชาวจีนที่มาเยือนประเทศไทยสูงถึง 11 ล้านคน ในปีนี้ทางการไทยคาดการณ์ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวน่าจะสูงถึง 8 ล้านคน สร้างรายได้จากการท่องเที่ยวมากกว่า 350,000 ล้านบาท

จีนมีความเชื่อมั่นว่า การพัฒนาของจีนจะยังประโยชน์ให้ไทย โดยจีนยังคงตั้งเป้าหมายที่จะสร้างความก้าวหน้าในการขับเคลื่อนความทันสมัยอย่างครอบคลุม จีนกลายเป็นตลาดหลักของโลก ที่มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา ไทย-จีนมีการเชื่อมโยงกันอย่างต่อเนื่อง ทั้งการเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐาน การขนส่ง และการปรับปรุง แก้ไข กฎระเบียบ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับระบบเศรษฐกิจ และการค้า เราเชื่อว่าความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างจีนและไทย จะมีอนาคตขยายตัวมากยิ่งขึ้น เป็นประโยชน์ต่อประชาชนทั้งสองมากยิ่งขึ้น

3. ท่านมองความไม่สมดุลทางการค้าระหว่างไทยและจีนในปัจจุบันอย่างไร?

การค้าระหว่างจีนและไทยมีโครงสร้างที่ชดเชยซึ่งกันและกัน เอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกันและได้ประโยชน์ร่วมกัน โดยก่อนปี 2562 จีนขาดดุลและไทยเกินดุล แต่หลังจากปี 2563 ได้เปลี่ยนเป็นจีนเกินดุลและไทยขาดดุล เป็นผลมาจากโครงสร้างเศรษฐกิจและการผลิตที่เปลี่ยนแปลงไป

แต่การขาดดุลหรือเกินดุลไม่สามารถมองอย่างง่าย ๆ ว่า ใครได้เปรียบ ใครเสียเปรียบ สิ่งสำคัญคือ ขึ้นอยู่กับว่าการค้าที่เกิดขึ้นสอดคล้องกับความต้องการ และโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศหรือไม่ จีนมีตลาดที่ใหญ่มาก แต่ไม่เคยตั้งเป้าว่าจะต้องเกินดุลการค้ากับไทย จีนยินดีเปิดตลาดให้ไทยส่งออกไปยังจีนมากขึ้น และได้อำนวยความสะดวก ออกมาตรการการสนับสนุนในด้านต่าง ๆ

เมื่อเร็ว ๆ นี้ มีการวิพากษ์วิจารณ์กันมากจากสื่อท้องถิ่นและในโซเชียลมีเดียเกี่ยวกับการส่งออกสินค้าจีนมายังประเทศไทย ความจริง เกือบ 80% สินค้าที่ไทยนำเข้าจากจีน เป็นสินค้าทุน สินค้าขั้นกลาง ซึ่งถูกนำมาผลิต เพิ่มมูลค่า ก่อนการส่งออกในท้ายสุด

ส่วนสิ่งที่เรียกว่าสินค้าราคาถูกที่ดึงดูดความสนใจของประชาชน ส่วนใหญ่เป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน อาหาร สินค้าเพื่อสุขภาพ เสื้อผ้าและเครื่องประดับ เป็นต้น ซึ่งมีสัดส่วนไม่ถึง 10% ของยอดมูลค่าการนำเข้าสินค้าจากจีน หรืออีกแง่สินค้าเหล่านี้มีมูลค่าแค่ครึ่งเดียวของสินค้าเกษตรของไทยที่ส่งออกไปจีน โดยสินค้าเกษตรเหล่านี้ล้วนแต่เป็นสิ่งที่เสริมความต้องการของประชาชนในแต่ละประเทศ เช่น ทุเรียนไทย ส่งออกไปจีน ส่วนส้มและผลไม้เขตอบอุ่นของจีนบางชนิดส่งเข้ามาไทย

จากรายงานของสื่อ สินค้าจีนในบางส่วนมีปัญหาไม่ได้รับการรับรองผลิตภัณฑ์อาหารและยาของไทย (อย.) หรือไม่ได้รับมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมของไทย (สมอ.) รวมถึงไม่ได้มาตรฐานอื่น ๆ เป็นต้น รัฐบาลจีนเรียกร้องให้บริษัทจีนและชาวจีนดำเนินกิจการตามกฎหมาย ข้อบังคับในต่างประเทศอย่างเคร่งครัดโดยตลอด เราสนับสนุนรัฐบาลไทยให้เข้มงวดในการกำกับดูแลตามกฎหมาย แก้ไข ปราบปรามการละเมิดกฎหมาย และกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง

ที่ผ่านมากิจการขนาดกลาง ขนาดเล็ก หรือเอสเอ็มอีของไทย เผชิญกับการแข่งขันจากสินค้าจีน โดยเฉพาะสินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เมื่อประกอบกับปัจจัยเชิงลบอื่น ๆ ทำให้กิจการเอสเอ็มอี ประสบความยากลำบาก เราตระหนักดีถึงความสำคัญของกิจการเหล่านี้ เข้าใจถึงความยากลำบากที่เกิดขึ้น เราเชื่อว่ากิจการเหล่านี้ควรได้รับการสนับสนุน ช่วยเหลือ และเรายินดีที่จะเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ ช่วยเหลือ พัฒนา ภายใต้ความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าอย่างยั่งยืนระหว่างจีนและไทย

4. ท่านมองบทบาทของวิสาหกิจจีนในไทยต่อการพัฒนาของประเทศไทยอย่างไร?

บริษัท หัวเว่ย เป็นบริษัทไฮเทคของจีนที่เพื่อนชาวไทยคุ้นเคย เมื่อท่านเดินเข้าไปในอาคารบริษัท หัวเว่ย ในประเทศไทย จะได้เห็นข้อความสะดุดตาว่า ‘Grow in Thailand, Contribute to Thailand’ หรือ ‘เติบโตในไทย และมีส่วนช่วยเหลือประเทศไทย’ ปรากฏอยู่ในสายตา สะท้อนให้เห็นแนวความคิดร่วมกันของบริษัทจีนมากกว่า 1,000 แห่งที่มาลงทุนและตั้งโรงงานในประเทศไทย เพื่อสร้างเครือข่ายการดำเนินธุรกิจระหว่างประเทศ ในอีกด้านก็เป็นความปรารถนาดีของกิจการของจีนที่ต้องการช่วยเหลือ ยกระดับการพัฒนาของไทย ตอบสนองต่อความสัมพันธ์จีน-ไทยที่ว่า ‘จีนไทยใช่อื่นไกล พี่น้องกัน’

เรามั่นใจว่าการลงทุนของวิสาหกิจจีนช่วยให้ไทยพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันระดับนานาชาติ ไทยเป็นประเทศแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่นำ 5G มาใช้เชิงพาณิชย์ การพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลอยู่ในแนวหน้าในภูมิภาค ซึ่งทั้งหมดได้รับการสนับสนุนจากบริษัทสื่อสารและเทคโนโลยีดิจิทัลของจีนหลายแห่ง เช่น หัวเว่ย, ZTE และ China Mobile ไทยกำลังพัฒนาอุตสาหกรรมพลังงานใหม่และผลักดันการพัฒนาเศรษฐกิจสีเขียว จีนมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันและมีบทบาทสำคัญในกระบวนการการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า แผงโซลาร์เซลล์ การผลิตพลังงานแสงอาทิตย์  มูลค่าผลผลิตรวมของนิคมอุตสาหกรรมระยองไทย-จีนมีมูลค่ามากกว่า 3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ โดย 80% ของผลผลิตเหล่านั้นส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศ

วิสาหกิจจีนที่มาลงทุนในไทย มุ่งมั่นที่จะพัฒนาแบบบูรณาการ เชื่อมโยงกับกิจการของไทย ในการสร้างห่วงโซ่การผลิต ห่วงโซ่อุปทานโดยใช้วัตถุดิบ ปัจจัยการผลิตในไทย เพื่อส่งเสริมพัฒนากิจการของคนไทย โดยสินค้าที่ผลิตและส่งออก มีการใช้ปัจจัยการผลิตของไทยมากกว่า 40% และมีการขยายสัดส่วนการใช้ปัจจัยการผลิตของไทยอย่างจริงจัง บริษัท Xinyuan Energy Thailand มีซัพพลายเออร์ในไทย 459 ราย บริษัท China Resources Thailand มีซัพพลายเออร์ในไทยมากกว่า 700 ราย และบริษัท SAIC Motor-CP มีซัพพลายเออร์ในไทยมากกว่า 100 ราย รวมถึงวิสาหกิจจีนในประเทศไทยยังปฏิบัติตามกฎระเบียบว่าด้วยใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้าอย่างเคร่งครัด

วิสาหกิจจีนยังช่วยเพิ่มการจ้างงานและอบรมบุคลากร ไทยยังมีกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง โดยต้องจ้างพนักงานไทย 4 คน ถึงจะยื่นขอใบอนุญาตทำงานพนักงานต่างชาติได้ 1 คน บริษัทจีนที่ลงทุนในไทยทำเกินกว่ากฎระเบียบเหล่านี้มาก สัดส่วนของพนักงานคนไทยของบริษัท SAIC Motor-CP อยู่ที่ระดับ 97.5% ของบริษัท Haier Thailand คือ 94% และของบริษัท Zhongce Rubber Thailand อยู่ที่ 92% คาดว่าบริษัทจีนได้สร้างงานกว่า 300,000 ตำแหน่ง พนักงานเหล่านี้ไม่เพียงแต่มีค่าจ้างที่ค่อนข้างมั่นคง แต่ยังได้รับการฝึกอบรมทักษะที่ดี เป็นบุคลากรที่มีทักษะเพิ่มขึ้นอีกด้วย การอบรมเพิ่มศักยภาพเหล่านี้ยังเปิดกว้างให้คนไทย ให้สังคมไทยอีกด้วย บริษัทหัวเว่ยได้จัดตั้ง Huawei ASEAN Academy (Thailand) ซึ่งเปิดสอนหลักสูตรการอบรมแก่คนไทยไปแล้ว 96,200 คน

วิสาหกิจจีนในไทยมีความกระตือรือร้นกับสวัสดิการสาธารณะ ดำเนินการการกุศล และสนับสนุนการศึกษาสายอาชีพ การแพทย์และการดูแลสุขภาพ เพื่อทำประโยชน์ต่อสังคมไทย ธนาคารแห่งประเทศจีน (ไทย) ให้ทุนสนับสนุนการศึกษาอักษรเบรลล์ สำหรับผู้พิการทางสายตา SANY Heavy Industry (Thailand) บริจาคทุนทรัพย์ให้กับสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า Sinohydro (Thailand) บริจาคกองทุนป่าชายเลนให้กับกรุงเทพมหานคร และ Haier Thailand ให้การสนับสนุนทางการเงินก่อสร้างโรงเรียนประถมศึกษาในท้องถิ่น วิสาหกิจจีนหลายแห่งได้รับรางวัลที่มอบโดยหน่วยงานรัฐบาลไทย เช่น รางวัลความสำเร็จด้านความรับผิดชอบต่อสังคมดีเด่น / รางวัลสถานประกอบการด้านแรงงานสัมพันธ์และสวัสดิการดีเด่น และ รางวัลนายจ้างดีเด่น

จากรายงานของสื่อและคดีที่เกี่ยวข้องที่ทางตำรวจไทยสอบสวน ชาวจีนบางคนได้เข้าร่วมในธุรกิจการบริการในประเทศไทย โดยมีคนเป็นจำนวนน้อยเกี่ยวข้องกับธุรกิจสื่อลามก การพนัน และยาเสพติด และบางคนได้หลีกเลี่ยงข้อจำกัดทางกฎหมายโดย ‘ให้คนอื่นถือหุ้นแทน’ สำหรับปัญหาการละเมิดกฎหมายของท้องถิ่นที่ต้องสงสัยเหล่านี้ จีนสนับสนุนไทยในการสืบสวนและปราบปรามการกระทำเหล่านี้ตามกฎหมาย และรักษาความสงบเรียบร้อยของตลาดที่มีความเป็นธรรม และสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่ถูกต้องตามกฎหมาย ความจริงแล้ว หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของทั้งสองประเทศได้ดำเนินการความร่วมมือที่ดีในการป้องปราบธุรกิจสีดำและสีเทามาโดยตลอด

5. ท่านมองปัญหาใหม่ที่เกิดจากแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซข้ามชาติอย่างไร?

แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซเป็นรูปแบบธุรกิจใหม่ที่เกิดขึ้นในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล ประเทศต่าง ๆ ต่างก็กำลังเผชิญกับปัญหาในการพัฒนาแพลตฟอร์มเหล่านี้ โดยอีคอมเมิร์ซช่วยลดขั้นตอนทางธุรกิจ ประหยัดต้นทุนการทำธุรกรรม และนำเสนอทางเลือกที่สะดวกมากขึ้นแก่ผู้บริโภค ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบพิเศษของตนเอง ในขณะเดียวกันก็ทำให้เกิดปัญหาต่าง ๆ เช่น ทำให้รูปแบบธุรกิจแบบดั้งเดิมต้องเผชิญกับแรงกดดันด้านการแข่งขันที่รุนแรง และเกิดความท้าทายใหม่ ๆ โดยเฉพาะการควบคุมดูแลด้านการบริหาร คุณภาพและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ การคุ้มครองสิทธิผลประโยชน์ของร้านค้าและผู้บริโภค 

ดังนั้น เราต้องมีมาตรการรับมือ เพื่อเพิ่มจุดแข็งและหลีกเลี่ยงจุดอ่อน แสวงหาข้อได้เปรียบ หลีกเลี่ยงข้อเสีย เพื่อส่งเสริมการพัฒนาของเศรษฐกิจและสังคมอย่างมีประสิทธิภาพ ที่สำคัญคือการใช้ประโยชน์จากอีคอมเมิร์ส โดยก่อนหน้านี้ไทยได้การถ่ายทอดสดอีคอมเมิร์ซเพื่อนำสินค้าไปขายให้จีน ซึ่งขายได้สำเร็จถึง 4,000 ล้านบาทภายในสองวัน และยังได้ใช้การถ่ายทอดสดทางอีคอมเมิร์ซเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวให้กับนักท่องเที่ยวชาวจีน ซึ่งมีผู้เข้าชมมากกว่า 20 ล้านคน มียอดการทำธุรกรรมถึง 100 ล้านบาท จีนยินดีและส่งเสริมให้ไทยใช้ประโยชน์จากรูปแบบอีคอมเมิร์ซใหม่ ๆ เพื่อขยายตลาดจีน ยินดีที่จะกระชับความร่วมมือในการพัฒนาความสามารถด้านดิจิทัล แลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการกำกับดูแลตลาดอีคอมเมิร์ซ และร่วมกันใช้โอกาสใหม่ของยุคอินเทอร์เน็ต

'กพช.' ไฟเขียว!! ต่อเวลาชดเชยราคาน้ำมันผสมเชื้อเพลิงชีวภาพอีก 2 ปี อุ้ม!! 'กลุ่มเกษตรกร-รง.เอทานอล-ผลิตน้ำมันปาล์ม' ให้มีเวลาปรับตัว

(5 ก.ย. 67) ผู้สื่อข่าวศูนย์ข่าวพลังงาน (Energy News Center – ENC) รายงานว่าที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ที่มีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ซึ่งประชุมเมื่อวันที่ 4 ก.ย.2567 มีมติเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาชดเชยราคาน้ำมันที่มีส่วนผสมของเชื้อเพลิงชีวภาพออกไปอีก 2 ปี จากเดิมที่จะหมดอายุลงในวันที่ 24 กันยายน 2567 นี้ โดยจะเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาในวันที่ 17 กันยายน นี้เป็นลำดับต่อไป 

ทั้งนี้ พ.ร.บ. กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2562 ได้กำหนดให้กองทุนน้ำมันฯ ต้องยกเลิกการชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิงชีวภาพ ทั้งกลุ่มน้ำมันแก๊สโซฮอล์ต่างๆ และน้ำมันดีเซล B7 และดีเซล B20 มาตั้งแต่ปี 2565 แต่กฎหมายเปิดโอกาสให้ขอยืดเวลาการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวได้ 2 ครั้ง ครั้งละไม่เกิน 2 ปี ซึ่งที่ผ่านมากระทรวงพลังงานได้ขอขยายเวลาการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวไปแล้วหนึ่งครั้ง โดยจะสิ้นสุดในวันที่ 24 ก.ย. 2567 นี้ ดังนั้นจะเหลือโอกาสในการขอขยายเวลาได้อีก 1 ครั้ง ซึ่งเป็นครั้งสุดท้าย โดยจะไปสิ้นสุดในวันที่ 24 ก.ย. 2569 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การขยายเวลาการบังคับใช้กฎหมายออกไปอีก 2 ปี เพื่อให้เวลาอย่างจริงจังในการประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ ช่วยเหลือกลุ่มเกษตรกรและกลุ่มโรงงานเอทานอล รวมถึงน้ำมันปาล์ม ให้มีระยะเวลาในการปรับตัวไปจำหน่ายผลผลิตในตลาดส่วนอื่นๆ แทนการนำมาผสมในน้ำมัน เช่น จำหน่ายในตลาดเครื่องสำอาง เวชภัณฑ์สุขภาพต่างๆ เป็นต้น

‘Stellantis’ ตั้ง ‘PNA’ เป็นตัวแทนจำหน่าย ‘Leapmotor’ ในไทย พร้อมวางแผนเปิดโชว์รูม-เพิ่มช่องทางการขายให้ครอบคลุมทั่วประเทศ

(5 ก.ย. 67) ‘Stellantis’ บริษัทผู้ผลิตยานยนต์และผู้ให้บริการด้านการคมนาคมชั้นนำระดับโลก ประกาศแต่งตั้ง ‘บริษัท พระนครยนตรการ จำกัด  (PNA)’ เป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ ‘Leapmotor’ อย่างเป็นทางการในประเทศไทย ด้วยความร่วมมือกับ PNA นี้ นับเป็นก้าวแรกสำหรับการเปิดตัวแบรนด์ Leapmotor ให้ลูกค้าในประเทศไทยได้สัมผัส

PNA และเครือข่ายตัวแทนจำหน่ายที่ได้รับการแต่งตั้ง จะเปิดโชว์รูมและศูนย์บริการแห่งใหม่ ทั้งในกรุงเทพฯ และจังหวัดต่าง ๆ ครอบคลุมทั่วประเทศ เพื่อเพิ่มช่องทางการนำเสนอและการเข้าถึงผลิตภัณฑ์ของ Leapmotor ให้กับลูกค้าในไทย

Stellantis และ Leapmotor ได้จัดตั้งบริษัทร่วมทุน Leapmotor International B.V. เมื่อเดือนพฤษภาคม 2567 ในสัดส่วน 51:49 เพื่อขยายตลาดในต่างประเทศ โดย Leapmotor International ได้รับสิทธิ์ในการจำหน่ายและส่งออก รวมถึงการผลิต Leapmotor นอกประเทศจีนแต่เพียงผู้เดียว บริษัทมีความมุ่งมั่นที่จะสร้างนิยามใหม่ของยานยนต์ไฟฟ้า ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัย โดยได้รับการสนับสนุนจากทีมงานที่มีความสามารถภายในองค์กรเอง

นายแดเนียล กอนซาเลซ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการอาเซียนและผู้จัดจำหน่ายทั่วไปของ Leapmotor International B.V.  กล่าวว่า “เรามีความยินดีที่ได้ร่วมมือกับพระนครยนตรการ พันธมิตรของเราเพื่อขยายแบรนด์ Leapmotor มายังประเทศไทย ด้วยเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ที่ทันสมัยของ Leapmotor เราเชื่อว่าลูกค้าของเราในประเทศไทยจะชื่นชอบรถยนต์ของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มองหาประสบการณ์การขับขี่ที่ยอดเยี่ยมและชาญฉลาด”

คุณธวัชชัย จึงสงวนพรสุข กรรมการผู้จัดการ บริษัท พระนครยนตรการ จำกัด กล่าวว่า “PNA มีความภาคภูมิใจที่ได้เป็นตัวแทนจำหน่ายแบรนด์ที่ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย ประกอบกับ Leapmotor มุ่งมั่นที่จะมอบรถยนต์อัจฉริยะ พร้อมพื้นที่กว้างขวางและสะดวกสบายให้กับลูกค้า เรารู้สึกตื่นเต้นที่ได้ช่วยให้ลูกค้าของเราในประเทศไทยได้เป็นเจ้าของรถยนต์ที่ยอดเยี่ยมเหล่านี้ รวมทั้งยกระดับไลฟ์สไตล์ให้กับลูกค้าของเรา”

สำหรับ Stellantis N.V. (NYSE / MTA / Euronext Paris: STLA) เป็นบริษัทผู้ผลิตยานยนต์และผู้ให้บริการด้านการคมนาคมชั้นนำระดับโลก แบรนด์ของบริษัทถือเป็นตำนานและเป็นที่รู้จัก ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความหลงใหลของผู้ก่อตั้งบริษัทที่มีวิสัยทัศน์และกลุ่มลูกค้าในปัจจุบัน ด้วยผลิตภัณฑ์และบริการที่เป็นนวัตกรรม ซึ่งรวมถึง Abarth, Alfa Romeo, Chrysler, Citroën, Dodge, DS Automobiles, Fiat, Jeep®, Lancia, Maserati, Opel, Peugeot, Ram, Vauxhall, Free2move และ Leasys

ด้วยพลังแห่งความหลากหลาย บริษัทเป็นผู้นำในเรื่องการคมนาคมของโลก บริษัทมุ่งมั่นที่จะเป็นบริษัทเทคโนโลยีด้านการคมนาคมอย่างยั่งยืนและยิ่งใหญ่ที่สุด รวมทั้งสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผู้มีส่วนร่วมทุกฝ่ายและชุมชนที่บริษัทได้เข้าไปทำธุรกิจ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาเยี่ยมชมเว็บไซต์ www.stellantis.com

ส่วน Leapmotor จัดตั้งขึ้นในปี 2558 และเป็นบริษัทยานยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี โดยมี มร.จู เจียงหมิง เป็นผู้ก่อตั้งบริษัทและยังเป็นวิศวกรไฟฟ้าที่มีประสบการณ์ด้านเทคนิคมาเป็นเวลากว่า 30 ปี

Leapmotor มีสำนักงานใหญ่ที่เมืองหางโจว มณฑลเจ้อเจียง ประเทศจีน บริษัทมีธุรกิจในด้านต่าง ๆ ตั้งแต่การออกแบบยานยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะ การวิจัยและพัฒนา การผลิต การขับขี่อัจฉริยะ การควบคุมมอเตอร์ไฟฟ้า การพัฒนาระบบแบตเตอรี่ และโซลูชันเครือข่ายยานยนต์ที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของคลาวด์คอมพิวติ้ง

ในฐานะที่เป็นบริษัทด้านเทคโนโลยี ชิ้นส่วนหลักของ Leapmotor จึงถูกพัฒนาและผลิตขึ้นเองภายในบริษัท ซึ่งรวมถึงระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าและระบบอัจฉริยะ โดยสัดส่วนของชิ้นส่วนที่พัฒนาและผลิตขึ้นเองคิดเป็นสัดส่วน 60% ของต้นทุนยานพาหนะทั้งหมด บริษัทยังได้เปิดตัวเทคโนโลยีไฟฟ้าอัจฉริยะชั้นนำอย่างต่อเนื่อง เช่น ระบบขับเคลื่อนไฟฟ้า Eight-in-One เทคโนโลยี Cell-to-Chassis ที่ผลิตในระดับอุตสาหกรรมเป็นรายแรก รวมทั้งการออกแบบระบบไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (E/E) แบบรวมศูนย์ที่เรียกว่า 4 โดเมนในหนึ่งเดียว (Four-Domain-in-One) ซึ่งเป็นครั้งแรกของวงการ

Stellantis ได้ลงทุนใน Leapmotor เมื่อปี 2566 และช่วงต้นเดือนพฤษภาคม 2567 Stellantis และ Leapmotor ได้จัดตั้งบริษัทร่วมทุนขึ้นมาในชื่อ Leapmotor International B.V. เพื่อขยายตลาดในต่างประเทศ

ส่วน บริษัท พระนครยนตรการ จำกัด (PNA) เป็นผู้บุกเบิกอุตสาหกรรมยานยนต์ในไทย และทำธุรกิจมาตั้งแต่ปี 2502บริษัทมีความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมยานยนต์มาเป็นเวลากว่า 60 ปี 

กลุ่ม PNA ได้ให้บริการด้านยานยนต์แบบครบวงจร ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่การนำเข้าและจัดจำหน่ายรถยนต์ การรับจ้างประกอบรถยนต์ การปรับแต่งรถ การบริหารจัดการฟลีทรถยนต์ การให้เช่ารถยนต์สำหรับองค์กร การให้สินเชื่อสำหรับผู้ซื้อรถ การบริหารจัดการศูนย์ PDI (Pre-Delivery Inspection) และการจัดการคลังอะไหล่

'แบงก์ชาติ' จ่อยกร่างกฎหมายให้แบงก์พาณิชย์รับผิดชอบ 100% หากลูกค้าถูกมิจฉาชีพหลอกโอนเงินจากช่องโหว่ในระบบ

(5 ก.ย. 67) ไม่นานมานี้ น.ส.ดารณี แซ่จู ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับระบบชำระเงิน และคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ขณะนี้ แบงก์ชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อยู่ระหว่างยกร่างกฎหมายกำหนดสถาบันการเงิน พัฒนาและออกแบบระบบ ที่สามารถปิดช่องโหว่ ป้องกันแอปพลิเคชันแปลกปลอมบนโมบายแบงก์กิ้ง รวมทั้งกำหนดแนวทางปฏิบัติของสถาบันการเงินที่ชัดเจนมากขึ้น หากเกิดความเสียหายจากกรณีแอปฯ ดูดเงิน

หากแบงก์ไม่สามารถทำได้หรือมีช่องโหว่ในระบบแล้วเกิดความเสียหาย แบงก์ต้องเป็นผู้รับผิดชอบความเสียหาย คืนเงินแก่เจ้าของบัญชี 100% จากปัจจุบัน เป็นการเฉลี่ยเงินคืน ตามสัดส่วน จากเงินกองทุนเยียวยาผู้เสียหาย ที่ยึดคืนจากผู้กระทำความผิด

พร้อมยกกรณีศึกษา ของสิงคโปร์ หากมีเงินโอนออกจากบัญชี โดยไม่มีข้อความ SMS แจ้งเตือนไปยังมือถือเจ้าของบัญชี ธนาคาร ต้องรับผิดชอบ ใช้เงินคืนตามจำนวน หากแต่แจ้งเตือนไปแล้ว แบงก์ก็ไม่ต้องรับผิดชอบ เป็นต้น

ผู้บริหารแบงก์ชาติกล่าวอีกว่า มิจฉาชีพ ปรับตัวหลบเลี่ยงมาตรการป้องกันต่างๆ อยู่ตลอดเวลา จึงเห็นว่าทุกฝ่ายต้องให้ความร่วมมือ แก้ปัญหาอย่างจริงจัง เช่น การป้องกันไม่ให้มิจฉาชีพ ส่งข้อความ SMS ถึงประชาชนได้เหมือนทุกวันนี้

'ขุนคลัง' ชี้!! การเมืองนิ่งมีส่วนทำตลาดหุ้นไทยขึ้นแรงกว่า 30 จุด แง้ม!! ปมขึ้นค่าแรง 400 บาท เตรียมหาทางช่วยผู้ประกอบการแล้ว

(5 ก.ย. 67) ที่ทำเนียบรัฐบาล ‘นายพิชัย ชุณหวชิร’ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ตอบคำถามสื่อมวลชนกรณีสถานการณ์การลงทุนที่ตลาดหุ้นไทยในวันนี้ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาเกือบ 30 จุด ว่าถือเป็นเรื่องที่ดี และน่ายินดี

เมื่อถามว่าการตอบรับของตลาดหุ้นมาจากสถานการณ์ทางการเมืองที่มีความชัดเจนใช่หรือไม่? นายพิชัย ระบุว่า "ก็คงมีส่วนด้วย แต่ก็มีหลายประเด็นที่เป็นปัจจัยเกี่ยวข้องกัน"

เมื่อถามว่ามาตรการเรื่องภาษีที่กระทรวงแรงงานอยากให้กระทรวงการคลังเสนอเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่จะได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาททั่วประเทศในวันที่ 1 ต.ค.นี้? นายพิชัย กล่าวว่า "ตอนนี้ได้รับแจ้งความคืบหน้าเข้ามาแล้ว อยู่ระหว่างการรอพิจารณามาตรการทางภาษีที่จะเสนอเข้ามาอีกครั้ง"

'ศูนย์วิจัยกสิกรไทย' มอง!! ตัวแปรโรงเรียนนานาชาติผุดเป็นดอกเห็ด หลักสูตรทันสมัย-คนมีเงินระดับ 30 ล้านบาทขึ้นไป จ่อเพิ่มขึ้นถึง 24%

(6 ก.ย.67) ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า ในปี 2567 ตลาดโรงเรียนนานาชาติจะเติบโต 13% จากปีก่อนหน้า และมีมูลค่ามากกว่า 8 หมื่นล้านบาท จากจำนวนนักเรียนและโรงเรียนนานาชาติที่เพิ่มขึ้น รวมถึงค่าเล่าเรียนที่มีการปรับตัวสูงขึ้น โรงเรียนนานาชาติยังมีแนวโน้มที่จะขยายตัวไปสู่นอกกรุงเทพฯ มากขึ้น เนื่องจากพื้นที่ที่จำกัดในเมืองหลวง และการแข่งขันของจำนวนโรงเรียนในกรุงเทพฯ ที่หนาแน่น

แนวโน้มการเพิ่มขึ้นของนักเรียนโรงเรียนนานาชาติในไทยเกิดจากหลายปัจจัย หนึ่งในนั้นคือ การเพิ่มขึ้นของนักเรียนต่างชาติที่สอดคล้องกับจำนวนชาวต่างชาติในตำแหน่งผู้บริหารที่เข้ามาทำงานในไทย ที่เติบโตเฉลี่ยปีละ 0.6% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา 

นอกจากนี้ ความนิยมในหลักสูตรการศึกษาต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากมีการพัฒนาหลักสูตรให้ทันสมัยและทันการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอเมื่อเทียบกับหลักสูตรไทย รวมไปถึงศักยภาพการลงทุนด้านการศึกษาของผู้ปกครองที่สูงขึ้น สะท้อนจากคาดการณ์จำนวนคนที่มีทรัพย์สินมากกว่า 1 ล้านดอลลาร์ฯ ในไทยจะเพิ่มขึ้น 24% ระหว่างปี 2566-2571 ยังเป็นปัจจัยหลักที่หนุนการเติบโตของจำนวนนักเรียน โรงเรียนนานาชาติ

แนวโน้มธุรกิจโรงเรียนนานาชาตินั้น การแข่งขันของโรงเรียนนานาชาติ พบว่า โรงเรียนนานาชาติมีแนวโน้มขยายตัวสู่นอกกรุงเทพฯ มากขึ้น ในช่วงปี 2555-2567 อัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี ของจำนวนนักเรียนและจำนวนโรงเรียนนานาชาติที่ตั้งในภูมิภาคอื่นจะสูงกว่าของกรุงเทพฯ ถึง 4.3% และ 6.3% ตามลำดับ โดยพบว่า ด้านจำนวนนักเรียนนานาชาติมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยในกรุงเทพอยู่ที่ 5.3% ขณะที่ตามต่างจังหวัดอยู่ที่ 9.6% สอดคล้องกับจำนวนโรงเรียนนานาชาติ มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยในกรุงเทพอยู่ที่ 2.4% ขณะที่ตามต่างจังหวัดอยู่ที่ 8.7%

การแข่งขันในธุรกิจโรงเรียนนานาชาติที่เพิ่มขึ้น และพื้นที่ในกรุงเทพฯ ที่จำกัดทำให้ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ธุรกิจโรงเรียนนานาชาติต้องสำรวจตลาดใหม่ๆ ในหัวเมืองหลัก เช่น เชียงใหม่, ระยอง และภูเก็ต เป็นต้น ทั้งนี้ เศรษฐกิจใน 21 เมืองหลักได้เติบโตในอัตราที่สูงกว่ากรุงเทพฯ โดยในปี 2565 อัตราการเติบโต GDP ต่อหัวของ 21 เมืองหลักสูงกว่ากรุงเทพฯ ถึง 2% ซึ่งทำให้ตลาดนอกกรุงเทพฯ ดูน่าสนใจมากขึ้น

แนวโน้มนี้แสดงให้เห็นโอกาสขยายธุรกิจโรงเรียนนานาชาติไปยังพื้นที่นอกกรุงเทพฯ โดยเฉพาะภาคกลางและตะวันออก ซึ่งน่าจะเป็นตลาดศักยภาพ เพราะมีจำนวนวนครัวเรือนรายได้เกิน 100,000 บาทต่อเดือน รองจากกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยจำนวนครัวเรือนมีรายได้มากกว่า 100,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป พบว่า กรุงเทพ-ปริมณฑล 201,649 บาท ภาคกลาง-ตะวันออก 113,082 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ(อีสาน) 65,590 บาท ภาคใต้ 64,863 บาท และภาคเหนือ 63,005 บาท อย่างไรก็ตาม เนื่องจากจำนวนครัวเรือนที่เป็นกลุ่มเป้าหมายในแต่ละภูมิภาคมีจำนวนน้อยกว่ากรุงเทพฯ ทำให้ผู้ประกอบการอาจจะต้องปรับลดค่าเล่าเรียนให้สอดคล้องกับรายได้ผู้ปกครองที่แตกต่างกันในแต่ละพื้นที่

ตลาดโรงเรียนนานาชาติในไทยนั้น คาดว่าในปี 2567 มูลค่าตลาดโรงเรียนนานาชาติไทยจะเติบโตราวร้อยละ 13 จากปี 2566 แตะ 8.7 หมื่นล้านบาท โดยมีการเติบโตตั้งแต่ปี 2563 ที่ 57,000 ล้าน ปี 2564 ที่ 60,000 ล้าน ปี 2565 ที่ 66,000 ล้าน ปี 2566 ที่ 77,000 ล้าน รวมเติบโต 4 ปีติดกันก่อนถึงปีนี้ 

อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงของกิจการโรงเรียนนานาชาติ ก็มีอยู่ด้วยเช่นกัน ดังนี้...

- การเพิ่มขึ้นของค่าเล่าเรียนโรงเรียนนานาชาติ อาจทำให้ผู้ปกครองพิจารณาส่งบุตรหลานไปศึกษาในต่างประเทศแทน เนื่องจากช่องว่างระหว่างค่าเล่าเรียนเริ่มลดลง ในปีการศึกษา 2567 ค่าเล่าเรียนเฉลี่ยต่อปีของโรงเรียนนานาชาติในประเทศไทยอยู่ที่ 764,484 บาท ในขณะที่ค่าเล่าเรียนเฉลี่ยต่อปีของโรงเรียนประจำในนิวซีแลนด์อยู่ที่ประมาณ 1,150,208 บาท

- โรงเรียนนานาชาติ อาจเผชิญกับความท้าทายจากการแข่งขันกับโรงเรียนเอกชนหลักสูตรไทยที่พัฒนาคุณภาพและมีค่าใช้จ่ายต่ำกว่า ผู้ปกครองอาจตัดสินใจเปลี่ยนไปเลือกโรงเรียนเอกชนหลักสูตรไทยที่มีการเปิดสอนโปรแกรมภาษาอังกฤษ และสอนหลายภาษา เช่น ไทย อังกฤษ และจีน เป็นต้น ซึ่งท้าทายจุดแข็งของโรงเรียนนานาชาติในด้านภาษา

- การพัฒนาทางเทคโนโลยีทำให้การเรียนโฮมสคูลง่ายขึ้น และเนื่องจากค่าใช้จ่ายในการเรียนโฮมสคูลต่ำกว่าการเรียนในโรงเรียนนานาชาติ จึงอาจส่งผลกระทบต่อจำนวนนักเรียนในโรงเรียนนานาชาติได้ โดยค่าใช้จ่ายในการสอบ GED (เทียบวุฒิมัธยมปลายของสหรัฐฯ) รวมกับค่ากวดวิชาแบบเรียนตัวต่อตัว 100 ชั่วโมง จะอยู่ที่ประมาณ 160,800 บาท

'ซีเค' แนะรัฐ ต้องกำชับให้ธุรกิจต่างชาติตั้งโรงงานในไทย เอื้อ!! จ้างคนไทย ใช้วัตถุดิบไทย ให้เงินไหลอยู่ในประเทศ

เมื่อไม่นานมานี้ จากช่องติ๊กต็อก ‘Ckfastwork’ ของ ‘ซีเค เจิง’ นักธุรกิจหนุ่มลูกครึ่งไทย-จีน (มาเก๊า) ผู้เติบโตที่ประเทศอเมริกา และเป็นหนึ่งในผู้บริหารของ ‘Fastwork Technologies’ ได้โพสต์คลิปขณะเข้าพูดคุยกับ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ ในเรื่องสินค้าจากต่างประเทศทะลักเข้าไทย ซ้ำยังขายในราคาถูก

โดยภายในคลิปที่ปรากฏ เป็นช่วงที่ซีเค เจิ้ง กำลังกล่าวว่า “เงินทุกบาท ทุกสตางค์ มันไหลออกนอกประเทศหมดเลยนะครับ เพราะว่าสิ่งที่เขาขาย คือสินค้าจีน 100% ก็แปลว่าเงินออกนอกประเทศหมดเลย ถ้าเขาอยากจะขายราคานี้ ต้องบังคับให้เขาต้องเปิดโรงงานที่ไทย อย่างน้อยหากเขาเปิดโรงงานที่ไทย สร้างโรงงานที่ไทย จ้างงานคนไทย มันก็อาจจะเป็นอีกทางหนึ่ง และอย่างน้อยเงินก็ยังอยู่ในนี้ (ประเทศไทย) ครับ”

ต่อมา นายภูมิธรรมได้เอ่ยถามกลับมาว่า “แล้วต้องใช้ของ ๆ เราไหม? เช่น วัตถุดิบต่าง ๆ ภายในประเทศ”

ซีเค กล่าวตอบว่า “ก็ควรครับ ดีครับ แต่ผมแค่อยากให้โรงงานอยู่ในประเทศไทย เพราะว่าอย่างน้อยเงินเข้าที่ประเทศไทย เข้าธนาคารไทย เข้าที่คนไทย พนักงานได้เงินแล้วใช้จ่ายกับคนไทย ซึ่งจะทำให้เงินหมุนเวียนในประเทศไทยครับ”

พลิกโฉม!! 1 ปี ‘กระทรวงอุตสาหกรรม’ ภายใต้หญิงเก่งสุดแกร่ง ‘ปุ้ย-พิมพ์ภัทรา’

เมื่อวันที่ (6 ก.ย.67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้เดินทางเข้ากระทรวงฯ เพื่ออำลาตำแหน่ง โดยได้เข้าสักการะเพื่ออำลาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำกระทรวงอุตสาหกรรม ได้แก่ พระภูมิ และองค์พระนารายณ์ 

‘พิมพ์ภัทรา’ ได้กล่าวขอบคุณข้าราชการและเจ้าหน้าที่ในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรมทุกคนที่ทำงานร่วมกันอย่างเต็มที่ตลอดระยะเวลา 1 ปีเต็มว่า “ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ ตนมีความภาคภูมิใจที่ได้เข้ามาทำงานในกระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับทุกท่าน ขอบคุณจากหัวใจ ที่ได้สร้างภาพจำที่ดีให้กับกระทรวงฯ ทั้งนี้ ความสำเร็จต่าง ๆ จะไม่สามารถจะเกิดขึ้นได้เลยหากไม่ได้รับแรงสนับสนุนจากชาวกระทรวงอุตสาหกรรม ที่มีความรู้ความสามารถ และได้ส่งพลังงานดี ตลอด 1 ปีที่ผ่านมา ทำให้วันนี้ทุกคนมีรอยยิ้มที่กว้างกว่าวันแรกที่เข้ามาทำงาน อย่างไรก็ตาม เชื่อมั่นว่าทุกท่านจะร่วมแรงร่วมใจทำงานเพื่อกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งเปรียบเสมือนบ้านและครอบครัวของพวกเราต่อไป”

ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ‘ณัฐพล รังสิตพล’ ได้กล่าวอำลา ‘พิมพ์ภัทรา’ ว่า “1 ปี ที่ผ่านมา รัฐมนตรีพิมพ์ภัทรา เป็นผู้นำที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความวิริยะอุตสาหะ มีวิสัยทัศน์ในการพัฒนาอุตสาหกรรม สามารถทำงานร่วมกับข้าราชการในทุกระดับเป็นอย่างดี ขอบคุณท่านที่ดูแลเศรษฐกิจฐานราก ช่วยหลือชุมชน ผู้ประกอบการ และได้ผลักดันนโยบาย 'รื้อ ลด ปลดสร้าง' ได้อย่างเป็นรูปธรรม ตนในฐานะตัวแทนของผู้บริหารระดับสูง ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม ขอกราบขอบพระคุณ และพร้อมที่จะสานต่อนโยบายต่อไป”

ทั้งนี้ผลงาน 1 ปีในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมนของ ‘พิมพ์ภัทรา’ ได้ขับเคลื่อนนโยบาย 'รื้อ ลด ปลด สร้าง' อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งเป็นแนวทางในการพลิกอุตสาหกรรมไทยที่รองรับความเปลี่ยนแปลงในอนาคต :

‘รื้อ’ ด้วยการเร่งรื้อปรับปรุงแก้ไขกฎระเบียบให้เอื้อต่อการประกอบกิจการอุตสาหกรรมมากยิ่งขึ้น อาทิ ออกใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน (รง.4) ที่คงค้างจำนวนมากจนแล้วเสร็จ ทำให้เกิดการลงทุนเพิ่ม 12,000 ล้านบาท และดำเนินการออกใบอนุญาตที่ขอใหม่ภายใต้กรอบระยะเวลาที่กำหนด แก้ไขปัญหาผังเมือง เพื่อให้เกิดการลงทุนการพัฒนาอุตสาหกรรมในพื้นที่ต่าง ๆ ซึ่งจะก่อให้เกิดการจ้างงานและการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ 

‘ลด’ ด้วยการลดความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นจากการประกอบการ 

(1) เร่งดำเนินการจัดการกากอุตสาหกรรม ให้เป็นไปตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและพี่น้องประชาชนคนไทย 

(2) ช่วยเหลือชาวไร่อ้อยและสนับสนุนอุตสาหกรรมน้ำตาลอันเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ด้วยมาตรการช่วยเหลือชาวไร่อ้อยและโรงงานน้ำตาลไม่ให้ลักลอบเผาไร่อ้อยเพื่อแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 

(3) กวดขันให้มีการตรวจ กำกับดูแลโรงงาน/วัตถุอันตราย และโรงงานอุตสาหกรรมเข้าสู่อุตสาหกรรมสีเขียวถึงร้อยละ 87.66 จากเป้าหมายร้อยละ 90 เพื่อให้อุตสาหกรรมอยู่ร่วมกับชุมชนได้อย่างยั่งยืน 

(4) ส่งเสริมการทำเหมืองแร่ในเมือง (Urban Mining) เพื่อสร้าง/ขยายเครือข่ายการนำขยะหรือของเสียกลับมาใช้ประโยชน์ 

(5) กวาดล้างสินค้าด้อยคุณภาพเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศและคุ้มครองความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนคนไทยซึ่งเป็นผู้บริโภค 

(6) ผลักดันการจัดตั้งนิคม Circular แห่งแรกของไทยในพื้นที่ EEC ให้เป็นพื้นที่เป้าหมายของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสีเขียวและเศรษฐกิจหมุนเวียน และพัฒนานิคม Smart Park เพื่อรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น อุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ การแพทย์ หุ่นยนต์ และดิจิทัล 

(7) เร่งขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ โดยพัฒนายานยนต์ไฟฟ้า/จักรยานยนต์ไฟฟ้า Solar Rooftop และอุตสาหกรรม Recycle เพื่อให้ภาคอุตสาหกรรมไทยเติบโตได้อย่างยั่งยืน ตามนโยบายส่งเสริมและยกระดับอุตสาหกรรมให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วยแนวคิด BCG 

(8) พัฒนาองค์กรดิจิทัลเพื่อให้บริการอย่างมีประสิทธิภาพ 

(9) จัดทำโครงการเฉลิมพระเกียรติเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และฝุ่น PM 2.5 สู่ชั้นบรรยากาศ และจัดตั้งศูนย์บริหารภาวะฉุกเฉินจากการประกอบการและจัดทำแผนป้องกันและบรรเทาอุบัติภัยจากโรงงานอุตสาหกรรม

‘ปลด’ ด้วยการปลดภาระให้ผู้ประกอบการ โดยการส่งเสริมการผลิตและการใช้พลังงานสะอาด 

(1) ปลดล็อกการติดตั้งระบบผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ชนิดติดตั้งบนหลังคา (Solar Rooftop) ไม่เข้าข่ายโรงงานที่ต้องขอรับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน 

(2) ช่วยเหลือผู้ประกอบการให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มากขึ้น ด้วยสินเชื่อลดโลกร้อน (Decarbonize Loan) สนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs ที่มีความตั้งใจในการปรับปรุงกระบวนการผลิตให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและยกระดับอุตสาหกรรมไทยสู่ความยั่งยืน 

(3) ผลักดันเหมืองแร่โปแตชเพื่อส่งเสริมการผลิตปุ๋ยภายในประเทศ อันเป็นการลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มผลิตผลทางการเกษตรให้เกษตรกร และได้จัดสรรผลประโยชน์พิเศษแก่รัฐให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 

(4) เร่งส่งเสริม MSMEs ให้มีศักยภาพและแข่งขันได้ 

‘สร้าง’ ด้วยการเร่งสร้างอุตสาหกรรมใหม่ที่ตอบโจทย์ตลาดโลก โดยการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ (Smart Electronics) อุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร (Food for the Future) อุตสาหกรรมชีวภาพ อุตสาหกรรมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ และอุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร และปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมให้สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาของโลก อาทิ อุตสาหกรรมฮาลาล ฯลฯ 

ทั้งนี้ นโยบายทั้งหมดได้ส่งต่อให้กับนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมคนใหม่ได้ทำงานสานต่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่พี่น้องประชาชนคนไทยอย่างเป็นรูปธรรม มีความต่อเนื่องและยั่งยืนตลอดไป

'กองทุนน้ำมันฯ' พลังเดียวที่ 'พีระพันธุ์' ไว้ใช้แก้ปัญหาพลังงานในรอบ 1 ปี สู่การจัดตั้ง SPR เปลี่ยนหนี้หนุน ‘กองทุนฯ' ให้กลายเป็นทรัพย์สินของประเทศ

ท่ามกลางบรรยากาศของความรู้สึกคับข้องใจของบรรดาผู้ที่สนับสนุนพรรครวมไทยสร้างชาติถึงการเข้าร่วมรัฐบาลแพทองธาร 1 แต่หลาย ๆ คนอาจ หลงลืม เพิกเฉย หรือละเลยต่อผลงานหนึ่งปีของ ‘พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ หัวหน้าพรรคฯ ในตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน

เป็นหนึ่งปีในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานของ ‘พีระพันธุ์’ ที่สร้างประโยชน์โภคผลอันมหาศาลให้เกิดกับพี่น้องประชาชนคนไทยทั้งหมดทั้งมวล ด้วยการเดินหน้าเต็มที่ในการแก้ปัญหา ‘เชื้อเพลิงพลังงาน’ ที่หมักหมมมายาวนานกว่า 50 ปี ตั้งแต่วิกฤตการณ์น้ำมันของโลกในปี 1973 ซึ่งทำให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกในตอนนั้นสูงขึ้นเกือบ 300%

ด้วยตลอดเวลาที่ผ่านมา ผู้ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบ กำกับ และดูแล ‘เชื้อเพลิงพลังงาน’ ไม่ได้ทำการศึกษาถึงต้นตอของปัญหาเพื่อทำการปรับปรุงแก้ไขอย่างจริงจัง อาทิ...

(1) ต้นทุนของน้ำมันเชื้อเพลิงที่แท้จริง ซึ่ง ‘พีระพันธุ์’ ได้ให้กระทรวงพลังงานออกประกาศของกระทรวงฯ ให้ผู้ค้าน้ำมันต้องรายงานข้อมูลรายละเอียดราคาและต้นทุนที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการนำเข้าและการส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิงต่อกระทรวงฯ ทุกเดือน เพื่อให้หน่วยงานภาครัฐสามารถรับรู้ต้นทุนที่แท้จริงของราคาน้ำมันเชื้อเพลิงทั้งระบบ 

(2) ‘ราคาน้ำมัน’ ต้องไม่ขึ้นลงรายวัน ‘พีระพันธุ์’ ได้สั่งให้มีการ ‘รื้อระบบการปรับราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิง’ โดยผู้ค้าต้องแจ้งให้กระทรวงฯ ทราบก่อน และให้ผู้ค้าปรับราคาขายปลีกน้ำมันได้เพียงเดือนละหนึ่งครั้ง สิ้นสุด หมดยุคที่บรรดา ‘ผู้ค้าเชื้อเพลิงพลังงาน’ จะกำหนดราคาตามอำเภอใจ ‘พีระพันธุ์’ ได้สั่งให้มีการศึกษาข้อมูลของประเทศต่าง ๆ เพื่อเตรียม ‘สร้าง’ ระบบราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่เป็นธรรมและยั่งยืนเพื่อพี่น้องประชาชนคนไทย เพื่อนำผลสรุปการศึกษามาพิจารณาในการออกกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงใหม่ทั้งหมด

(3) แก้ไขปัญหา ‘กองทุนน้ำมัน’ ซึ่งเป็นภาระหนักของประเทศและพี่น้องประชาชนคนไทย เพราะที่มาทุกยุคทุกสมัยและทุกรัฐบาลต่างก็ใช้ ‘กองทุนน้ำมัน’ ในการอุดหนุนและชดเชยทำให้สามารถตรึงราคา ‘เชื้อเพลิงพลังงาน’ โดยเฉพาะน้ำมันดีเซลและก๊าซ LPG เพราะเชื้อเพลิงทั้งสองชนิดนี้มีความสำคัญอย่างมากต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม ด้วยเป็นเครื่องมือในระยะสั้นเพียงชั่วคราวและต้องคำนึงถึงระเบียบวินัยทางการเงินการคลังเป็นสำคัญ แต่ในปัจจุบันการณ์กลับกลายเป็นว่า ‘กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง’ ณ วันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2567 ติดลบสุทธิถึง 106,843ล้านบาท

ปัจจุบัน ‘กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง’ ยังเป็นเครื่องมือเพียงอย่างเดียวที่รัฐบาลใช้ในการแก้ไขปัญหาราคาเชื้อเพลิงพลังงาน เพราะไม่ว่าจะเป็น บทบาท อำนาจหน้าที่ และกฎหมายที่มีอยู่ไม่สามารถเชื้อเพลิงอย่างมีประสิทธิภาพได้ ‘พีระพันธุ์’ จึงจำเป็นต้องใช้ ‘กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง’ เครื่องมือเดียวที่มีอยู่ในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าจากวิกฤตน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อเป็นการลดทอนและบรรเทาความเดือดร้อนจากราคาน้ำมันดีเซลและก๊าซ LPG ของพี่น้องประชาชนคนไทยไปก่อน พร้อมกับเตรียมการจัดตั้งระบบสำรองน้ำมันและก๊าซเพลิงยุทธศาสตร์ (SPR : Strategic Petroleum Reserve) ไปด้วย โดย ‘พีระพันธุ์’ จะเปลี่ยน ‘กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง’ ที่ใช้เงินและสร้างหนี้สาธารณะ ให้กลายมาเป็นทรัพย์สินของประเทศ ต่อไปกองทุนน้ำมันฯ ที่มีน้ำมันสำรองของประเทศ จะเป็นทรัพย์สินของประเทศไม่ใช่ภาระหนี้สินอีกต่อไป

ทั้งนี้ SPR นอกจากจะทำให้ประเทศไทยมีความมั่นคงด้านพลังงานจากการที่รัฐบาลเป็นผู้ถือครองน้ำมันเชื้อเพลิงสำรองเพียงพอใช้ในประเทศได้ 50-90 วันแล้ว ยังเป็นการสร้างเสถียรภาพราคาเชื้อเพลิงอีกด้วย เพราะจะต้องมีการหมุนเวียน เข้าและออก มีการจำหน่ายถ่ายโอนให้โรงกลั่นและบริษัทที่จำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงตลอดเวลา ด้วยปริมาณน้ำมันสำรองใน SPR เป็นทรัพย์สินที่รัฐบาลสามารถบริหารจัดการได้ 

ดังนั้นปริมาณน้ำมันสำรองใน SPR จะทำให้รัฐบาลมีอำนาจในการต่อรองและเพิ่มการถ่วงดุลให้กับระบบการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศอีกด้วย เพราะจะสามารถรู้ต้นทุนที่แท้จริงของราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้ามาในประเทศได้ตลอดเวลา ราคาจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศจะสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง ณ เวลาที่ซื้อมาหรือจำหน่ายออกไป ซึ่งที่สุดจะเกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติกับพี่น้องประชาชนคนไทยอย่างมากมาย

นอกจากนั้นแล้ว สิ่งต่าง ๆ ที่ ‘พีระพันธุ์’ ได้ทำ กำลังทำ และจะทำ อาทิ (1) ‘ค่าไฟฟ้า’ หากไม่สามารถลดราคาได้ ก็ตรึงราคาไว้ไม่ให้ขึ้น ‘ค่าไฟฟ้าในหอพัก’ ต้องเหมาะสมเป็นธรรม สนับสนุนการติด ‘โซลาร์ รูฟ’ เพื่อแก้ปัญหาค่าไฟแพงอย่างยั่งยืน (2) สนับสนุนสร้างนวัตกรรมพลังงานราคาถูก เช่น ไฮโดรเจนซึ่งจะเป็นพลังงานแห่งอนาคต (3) ‘ก๊าซหุงต้ม’ กระทรวงฯ ต้องมีอำนาจในการกำกับ ดูแล อย่างเต็มที่ (4) เปิดช่องให้ผู้ประกอบการขนส่ง ผู้ให้บริการสาธารณะกุศล รวมไปถึงสหกรณ์การเกษตร การประมง สามารถจัดหาแหล่งน้ำมันราคาถูกมาใช้ได้เอง

ระยะเวลา 12 เดือนที่ผ่านมา ‘พีระพันธุ์’ ได้พยายามทำงานอย่างหนักเพื่อพี่น้องประชาชนคนไทย ซึ่งหวังว่าจะสามารถ ‘รื้อ-ลด-ปลด-สร้าง’ ปัญหา ‘เชื้อเพลิงพลังงาน’ ที่เหลือทั้งหมดให้เสร็จสิ้นได้ภายใน 1 ปี โดย ‘พีระพันธุ์’ ขอให้มั่นใจว่าจะพยายามปรับปรุงและแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ของพี่น้องประชาชนคนไทยในเรื่องของพลังงานให้ดีที่สุด โดยไม่กลัวอิทธิพลอะไรและไม่อยู่ใต้อิทธิพลใด ๆ ทั้งสิ้น ทั้งนี้ ‘พีระพันธุ์’ ฝากขอบคุณและขอให้พี่น้องของประชาชนคนไทยช่วยเป็นผนังกำแพงให้พิงเพื่อทำงานสำคัญนี้ให้สำเร็จแล้วเสร็จด้วย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top