Saturday, 5 July 2025
Econbiz

‘Mazda’ จัดหนัก แคมเปญ Mazda Joy of July เอาใจสาย ‘สกายแอคทีฟ’ ลดราคารถเอสยูวี ‘CX-5’ พร้อม ‘ดอกเบี้ยพิเศษ-ประกันภัย-โปรแกรมดูแลรถ’

เมื่อเร็ว ๆ นี้ นายธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า การสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้ลูกค้าเป็นวิสัยทัศน์ที่มาสด้ามุ่งมั่นมาตลอด รวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ที่มีเอกลักษณ์และเต็มเปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพอันทรงพลัง และมาพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันในทุก ๆ ด้าน เพื่อมอบความสนุกสนานเร้าใจให้กับการขับขี่ในทุกเส้นทาง จึงก่อกำเนิดเป็นเทคโนโลยีสกายแอคทีฟ นำมาซึ่งเทคโนโลยีในอุดมคติที่ทุกคนใฝ่ฝัน

ทุกองค์ประกอบที่สมบูรณ์แบบนี้ถูกถ่ายทอดลงสู่รถยนต์มาสด้าทุกรุ่น รวมถึงมาสด้า CX-5 ที่ได้สร้างเกียรติประวัติไว้มากมายกว่า 90 รางวัลจากทั่วโลก รวมถึงรางวัลรถยนต์ยอดเยี่ยมจากประเทศญี่ปุ่น จนได้รับความนิยมและถูกพัฒนาให้ดียิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน มาสด้า CX-5 รุ่น 2.0 SP เครื่องยนต์สกายแอคทีฟเบนซิน ขนาด 2.0 ลิตร ให้พละกำลัง 165 แรงม้า ให้การประหยัดน้ำมันและมีความคุ้มค่ามากที่สุด

นอกจากคุณภาพที่อัดแน่นด้วยเทคโนโลยีสกายแอคทีฟแล้ว มาสด้า CX-5 ยังมีองค์ประกอบอื่น ๆ อีกเพียบ ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบที่เรียบง่ายแต่งดงาม ตามแนวคิด Kodo Design Soul of Motion หรือ จิตวิญญาณแห่งการเคลื่อนไหวอันสง่างาม เทคโนโลยีความปลอดภัยระดับโลก สมรรถนะการขับขี่ที่ทั้งแรงและประหยัดน้ำมัน อุปกรณ์อำนวยความสะดวกสบายครบครัน เทคโนโลยีการเชื่อมต่อที่ช่วยให้ไม่พลาดทุกการสื่อสาร

จึงทำให้มาสด้า CX-5 ครบครัน คุ้มค่า คุ้มราคา เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่โดดเด่นที่สุดสำหรับผู้ที่กำลังมองหารถอเนกประสงค์ครอสโอเวอร์เอสยูวีในยุคปัจจุบัน

ทั้งนี้ เพื่อให้ลูกค้าที่กำลังมองหาครอสโอเวอร์เอสยูวีและเป็นเจ้าของได้ง่ายขึ้นกับ มาสด้า CX-5 รุ่น 2.0 SP ราคาจำหน่าย 1,499,000 บาท โดยมาสด้าได้มอบข้อเสนอสุดร้อนแรงที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนเฉพาะเดือนกรกฎาคมกับแคมเปญ Mazda Joy of July รับส่วนลดสูงสุด 200,000 บาท หรือ ดอกเบี้ย 0% ผ่อนนาน 60 เดือน ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง ฟรีโปรแกรมคุ้มครองและดูแลรถ 5 ปี Mazda Ultimate Service (MUS)

หรือ ดอกเบี้ย 0% ผ่อนนาน 72 เดือน ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง และยังมอบความพิเศษอีกหนึ่งต่อให้กับเจ้าของรถยนต์มาสด้าและครอบครัว รับฟรีบัตรน้ำมันมูลค่าสูงสุด 30,000 บาท ที่โชว์รูมมาสด้าทั่วประเทศ

‘ฮอนด้า’ ตอบโจทย์ความต้องการของทุกคน จัดแคมเปญ ‘Honda Happy Trade-in’ เอาคันเก่ามาขาย!! ออกใหม่ ‘แอคคอร์ด-ซีอาร์วี’ ได้ที่โชว์รูมฮอนด้าทั่วประเทศ

เมื่อเร็ว ๆ นี้ บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด เดินหน้าตอบโจทย์ ความต้องการของลูกค้าที่กำลังมองหารถยนต์ที่ใช่สำหรับไลฟ์สไตล์ของคุณ จัดแสดงรถยนต์หลากหลายรุ่นทั้งไลน์อัปฟูลไฮบริด e:HEV และไลน์อัปขุมพลังเทอร์โบ ในงาน FAST Auto Show Thailand 2024 และให้คุณเป็นเจ้าของรถยนต์ฮอนด้าได้ง่ายขึ้น

โดย แคมเปญ ‘Honda Happy Trade-in’ เมื่อนำรถฮอนด้าคันเก่ามาขายและออกรถ แอคคอร์ด อี:เอชอีวี ใหม่ หรือ ซีอาร์-วี เทอร์โบ ที่โชว์รูมฮอนด้าทั่วประเทศ รับเพิ่มบัตรน้ำมันมูลค่า 40,000 บาท หรือเมื่อนำรถคันเดิมยี่ห้อใดก็ได้มาขายและออกรถ แอคคอร์ด อี:เอชอีวี ใหม่ หรือ ซีอาร์-วี เทอร์โบ ที่โชว์รูมฮอนด้าทั่วประเทศ รับเพิ่มบัตรน้ำมันมูลค่า 20,000 บาท 

ลูกค้าสามารถจองรถภายในงาน FAST Auto Show Thailand 2024 และที่โชว์รูมฮอนด้าทั่วประเทศ เพื่อรับข้อเสนอสุดพิเศษนี้ ได้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2567 - 30 กันยายน 2567

‘พีระพันธุ์’ มั่นใจ ‘กฟผ.’ จะสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน ให้ประเทศไทย

นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เชื่อมั่น ‘กฟผ.’ จะสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน ให้ประเทศไทยได้
 

เมืองไทยวันนี้ 'ยอดผลิตรถยนต์วูบ โรงงานทยอยปิด' สะท้อนกำลังซื้อ 'ทรุด' เศรษฐกิจฐานราก 'อ่อนแอ'

การทยอยประกาศปิดโรงงานผลิตรถยนต์ในไทย ทั้งจากซูบารุ ซูซูกิ 2 ค่ายใหญ่ ตามด้วย มิตซูบิชิ ที่เลิกจ้างพนักงานซับคอนแทรค กว่า 400 คน ก็คงพอรับรู้กันได้
.
ย้อนไปดูข้อมูลจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ซึ่งได้เปิดเผยข้อมูลการผลิตรถยนต์ ในเดือนเมษายน 2567 มีจำนวน 104,667 คัน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 11.02  ส่งผลให้ 4 เดือนแรก ของปีนี้ มียอดผลิตรถยนต์ 518,790 คัน ลดลง ร้อยละ 17.05 โดยเฉพาะรถกระบะ ที่มีการผลิตลดลง ถึงร้อยละ 45.94
.
ส่วนการผลิตรถจักรยานยนต์ มีจำนวน 161,912 คัน ลดลงร้อยละ 4.36 เมื่อเทียบกับเดือนเมษายน ปี 2566 ยอดการผลิตใน 4 เดือนแรก มีจำนวน 821,695 คัน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 3.94  

ทั้งรถกระบะเพื่อการพาณิชย์ และรถจักรยานยนต์ มียอดการผลิตที่ลดลง สอดคล้องกับยอดจำหน่ายที่ลดลง ซึ่งสามารถสะท้อนกำลังซื้อที่อ่อนแอของประชาชนได้เป็นอย่างดี

แน่นอนว่า ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้น ส่งผลให้ไฟแนนซ์ มีความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ ภาพรวมของหนี้ NPL สูงขึ้น ทั้งในกลุ่มบัตรเครดิต สินเชื่อบ้าน และสินเชื่อรถยนต์

สอดคล้อง กับที่ รศ.ดร.สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้ให้ความเห็นผ่านเฟซบุ๊ก โดยระบุว่า… ‘วิกฤตฐานราก’, Balance Sheet Recession, The Lost Decades ฯลฯ... ตอนนี้เหล่านักเศรษฐศาสตร์ไทยกำลังพูดถึงเรื่องเดียวกัน

ถ้ามองภาพการเงินของเศรษฐกิจไทยขณะนี้ในรูปของ ‘งบดุล’ โดยที่ฝั่งซ้ายเป็นสินทรัพย์ ส่วนฝั่งขวาเป็นหนี้สิน Balance Sheet Recession คือสภาพที่ฝั่งหนี้สูงขึ้นเรื่อย ๆ แต่ฝั่งสินทรัพย์มีมูลค่าลดลงเรื่อย ๆ ... สภาพเช่นนี้เป็น ‘กับดักหนี้’ ที่ทำให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวยากมาก

ตอกย้ำด้วยข้อมูลจาก ธปท. อัตราเงินเฟ้อปรับเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ในหมวดพลังงานและหมวดอาหารสด จากผลของฐานค่าไฟฟ้าในปีก่อนที่ต่ำจากมาตรการช่วยเหลือของภาครัฐ และราคาน้ำมันดีเซลที่เพิ่มขึ้นตามการทยอยลดมาตรการของภาครัฐ ประกอบกับราคาเนื้อสัตว์และผักที่เพิ่มขึ้นตามผลผลิตที่ออกสู่ตลาดน้อยลง

หนี้สินภาคครัวเรือน ต่อ GDP ปรับเพิ่มขึ้น อยู่ที่ร้อยละ 91.3 หนี้สินภาคธุรกิจ ต่อ GDP อยู่ที่ร้อยละ 87.3 ซึ่ง เมื่อภาระหนี้สูง กำลังซื้อ การบริโภคภาคครัวเรือน ย่อมลดลง เรื่องกระตุ้นเศรษฐกิจโดยหวังการจับจ่ายของประชาชน แทบจะลืมไปได้เลย

รัฐบาล หาช่องทางแก้ไขกฎหมายให้ชาวต่างชาติ ขยายระยะเวลาการเช่าที่ดินเพิ่มเป็น 99 ปี และถือครองคอนโด ได้ถึง 75% โดยให้เหตุผลว่าเป็นนโยบายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่ได้เอื้อผลประโยชน์ให้นายทุน ..!! 

หากย้อนกลับไปในปี 2564 ความพยายามในการแก้ไขกฎหมายให้ต่างชาติที่ถือครองที่ดิน เคยเกิดขึ้นมาแล้วในสมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น โดย ครม. มีมติจะแก้กฎหมายให้ต่างชาติถือครองกรรมสิทธิ์คอนโดมิเนียม จากร้อยละ 49 เพิ่มเป็นร้อยละ 70 ชาวต่างชาติที่มาลงทุนในไทยเกิน 40 ล้านบาท สามารถซื้อบ้านเนื้อที่ไม่เกิน 1 ไร่ มีข้อกำหนดเงื่อนไขที่เข้มงวด แต่ก็ถูกคัดค้าน ถูกกระแสสังคมต่อต้าน จนต้องกลับไปศึกษาใหม่

ชาวทวิตเตอร์ที่ติดแฮชแท็ก ‘ขายชาติ’ ในช่วงนั้น ช่วยกลับมาติดตามข่าวการเมืองหน่อย ติดตามว่าใครจะได้ประโยชน์ จากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจตามนโยบายนี้ ช่วยมาติดตามข่าวเศรษฐกิจ เพราะตอนนี้ ‘ประชาชนจะอดตาย’ กันแล้ว

‘รัดเกล้า’ ประสานเหล่ากูรู จัดกิจกรรมให้ความรู้ ‘ทางการเงิน’ หวังเสริมสร้างภูมิปัญญา-ภูมิคุ้มกัน ให้แก่ชุมชนวัดไชยทิศ 

เมื่อวานนี้ (7 ก.ค.67) นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ และอดีตผู้สมัคร สส.เขตบางพลัด-บางกอกน้อย ประสานนำ ‘กิจกรรมให้ความรู้ทางการเงินสำหรับชุมชน’ (Financial Literacy) ภายใต้หลักสูตร ‘หลักสูตรอภินิหารทางการเงิน’ มามอบให้ชุมชนวัดไชยทิศ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร ในวันอาทิตย์ที่ 7 กรกฎาคม 2567 ระหว่างเวลา 09.00 – 12.00 น.

สำหรับกิจกรรมในครั้งนี้จัดขึ้นโดย ธนาคารกรุงไทย ร่วมมือกับ กระทรวงการคลัง กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) และ คลินิกแก้หนี้โดยบริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท (SAM) โดยมีคุณนวลศิริ ไวทยานุวัตติ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย, ดร.ชาลิสา พุกกะรัตน์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ส่วนส่งเสริมความรู้ทางการเงิน ฝ่ายคลินิกแก้หนี้ บริษัท บริหารสินทรัพย์ สุขุมวิท จำกัด และ คุณอภิชัย สายสดุดี ผู้อำนวยการกลุ่มงานกิจกรรมองค์กร กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) เข้าร่วมด้วย

นางรัดเกล้า กล่าวต้อนรับผู้ร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ว่า “ด้วยความตระหนักถึงความสำคัญในการพัฒนาชุมชนให้เข้มแข็ง จึงได้ประสานความร่วมมือไปยัง ธนาคารกรุงไทย ซึ่งทางธนาคารกรุงไทย ได้มีโครงการที่ร่วมมือกับ กระทรวงการคลัง กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) และ คลินิกแก้หนี้โดยบริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท (SAM) นั่นคือ ‘กิจกรรมให้ความรู้ทางการเงินสำหรับชุมชน’ (Financial Literacy) ภายใต้หลักสูตร ‘หลักสูตรอภินิหารทางการเงิน’ อยู่แล้ว จึงได้ประสานกิจกรรมดังกล่าวนี้ให้กับพี่น้องประชาชนในพื้นที่

โดยการให้ความรู้ในครั้งนี้ ยึดหลักการพึ่งพาตนเอง ลดการพึ่งพิงภายนอก การคำนึงถึงศักยภาพ ทรัพยากร ภูมิปัญญา วิถีชีวิต วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อมในท้องถิ่นเป็นหลัก และสอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจของชาติ ในการสร้างชุมชนเข้มแข็ง น้อมนำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ในการพัฒนา ให้เกิดความสมดุลมีความเข้มแข็งจากภายใน โดยคนในชุมชนได้มาร่วมกันคิด กำหนดแนวทาง และจัดกิจกรรมพัฒนาชุมชนต่อไป” 

นางรัดเกล้า กล่าวต่อไปว่า กิจกรรมในครั้งนี้ เป็นการเสริมองค์ความรู้ด้านการเงินเชิงรุก (pro-active) มุ่งหวังให้เป็นจุดเริ่มต้นสำหรับพี่น้องประชาชนในพื้นที่จะได้เรียนรู้และเสริมสร้างภูมิปัญญาและภูมิคุ้มกันทางการเงิน สามารถนำไปใช้ในการบริหารจัดการ และแก้ไขปัญหาด้านการเงินของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ในเบื้องต้นโครงการนี้มีเป้าหมายที่จะจัดกิจกรรมทั้งสิ้น 18 ครั้ง ในปี 2567 มุ่งเป้าครอบคลุมที่พื้นที่ กทม. และปริมณฑล

‘กองถ่ายต่างชาติ’ เลือก ‘ไทย’ ยกกองถ่ายหนัง 49 จังหวัด กรุงเทพฯ ขึ้นแท่นอันดับ 1 ‘เยาวราช-โรงหนังเก่าออสการ์’ ก็มา!!

(8 ก.ค.67) เพจเฟซบุ๊ก ‘Salika’ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า…

รายงานข่าวแจ้งว่า คณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์ กระทรวงวัฒนธรรม เปิดเผยว่า ในช่วง 6 เดือนแรก (ม.ค.-มิ.ย. 2567) มีภาพยนตร์ต่างประเทศได้รับอนุญาตถ่ายทำในประเทศไทย จำนวน 238 เรื่อง ลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2566 จำนวน 6 เรื่อง แต่มีงบประมาณการถ่ายทำในประเทศไทยมากกว่า 3,588 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จำนวน 1,332 ล้านบาท คิดเป็น 59.33%

โดยกองถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศเดินทางมาจาก 31 ประเทศทั่วโลก ประเทศและดินแดนที่งบประมาณการถ่ายทำสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ ฮ่องกง อังกฤษ สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส และเยอรมนี

สำหรับสถานที่ถ่ายทำมี 49 จังหวัด โดยจังหวัดที่มีกองถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศนิยมถ่ายทำมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่

อันดับ 1 กรุงเทพมหานคร 156 เรื่อง เช่น ถนนเยาวราช สถานีรถไฟกรุงเทพ (หัวลำโพง) โรงหนังเก่าออสการ์ ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ เป็นต้น

อันดับ 2 ปทุมธานี 45 เรื่อง อาทิ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ มหาวิทยาลัยรังสิต ACTS Studio

อันดับ 3 ชลบุรี 33 เรื่อง อาทิ เกาะล้าน ถนนเลียบชายหาดพัทยา ปราสาทสัจธรรม

อันดับ 4 นนทบุรี 22 เรื่อง อาทิ อิมแพ็ค อารีน่า เมืองทองธานี

อันดับ 5 สมุทรปราการ และภูเก็ต 21 เรื่องเท่ากัน โดยจังหวัดสมุทรปราการ อาทิ เมืองโบราณ ฟาร์มจระเข้สมุทรปราการ The Studio Park และจังหวัดภูเก็ต อาทิ เขตเมืองเก่าภูเก็ต หาดพาราไดซ์ พระพุทธมิ่งมงคลเอกนาคคีรี เป็นต้น

'สมโภชน์ อาหุนัย' แจงขายหุ้น EA 14.6 ล้านหุ้น เป็นการปรับโครงสร้างภายในกลุ่ม ไม่ได้ถูก Forced Sell

(8 ก.ค. 67) นายสมโภชน์ อาหุนัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ (EA) ชี้แจงข้อเท็จจริงตามที่ได้มีข้อมูลเปิดเผยถึงการจำหน่ายหุ้นในบริษัทฯ ของตนออกไปเมื่อวันที่ 1 ก.ค.67 จำนวน 14,690,000 หุ้น ที่ราคา 12.60 บาท และเกิดความเข้าใจผิดว่าเป็นการ Forced Sell นั้น โดยระบุว่า…

1. เมื่อวันที่ 1 ก.ค. 67 Sotus & Faith #1 Limited ได้ทำการขายหุ้นจำนวน 14,690,000 หุ้น ในช่วง ณ ราคาปิดตลาด (ATC) ให้กับ 1.นายชัยวิทย์ อรุณเนตรทอง และ 2.นางสิริลักษณ์ อรุณเนตรทอง โดยเป็นการปรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นภายในกลุ่มเดียวกัน ซึ่งไม่กระทบการถือครองหุ้นโดยรวมของตน และตนยังคงถือหุ้นรวมในสัดส่วนเท่าเดิม

ทั้งนี้ การดำเนินการปรับโครงสร้างการถือหุ้นในลักษณะนี้อาจเกิดขึ้นอีกได้ในอนาคต เพื่อความคล่องตัว และเหมาะสม

2. เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นในกระดานและกระทบต่อนักลงทุนรายย่อย การทำการซื้อขายจะทำผ่านกระดาน Biglot หรือราคา ATC เท่านั้น เพราะหากเป็นการถูก Force Sell จริง การขายหุ้นจะต้องทำผ่านระบบ Market Matching ไม่ใช่การทำ Big Lot ดังที่ได้ดำเนินการ

3. ในวันนี้ (วันจันทร์ที่ 8 ก.ค.67) จะดำเนินการแจ้งต่อสำนักงานกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ให้ตนเอง รวมถึง Sotus & Faith #1 Limited และ 1.นายชัยวิทย์ อรุณเนตรทอง และ 2.นางสิริลักษณ์ อรุณเนตรทอง เป็นบุคคลกลุ่มเดียวกันโดยสมัครใจ ซึ่งจะเหมือนเหตุการณ์เมื่อหลายปีก่อนหน้านี้ที่ได้โอนหุ้นของ EA จากชื่อของตนไปอยู่ภายใต้ชื่อ Sotus & Faith #1

4. ขอยืนยันว่ากระบวนการ Forced Sell ได้เสร็จสิ้นไปแล้วตามที่ได้มีการแถลงไปก่อนหน้านี้และไม่มีหุ้นที่มีความเสี่ยงที่จะโดน Force Sell เหลืออีกแล้ว และขอให้ผู้ถือหุ้นรายย่อย และนักลงทุน โปรดใช้วิจารณญาณในการรับข้อมูล โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อมูลที่นำเสนอออกมาในลักษณะที่ส่อไปในทางที่จะสร้างความเข้าใจผิด และสร้างความสับสน

‘รฟท.’ ลุยติดแอร์รถไฟชั้น 3 ชุดแรก 130 คัน  ปักธง!! ‘รถไฟไทย’ ต้องไม่มีรถร้อนอีกต่อไป

(8 ก.ค.67) นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยถึงการยกระดับบริการรถไฟว่า ขณะนี้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เตรียมอัปเกรดบริการในส่วนของรถไฟชั้น 3 โดยแนวคิดปรับปรุงรถไฟชั้น 3 เป็นรถปรับอากาศทั้งหมด รวมถึงปรับเบาะที่นั่งให้มีความสะดวกสบายมากขึ้น 

ปัจจุบันพบว่าบริการรถไฟมีสัดส่วนที่นั่ง แบ่งเป็น รถบริการเชิงสังคม มีประมาณ 300-400 คัน มีขีดความสามารถบริการที่ 26 ล้านที่นั่ง/ปี แต่มีผู้ใช้บริการจริงเพียง 18.6 ล้านคนต่อปี ส่วนรถบริการเชิงพาณิชย์ มีจำนวนที่นั่งบริการได้เพียง 9 ล้านที่นั่งต่อปี จำนวนผู้ใช้บริการเต็มจำนวนและมีความต้องการเพิ่มอีกประมาณ 9 ล้านที่นั่ง

จะเห็นได้ว่าข้อมูลที่พบนี้ยังมีผู้ต้องการใช้บริการรถเชิงพาณิชย์รออีกเป็นจำนวนมากแต่ รฟท.ไม่มีรถบริการได้เพียงพอ ซึ่งนโยบายขณะนี้ได้ให้ รฟท. ยกระดับรถไฟชั้น 3 ทยอยปรับปรุงเป็นรถปรับอากาศทั้งหมด ส่วนราคาที่เพิ่มขึ้นตามระเบียบ การให้บริการรถเชิงพาณิชย์ ซึ่งรัฐบาลจะดูแลประชาชนกลุ่มเปราะบางให้สามารถใช้บริการได้ตามปกติผ่านบัตรสวัสดิการ ในขณะที่ประชาชนได้รับบริการที่ดีขึ้น

“ที่ผ่านมาไม่เคยทำงานแบบเชิงวิเคราะห์ แต่ครั้งนี้มีการสำรวจและนำตัวเลขมาวิเคราะห์ ทำให้เห็นภาพว่ามีผู้ต้องการใช้บริการรถเชิงพาณิชย์อีกประมาณ 9 ล้านที่นั่งต่อปี ดังนั้น เป้าหมายที่ต้องการคือเพิ่มขบวนรถเชิงพาณิชย์ให้สามารถรองรับได้เพิ่มอีกประมาณ 9 ล้านที่นั่ง เพื่อตอบสนองผู้ที่ต้องการเดินทางในขณะนี้ก่อน ขณะที่เป้าหมายสุดท้ายคือรถไฟไทยจะไม่มีรถร้อนอีกต่อไป

นายอวิรุทธ์ ทองเนตร รองผู้ว่าการ รฟท. กล่าวว่า รฟท.ได้กำหนดแผนปรับปรุงรถโดยสารชั้น 3 (พัดลม) และได้เริ่มทยอยดำเนินการแล้ว โดยอยู่ในขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้างเพื่อดำเนินการปรับปรุงประมาณ 40 คัน โดยใช้งบประมาณปี 2567 และปี 2568 จะทยอยเข้าปรับปรุงอีกประมาณ 90 คัน หรือรวมชุดแรกประมาณ 130 คัน เนื่องจากจะต้องถอนรถออกจากบริการในเส้นทางเพื่อนำมาเข้ากระบวนการปรับปรุง ซึ่งจะต้องไม่ให้เกิดผลกระทบต่อการให้บริการประชาชน

หากสามารถปรับปรุงรถชั้น 3 มาเป็นขบวนรถไฟเชิงพาณิชย์จำนวน 130 คันนี้ คิดเป็นจำนวนที่นั่งเพิ่มอีกประมาณ 3.2 ล้านที่นั่งต่อปี โดยมีต้นทุนค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงเปลี่ยนเบาะที่นั่งและติดระบบปรับอากาศเฉลี่ยประมาณ 6 ล้านบาทต่อคัน

‘เลขาฯ กขค.’ แจง!! ‘BYD’ ลดราคารถ ไม่ผิด พ.ร.บ.แข่งขันทางการค้า ยัน!! ไม่ได้กระทบผู้ผลิตชิ้นส่วน แค่หั่นกำไรตัวเอง ช่วยกระตุ้นการแข่งขัน

(8 ก.ค.67) นายวิษณุ วงศ์สินศิริกุล เลขาธิการคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (กขค.) เปิดเผยถึงกรณีค่ายรถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) จากจีน คือ BYD ลดราคาขายรถอีวีในไทยหลายแสนบาทว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้น พบว่า BYD ไม่ได้ขายรถอีวีในไทยในราคาต่ำกว่าทุนแปรผันเฉลี่ย เพื่อเป็นการฆ่าคู่แข่ง และยังไม่ได้บังคับให้ซัพพลายเออร์ ต้องลดราคาขายชิ้นส่วน หรืออะไหล่รถยนต์ให้กับบริษัท จึงไม่ได้เป็นการกระทำผิดตามพ.ร.บ.การแข่งขันทางการค้า พ.ศ.2542 เพราะเท่าที่ทราบ ราคาที่ขายในไทย ยังแพงกว่าราคาที่ขายในจีน แม้ถูกกว่าที่ขายในยุโรป อีกทั้งการลดราคาดังกล่าว ไม่ได้เป็นการทำลายคู่แข่ง แต่ทำให้เกิดการแข่งขัน และผู้บริโภคได้ประโยชน์

“ผมมองว่า BYD ยอมขาดทุนกำไร หรือมาร์จินของตัวเอง ซึ่งจะทำให้เกิดการแข่งขันทางการค้ามากขึ้น และผู้บริโภคได้ประโยชน์ในที่สุด อย่างไรก็ตาม ภายใต้พ.ร.บ.แข่งขันทางการค้า การขายราคาต่ำกว่าทุน สามารถทำได้ แต่ต้องมีเหตุผลทางธุรกิจ และทำภายในระยะเวลาที่จำกัด เช่น ล้างสต๊อกสินค้า หรือทดลองตลาดสำหรับสินค้าที่จะออกใหม่” นายวิษณุ กล่าว

อย่างไรก็ตาม กขค.ไม่จำเป็นต้องเชิญค่ายรถยนต์มาหารือ เพราะพฤติกรรมยังไม่เข้าข่ายกระทำผิดตามพ.ร.บ.แข่งขันทางการค้า แต่กขค.จะจับตาการแข่งขันของรถยนต์อีวีอย่างใกล้ชิด เพื่อให้เกิดการแข่งขันทางการค้าที่เป็นธรรม ผู้ประกอบการไม่เอารัดเอาเปรียบกันจนทำให้เกิดความเสียหายทางธุรกิจ ส่วนกรณีของ BYD ที่เกิดขึ้นขณะนี้ เป็นในส่วนของผู้บริโภคที่รู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการซื้อสินค้า ซึ่งมีสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ดูแลอยู่แล้ว

ด้านนายวัฒนศักย์ เสือเอี่ยม อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า “กรมได้ ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับสำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า เพื่อส่งเสริมและการกำกับดูแลการประกอบธุรกิจให้มีการแข่งขันอย่างเสรีและเป็นธรรมเพื่อเสริมพลังความร่วมมือกำกับดูแลการประกอบธุรกิจให้มีการแข่งขันอย่างเสรีและเป็นธรรม เพื่อเสริมพลังเพิ่มศักยภาพในการกำกับดูแลและส่งเสริมการแข่งขันทางการค้าในประเทศให้มีความเป็นธรรมสำหรับผู้ประกอบการ พร้อมกับดูแลประชาชนและผู้บริโภคทั่วประเทศให้ได้รับการพิทักษ์ประโยชน์ โดยทั้ง 2 หน่วยงานจะแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจ สำหรับสนับสนุนการกำกับดูแลการประกอบธุรกิจสินค้าและบริการ และใช้ประโยชน์ในการกำหนดนโยบายที่เหมาะสม”

“กรมมีช่องทางการร้องเรียนผ่านสายด่วน 1569 อยู่แล้ว หากประชาชน หรือผู้ประกอบการ ไม่ได้รับความเป็นธรรมทางการค้า ก็สามารถร้องเรียนมาได้ หากเกี่ยวข้องกับพ.ร.บ.แข่งขันทางการค้า กรมก็จะส่งต่อให้ กขค.พิจารณา ซึ่งถือเป็นการช่วยกันสร้างความเป็นธรรมทางการค้า และส่งเสริมบรรยากาศการแข่งขันที่เป็นธรรม” นายวัฒนศักย์ กล่าว

‘สาธารณสุข’ ดันหน่วยในเครือ ติดตั้งระบบโซลาร์ทั่วประเทศ ลดปล่อยคาร์บอนฯ 4.3 หมื่นตันต่อปี ประหยัดไฟ 392 ลบ.

(8 ก.ค. 67) นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ภาวะโลกร้อนเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพได้ ทั้งการเจ็บป่วยจากสภาพอากาศที่ร้อนจัด การเกิดโรคติดต่อ และภัยจากสภาพอากาศที่รุนแรงต่าง ๆ

กระทรวงสาธารณสุขจึงมีนโยบาย Smart Energy and Climate Action (SECA) : พลังงานอัจฉริยะและการดำเนินการที่มุ่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศเพื่อให้ทุกหน่วยงานในสังกัดใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ป้องกันการสูญเสียพลังงานอย่างไร้ประโยชน์ และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกสู่ชั้นบรรยากาศ โดยการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์

ข้อมูลล่าสุดถึงเดือนเมษายน 2567 หน่วยงานสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ทั้งหมด 1,857 แห่ง ได้ติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แล้ว 1,496 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 82.02 ขนาดกำลังการผลิตรวม 75,806.09 กิโลวัตต์ ช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 43,137.43 tonCo2/ปี สามารถประหยัดค่าไฟฟ้าได้ถึง 392,238,903 บาท/ปี โดยยังมีหน่วยงานที่อยู่ระหว่างการดำเนินการอีก 206 แห่ง 

ทั้งนี้ ภายใต้นโยบาย SECA ยังมีการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ด้วยการปรับเปลี่ยนอุปกรณ์เพื่อการประหยัดพลังงาน โดยมีเป้าหมายเพื่อลดการใช้พลังงานร้อยละ 20, ส่งเสริมการใช้ยานพาหนะพลังงานไฟฟ้า (EV), การปรับปรุงและก่อสร้างอาคารอนุรักษ์พลังงาน (Energy Building)

การเพิ่มพื้นที่สีเขียวในโรงพยาบาล, การเพิ่มศักยภาพการให้บริการทางการแพทย์ทางไกลเพื่อลดจำนวนผู้ป่วยที่ไปรับบริการแผนกผู้ป่วยนอกของโรงพยาบาล, การเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการมูลฝอย/น้ำเสีย โดยใช้หลัก 3R (Reduce, Reuse, Recycle) และการรณรงค์ส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน

อย่างไรก็ดี มีงานวิจัยของหลายหน่วยงานคาดการณ์ว่า หากการลดก๊าซเรือนกระจกของทุกประเทศยังไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด อุณหภูมิเฉลี่ยของประเทศไทยอาจจะเพิ่มขึ้นถึง 2-3 องศาเซลเซียสในปลายศตวรรษนี้

ดังนั้น การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเกิดภาวะเรือนกระจกจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนทุกหน่วยงานต้องร่วมมือกันดำเนินการอย่างจริงจังและต่อเนื่อง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top