Friday, 9 May 2025
Econbiz

'กรมพัฒนาธุรกิจฯ' เปิดโพย 10 สินค้าสุดปัง ที่ นทท.แห่ซื้อ 'มะขามหวานอบแห้งแกะเมล็ด-ผ้าห่มผ้าฝ้าย' มาแรง!!

(18 ก.ย. 66) นายทศพล ทังสุบุตร อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยว่า ตลอดระยะเวลา 9 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 2557-2565 กรมได้นำผลิตภัณฑ์ชุมชนจำนวน 2,375 รายการ จากผู้ประกอบการสินค้าชุมชน 112 ราย เข้าไปวางจำหน่าย ณ สนามบินนานาชาติ 3 แห่ง ได้แก่ สุวรรณภูมิ ภูเก็ต และดอนเมือง เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้ซื้อกลับไปเป็นของฝาก ของที่ระลึก หรือใช้เอง

โดยดำเนินการอย่างต่อเนื่องร่วมกับพันธมิตร ได้แก่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) สนับสนุนพื้นที่ และบริษัท คิง เพาเวอร์ แท็กซ์ฟรี จำกัด ผู้บริหารจัดการร้านค้าในสนามบิน สามารถสร้างยอดขายรวมมากกว่า 630 ล้านบาท แบ่งเป็น สุวรรณภูมิ 490 ล้านบาท ภูเก็ต 119 ล้านบาท และดอนเมือง 21 ล้านบาท และนอกจากช่องทางการขายในสนามบินแล้ว ยังคัดสรรผลิตภัณฑ์ชุมชนจำหน่ายผ่านเว็บไซต์ www.kingpower.com ได้รวมกว่า 4 ล้านบาทด้วย

สำหรับผลิตภัณฑ์ชุมชนที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวมากที่สุด 10 อันดับแรก ได้แก่ มะขามหวานอบแห้งแกะเมล็ด ผ้าห่มผ้าฝ้าย น้ำมันเหลือง กรอบรูปไม้สัก กระโปรงปักเลื่อม น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น ยาหม่องเขียว ผ้าไหมคลุมไหล่ แชมพูสมุนไพร (มะกรูด) และก้านไม้หอมระเหย ซึ่งสะท้อนถึงความนิยมผลิตภัณฑ์ไทยที่ไม่เพียงแค่งดงาม แต่แสดงถึงอัตลักษณ์โดดเด่นที่มีคุณภาพและรสนิยม

“กรมพร้อมสนับสนุนผู้ประกอบการชุมชนให้มีโอกาสด้านการตลาดที่หลากหลาย โดยช่องทางการจำหน่ายในท่าอากาศยานเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่กรมและหน่วยงานพันธมิตรได้ร่วมกันคัดสรรผลิตภัณฑ์ชุมชนที่โดดเด่นตามหลักการ DBD SMART Local ให้มีโอกาสขยายตลาดในระดับสากล รวมถึงเสริมสร้างองค์ความรู้และทักษะที่จำเป็นต่อการประกอบธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้ประกอบการชุมชนก้าวให้ทันความเปลี่ยนแปลงของโลกธุรกิจที่เกิดขึ้นตลอดเวลา เกิดการสร้างงาน สร้างรายได้ สามารถพึ่งพาตนเองได้ และส่งผลต่อภาพรวมเศรษฐกิจประเทศให้มีความเข้มแข็งและเติบโตอย่างยั่งยืน” นายทศพลกล่าว

ที่ผ่านมา กรมพัฒนาธุรกิจการค้ามีเป้าหมายสำคัญในการพลิกโฉมการพัฒนาผู้ประกอบการชุมชนตามแนวทาง DBD SMART Local ของเด่นพื้นที่ ของดีพื้นถิ่น ด้วยการนำเอาภูมิปัญญาท้องถิ่นที่มีเอกลักษณ์และคุณค่า นำเสนอเป็นผลิตภัณฑ์ชุมชนที่มีจุดเด่นและความแตกต่าง เพื่อสร้างโอกาสทางการค้าและเชื่อมโยงช่องทางการตลาดผลิตภัณฑ์ชุมชนให้ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย โดยคัดเลือกผลิตภัณฑ์ชุมชน DBD SMART Local ที่มีภาพลักษณ์ที่ดี และความพร้อมทางการตลาดให้มีโอกาสได้จำหน่ายผ่านช่องทางต่าง ๆ ทั้งในห้างค้าปลีกสมัยใหม่ สนามบินนานาชาติ และช่องทางออนไลน์

‘พีระพันธุ์’ เตรียมลดราคาน้ำมันเบนซิน ระบุ!! ให้ทันสิ้นปีเพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ 

(18 ก.ย. 66) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวถึงการประชุมคณะรัฐมนตรีจะมีการหารือเรื่องมาตรการการปรับลดราคาน้ำมันเบนซินหรือไม่ ว่า จะมีการหารือเรื่องราคาน้ำมันเบนซิน เพื่อช่วยแก้ไขปัญหา ซึ่งจะพยายามลดให้ทัน เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชน แต่จะเน้นไปที่กลุ่มเปราะบางก่อน โดยจะเร่งคุยกับกรมธุรกิจพลังงาน ซึ่งในวันพรุ่งนี้ (19ก.ย.) จะไปหารือกับกรมศุลกากร

นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า จากการพูดคุยกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พบว่ามีปัญหาในเรื่องของน้ำมันและไฟฟ้าต่างกัน ซึ่งไฟฟ้ามีคณะกรรมการต่างๆ คอยกำกับดูแลอยู่ แต่น้ำมันกลับไม่มีการกำกับดูแล อีกทั้งหน่วยงานภาครัฐ ก็ไม่มีอำนาจเข้าไปตรวจดูเรื่องต้นทุน

แม้ในภาพใหญ่ก็พบว่าเกิดจากต้นทุนที่ปรับเพิ่มขึ้น แต่ก็ยังไม่ทราบว่าต้นทุนที่ขึ้นมีอะไรบ้าง และขึ้นจริงหรือไม่ โดยตรงนี้จะต้องหาแนวทางแก้ไขตามอำนาจของหน่วยงานรัฐในการกำกับดูแลต่อไป 

“น้ำมันเป็นสินค้าพิเศษ ประเภทอุปโภคบริโภคธรรมดา เป็นสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการดำรงชีวิตของคน และเกี่ยวกับต้นทุนสินค้าต่างๆ รวมถึงเป็นเรื่องของความมั่นคง เพราะฉะนั้นน้ำมันเป็นสินค้าพิเศษ ต้องกำหับดูแลที่รอบคอบรัดกุม และต้องได้ข้อมูลที่ถูกตัองมากกว่านี้” นายพีรพันธุ์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ยืนยันว่า การลดราคาน้ำมันเบนซินจะต้องเกิดขึ้นภายในปีนี้ โดยจะพยายามทำให้โครงสร้างมีความถูกต้องมากขึ้น

‘จุลพันธ์’ เตรียมเรียกหน่วยงานฯ ถกแผน ‘พักหนี้เกษตรกร-SME’ ขีดเส้น 14 วัน ต้องได้ข้อสรุปกรอบแนวทาง-วิธีการทำงานทั้งหมด

(18 ก.ย.66) นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.การคลัง เปิดเผยว่า ในต้นสัปดาห์นี้คณะทำงานในโครงการพักหนี้ทั้งในส่วนของเกษตรกร และผู้ประกอบการเอสเอ็มอี จะมีการเรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด มาประชุมเพื่อหารือเกี่ยวกับกรอบแนวทาง และวิธีการทำงานทั้งหมด ให้ได้ข้อสรุป เพื่อให้มีผลในทางปฏิบัติ สำหรับเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาภายใน 14 วัน หรือไม่เกินสิ้นเดือน ก.ย. 2566

ทั้งนี้ จากข้อมูลเบื้องต้นพบว่า มีลูกหนี้เกษตรกรทั้งสิ้นกว่า 4.2 ล้านบัญชี ขณะที่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ราว 3 ล้านกว่าบัญชี ก็ต้องมาพิจารณาหลักเกณฑ์ และรายละเอียดว่าจะช่วยเหลืออย่างไร โดยคงไม่ได้ช่วยทั้งหมด เพราะในส่วนนี้เชื่อว่าจะมีรายใหญ่รวมอยู่ด้วย ส่วนว่ามาตรการจะครอบคลุมแค่ไหน หรือจะมีการกำหนดเพดานการช่วยเหลืออย่างไร ขอไปพิจารณาในรายละเอียดอีกครั้ง แต่ยืนยันว่าเป็นเรื่องที่ต้องเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุด เพราะได้รับคำสั่งจากนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.การคลังมาแล้ว

“คงต้องดูกรอบวงเงินที่มีความเหมาะสม และต้องดูภาระของงบประมาณที่จะรับได้อีกส่วนหนึ่งด้วย เพราะตอนนี้กระบวนการงบประมาณปี 2567 ที่ล่าช้านั้น ได้มีการกำหนดกรอบปฏิทินใหม่มาแล้ว โดยในส่วนนี้ก็ต้องไปดูภาระงบประมาณในแต่ละส่วน แต่ละโครงการ ต้องดูกรอบใหญ่ว่างประมาณมีภาระด้านอื่น ๆ อย่างไร ดังนั้นหลักของแนวทางการให้ความช่วยเหลือในโครงการพักหนี้ก็จะต้องพิจารณาให้สอดคล้องกับความเป็นจริงและสอดคล้องกับงบประมาณด้วย” นายจุลพันธ์ กล่าว

นายจุลพันธ์ ยังกล่าวถึงความคืบหน้าของมาตรการดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ว่า ยืนยันว่าการดำเนินการจะไม่ช้าไปกว่าเดือน มี.ค. 2567 อย่างแน่นอน โดยนายกรัฐมนตรีตั้งธงมาแล้วว่าจะเริ่มในวันที่ 1 ก.พ. 2567 กระทรวงการคลังก็จะต้องทำให้สำเร็จ โดยอาจจะต้องมีการทดสอบระบบก่อนวันเริ่มดำเนินการเพื่อไม่ให้เกิดปัญหา ส่วนร้านค้าที่จะเข้าร่วมโครงการ คงไม่มีการให้ลงทะเบียนใหม่ทั้งหมด เบื้องต้นอาจจะใช้ข้อมูลร้านค้าเดิมที่เคยเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งมาเป็นพื้นฐาน แต่อาจจะต้องให้มีการยืนยันตัวต้นเพิ่มเติมบ้างเท่านั้น

ส่วนข้อเสนอแนะเกี่ยวกับเงื่อนไขการใช้จ่ายในโครงการ โดยเฉพาะการกำหนดรัศมีการใช้จ่ายไม่เกิน 4 กิโลเมตรตามทะเบียนบ้านนั้น ยอมรับว่าที่ผ่านมามีข้อเสนอแนะเข้ามาเยอะว่าเรื่องนี้อาจเป็นข้อจำกัด ซึ่งรัฐบาลเองอาจจะมีการผ่อนปรนหรือเปลี่ยนแปลงเรื่องรัศมีในการใช้จ่าย โดยอาจจะปรับมาเป็นให้ใช้ได้ภายในอำเภอตามทะเบียนบ้าน เพื่อทำให้กระบวนการใช้เงินของประชาชนผ่านดิจิทัลวอลเล็ตราบรื่นที่สุด

“ยอมรับว่าข้อเสนอที่ให้ปรับมาเป็นใช้จ่ายจากรัศมี 4 กิโลเมตรมาเป็นใช้จ่ายได้ภายในอำเภอตามทะเบียนบ้านนั้น เป็นข้อเสนอที่เป็นไปได้มากที่สุด แต่สุดท้ายจะเป็นอย่างไรอยากให้รอฟังดี ๆ อีกครั้ง โดยรัฐบาลยังคงยึดเรื่องการกระตุ้นเศรษฐกิจระดับชุมชนเป็นหลัก ดังนั้นหากจะปรับโดยการปลดล็อกการใช้จ่ายจนอิสระ หรือฟรีไปเลยคงไม่มีทาง เพราะอย่างไรก็ตามคนก็ต้องกลับภูมิลำเนากันอยู่แล้ว ส่วนข้อกำหนดในการซื้อสินค้ายังต้องรอสรุปอีกนิด เพราะมีเรื่องที่ต้องพิจารณาค่อนข้างมาก เช่น กรณีที่เป็นบริการของรัฐ ควรจะให้ใช้ได้หรือไม่ เพราะเงินอาจจะไม่หมุนเข้าระบบเศรษฐกิจตามที่ควรจะเป็น เช่น การจ่ายค่าไฟฟ้า แต่ที่กำหนดชัดเจนแน่นอนแล้ว คือ ไม่สามารถใช้ซื้อสินค้าประเภทอบายมุข และการชำระหนี้สินได้อย่างแน่นอน” นายจุลพันธ์ กล่าว

สำหรับแหล่งเงินที่จะนำมาใช้ในโครงการดิจิทัลวอลเล็ตนั้น ยืนยันว่าไม่มีความจำเป็นต้องกู้อย่างแน่นอน รัฐบาลมีกลไกในการดำเนินการได้ ส่วนรายละเอียดทั้งหมดอยากให้รอดู ตอนนี้ยังตอบอะไรไม่ได้ ส่วนที่มีข้อเสนอว่าให้นำแอปพลิเคชันเป๋าตังเข้ามาใช้นั้น มองว่า แอปพลิเคชันเป๋าตังก็คือเป็นสินทรัพย์ของรัฐบาลอยู่แล้ว หากท้ายที่สุดแล้วสรุปว่าจะนำแอปฯ เป๋าตังไปใส่ในบล็อกเชนของโครงการ ก็มองงว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ หากทำจริงก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร ในมุมมองของรัฐบาลเห็นว่าหากอะไรที่พัฒนาแล้วทำให้ดีขึ้นก็ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว เพราะเชื่อว่าโครงการจะเป็นประโยชน์กับการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างมาก โดยเพียงแค่รัฐบาลส่งสัญญาณว่าจะเดินหน้าโครงการ ก็เกิดการหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจแล้ว ร้านค้ามีการวางแผนการสั่งซื้อสินค้า วัตถุดิบเพื่อมารอจำหน่าย เรียกว่าเกิดการหมุนเวียนในระบบทันทีตั้งแต่โครงการยังไม่เริ่ม และเรายังมองว่า การใช้จ่ายในโครงการจะได้รับความนิยม ประชาชนจะใช้จ่ายหมด 10,000 บาทภายในไม่เกิน 1-2 สัปดาห์แน่นอน

อย่างไรก็ดี ข้อกังวลเกี่ยวกับการทุจริตที่อาจเกิดขึ้นในโครงการ เช่น การใช้จ่ายแบบผิดวัตถุประสงค์ โดยการฮั้วกับร้านค้าเพื่อนำเป็นเงินสดออกมานั้น ยอมรับว่าอาจเกิดขึ้นได้ แต่กระทรวงการคลังจะพยายามหาทางป้องกันให้มากที่สุด โดยมองว่าระบบการดำเนินงานผ่านบล็อกเชนจะสามารถตรวจสอบได้ ซึ่งพร้อมรับฟังทุกข้อเสนอแนะและหาทางแก้ไขต่อไป

‘ท่องเที่ยวฯ’ เล่นใหญ่!! ปี 67 ดึง นทท.เข้าไทย 40 ล้านคน เล็งผนึกกำลังทำงานรอบทิศ พร้อมชูวัฒนธรรมถิ่นเป็นจุดขาย 

(18 ก.ย. 66) จากการประเมินแนวโน้มรายได้รวมจากการท่องเที่ยวต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ในช่วง 5 ปีนับจากนี้ ตั้งแต่ปี 2566-2570 ตามที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) คาดการณ์ไว้เมื่อกลางเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา พบว่าในปี 2570 ประเทศไทยจะมีรายได้รวมจากการท่องเที่ยว 5,599,377 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 25% ของจีดีพี โดยแบ่งเป็นรายได้จากตลาดต่างประเทศ 4,479,502 ล้านบาท และรายได้จากตลาดในประเทศ 1,119,875 ล้านบาท

นอกจากนี้ เมื่อดูเฉพาะเทรนด์การเติบโตของรายได้การท่องเที่ยวจากตลาดต่างประเทศ จะพบว่า...
- ในปี 2566 คาดอยู่ที่ระดับ 1,620,000 ล้านบาท
- ในปี 2567 คาดอยู่ที่ระดับ 2,292,968 ล้านบาท
- ในปี 2568 คาดอยู่ที่ระดับ 2,930,723 ล้านบาท
- ในปี 2569 คาดอยู่ที่ระดับ 3,656,910 ล้านบาท
- ในปี 2570 คาดอยู่ที่ระดับ 4,479,502 ล้านบาท

จากข้อมูลดังกล่าว นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จึงได้เตรียมตั้งเป้าหมายเชิงท้าทาย เพื่อสร้างรายได้รวมการท่องเที่ยวจากทั้งตลาดในและต่างประเทศ 4 ล้านล้านบาทให้ได้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ โดยแบ่งเป็นรายได้การท่องเที่ยวเฉพาะตลาดต่างประเทศ 3 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 57.8% จากปี 2562 ก่อนโควิด-19 ระบาดซึ่งมีสร้างรายได้ 1.9 ล้านล้านบาท ส่วนรายได้ตลาดในประเทศวางเป้าไว้ที่ 1 ล้านล้านบาท

“นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและ รมว.การคลัง และคณะรัฐมนตรี ต่างเห็นตรงกันว่ากระทรวงการท่องเที่ยวฯ เป็นกระทรวงสร้างรายได้เข้าประเทศได้รวดเร็ว เป็นควิกวินของเศรษฐกิจไทย โดยนายกฯ เศรษฐา เป็นประธานนั่งหัวโต๊ะ บูรณาการความร่วมมือกับทุกกระทรวง เห็นได้จากนโยบายยกเว้นวีซ่า (วีซ่า-ฟรี) เป็นการชั่วคราวนานประมาณ 5 เดือนแก่นักท่องเที่ยวจีนและคาซัคสถาน ตั้งแต่วันที่ 25 ก.ย. 2566 - 29 ก.พ. 2567 ตามที่ ครม.เพิ่งมีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 13 ก.ย. สามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว”

รมว.ท่องเที่ยวฯ กล่าวอีกว่า สำหรับเหตุผลที่นำร่องมาตรการวีซ่า-ฟรีเป็นการชั่วคราวกับตลาดจีนก่อน เนื่องจากในยุคก่อนโควิด-19 ระบาดเมื่อปี 2562 ตลาดจีนถือเป็นฐานลูกค้าหลัก เดินทางเข้าประเทศไทยมากเป็นอันดับ 1 จำนวนกว่า 11 ล้านคน แต่พอเข้าสู่ยุคหลังโควิด-19 พบว่าตั้งแต่ต้นปี 2566 เดินทางเข้ามาน้อยกว่าที่คาดไว้ จากข้อจำกัดเรื่องกระบวนการขอวีซ่า และกระแสข่าวในโซเชียลมีเดียที่มีการเผยแพร่ข่าวลือเชิงลบของประเทศไทย ทำให้หน่วยงานรัฐต้องเร่งกระตุ้นและทำตลาด สร้างความเชื่อมั่นในการดึงนักท่องเที่ยวจีนกลับมาท่องเที่ยวไทยอีกครั้ง

“เบื้องต้นกระทรวงการท่องเที่ยวฯ คาดการณ์ว่าช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปี 2566 ตั้งแต่เดือน ต.ค.-ธ.ค. จะมีนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาเที่ยวไทยเพิ่มขึ้นเป็น 7 แสนคนต่อเดือน จากนั้นจะประเมินผลการดำเนินมาตรการและอาจพิจารณาเพิ่มประเทศเป้าหมายในการออกมาตรการวีซ่า-ฟรี”

รมว.ท่องเที่ยวฯ เผยอีกว่า ในปีหน้ามีเป้าหมายที่จะสร้างรายได้รวมการท่องเที่ยวปี 2567 ของกระทรวงการท่องเที่ยวฯ อยู่ที่ 3 ล้านล้านบาท ฟื้นตัว 100% เทียบกับรายได้รวมปี 2562 จากเป้าหมายดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามา 40 ล้านคน ปรับเพิ่มจากเป้าเดิมที่ ททท. ตั้งไว้ว่าจะดึงเข้ามาไม่น้อยกว่า 35 ล้านคน

ขณะที่เป้าหมายรายได้รวมการท่องเที่ยวปี 2566 ตั้งเป้าไว้ที่ 2.38 ล้านล้านบาท ฟื้นตัว 80% ของปี 2562 โดยจากแนวโน้มตลอดปีนี้คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทย 28 ล้านคน โดยหนึ่งในเป้าหมายใหญ่ของรัฐบาลที่ต้องการขับเคลื่อนประเทศไทยเป็นฮับบันเทิงแห่งเอเชีย (Entertainment Hub of Asia) แนวทางส่งเสริมการจัดอีเวนต์ที่เกี่ยวข้องกับความบันเทิงและกีฬาในประเทศไทย จะต้องเป็นงานที่แปลก ใหญ่ ต่อเนื่อง สร้างสรรค์ และใช้พลังของซอฟต์เพาเวอร์ เพื่อแข่งขันกับประเทศสิงคโปร์ ในการชิงเจ้าฮับบันเทิงของเอเชีย ซึ่งต้องบูรณาการความร่วมมือกับกระทรวงที่เกี่ยวข้องในการยกระดับโครงสร้างพื้นฐาน เพิ่มความสะดวกด้านการเดินทางไปยังสถานที่จัดงาน

ด้าน นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวฯ ปรับเพิ่มเป้าหมายจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติปี 2567 เป็น 40 ล้านคน จากเป้าเดิมที่ ททท.ตั้งไว้อย่างน้อย 35 ล้านคน มองว่าเป้าหมายดังกล่าวเป็นไปได้ เพราะทั้งนายกฯ เศรษฐา รวมถึงทุกกระทรวงพร้อมสนับสนุนภาคการท่องเที่ยว ททท.จึงพร้อมพุ่งเป้าการทำงานเพื่อบรรลุเป้าหมาย 40 ล้านคน

โดยได้วางยุทธศาสตร์ ‘PASS’ ขับเคลื่อนภาคท่องเที่ยวซึ่งกำลังถูกจับจ้องในฐานะ ‘ควิกวินเศรษฐกิจ’ ไทยตอนนี้ ประกอบด้วย…

1. Partnership 360 ผนึกความร่วมมือกับพันธมิตรทั้งในและนอกอุตสาหกรรมท่องเที่ยว

2. Accelerate Access to Digital Worldพัฒนาองค์กรบนพื้นฐานการตลาดที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลและเทคโนโลยีดิจิทัล

3. Sub-Culture Movementการลงลึกถึงระดับความเคลื่อนไหวของกลุ่มวัฒนธรรมย่อย แม้ประเทศไทยจะเป็นมหาอำนาจการท่องเที่ยว แต่การแข่งขันช่วงชิงนักท่องเที่ยวเกิดขึ้นทั่วโลก ดังนั้นสิ่งที่เคยทำอย่างการทำตลาดนักท่องเที่ยวกลุ่มกระแสหลักและกลุ่มความสนใจเฉพาะยังต้องเดินหน้า แต่ต้องเจาะกลุ่มความเคลื่อนไหวของวัฒนธรรมย่อยด้วย เพื่อสร้างความแตกต่างแก่ทั้งองคาพยพท่องเที่ยวไทย จำเป็นต้องลงลึกถึงระดับดีเอ็นเอความชอบของนักท่องเที่ยวที่มีเหมือน ๆ กัน

4. Sustainably NOWมุ่งสู่ความยั่งยืนแบบทันที เพราะความยั่งยืนไม่ใช่เทรนด์ แต่ต้องเดินเข้าหา ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถยืนอยู่บนโลกธุรกิจได้ เช่น ทรัพยากรธรรมชาติของประเทศไทย นับเป็นต้นทุนที่มีเหนือกว่าประเทศอื่นๆ ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เดินทางมาสัมผัส แต่เมื่อเกิดภาวะโลกร้อน อย่างภาวะไฟป่าใน จ.เชียงใหม่ ทำให้ไม่สามารถท่องเที่ยวได้หลายเดือน นี่คือสิ่งที่กระทบชัดเจนต่อภาคการท่องเที่ยว

พร้อมกันนี้ ยังได้ดำเนินกลยุทธ์ ‘The LINK : Local to Global’ เชื่อมการทำงานแบบบูรณาการของสำนักงาน ททท.ทั้งตลาดในและต่างประเทศ ด้วยแนวคิดLocal Experience, Innovation, Networking และ Keep Character อีกด้วย

“เทรนด์ของนักท่องเที่ยวทั่วโลกในตอนนี้ ส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจในแง่ความยั่งยืนอย่างมาก ทำให้ ททท.วางเป้าหมายปี 2567 มุ่งเปลี่ยนกรอบความคิด (Mindset) ของนักท่องเที่ยวที่มีต่อประเทศไทย สู่การเป็นจุดหมายปลายทางที่มีคุณค่าสูงและความยั่งยืน (High Value and Sustainable Tourism Destination) เพื่อยืนยันว่าภาคท่องเที่ยวไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการทำลายโลก” นางสาวฐาปนีย์ กล่าว

OR ส่งเสริมเกษตรกรปลูกกาแฟอย่างยั่งยืน เพิ่มผลผลิตที่สม่ำเสมอ ควบคู่รักษ์สิ่งแวดล้อม

OR มุ่งส่งเสริมการปลูกกาแฟควบคู่ไปกับการอนุรักษ์ธรรมชาติในพื้นที่อำเภอแม่แจ่ม พร้อมสนับสนุนโซลาร์เซลล์และพลาสติกคลุมโรงเรือนแก่เกษตรกรอำเภอแม่วางและอำเภอสะเมิงในการปลูกผักอินทรีย์

(18 ก.ย. 66) นายดิษทัต ปันยารชุน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) (OR) พร้อมด้วย นายจินตพันธุ์ ทังสุบุตร ประธานกรรมการกำกับดูแลกิจการที่ดีและการพัฒนาอย่างยั่งยืน และคณะผู้บริหาร ร่วมพิธีเปิดโครงการพัฒนาการปลูกกาแฟอย่างยั่งยืน และเยี่ยมชมพื้นที่กลุ่มเกษตรกรปลูกกาแฟ อ.แม่แจ่ม ดอยอินทนนท์ จ.เชียงใหม่ โดยมีนายเกรียงไกร ไชยพิเศษ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ ให้การต้อนรับ

นายดิษทัต กล่าวว่า OR ได้พัฒนาโครงการพัฒนาการปลูกกาแฟอย่างยั่งยืน โดยมีเป้าหมายเพื่อขยายผลองค์ความรู้การทำงานพัฒนาการปลูกและการผลิตกาแฟร่วมกับภาคีเครือข่ายในหลายพื้นที่เพื่อให้เกษตรกรในพื้นที่ที่ยังขาดโอกาสในการพัฒนาทักษะความรู้ได้มีองค์ความรู้ในการประกอบอาชีพอย่างยั่งยืน และเป็นการช่วยเพิ่มพื้นที่ป่าผ่านการส่งเสริมและสนับสนุนเกษตรกรให้ปลูกและผลิตกาแฟให้ได้ผลผลิตกาแฟที่มีคุณภาพตามมาตรฐาน ควบคู่การอนุรักษ์ธรรมชาติ โดยนำต้นแบบการปลูกกาแฟภายใต้ไม้ร่มเงา (ไม้เศรษฐกิจ) มาส่งเสริมในพื้นที่ ช่วยลดการเผาป่าทำไร่เลื่อนลอย ลดการใช้สารเคมียาฆ่าแมลง ทำให้ลดมลพิษต่าง ๆ ส่งผลให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้น และยังเป็นช่องทางในการจำหน่ายเมล็ดกาแฟด้วยระบบราคาที่เป็นธรรม (Fair Trade) เพื่อให้เกษตรกรมีรายได้ที่แน่นอน

ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนผ่าน OR SDG ทั้งในด้าน ‘S’ หรือ ‘SMALL’ ที่มุ่งเน้นการให้โอกาสเพื่อคนตัวเล็ก ด้าน ‘D’ หรือ ‘DIVERSIFIED’ ที่มุ่งสร้างโอกาสเพื่อทุกการเติบโตทุกรูปแบบ และด้าน ‘G’ หรือ ‘GREEN’ ที่มุ่งสร้างสิ่งแวดล้อมที่อุดมสมบูรณ์ (Healthy Environment) เพื่อตอบโจทย์เป้าหมายของ OR 2030

ทั้งนี้ OR มีโรงแปรรูปและจัดเก็บเมล็ดกาแฟคาเฟ่ อเมซอน ตั้งอยู่บนถนนเลี่ยงเมืองสันป่าตองหางดง ต.ทุ่งรวงทอง อ.แม่วาง จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นจุดรับซื้อผลผลิตเมล็ดกาแฟกะลาอะราบิกาในพื้นที่ภาคเหนือจากเกษตรกรผู้ในราคาที่เป็นธรรม และเป็นสถานที่แปรรูปเป็นกาแฟที่มีคุณภาพ ก่อนที่จะจัดส่งให้โรงคั่วกาแฟ คาเฟ่ อเมซอน เพื่อคั่วและจำหน่ายไปยังร้าน คาเฟ่ อเมซอน ทั่วประเทศ

ในโอกาสนี้ OR ยังได้มอบโซลาร์เซลล์จากโครงการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา ให้แก่ กลุ่มวิสาหกิจชุมชน ปลูกแปรรูปพืชผัก สมุนไพรอินทรีย์ ฮักแม่วาง และมอบพลาสติกคลุมโรงเรือนแก่เกษตรกรจากอำเภอแม่วางและอำเภอสะเมิง ซึ่งอยู่ในโครงการส่งเสริมการผลิตพืชอินทรีย์ ที่ OR ได้ร่วมกับ บริษัท ปลูกผักเพราะรักแม่ จำกัด ผู้ดำเนินกิจการร้านอาหารเพื่อสุขภาพภายใต้แบรนด์ ‘โอ้กะจู๋’ ได้ร่วมกันจัดตั้งขึ้นเพื่อสนับสนุนและส่งเสริมกลุ่มเกษตรกรไทยให้มีผลผลิตทางการเกษตรที่สม่ำเสมอ มีคุณภาพ รวมทั้งมีรายได้ที่มั่นคงและยั่งยืน 

‘พีระพันธุ์’ เผยข่าวดี ไทยชนะ ‘คดีโฮปเวลล์’ สิ้นสุดมหากาพย์ เอกชนเรียกค่าเสียหายหลายหมื่นล้าน

(18 ก.ย. 66) พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก แจ้งข่าวว่า ไทยชนะคดี ‘โฮปเวลล์’ แล้ว

เมื่อเวลาประมาณ 14.20 น. ที่ผ่านมา นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก แจ้งข่าวว่า ‘ไทยชนะคดีโฮปเวลล์’ ซึ่งเป็นมหากาพย์อภิมหาโครงการด้านคมนาคมขนาดใหญ่ ที่ถูกเอกชนฟ้องเรียกค่าเสียหาย

โดยนายพีระพันธุ์โพสต์เฟซบุ๊กสั้น ๆ มีเนื้อหาว่า “ไทยชนะคดีโฮปเวลล์ ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายในการยกเลิกสัญญาจากกระทรวงคมนาคม และการรถไฟแห่งประเทศไทย เป็นค่าใช้จ่ายจากการเข้ามาลงทุนเป็นเงิน 56,000 ล้านบาท”

สำหรับกรณีการฟ้องร้อง โครงการโฮปเวลล์ มาจาก บริษัทโฮปเวลล์ เห็นว่าการที่ รฟท. เข้ามาใช้ประโยชน์จากโครงการก่อสร้างเดิม ถือเป็นการยึดหรือเวนคืนระบบหรือพื้นที่สัมปทาน จึงเสนอข้อพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการ เรียกค่าเสียหายจากการยกเลิกสัญญาจาก กระทรวงคมนาคม และ รฟท. เป็นเงิน 59,000 ล้านบาท

CPN ปั้น ‘GO Hotel’ ยึดหัวหาด Premium Budget Hotel ผุด 4 ทำเลปัง เจาะกลุ่มคลั่ง ‘Bleisure’ 990 บาทต่อคืน

(18 ก.ย.66) นางสาวสุรางค์ จิรัฐิติกาลโชติ Head of Hotel Development บมจ. เซ็นทรัลพัฒนา กล่าวว่า จากความเชี่ยวชาญของเซ็นทรัลพัฒนา และการมี Ecosystem ที่ดีเชื่อมต่อกันอย่างลงตัวภายในเครือทำให้เรามีความมั่นใจในการขยายธุรกิจโรงแรมไปยังทำเลศักยภาพอย่างต่อเนื่อง โดยอยู่ติดหรือใกล้กับศูนย์การค้าเซ็นทรัลหรือโรบินสัน รวมถึงการบุกเบิกพอร์ต Premium Budget Hotel ในชื่อ GO! Hotel โดยเรามุ่งมั่นยกระดับประสบการณ์การพักผ่อน สะท้อนได้จากการดีไซน์และการบริการที่ได้มาตรฐานและมีคุณภาพรองรับแนวโน้มความต้องการพักอาศัยใน Budget Hotel ที่เริ่มได้รับความนิยม

“เราได้เปิดบริการ GO! Hotel แห่งแรกที่บ่อวิน และขณะนี้ได้ขยายเพิ่มอีก 3 แห่งคือ GO! Hotel ชลบุรี, ศรีราชา ทั้งหมดอยู่ในจังหวัดชลบุรี และ GO! Hotel บ้านฉางในจังหวัดระยอง โดยทั้ง 4 โลเคชันเป็นการขยายแบบ Cluster Region ครอบคลุมภาคตะวันออก เจาะเขตเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวสำคัญ เพื่อสร้างโรงแรม GO! Hotel ให้เป็น Strategic Hotel บน Strategic Location” นางสาวสุรางค์ กล่าว 

นายภูมิ จิราธิวัฒน์ Head of Hotel Investments and Operations บมจ. เซ็นทรัลพัฒนา กล่าวว่า “เราตั้งใจปั้นให้ GO! Hotel เป็นโรงแรมที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์แบบ ‘Bleisure’ เป็น Top of Mind ของการเดินทางทั้ง Business และ Leisure สำหรับนักเดินทางทั่วประเทศ GO! Hotel เปิดตัวที่แรกที่บ่อวิน ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี มี Occupancy Rate มากกว่า 80% ทำให้เราเห็นถึงความสำคัญและการเติบโตแบบก้าวกระโดดของธุรกิจ Premium Budget Hotel และพร้อมตอบรับการเติบโตของธุรกิจและขยายโรงแรมไปทั่วประเทศ”

“GO! Hotel เป็นโรงแรมที่เหมาะสำหรับคนทุกรุ่น ทุกวัย และทุกจุดประสงค์ของการเดินทาง ด้วยการดีไซน์ห้องพักให้ตอบโจทย์ทั้งการพักผ่อน Relax และสะดวกสบายด้วยโลเคชั่นใกล้ศูนย์การค้า หรือนักเดินทางกลุ่ม Business ก็สามารถใช้โรงแรมของเราเป็นที่ทำงาน เพราะมีพื้นที่โต๊ะทำงานและปลั๊กพร้อมใช้งานได้ทั่วทุกมุมห้อง และยังมีจุดแฮงค์เอ้าท์กับเพื่อนร่วมงานบริเวณล็อบบี้ได้ตลอด 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ยังสามารถรองรับ กลุ่มนักท่องเที่ยวตาม Music Festival รวมถึงกลุ่ม Corporate หรือหน่วยงานราชการ ต่างๆ ที่เข้ามาในพื้นที่อีกด้วย” นายภูมิ กล่าว 

สำหรับ 5 จุดเด่นของ GO! Hotel ที่มากกว่าการพักผ่อน ประกอบไปด้วย…

1. สัมผัสประสบการณ์นอนดี ด้วยเตียงนุ่ม ขนาดใหญ่พิเศษ พร้อมเครื่องนอนระดับพรีเมียม รวมถึงม่านหน้าต่างแบบมืดสนิทไม่รบกวนการพักผ่อน และ ประสบการณ์ผ่อนคลายระดับสปา ด้วยผลิตภัณฑ์ในห้องน้ำจากแบรนด์ Let’s Relax Lifestyle (LRL), ผ้าขนหนูผ้าฝ้าย 100%, พร้อมไดร์เป่าผมทุกห้อง

2. งานดีไซน์ทันสมัย สไตล์โก! ตัวอาคารมีเอกลักษณ์ที่บ่งบอกความเป็น GO! Hotel ได้อย่างชัดเจน ผสานแนวคิดการออกแบบภายใน ด้วยการเลือกชุดสี ที่ให้ความรู้สึกสดใส มีพลัง และสนุกสนาน รวมถึงเฟอร์นิเจอร์ที่มีดีไซน์เข้ากันอย่างลงตัว

3. เป็นธุรกิจในเครือ Central Pattana ที่มีความมั่นคงและน่าเชื่อถืออันดับต้นของเมืองไทย และเป็นที่รู้จักในระดับสากล โลเคชันติดศูนย์การค้า และเป็นย่านธุรกิจ จะไปพักผ่อนหรือทำงานก็สะดวกสบาย ครบวงจร

4. Premium Budget ของ GO! ที่ไม่ใช่แค่โรงแรมราคาประหยัดทั่วไป ด้วยความใส่ใจทุกรายละเอียด เลือกใช้วัสดุพรีเมี่ยม เพื่อให้คุณพักสบาย ในราคาสุดคุ้มค่า รวมถึงโปรโมชั่นสุดพิเศษมากมาย เพื่อให้คุณได้พักผ่อนแล้วรู้สึกพร้อม GO! ไปยังจุดหมายหรือกิจกรรมต่อไปด้วยพลังที่เต็มเปี่ยม

5. ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มคนชอบเที่ยว ไปพักผ่อนทั้งแบบส่วนตัวหรือแบบกลุ่ม มี Co-Working Space และ ชุดโต๊ะทำงานภายในห้องพัก พร้อมอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง และจุดบริการอาหารและเครื่องดื่ม 24 ชั่วโมง (Grab & GO) ตอบโจทย์คนทำงาน รวมถึง คอนเซปต์ Pet Friendly ตอบโจทย์ คนมีสัตว์เลี้ยง ให้คุณพาเพื่อนรัก 4 ขา มาเช็อินด้วยกัน 

เปิดตัวเลขรัฐสูญรายได้ 136 ล้านบาทต่อปี หากหนุน 'แดง-ม่วง' 20 บาท แต่ช่วยดึงคนใช้รถไฟฟ้าเพิ่มขึ้นปีละ 10% รายได้หวนคืนใน 2.8 ปี

(18 ก.ย.66) รายงานข่าวจากกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า สำหรับการประชุมร่วมกับการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.), การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) และบริษัทรถไฟฟ้ารฟท. จำกัด และกรมการขนส่งทางราง (ขร.) เพื่อกำหนดแนวทางการดำเนินงาน การแบ่งค่าโดยสารกรณีเดินทางข้ามสายสีแดงกับสายสีม่วง รวมถึงมาตรการอำนวยความสะดวกผู้โดยสารและการประชาสัมพันธ์ ฯลฯ

เบื้องต้นในที่ประชุมได้มีการหารือถึงข้อกฎหมาย เช่น พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ..., พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.), พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ฯลฯ เพื่อให้เกิดความรอบคอบในการดำเนินการ 

ขณะเดียวกันที่ประชุมได้มีข้อสั่งการให้รฟท.เตรียมเสนอการแบ่งค่าโดยสารกรณีเดินทางข้ามรถไฟสายสีแดง ช่วงรังสิต-ตลิ่งชันและรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน-คลองบางไผ่ ต่อคณะกรรมการ (บอร์ด) รฟท. ภายในวันที่ 21 ก.ย.66 ขณะที่การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) จะนำเสนอเรื่องนี้ต่อคณะกรรมการ (บอร์ด) รฟม. ภายในวันที่ 28 ก.ย.66 หลังจากนั้นจะเสนอต่อกระทรวงคมนาคมภายในเดือน ก.ย.นี้ คาดว่าจะเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาเห็นชอบได้ภายในเดือน ต.ค.66 เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้ประชาชน ปี 67 

รายงานข่าวจากกระทรวงคมนาคม กล่าวต่อว่า ส่วนการแบ่งค่าโดยสาร 20 บาทตลอดสายของรถไฟสายสีแดง ช่วงรังสิต-ตลิ่งชันและรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน-คลองบางไผ่ มีเงื่อนไขว่า ระหว่างการเดินทาง หากประชาชนขึ้นรถไฟฟ้าสายใดเป็นสายแรก ผู้เป็นเจ้าของโครงการจะเป็นผู้เก็บค่าแรกเข้าค่าโดยสาร ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับจำนวนสถานีของผู้โดยสารที่ใช้บริการด้วย โดยจะเก็บค่าโดยสารสูงสุดอยู่ที่ 20 บาทตลอดสาย เช่น กรณีที่ประชาชนเดินทางขึ้นรถไฟฟ้าสายสีม่วงที่สถานีเตาปูนเพื่อไปรถไฟสายสีแดงที่สถานีบางซื่อ จะถูกเก็บค่าแรกเข้าเพียง 16 บาท ซึ่งมีส่วนต่างอยู่ที่ 4 บาท ต่ำกว่าราคาค่าโดยสาร 20 บาทตลอดสาย ทำให้ประชาชนสามารถประหยัดค่าโดยสารจากการเดินทางได้ 

ทั้งนี้จากผลศึกษานโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย พบว่าจะสูญเสียรายได้ และรัฐต้องสนับสนุนรวม 136 ล้านบาทต่อปี แบ่งเป็น รถไฟฟ้าสายสีแดง 80 ล้านบาทต่อปี และรถไฟฟ้าสายสีม่วง 56 ล้านบาทต่อปี แต่การลดค่าโดยสารจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมประชาชนหันมาใช้รถไฟฟ้ามากขึ้นและทำให้ผู้โดยสารเพิ่มขึ้นปีละ 10% คาดการณ์ว่าเมื่อดำเนินนโยบายถึง 2.8 ปี จะทำให้รถไฟฟ้าทั้ง 2 สายมีรายได้กลับมาเท่าเดิม โดยรัฐไม่ต้องจ่ายเงินชดเชย   

นอกจากนี้การชดเชยรายได้ให้แก่รฟท.และรฟม.จากนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายของรถไฟสายสีแดง ช่วงรังสิต-ตลิ่งชันและรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน-คลองบางไผ่ นั้น พบว่า ปัจจุบันรฟท.มีหนี้ประมาณ 12,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งรฟท.จะต้องขอเงินอุดหนุนจากภาครัฐ (PSO) จำนวน 80 ล้านบาทต่อปี ขณะที่รฟม.จะนำส่วนแบ่งรายได้จากรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินมาชดเชยเงินที่ขาดหายจากนโยบายดังกล่าว จำนวน 56 ล้านบาทต่อปี 

สรุปสถานการณ์ตลาดน้ำมันสัปดาห์ที่ 11 - 15 ก.ย. 66  จับตาปัจจัย ‘บวก-ลบ’ ชี้แนวโน้ม 18 - 22 ก.ย. 66

ราคาน้ำมันดิบทุกชนิด เฉลี่ยสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 15 ก.ย. 66 เพิ่มขึ้น โดยนักลงทุนคาดตลาดน้ำมันโลกจะตึงตัว และมีมุมมองเชิงบวกต่อเศรษฐกิจ หลังธนาคารกลางรายใหญ่กระตุ้นเศรษฐกิจ และส่งสัญญาณใกล้สิ้นสุดช่วงนโยบายการเงินแบบตึงตัว อาจสนับสนุนอุปสงค์พลังงาน

อุปสงค์น้ำมันโลกยังคงเติบโต OPEC คาดการณ์อุปสงค์น้ำมันโลกในปี 2566 เพิ่มขึ้น 2.44 ล้านบาร์เรลต่อวันจากปีก่อนหน้า อยู่ที่ 102.06 ล้านบาร์เรลต่อวัน (ปรับเพิ่มขึ้นจากคาดการณ์ครั้งก่อน 0.05 ล้านบาร์เรลต่อวัน) และในปี 2567 เพิ่มขึ้น 2.25 ล้านบาร์เรลต่อวันจากปีก่อนหน้า อยู่ที่ 104.31 ล้านบาร์เรลต่อวัน โดยมองว่าเศรษฐกิจหลัก และตลาดเกิดใหม่ในเอเชีย โดยเฉพาะอินเดีย รวมถึงบราซิล และรัสเซีย แกร่งเกินคาด

สำนักงานสถิติแห่งชาติของจีน (National Bureau of Statistics: NBS) รายงานโรงกลั่นนำน้ำมันดิบเข้ากลั่น (Refinery Throughput) ในเดือน ส.ค. 66 เพิ่มขึ้น 2.4% จากเดือนก่อนหน้า อยู่ที่ 15.23 ล้านบาร์เรลต่อวัน สูงสุดเป็นประวัติการณ์

ธนาคารแห่งชาติของจีน (People’s Bank of China: PBOC) ประกาศลดอัตราส่วนเงินสำรองขั้นต่ำ (Reserve Requirement Ratio: RRR) สำหรับธนาคารพาณิชย์ลง 0.25% (ยกเว้นธนาคาร RRR ต่ำกว่า 5%) ตั้งแต่วันที่ 15 ก.ย. 66 คาดว่าจะทำให้ RRR เฉลี่ยลดลงมาอยู่ที่ 7.4% และช่วยเพิ่มเงินเข้าสู่ระบบประมาณ 5 แสนล้านหยวน (6.87 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ) ทั้งนี้ RRR ตั้งแต่ปี 2561 เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 15% ก่อนที่ PBOC จะปรับลดลงต่อเนื่องกว่า 16 ครั้ง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

วันที่ 14 ก.ย. 66 ที่ประชุมธนาคารกลางยุโรป (European Central Bank: ECB) มีมติปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้น 0.25% ทำให้ Deposit Facility Rate, Main Refinancing Operations Rate และ Marginal Lending Facility Rate อยู่ที่ 4.0%, 4.5% และ 4.75% ตามลำดับ สูงสุดตั้งแต่ ECB ก่อตั้งในปี 2542 อย่างไรก็ตาม ประธาน ECB นาง Christine Lagarde ส่งสัญญาณว่าอัตราดอกเบี้ย ECB ใกล้ระดับสูงสุดแล้ว การประชุมครั้งถัดไปในวันที่ 26 ต.ค. 66 จึงมีแนวโน้มที่จะคงอัตราดอกเบี้ย

จับตาการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (Federal Open Market Committee: FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ในวันที่ 19-20 ก.ย. 66 โดยตลาดคาดว่าจะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 5.25-5.50%

คาดการณ์ราคา ICE Brent สัปดาห์นี้จะเคลื่อนไหวในกรอบ 85-95 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

‘KBank’ จับมือ ‘ไปรษณีย์ไทย-HSEM’ นำร่องเปิด EV Bike ใช้ง่าย!! ‘จอง-จ่าย-จบ’ ในแอปฯเดียว หวังลดการปล่อยมลภาวะ

(19 ก.ย. 66) ธนาคารกสิกรไทย ร่วมกับไปรษณีย์ไทย และ เอช เซม มอเตอร์ (HSEM) นำร่องโครงการ ‘WATT’S UP’ แพลตฟอร์มให้เช่ารถจักรยานยนต์ไฟฟ้าหรือ ‘EV Bike’ แบบครบวงจร สามารถจอง และจ่ายเงินได้ภายในแอปพลิเคชันเดียว เริ่มใช้กับพนักงานไปรษณีย์ไทย 3 สาขา เพื่อสนับสนุนการใช้รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งจะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และลดมลภาวะจากฝุ่น PM2.5 ซึ่งจะเป็นการผลักดันให้เกิด ‘Green Ecosystem’ อย่างยั่งยืน ทั้งยังช่วยลดค่าใช้จ่ายให้ธุรกิจ ตั้งเป้าเปิดให้ประชาชนทั่วไปได้ใช้แพลตฟอร์ม WATT’S UP ภายในต้นปี 2567

ดร.กรินทร์ บุญเลิศวณิชย์ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ธนาคารกสิกรไทยเดินหน้าสร้าง ‘Green Ecosystem’ ผ่านโครงการ GO GREEN Together ซึ่งมีการสนับสนุนการใช้ EV Bike อย่างต่อเนื่อง โดยก่อนหน้านี้ธนาคารมีโครงการให้เช่า EV Bike หลากหลายแบรนด์ใน K PLUS Market ซึ่งได้รับความสนใจจากกลุ่มไรเดอร์กว่า 6,000 ราย เป็นการสะท้อนความต้องการใช้ EV Bike ที่เพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

จึงต่อยอดพัฒนาโครงการ WATT’S UP ซึ่งเป็น e-Marketplace แพลตฟอร์มให้เช่ารถจักรยานยนต์ไฟฟ้าแบบครบวงจร ‘จอง-จ่าย-จบ’ ครบในแอปพลิเคชันเดียว โดยมีรุ่นรถให้เช่าหลากหลาย ชำระเงินสะดวกหลากหลายช่องทางรวมถึง K PLUS และนำแบตเตอรี่มาสลับ ณ ตู้สลับแบตเตอรี่ที่รองรับแอปพลิเคชัน WATT’S UP ได้ตลอดระยะเวลาการเช่า ซึ่งปัจจุบันตั้งอยู่ในแหล่งชุมชนทั่วกรุงเทพฯ จำนวน 10 ตู้ และอยู่ระหว่างขยายพื้นที่ให้ครอบคลุมมากขึ้นเพื่อรองรับการใช้งานหลังจากเปิดให้ประชาชนทั่วไป

สำหรับความร่วมมือแรกของโครงการ WATT’S UP กับพันธมิตรแถวหน้าระดับประเทศอย่างไปรษณีย์ไทย และ HSEM บริษัทผู้ผลิตรถจักรยานยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่อันดับต้นๆ ของไทย เพื่อร่วมกันผลักดันให้การเข้าถึงการใช้ EV Bike เป็นเรื่องที่ง่ายขึ้นและนำไปสู่การใช้อย่างแพร่หลาย เนื่องจากการใช้ EV Bike 1 คันต่อสัปดาห์เทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้ 1.5 ต้น และการใช้ EV Bike 1 ล้านคันเทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้ 80 ล้านต้นต่อปี สามารถลด PM2.5 ได้มากกว่า 760 ตัน และลดก๊าซเรือนกระจกได้กว่า 748,000 ตัน ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งที่สนับสนุนให้ประเทศไทยเดินหน้าสู่ Net Zero ได้ตามเป้าหมาย และธุรกิจสามารถลดค่าใช้จ่ายค่าน้ำมันลงได้ถึง 25%

นายนเรศ ไชยวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานระบบไปรษณีย์และปฏิบัติการนครหลวง บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์ของไทยมีสัดส่วนการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง ไปรษณีย์ไทยในฐานะผู้ให้บริการขนส่งและโลจิสติกส์ของประเทศ มีการนำจ่ายถึงครัวเรือนโดยใช้ยานยนต์สันดาป ไปรษณีย์ไทยจึงมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนผ่านระบบงานของไปรษณีย์ให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทางเลือกให้มากขึ้น เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ตามเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนของประเทศไทย ความร่วมมือกับธนาคารกสิกรไทยและ HSEM ในครั้งนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการเปลี่ยนผ่านโดยมีแนวทางการนำรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าเข้ามาใช้ในระบบ ซึ่งไม่เพียงจะช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานของไปรษณีย์ไทยแล้ว ยังเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและสร้างความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมตามแนวทาง ESG อีกด้วย

ด้านนายวันชัย ลี้นะวัฒนา กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอช เซม มอเตอร์ จำกัด หรือ ‘HSEM’ ผู้ผลิตรถจักรยานยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ของประเทศไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า ด้วยหลักการทำงานภายใต้แนวคิด ESG เอช เซม มีความแน่วแน่และตั้งใจเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างสังคมสีเขียว โดยร่วมเป็นผู้ช่วยในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก คืนอากาศบริสุทธิ์ให้สังคมและสิ่งแวดล้อม และมีความมั่นใจว่าความร่วมมือกันในครั้งนี้ จะเป็นจุดเปลี่ยนที่จะกระตุ้นให้การใช้ EV Bike เพิ่มสูงขึ้นอย่างแน่นอน

สำหรับความร่วมมือภายใต้โครงการ WATT’S UP แพลตฟอร์มเช่า EV Bike จอง-จ่าย-จบครบในแอปเดียว จะนำร่องใช้งานที่ไปรษณีย์ไทย 3 สาขา ได้แก่ สาขาจตุจักร สาขาสามเสนใน และสาขานนทบุรี โดยพนักงานไปรษณีย์ที่เป็นเจ้าหน้าที่ขนส่งขับขี่รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า HSEM และนำมาสลับแบตเตอรี่ได้ตลอดการใช้งาน โดยไม่ต้องชาร์จไฟเอง ซึ่งเป็นการอำนวยความสะดวกให้การขับขี่มีความสะดวกและคล่องตัวยิ่งขึ้น สนับสนุนการใช้พลังงานสะอาด ลดมลภาวะ และลดค่าใช้จ่ายจากการใช้พลังงานเชื้อเพลิง

ทั้งนี้ จะนำความเห็นจากกลุ่มผู้ใช้งานมาพัฒนาโครงการ ให้รองรับการเปิดให้บริการแก่ประชาชนทั่วไปภายในต้นปี 2567


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top