Saturday, 10 May 2025
Econbiz

อัปเดตความยิ่งใหญ่โครงสร้างพื้นฐานยกระดับเศรษฐกิจไทย 'ถนน-รถไฟ-รถไฟฟ้า-เมกะโปรเจกต์แสนล้าน' ใกล้เป็นจริง

จากรายการ THE TOMORROW ออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES เมื่อวันที่ 16 ก.ย.66 ได้พูดคุยเรื่องโครงสร้างพื้นฐานของไทย กับ 'คุณจิรวัฒน์ จังหวัด' เจ้าของเพจโครงสร้างพื้นฐาน ประเทศไทย Thailand Infrastructure ที่ EP นี้ได้มาอัปเดตโครงสร้างพื้นฐานของประเทศไทยว่ามีความเคลื่อนไหวอย่างไร พร้อมอัปเดตการก่อสร้าง เส้นทางรถไฟ รถไฟฟ้าเส้นทางไหนเปิดใช้บริการแล้ว เส้นทางไหนกำลังก่อสร้างใกล้เปิดบริการ เปิดแผนการลงทุน โปรเจกต์แสนล้าน! โครงการ Land Bridge เชื่อมอันดามัน-อ่าวไทย ศูนย์กลางเดินเรือภูมิภาค โดยคุณจิรวัฒน์ กล่าวว่า...

ภาพรวมโครงสร้างพื้นฐานในช่วงนี้มีความเคลื่อนไหวหลายๆ ส่วน ตั้งแต่สิ่งที่สร้างไปแล้ว สิ่งที่กำลังก่อสร้าง และสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต 

>> ราง
สิ่งที่เปิดไปแล้วใหญ่ๆ เลยก็คือ สถานีกลางบางซื่อ หรือ สถานีกรุงเทพอภิวัฒน์ ที่ตอนนี้พอมารวมกับรถไฟฟ้าสายสีแดง ก็ส่งผลให้พิกัดนี้กลายเป็น Hub สำคัญแห่งการคมนาคมของอาเซียนไปแล้ว (รถไฟจากลาวจีน สามารถวิ่งตรงมาที่ประเทศไทยได้เลย)

"โดยรถไฟสายสีแดง ถือเป็นรถไฟฟ้าเส้นสำคัญ ที่สามารถช่วยแก้ปัญหารถติดช่วงตั้งแต่ บางซื่อถึงรังสิต ได้ดีอย่างมาก"

นอกจากนี้ อีกส่วนหนึ่งที่เปิดบริการไปแล้วเมื่อเร็วๆ นี้ คือ โมโนเรล (Monorail) สายสีเหลือง ซึ่งเป็นโมโนเรล สายแรก ที่เป็นขนส่งมวลชนในเมืองไทย เส้นทางลาดพร้าว-สำโรง ซึ่งจะแก้ไขปัญหารถติดบนถนนลาดพร้าวได้เป็นอย่างดี 

"สายนี้สำคัญมาก เพราะมาเชื่อมต่อสายสีน้ำเงินที่ลาดพร้าว ขณะที่ในอนาคตจะมาเชื่อมต่อสายสีส้มที่สถานีลำสาลี ซึ่งลำสาลีจะวิ่งอยู่บนถนนรามคำแหง แล้วสุดท้ายจะไปจบที่สถานีสำโรง อีกทั้งสายนี้จะยังมีจุดจอดรถจอดแล้วจร ซึ่งจะช่วยลดความหนาแน่นขนทางจราจรและป้อนคนเข้าออกชานเมืองได้อย่างดี"

ไม่เพียงเท่านี้ รถไฟฟ้าที่กำลังเตรียมตัวเปิดอีกไม่นาน ก็จะมี สายสีชมพู ซึ่งเป็นแบบโมโนเรล เหมือนสายสีเหลือง เริ่มตั้งแต่ศูนย์ราชการ นนทบุรี ไปมีนบุรี ประมาณ 35 กิโลเมตร ซึ่งจะเชื่อมต่อรถไฟฟ้าอีกหลายสายเช่นกัน 

"ความสำคัญของรถไฟฟ้าเส้นนี้คือการเชื่อมต่อไปเมืองทองธานี เป็นสายแรกในเมืองไทยที่ทำรถไฟฟ้าสายแยก โดยเอกชนเป็นผู้ลงทุน ซึ่งสายสีชมพูจะเริ่มเปิดประมาณต้นปี 2567"

อีกส่วนหนึ่งที่สร้างเสร็จแล้ว แต่ยังไม่เปิดบริการ คือสายสีส้ม ศูนย์วัฒนธรรม-มีนบุรี ซึ่งสายนี้จะไปเชื่อมกับสายสีชมพูที่มีนบุรี และในอนาคตจะมีการเชื่อมต่อไปถึง ศิริราช และสถานีบางขุนนนท์ได้เลย โดยสายสีส้มจะวิ่งในแนวขวางตัดกรุงเทพมหานคร 

ข้ามมาที่ สายสีม่วง ก็จะมีการเชื่อมต่อกับสายสีม่วงเดิม หรือสีม่วงด้านบน ช่วงเตาปูน ไปบางไผ่ ส่วนด้านล่าง เตาปูน ลงมาถึงพระประแดง ก็จะมาตัดสีส้มแถวราชดำเนิน ซึ่งสายสีม่วงส่วนล่างกำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง คาดว่าจะเสร็จปี 2572

คุณจิรวัฒน์ เผยอีกว่า รถไฟฟ้าที่เล่ามายังไม่จบเท่านี้แน่นอน เพราะตอนนี้ สนข. (สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร) และกรมการขนส่งทางราง ได้มีการศึกษาเส้นทางรถไฟฟ้าในกรุงเทพมหานครใหม่ทั้งหมด โดยปัจจุบันมีการวางแผนแม่บทขนส่งมวลชนทางรางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล (พื้นที่ต่อเนื่อง) ระยะที่ 2 หรือ M-MAP ที่ได้วางกันมานาน โดยมีผู้เชี่ยวชาญจากประเทศญี่ปุ่นมาร่วมศึกษาเส้นทาง ภายใต้ประเด็นการใช้ตั๋วร่วม ให้เกิดขึ้นจริงบรรจุอยู่ด้วย

ในส่วนของ รถไฟทางคู่ คุณจิรวัฒน์ เล่าว่า "ตอนนี้เรามีประมาณ 5 โครงการทั่วประเทศ โดยเส้นทางหลักๆ ที่คืบหน้าไปมาก คือ มาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ สายอีสาน อีกเส้นหนึ่ง คือ ลพบุรี-ปากน้ำโพ อีกสายหนึ่งที่สำคัญมาก คือ รถไฟสายใต้ นครปฐม-ชุมพร ตรงนี้คือคอขวดของรถไฟสายใต้ ถ้าสร้างช่วงนี้เสร็จไม่ต้องรอสับรางแล้วสามารถวิ่งตามกันได้เลย"

ส่วนรถไฟความเร็วสูง หรือรถไฟที่วิ่งด้วยความเร็ว 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ของเมืองไทยอยู่ระหว่างการก่อสร้าง 2 เส้นทาง คือ กรุงเทพ-โคราช โดยโครงการนี้ไทยเป็นคนก่อสร้างเองในส่วนของงานโยธา และซื้อระบบมาวางบนทางวิ่งที่ก่อสร้างเอง 

"ในอนาคตเราสามารถนำเทคโนโลยีเหล่านี้มาผลิตรถไฟ ทางการก่อสร้างเส้นทาง การซ่อมบำรุง การประกอบของรถไฟความเร็วสูง โดยนำข้อมูลตัวเดียวกันมาผลิตรถไฟทางคู่ หรือ ราง 1 เมตรได้ คาดว่าจะเสร็จภายในปี 2570" 

ส่วนรถไฟฟ้าเชื่อม 3 สนามบิน ซึ่งเป็นรถไฟความเร็วสูงเช่นกัน แต่จะเป็นรถไฟความเร็วสูงที่วิ่งผ่านมาเมืองนั้น จะมีสถานีระหว่างเมือง 3-4 สถานี ที่อยู่ระหว่างการเจรจารายละเอียดเพิ่มเติม คาดว่าน่าจะแล้วเสร็จประมาณปี 2571-2572 

>> ถนน
ด้าน มอเตอร์เวย์ 2 สายที่กำลังก่อสร้างอยู่ อาทิ บางปะอิน-โคราช มีความคืบหน้าในการก่อสร้างไปเยอะมากแล้ว คาดว่าอีกไม่เกิน 2 ปี น่าจะสร้างเสร็จ (ประมาณ ปี 2568) อีกเส้น คือ สายบางใหญ่-กาญจนบุรี กำลังดำเนินการก่อสร้างเป็นส่วนๆ  ประมาณกลางปี 2567 น่าจะแล้วเสร็จ

>> เมกะโปรเจกต์
สำหรับโครงการในอนาคต กับ โครงการสะพานข้ามเกาะสมุย ขนอม-สมุย ระยะทางการสร้างสะพานประมาณ 8 กิโลเมตร เพื่อเป็นทางเลือกในการรองรับปริมาณนักท่องเที่ยวที่มากขึ้นจากการขึ้นเรือเฟอร์รี่มายังเกาะสมุยนั้น จะสามารถเชื่อมโยงกับโครงการ SEC (Southern Economic Corridor : ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้อย่างยั่งยืน) ได้ 

อีกโครงการที่สำคัญคือ โครงการ Landbridge ซึ่งเป็นการสร้างสะพานเศรษฐกิจข้าม 2 ฝั่งทะเล ซึ่งโครงการนี้จะมีช่วยเรื่องการขนส่งสินค้าข้ามฝั่งทะเลได้โดยง่าย โดย Landbridge จะมีโครงการย่อยๆ เชื่อมโยงกันอยู่ 3 โครงการหลักๆ ได้แก่...

1.ท่าเรือ ซึ่งจะสร้างทั้ง 2 ฝั่งทะเล บริเวณแหลมอ่าวอ่าง จังหวัดระนอง และอีกฝั่งหนึ่งแหลมริ่ว จังหวัดชุมพร ซึ่งการสร้างท่าเรือ จะช่วยในการพัฒนาเมือง พัฒนาเศรษฐกิจในท้องถิ่น อาทิ การแปรรูปผลไม้ เช่น สับปะรด ได้ด้วย

2.การสร้างมอเตอร์เวย์ แบบคู่ขนาน ถนน และรถไฟสายใหม่ 

และ 3.การสร้างทางรถไฟ เชื่อมโยงกับทางรถไฟระบบเดิม ซึ่งเป็นโครงการขนาดใหญ่อย่างมาก

"สำหรับโครงการนี้สำคัญต่อประเทศอย่างมาก ซึ่งผมอยากฝากให้ประชาชนในพื้นที่ได้ติดตามและเข้าร่วมประชุมเพื่อรับฟังความคิดเห็นของโครงการต่างๆ เพื่อเสนอแนะ และแสดงความคิดเห็นได้อย่างเต็มที่ในฐานะประชาชนในพื้นที่กันครับ" คุณจิรวัฒน์ ทิ้งท้าย

‘พาณิชย์’ นำร่อง 20 จังหวัด เปิดจุด ‘ขายไข่ราคาถูก’ 50 จุด หวังเพิ่มช่องทางเลือกซื้อ-ช่วยลดภาระค่าครองชีพให้กับปชช.

(16 ก.ย.66) นายวัฒนศักย์ เสือเอี่ยม อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า กรมได้ร่วมมือกับสำนักงานพาณิชย์จังหวัด เปิดจุดจำหน่ายไข่ไก่ราคาประหยัด ณ ศาลากลางจังหวัด โดยได้ทยอยเปิดจุดจำหน่ายแล้ว 20 จังหวัด กว่า 50 จุด นำไข่ไก่เบอร์ 3 จำหน่ายถาดละ 105-120 บาท หรือเฉลี่ยฟองละ 3.50-4.00 บาท

เพื่อเพิ่มช่องทางเลือกซื้อไข่ไก่ราคาประหยัดให้กับพี่น้องประชาชน เพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพ โดยเน้นในจังหวัดที่อยู่ไกลแหล่งผลิตไข่ไก่

สำหรับ 20 จังหวัดที่กรมได้นำร่องนำไข่ไก่ราคาประหยัดไปจำหน่าย ได้แก่ นครสวรรค์ ตรัง พังงา นราธิวาส สตูล ลำปาง นครราชสีมา ภูเก็ต มุกดาหาร พิจิตร สุราษฎร์ธานี นนทบุรี เลย ปราจีนบุรี สุรินทร์ กำแพงเพชร นครปฐม นครพนม นครนายก และปทุมธานี

ส่วนพื้นที่กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล กรมได้จัดรถโมบายธงฟ้าเคลื่อนที่เข้าไปยังในพื้นที่ชุมชนจำนวน 100 จุดหมุนเวียนกันไป ซึ่งนอกจากไข่ไก่ราคาถูกแล้ว ยังมีสินค้าอุปโภคบริโภคจำเป็นอื่น ๆ ที่นำมาจำหน่ายในราคาถูกกว่าท้องตลาดด้วย เช่น ข้าวสาร น้ำมันพืช เป็นต้น

ทั้งนี้ จากการสำรวจปริมาณไข่ไก่ในช่วงนี้ พบว่า ผลผลิตมีเพียงพอกับความต้องการบริโภค และไข่ไก่เบอร์ใหญ่มีปริมาณเพิ่มขึ้นจากช่วงก่อนที่มีปริมาณน้อยในตลาด โดยกรมจะมีการกำกับดูแลและติดตามสถานการณ์ราคาไข่ไก่อย่างใกล้ชิดต่อไป เพื่อสร้างความเป็นธรรมตลอดห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่ผู้เลี้ยงไก่ไข่จนถึงประชาชนผู้บริโภคในราคาในทุกระดับการค้ามีความสอดคล้องกัน ตามโครงสร้างที่กรมกำกับดูแล

โดยประชาชน หากพบผู้ค้ารายใดมีพฤติกรรมจำหน่ายไข่ไก่ในราคาสูงเกินสมควร สามารถร้องเรียนได้ที่สายด่วนกรมการค้าภายใน 1569 และหากพบการกระทำผิด จะมีความผิดตามมาตรา 29 พ.ร.บ. ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2542 มีโทษปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือจำคุกไม่เกิน 7 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ

‘เซเว่นฯ’ เปิดพื้นที่สร้างโอกาสให้กับ ‘คุณยายจำลอง’ หน้าสาขาพระองค์ดำ เพื่อเป็นสถานที่ขายสินค้า ‘นำมาสู่รายได้-เลี้ยงตนเอง’ โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย

(16 ก.ย.66) ซีพี ออลล์ เปิดพื้นที่หน้าร้านเซเว่น อีเลฟเว่น สาขาพระองค์ดำ (พิษณุโลก) (RC 5072) อ.เมืองพิษณุโลก จ.พิษณุโลก ให้กับคุณยายจำลอง วงค์หงษา อายุ 104 ปี เพื่อเป็นพื้นที่จำหน่ายสินค้า โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย นำมาสู่รายได้และการพึ่งพาตนเอง ตลอดจนส่งมอบกำลังใจ ในนาม ‘ซีพี ออลล์’ โดยวันนี้ 12 กันยายน 2566 คุณธีระสิทธิ์ เตียมคำ ผู้จัดการทั่วไปอาวุโส สำนักปฏิบัติการ 1 พื้นที่ RN ให้เกียรติเป็นประธาน เปิดงาน พร้อมด้วยคุณบุศริน ศิริจันทเวท ผู้ช่วยผู้จัดการทั่วไป สำนักปฏิบัติการ 1 พื้นที่ RN, คุณสาวิตรี บุญนะ นักพัฒนาสังคมชำนาญการพิเศษ รักษาราชการแผนพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดพิษณุโลก, คุณดาหวัน กลิ่นเกษม อาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) ให้เกียรติเข้าร่วมแสดงความยินดี ใครผ่านไปแถวนั้นสามารถอุดหนุนสินค้า เพื่อเป็นกำลังใจแก่คุณยายจำลอง ได้ที่หน้าร้านเซเว่นอีเลฟเว่น สาขาพระองค์ดำ (พิษณุโลก)

'กทพ.' สานต่อเมกะโปรเจกต์ เล็งศึกษา 'ทางด่วนเชื่อมเกาะช้าง' ช่วยลดระยะเวลาเดินทาง-เพิ่มทางเลือกนอกเหนือจากเรือเฟอร์รี่

(16 ก.ย.66) ที่ผ่านมา ‘กทพ.’ เร่งผลักดันทางด่วนในภูมิภาคหลายแห่งให้เกิดขึ้นโดยเร็ว เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้ทางและคนในพื้นที่สามารถเดินทางได้สะดวกมากขึ้น อีกทั้งยังช่วยแก้ปัญหารถติดในอนาคต

รายงานข่าวจากการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) เปิดเผยว่า สำหรับความคืบหน้าโครงการทางพิเศษเชื่อมเกาะช้าง จังหวัดตราด ระยะทางประมาณ 6 กิโลเมตร (กม.) วงเงินลงทุนประมาณ 15,000 ล้านบาท ที่ผ่านมากระทรวงคมนาคมได้มีข้อสั่งการให้กทพ.ประสานงานร่วมกับกรมทางหลวงชนบท (ทช.) ในการดำเนินการศึกษาและออกแบบสะพานข้ามเกาะช้าง โดยเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2566 กทพ.ได้ประสานขอความอนุเคราะห์ข้อมูลจากกรมทางหลวงชนบท (ทช.) เพื่อนำมาประกอบการศึกษาความเหมาะสมของโครงการฯ 

ทั้งนี้ ในปัจจุบันกทพ.อยู่ระหว่างจัดทำร่างขอบเขตของงาน (TOR) เพื่อศึกษาความเหมาะสมและออกแบบกรอบรายละเอียดของโครงการฯ คาดว่าจะเริ่มดำเนินการศึกษาได้ภายในปลายปีนี้หรือต้นปี 2567 ระยะเวลาศึกษาประมาณ 2 ปี เนื่องจากโครงการอยู่ในพื้นที่ของอุทยานฯ คาดว่าจะดำเนินการศึกษาแล้วเสร็จภายในปี 2569  

หากโครงการฯ ศึกษาแล้วเสร็จ เบื้องต้นกทพ.จะเสนอรายงานผลการศึกษาความเหมาะสมของโครงการฯพร้อมรายงานการประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) ต่อสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) พิจารณาเห็นชอบอนุมัติโครงการ คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จประมาณปี 2570 ใช้ระยะเวลาเร็วสุดประมาณ 1 ปี และเสนอต่อกระทรวงคมนาคมและคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบภายในปี 2569-2570

“หากโครงการดังกล่าวสามารถขออนุมัติได้ภายใน 1 ปี กทพ.ประเมินว่า โครงการจะเริ่มกระบวนการเปิดประมูลได้ภายในปี 2571 ซึ่งคาดว่าการประมูลอาจจะใช้ทางเลือกในรูปแบบการประมูลระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP) หลังจากนั้นจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างได้ภายในปี 2572 ระยะเวลาการก่อสร้างประมาณ 4 ปี คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ภายในปี 2576”

รายงานข่าวจากกทพ.กล่าวต่อว่า ส่วนสาเหตุที่กทพ.ได้ดำเนินการก่อสร้างโครงการนี้ เพราะได้รับมอบหมายจากกระทรวงคมนาคมให้ดำเนินการรับโอนโครงการดังกล่าวจากกรมทางหลวงชนบท (ทช.)  

ขณะเดียวกันในปัจจุบันการเดินทางข้ามเกาะช้างโดยเรือเฟอร์รี่ที่นำรถยนต์ข้ามเกาะต้องใช้ระยะเวลาในการเดินทางนาน โดยเฉพาะการรอขึ้น-ลงเรือเฟอร์รี่ ซึ่งต้องใช้เวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมง ในช่วงวันหยุดยาวและเทศกาลสำคัญที่มีการเดินทางเป็นจำนวนมาก หากโครงการแล้วเสร็จจะช่วยลดระยะเวลาการเดินทางได้มากขึ้น

ที่ผ่านมาพบว่าทางจังหวัดตราดได้ขอความอนุเคราะห์ให้กรมทางหลวงชนบท (ทช.) ศึกษาออกแบบโครงการฯแต่กรมได้พิจารณาแล้วเป็นโครงการขนาดใหญ่ ต้องใช้งบประมาณก่อสร้างมาก ซึ่งต้องใช้เทคนิคและข้อกำหนดพิเศษทางด้านวิศวกรรมในการออกแบบก่อสร้าง จำเป็นต้องศึกษาความเหมาะสมและความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ ประกอบกับแนวก่อสร้างโครงการพาดผ่านทะเลอ่าวไทย, ผ่านพื้นที่อุทยานแห่งชาติและพื้นที่ชั้นคุณภาพลุ่มน้ำชั้นที่ 2 ซึ่งจะต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) ด้วย

ทั้งนี้ จังหวัดตราดได้ดำเนินการเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นของประชาชน, ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน โดยแจ้งผลให้ทราบเพื่อประกอบการพิจารณาของโครงการฯ เชื่อมเกาะช้าง ซึ่งจังหวัดตราดได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการและคณะทำงานดำเนินการเปิดรับฟังความคิดเห็น 3 ครั้ง โดยเป็นการทำแบบสำรวจภาคประชาชน ใน 3 พื้นที่ ประกอบด้วย อ.เกาะช้าง, อ.แหลมงอบ และพื้นที่อื่น ๆ พบว่า เห็นด้วย 95.19% ที่ไม่เห็นด้วย 4.81% เห็นว่าสิ้นเปลืองงบประมาณ ทรัพยากรธรรมชาติ ป่าไม้จะเสียหาย ส่วนพื้นที่ อ.เกาะช้าง เห็นด้วย 98.63%

สำหรับโครงการทางพิเศษเชื่อมเกาะช้าง จังหวัดตราด ระยะทางประมาณ 6 กิโลเมตร (กม.) มีจุดเร่งต้นโครงการบริเวณพื้นที่อำเภอแหลมงอบ จังหวัดตราดเชื่อมข้ามทะเลอ่าวไทยไปสิ้นสุดโครงการที่อำเภอเกาะช้าง จังหวัดตราด

อย่างไรก็ตาม หากโครงการดังกล่าวสามารถก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการ จะช่วยลดระยะเวลาในการเดินทางซึ่งส่งผลดีต่อการอำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวและคนในพื้นที่เกาะช้างมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

‘กรณ์’ เตือน!! ‘แจกเงินดิจิทัล’ รัฐบาลต้องแบกดอกเบี้ยเพิ่ม ชี้!! กลไกเศรษฐศาสตร์ ทุกอย่างมีต้นทุน มี ‘ราคาที่ต้องจ่าย’

(17 ก.ย. 66) นายกรณ์ จาติกวณิช อดีตหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ‘กรณ์ จาติกวณิช - Korn Chatikavanij’ ระบุว่า...

ว่าด้วยนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ กับ ภาระทางการคลัง

ระหว่างที่ถกเถียงกันเรื่องนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยเงินดิจิทัล 10,000 บาท ขอให้สังเกตประมาณการสถานะทางการเงินล่าสุดของประเทศให้ดีครับ

กระทรวงการคลังเสนอประมาณการชุดนี้ในการประชุมครม.แรกของ #รัฐบาลเศรษฐา สำหรับใครที่ไม่ชอบดูตารางข้อมูลแบบนี้ ผมขอสรุปประเด็นสำคัญให้ดังนี้…

1.) รายได้รัฐบาลเพิ่มขึ้น

2.) แต่รายจ่ายเพิ่มขึ้นมากกว่า

3.) รัฐบาลเลยจะขาดดุลมากขึ้น (3% ของ GDP จากที่เดิมคาดว่าจะลดลงเหลือ 2.8% ในปีหน้า)

4.) ในขณะที่เศรษฐกิจโตช้ากว่าที่คาดไว้เดิม

5.) ดังนั้น สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP จึงสูงขึ้นมาก (64% vs. เดิม 61.35%)

แล้วไง?

ประมาณการใหม่นี้กำลังสร้างความกังวลให้นักเศรษฐศาสตร์อย่างมาก เพราะอะไร?

เพราะทุกอย่างมีต้นทุน คือมี ‘ราคาที่ต้องจ่าย’ ซึ่งราคาที่ว่านี้ปรากฏชัดเจนในส่วนของต้นทุนดอกเบี้ยของรัฐบาลที่เพิ่มขึ้น อย่างอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาล 10 ปี ทะลุ 3% ไปแล้ว เพิ่มขึ้นมากว่า 50bps ในช่วงไม่กี่อาทิตย์ที่ผ่านมา

… และประมาณการนี้ยังไม่ได้รวมนโยบายแจกเงิน 10,000 บาทของรัฐบาล ซึ่งอย่างไรรัฐบาลก็ต้องกู้ หรือยืมรัฐวิสาหกิจมาแจก

วันนี้หนี้รัฐบาลมีอยู่ 11 ล้านล้านบาท

รัฐบาลต้องออกพันธบัตรใหม่มาชำระชุดเก่าตลอดเวลา ซึ่งต้นทุนก็จะมีแต่สูงขึ้น เป็นภาระต่องบประมาณมากขึ้น แนวโน้มดอกเบี้ยเราจะสูงขึ้นเรื่อยๆ ด้วยหลากหลายปัจจัย เช่นการส่งออกที่ซบเซา ราคาน้ำมันโลกที่สูงขึ้น รวมไปถึงรายจ่ายภาครัฐจากนโยบาย ‘กระตุ้นเศรษฐกิจ’ ของรัฐบาลใหม่

จุดแข็งของไทยเราคือ เราแทบไม่มีหนี้สกุลเงินต่างประเทศ แต่อย่างไรเราก็เป็นส่วนหนึ่งของระบบเศรษฐกิจของโลก ไม่ระวังไม่ได้ครับ

‘กองสลาก’ เปิดขาย ‘สลาก L6’ งวดแรก ผ่านแอปฯ เป๋าตัง หนุนคนไทยซื้อเข้าถึงสลากฯ ในราคาที่เป็นธรรม

(17 ก.ย. 66) พันโทหนุน ศันสนาคม ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่สำนักงานสลากฯ ดำเนินโครงการสลากดิจิทัล โดยทำการเปิดขายครั้งแรกในงวดวันที่ 16 มิ.ย. 65 ที่จำนวน 5 ล้านใบ ได้รับความสนใจจากประชาชนผู้ซื้อสลากฯ รวมทั้งตัวแทนรายย่อยผู้ค้าสลากเป็นจำนวนมาก มาอย่างต่อเนื่อง จนถึงขณะนี้ มีปริมาณสลากดิจิทัลทั้งสิ้นกว่า 20 ล้านใบ และยังคงสามารถจำหน่ายได้หมดทุกงวด สะท้อนให้เห็นถึงความชัดเจนของแนวทางการแก้ปัญหาสลากเกินราคาฯ ที่ดำเนินการเป็นขั้นเป็นตอน เป็นเครื่องพิสูจน์ได้ว่า “สลาก 80 บาทมีอยู่จริง” และภายในปี 2566 สำนักงานสลากฯ ยังคงตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มจำนวนสลากดิจิทัล เพื่อให้ประชาชนผู้ซื้อสามารถเข้าถึงสลากฯ ราคา 80 บาท

ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล กล่าวต่อไปว่า สำหรับสลากงวดวันที่ 1 ตุลาคม 2566 ที่จะเริ่มขายในวันที่ 17 กันยายน 2566 นี้ เป็นงวดแรกที่จะจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลหกหลัก (Lottery 6 : L6) ทั้งสลากใบ และสลากดิจิทัล รวม 101 ล้านฉบับ แบ่งเป็น สลากใบ 80 ล้านฉบับ และสลากดิจิทัล 21 ล้านฉบับ ทั้งนี้ สลากใบจะมีลักษณะเหมือนกับสลากที่ขายอยู่ในปัจจุบันทุกประการ คือ มีการพิมพ์บนกระดาษป้องกันการปลอมแปลง มีลายน้ำ และเส้นไหมสอดแทรกอยู่ในเนื้อกระดาษ มีการพิมพ์สัญลักษณ์ป้องกันการปลอมแปลงต่าง ๆ รวมถึงพิมพ์ข้อความ L6 แบบใบ ลงบนสลากด้วย ในขณะที่ สลากดิจิทัล ไม่ได้มีการพิมพ์ขึ้นมาเป็นใบ แต่เป็นข้อมูลที่อยู่ในระบบดิจิทัล มีการพิมพ์ข้อความ L6 แบบดิจิทัล บนสลาก และทำการซื้อขายผ่านแอปเป๋าตัง

ส่วนการขึ้นเงินรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาลหกหลัก (Lottery 6 : L6) แบบใบ สามารถขึ้นเงินรางวัลได้ที่สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล หรือที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารกรุงไทย และธนาคารออมสินทุกสาขา โดยนำสลากใบที่ถูกรางวัลพร้อมด้วยบัตรประจำตัวประชาชนเพื่อแสดงต่อเจ้าหน้าที่ ส่วนสลากกินแบ่งรัฐบาลหกหลัก (Lottery 6 : L6) แบบดิจิทัล ระบบจะตรวจสอบการถูกรางวัลให้อัตโนมัติ โดยผู้ซื้อสามารถเลือกรับเงินรางวัลโดยการโอนเข้า บัญชีธนาคารกรุงไทย หรือเข้า G-Wallet ของผู้ซื้อได้ภายในไม่เกิน 2 ชั่วโมง

ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล กล่าวว่า สำนักงานสลากฯ ยังคงตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มจำนวนสลากดิจิทัล เพื่อให้ประชาชนผู้ซื้อ สามารถเข้าถึงสลากฯ ราคา 80 บาท ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มจำนวนสลากดิจิทัล เป็น 30 ล้านใบ หรือเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 2 ล้านใบต่องวด ตามภาวะตลาดในแต่ละงวด และไม่กระทบสลากแบบใบในระบบที่มีอยู่ 80 ล้านใบ โดยจะทยอยเชิญรายย่อยที่ลงทะเบียนเป็นตัวแทนจำหน่ายสลากดิจิทัลมาทำสัญญา

รวมทั้งยังมีการเปิดให้ตัวแทนประเภทบุคคลรายย่อยทั่วไป คนพิการ สมาคม องค์กร มูลนิธิ และผู้มีสิทธิ์ทำรายการซื้อ-จองล่วงหน้าสลากกินแบ่งรัฐบาล แจ้งความประสงค์โดยสมัครใจเข้าร่วมเป็น ตัวแทนจำหน่ายสลากดิจิทัล (Lottery 6 หรือ L6) ตั้งแต่วันที่ 28 ส.ค.2566 – 28 ต.ค.2566 ผ่านเว็บไซต์ www.glo.or.th อีกด้วย

‘สภาอุตฯภาคเหนือ’ ชี้ ฝุ่นควันเชียงใหม่ทำสูญ 3 หมื่นลบ. หวังโครงการ ‘หยุดเผาเรารับซื้อ’ แก้ปัญหา PM2.5 อย่างยั่งยืน

อย่างที่ทราบกันดีว่า ในช่วงหน้าแล้งของทุกปี จังหวัดเชียงใหม่และภาคเหนือตอนบน ต้องเผชิญกับสถานการณ์ไฟป่าและหมอกควันแทบจะกลายเป็นเรื่องปกติ เมื่อเวลาพูดถึงเชียงใหม่ คนส่วนใหญ่พูดถึงหมอกควัน ไม่ว่าจะเป็นคนไทยหรือคนต่างประเทศ ต่างมุ่งไปที่จุดเดียวกันว่า เชียงใหม่ในวันนี้ มาพร้อมกับคําว่า “ฝุ่นควัน” แน่นอนว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้น ได้ส่งผลกระทบทั้งเรื่องด้านสุขภาพ และด้านเศรษฐกิจ

นายอนุชา มีเกียรติชัยกุล รองประธานสภาอุตสาหกรรมภาคเหนือ ได้ให้ข้อมูลถึงผลกระทบจากไฟป่าและหมอกควัน PM2.5 ว่า จากผลการวิจัยและเก็บข้อมูล พบว่า เศรษฐกิจของจังหวัดเชียงใหม่เสียหายประมาณ 30,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งเรื่องแรกที่ได้รับผลกระทบ เป็นเรื่องของทรัพยากรมนุษย์ เกิดการเจ็บป่วย มีค่าใช้จ่ายในการรักษาตลอดในช่วงเวลาสามเดือนที่เกิดฝุ่นควัน และยังเกิดความเสียหายต่อประสิทธิภาพในการทำงานของบุคลากรในพื้นที่ด้วย ทั้งนี้ หากภาคแรงงานในช่วงนั้น เกิดการเจ็บป่วย แน่นอนว่า ย่อมทำให้ภาคการผลิตต้องชะลอตัวลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ขณะที่ความเสียหายส่วนที่สอง เป็นเรื่องของทรัพยากรธรรมชาติ ทั้งระบบนิเวศเชิงเศรษฐกิจและเชิงเกษตร เนื่องจากภาคเหนือ โดยเฉพาะจังหวัดเชียงใหม่ มีอุตสาหกรรมที่สําคัญ นั่นก็คืออุตสาหกรรมอาหารแปรรูป เมื่อระบบนิเวศเปลี่ยน ย่อมส่งผลให้หลาย ๆ อย่างเปลี่ยนไปมากเช่นกัน ดังจะเห็นได้จากผลผลิตภาคการเกษตรที่ลดลง จากผลกระทบในเรื่องของโลกร้อน

และไม่เพียงแต่ความเสียหายจากผลผลิตที่ลดลงเท่านั้น ในด้านสิ่งแวดล้อมยังต้องมีค่าใช้จ่ายจำนวนมากในการที่จะฟื้นฟูให้กลับมาเป็นเช่นเดิม

และแน่นอนว่า เรื่องที่ได้รับผลกระทบที่ชัดเจนที่สุด ก็คือเรื่องการท่องเที่ยวของจังหวัดเชียงใหม่ โดยในช่วงปกตินั้นจังหวัด เชียงใหม่จะมีรายได้จากการท่องเที่ยวกว่า 10,000 หมื่นล้านบาทต่อเดือนนะครับ แต่ทว่าในช่วงสามเดือนที่เกิดวิกฤตฝุ่นควันนั้น ไม่ว่าคนไทยหรือชาวต่างชาติ แทบจะไม่มาเยือนเชียงใหม่เลย ทำให้รายได้หายไปราว 30%

นอกจากนี้ วิกฤตฝุ่นควันที่เกิดขึ้น ยังลามไปถึงภาคการค้าการลงทุนด้วย โดยพบว่านักลงทุนต่างชาติที่จะเข้ามาดำเนินธุรกิจโรงแรม และโรงเรียนหลายโครงการได้ชะลอการลงทุน เนื่องจากมองว่า จะเกิดความเสียหายต่อธุรกิจหากสถานการณ์ฝุ่นควันยังเกิดขึ้นทุกปี

“ความไม่แน่นอนเป็นเรื่องสําคัญมากในการที่นักลงทุนจะเข้ามาดำเนินธุรกิจ ทำให้ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา การลงทุนธุรกิจโรงเรียนและโรงแรม ได้หยุดชะงักไปหลายโครงการมาก และบางส่วนเปลี่ยนไปลงทุนที่อื่น ซึ่งภาคการลงทุนถือว่าสำคัญมาก และเราต้องสูญเสียเม็ดเงินส่วนนี้ไป 3-4 หมื่นล้านทุกปี เป็นระยะเวลานับ 10 ปีแล้ว ซึ่งเราต้องหันมาแก้ปัญหาอย่างจริงจัง และเชื่อว่าโครงการที่เป็นความร่วมมือของภาคีเครือข่ายภาครัฐและเอกชน ที่เปิดโครงการหยุดเผาเรารับซื้อ เพื่อนำเศษตอซังข้าวโพดและเศษใบไม้ ไปต่อยอดเป็นพลังงานชีวมวล ซึ่งเป็นโครงการที่ดีที่ได้ภาคเอกชนมาเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ไขปัญหา ซึ่งจะนำไปสู่การฟื้นฟูสภาพอากาศของเชียงใหม่ได้อย่างยั่งยืน”

‘นักวิชาการนิด้า’ แนะ ควรวางเงื่อนไขแจกเงินดิจิทัลให้คุ้มค่า ต้องเพิ่มทักษะอาชีพ-เน้น ศก.ฐานรากให้การหมุนเวียนเม็ดเงิน

‘นักวิชาการนิด้า’ แนะแนวทางแจกเงินดิจิทัลคนละ1 หมื่นบาท ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ชี้ควรวางเงื่อนไขให้พัฒนาทักษะอาชีพรับทักษะใหม่ๆ เพื่อให้เกิดผลดีต่อเศรษฐกิจ แนะวางเงื่อนไขให้เกิดการทยอยใช้จ่ายในเศรษฐกิจชุมชน เน้นเศรษฐกิจฐานรากให้เกิดการหมุนเวียนเม็ดเงินหลายรอบ

รัฐบาล ‘เศรษฐา1’ ได้มีการบรรจุนโยบายแจกเงินดิจิทัลคนละ 10,000 บาทผ่านดิจิทัล วอลเล็ต (Digital Wallet) เพื่อทำหน้าที่เป็นตัวจุดชนวนที่จะกระตุกเศรษฐกิจประเทศให้ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง โดยมีเป้าหมายให้มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจได้ถึงระดับฐานราก

เมื่อวันที่ 16 ก.ย. 66 นายมนตรี โสคติยานุรักษ์ ผู้อำนวยการหลักสูตรวิทยาการจัดการสำหรับนักบริหารระดับสูง (วบส.) สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA) กล่าวว่าการที่รัฐบาลออกมาตรการแจกเงินผ่านดิจิทัลวอลเล็ตเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจโดยหวังให้เกิดการใช้จ่าย บริโภคของประชาชนเนื่องจากเห็นถึงข้อจำกัดในการใช้จ่ายของครัวเรือนไทยที่มีหนี้ครัวเรือนสูงถึง 91.6% ซึ่งทำให้กำลังใช้จ่ายของคนไทยมีจำกัด

หากจะให้มีการใช้จ่ายเพิ่มรัฐบาลจำเป็นที่ต้องเอาเงินไปใส่มือประชาชนเพื่อให้ประชาชนไปใช้จ่าย แล้วรัฐเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากการใช้จ่าย และคาดหวังให้เกิดการลงทุนเพิ่มขึ้น เพื่อให้เศรษฐกิจมีการหมุนเวียนคึกคักซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับเศรษฐกิจในระยะต่อไปด้วย

อย่างไรก็ตาม ที่มาของเงินจำนวนนี้เป็นเงินกู้ซึ่งอาจจะเป็นการกู้เงินจากรัฐวิสาหกิจมาใช้ก่อนแล้วรัฐบาลตั้งงบประมาณใช้คืนภายหลัง การกู้ขาดดุลงบประมาณ รวมทั้งอาจมีการออกพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) เพื่อกู้เงินเพิ่มเติมซึ่งจะทำให้ระดับหนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี)เพิ่มขึ้นจากระดับปัจจุบันที่ระดับ 61.7% ต่อจีดีพี ดังนั้นสิ่งที่รัฐบาลต้องคิดคือ “เงินมีต้นทุน” จะทำอย่างไรให้เงินจำนวนนี้มีความคุ้มค่ามากที่สุด สามารถหมุนเวียนและสามารถผลักดันให้เศรษฐกิจขยายตัวได้มากที่สุด

“การกำหนดเทคโนโลยีที่จะมาใช้สำหรับการแจกเงินดิจิทัลไม่ใช่เรื่องน่ากังวลเท่าไหร่สำหรับโครงการนี้เพราะหากจะใช้บล็อกเชน หรือใช้โครงการบาทดิจิทัลของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ได้เริ่มมีการทดลองไปแล้วระยะหนึ่งก็สามารถทำได้ แต่การหมุนเวียนของเงินในระบบเศรษฐกิจเป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องคิดให้รอบคอบเนื่องจากหากให้มีการใช้เงินในร้านค้าสะดวกซื้อขนาดใหญ่ หรือซื้อของจากโมเดิร์นเทรดก็จะทำให้เงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจช้า เนื่องจากเมื่อผู้ซื้อซื้อสินค้าจากร้านค้ารายใหญ่พวกนี้จะมีอำนาจต่อรองสูง กว่าที่จะเอาเงินที่ได้ไปให้ซัพพายเออร์ก็จะใช้เวลาถึง 3-4 เดือน ต่างจากที่มีการซื้อกันในกลุ่มลูกค้ารายย่อยก็จะทำให้เงินหมุนเวียนได้รวดเร็วกว่า

นอกจากนั้น บางสินค้าก็ไม่ได้มีซัพพายเชนในประเทศไทย แต่เป็นแค่มาประกอบในเมืองไทยทำให้สินค้าบางชนิดไม่ได้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจกับประเทศไทยเท่าที่ควร หากรัฐบาลสามารถกำหนดเงื่อนไขลงไปถึงสินค้าที่มีซัพพายเชนในไทยยาวๆก็จะทำให้เกิดการหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ และการลงทุนเพิ่มขึ้น”

นายมนตรี กล่าวต่อว่าแนวทางของการแจกเงินดิจิทัลที่จะเกิดประโยชน์คุ้มค่ามากที่สุดก็คือการกำหนดเงื่อนไขว่าผู้ที่รับเงินดิจิทัลจากโครงการนี้ต้องเข้าโครงการฝึกอบรมเพิ่มทักษะ ปรับทักษะ (Upskills – Reskills) การทำงานให้สอดคล้องกับตลาดงานสมัยใหม่ที่ต้องการใช้ความรู้และทักษะใหม่ๆ เช่น ทักษะดิจิทัล และทักษะเรื่องการใช้ข้อมูล หากรัฐบาลกำหนดเงื่อนไขการใช้เงินให้ผู้รับเงินต้อง Upskills – Reskills ไปด้วยก็จะเป็นผลดีต่อนโยบายการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำของรัฐบาลที่ต้องการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาทต่อวันภายในปี 2570 และเพิ่มเงินเดือนให้กับแรงงานระดับปริญญาตรี 25,000 บาทต่อเดือนภายในปี 2570 ซึ่งค่าจ้างแรงงานที่เพิ่มขึ้น ต้องมาพร้อมกับความสามารถและทักษะของแรงงานที่เพิ่มขึ้นด้วย

สำหรับอีกแนวทางที่สำคัญของการกำหนดเงื่อนไขในการใช้เงินดิจิทัลที่รัฐบาลควรกำหนดคือ ควรทำให้การใช้จ่ายเงินนั้นทยอยลงสู่ระบบเศรษฐกิจ คือให้เกิดการใช้ที่ต่อเนื่องแบบค่อยเป็นค่อยไปและเป็นระยะเวลาที่ยาวนานพอสมควร เช่น สมมุติว่ากำหนดให้การจ่ายใช้จ่ายเงิน 10,000 บาทเป็นระยะๆ เช่น ไตรมาสละ 3,000 บาท 2 ไตรมาส และไตรมาสสุดท้ายให้ใช้ 4,000 บาท ก็จะทำให้เงินจำนวนนี้หมุนเวียนใช้จ่ายในระบบเศรษฐกิจได้นานทั้งปี

โดยเงินจำนวนนี้แม้จะเป็นอีกกระเป๋าของรัฐที่ให้ประชาชนใช้จ่ายแต่เป็นเงินกู้ที่กู้มาทำโครงการที่คาดหวังให้เศรษฐกิจโต ดังนั้นความเสี่ยงก็คือหากโครงการออกไปแล้วเศรษฐกิจไม่โต หรือเศรษฐกิจคึกคักแค่สั้นๆ ก็จะทำให้จีดีพีโตได้น้อย และหนี้สาธารณะต่อจีดีพีก็จะเพิ่มสูงขึ้นซึ่งก็เป็นอันตรายต่อเศรษฐกิจในระยะต่อไปเมื่อหนี้สาธารณะสูงขึ้น

“การแจกเงินดิจิทัลจะเป็นพายุหมุนทางเศรษฐกิจนั้นตนไม่ค่อยเห็นด้วย เพราะพายุหมุนอาจจะเป็นไต้ฝุ่นที่พัดให้บ้านเรือนพังได้ ถ้าหากทำให้เป็นพายุดีเปรสชั่นอาจจะดีกว่าเพราะฝนจะตกแบบเรื่อยๆค่อยๆสม่ำเสมอ เหมือนเงินที่จะลงไปสู่ระบบเศรษฐกิจแบบค่อยเป็นค่อยไปก็จะทำให้เกิดผลดีกับระบบเศรษฐกิจ แล้วหากสามารถทำให้เกิดการหมุนเวียนในระดับฐานรากของปิรามิดของสังคม ก็จะทำให้เกิดผลดีต่อระบบเศรษฐกิจมากขึ้น” นายมนตรี กล่าว

‘รองฯ อ้วน’ สาธิตผัดข้าวกะเพรา กลางงาน CAEXPO 2023 ย้ำ!! รัฐฯ หนุนเอสเอ็มอีเต็มที่ ดันสินค้าท้องถิ่นไทยสู้ตลาดโลก

เมื่อวันที่ 16 ก.ย. 66 ที่นครหนานหนิง ประเทศจีน นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้ใช้โอกาสในการนำคณะผู้บริหารระดับสูง เดินทางเยือนเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง ระหว่างวันที่ 15-18 กันยายน 2566 เพื่อเข้าร่วมพิธีเปิดงานแสดงสินค้าจีน-อาเซียน หรือ ‘China–ASEAN Expo’ (CAEXPO 2023) ครั้งที่ 20 ซึ่งจัดขึ้นที่ศูนย์นิทรรศการและการประชุมระหว่างประเทศนครหนานหนิง (Nanning International Convention & Exhibition Center) นครหนานหนิง เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง ประเทศจีน

โดยเมื่อวันที่ 16 ก.ย. 66 เข้าพบปะหารือกับผู้ประกอบการไทยที่มาออกบูธในงาน CAEXPO จำนวน 76 รายใน 4 กลุ่มสินค้า ได้แก่ กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม กลุ่มแฟชั่นและเครื่องประดับ กลุ่มสุขภาพและความงาม และกลุ่มของใช้ในครัวเรือนและของตกแต่งบ้าน โดยพบว่า ส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการ SMEs ซึ่งเป็นไปตามนโยบายรัฐบาลที่ให้ความสำคัญกับการส่งเสริม SMEs และได้ยืนยันกับผู้ประกอบการว่า จะเพิ่มความเข้มข้นในการสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs ให้เพิ่มมากขึ้นต่อไป

ทั้งนี้ ยังได้ใช้โอกาสนี้ เข้าเยี่ยมชมคูหาส่งเสริมข้าวไทย และสาธิตการทำเมนูผัดกะเพราหมู ซึ่งมั่นใจว่าข้าวไทย จะได้รับการตอบรับจากผู้ซื้อ ผู้นำเข้าชาวจีน และผู้เข้าเยี่ยมชมงานจากประเทศอื่นๆ นอกจากนี้ ยังได้เยี่ยมชมศูนย์แสดงสินค้าดีเด่นจีน-อาเซียน หรือ China ASEAN Merchantile Exchange (CAMEX หรือ คาเม็กซ์) เป็นโครงการสำคัญในการส่งเสริมความร่วมมือทางการค้าจีน – อาเซียนภายใต้กรอบความร่วมมือ ‘One Belt One Road’ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐทางเขตกว่างซี ลงทุนก่อตั้งและบริหารจัดการโดยบริษัทสิงคโปร์ CSILP (China-Singapore Nanning International Logistic Park) เปิดอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 14 กันยายน 2565 โดยมั่นใจว่าจะเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการกระจายสินค้าจากไทยและอาเชียนเข้าสู่ตลาดจีนได้เพิ่มขึ้น โดยจะมีการเชื่อมโยงการทำงานระหว่างทูตพาณิชย์ พาณิชย์จังหวัด กับผู้ประกอบการในการนำสินค้ามาจำหน่ายต่อไป

ปัจจุบันมีสินค้าจากประเทศไทยจัดแสดงอยู่ในศูนย์ CAMEX จำนวน 18 บริษัท โดยเป็นสินค้าประเภทอาหาร เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ยางพารา อาทิ ข้าวเหนียวมะม่วง จาก จ.ตาก หมอนยางพารา จาก จ.อุตรดิตถ์ เป็นต้น

ทั้งนี้ สำนักงานส่งเสริมการค้าฯ เมืองหนานหนิง ได้บูรณาการร่วมกันกับพาณิชย์จังหวัดต่างๆ ในการส่งเสริมและผลักดันสินค้าโดดเด่นจากท้องถิ่นเข้าร่วมจัดแสดงในศูนย์ฯ เพิ่มขึ้น ซึ่งจะเป็นโอกาสสำคัญของ SMEs ไทยในการบุกตลาดจีนต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายภูมิธรรม ขณะเยี่ยมชมคูหา Thailand Pavilion ในงาน China ASEAN Expo ได้สาธิตทำข้าวผัดกะเพรา เพื่อให้คนร่วมงานได้ชิม หนึ่งในการโปรโมตข้าวไทยและสมุนไพรไทย

‘รมว.ดีอีเอส’ เล็งดัน ‘Digital Nomad Visa’ ขับเคลื่อนศก. หวังดึงดูดกลุ่มแรงงาน ขยายการรองรับอุตสาหกรรมดิจิทัล

(17 ก.ย. 66) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เปิดเผย หลังการลงพื้นที่พบปะพูดคุยกับประชาชน ร่วมกับ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โดยได้รับข้อมูลจากคนในท้องถิ่นว่า ปัจจุบันมีกลุ่มบุคคลที่หาเลี้ยงชีพด้วยธุรกิจออนไลน์ (Digital Nomad) ที่ทำงานในจังหวัดเชียงใหม่มากกว่า 5-6 พันคน ซึ่งสามารถสร้างรายได้ให้กับคนในพื้นที่จำนวนมาก จึงขอให้นายกรัฐมนตรี สนับสนุนให้มีการขยายตัวกลุ่ม Digital Nomad เพิ่มมากขึ้น เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกและสร้างแรงจูงใจในการเข้ามาทำงาน ซึ่งทางนายกรัฐมนตรีได้รับปากว่าจะรีบพิจารณาข้อเสนอดังกล่าว

นายประเสริฐ กล่าวว่า Digital Nomad Visa จะเป็นประโยชน์กับเศรษฐกิจ และสามารถขยายผล ในวงกว้างให้กับจังหวัดอื่น ๆ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมดิจิทัล โดยทางดีอีเอสจะเร่งหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และนำเสนอต่อนายกรัฐมนตรีในสัปดาห์หน้า เพื่อเป็นการสนับสนุนนโยบาย Digital Nomad หรือ ‘Remote Worker’ โดยเฉพาะด้านดิจิทัลเทคโนโลยี ในการดึงดูดแรงงานขั้นสูง และกำลังคนดิจิทัลสาขาขาดแคลน

“ทั้งนี้ จะทำการดึงนักศึกษาจากมหาวิทยาลัย Top 600 ระดับโลกก่อน และเชื่อว่ามาตรการนี้ จะส่งผลประโยชน์กับทางจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งถือเป็นเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญของประเทศไทยโดยรวมอย่างแน่นอน” รมว.ดีอีเอส กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top