Saturday, 17 May 2025
Econbiz

‘บิ๊กตู่’ ชวนคนไทยมอบ 'หอม' แทนใจในวันวาเลนไทน์ หนุนเกษตรกรศรีสะเกษ หลังปั้น 'ผลผลิตดี-มีราคา'

(7 ก.พ. 66) ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาลก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นายสำรวย เกษกุลผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ และคณะผู้บริหารจังหวัดศรีสะเกษ เข้าพบพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เพื่อประชาสัมพันธ์กิจกรรม 'สื่อรักด้วยใจ รักใครให้หอ' ปี 2566 จังหวัดศรีสะเกษ โดยมี พล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย และนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง เข้าร่วม

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขอชื่นชมการดำเนินโครงการเกษตรแปลงใหญ่จังหวัดศรีสะเกษ ที่มีส่วนสำคัญทำให้ได้ผลผลิตและราคาหอมสูงขึ้น ดีใจกับเกษตรกร ขอขอบคุณทุกส่วนราชการที่บูรณาการทำงานจนประสบความสำเร็จ ช่วยขับเคลื่อนการเกษตรส่งผลให้มีรายได้เพิ่มขึ้น พร้อมเชิญชวนให้คนไทยทุกคนช่วยกันอุดหนุนหอมแดง กระเทียมศรีสะเกษ ผ่านกิจกรรม 'สื่อรักด้วยใจ รักใครให้หอม' ซึ่งนอกจากจะได้อุดหนุนสินค้าเกษตรยังได้รับความสุขด้วย และเดือนนี้เป็นเดือนแห่งความรัก อยากให้ทุกคนส่งความรักให้กันผ่านหอม 

“ขอเชิญชวนให้ประชาชนร่วมอุดหนุนหอมแดง ของจังหวัดศรีสะเกษที่ได้จัดทำเป็นแพ็กเกจ ใช้เป็นของแทนใจสื่อความรักในวันวาเลนไทน์ ในโอกาสวันวาเลนไทน์ที่จะถึงนี้เพื่อช่วยสร้างรายได้ให้เกษตรกรในพื้นที่ได้ทั้งความสุขและความสดชื่นได้ช่วยเหลือเกษตรกรโดยตรงด้วย เป็นนโยบายของนายกรัฐมนตรีที่ให้ทำงานร่วมกัน ไม่ใช่ว่าคนนี้ดีคนนี้เก่งแล้วที่เหลือไม่ทำงาน เพราะทุกคนช่วยกันทำงานด้วยกันทุกคน ขอขอบคุณผู้ว่าราชการจังหวัด ขอให้หอมกันเยอะๆ และเลือกหอมให้ดี อย่าหอมผิดคน ไม่เช่นนั้นจะโดนนะ" ก่อนที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะกล่าวกับตัวแทนเกษตรกรในตอนท้ายว่าว่า "รู้ใช่ไหมนายกรัฐมนตรีชอบหวาน เป็นคนไม่ค่อยหวาน ต้องเติมน้ำตาล" พร้อมกันนี้นายกรัฐมนตรียัง ได้ชิมชาศรีสะเกษ พร้อมกล่าวชมว่า "ชาดี อร่อย ให้นำชาไปในห้องประชุม ครม. และนายกรัฐมนตรี"

เสร็จแล้ว 1 พื้นที่ สานต่ออีก 7 โครงการ ‘บ้านคนไทยประชารัฐ’ เอาใจผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ-ผู้มีรายได้น้อย

(7 ก.พ. 66) น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)ว่า ครม. รับทราบผลการดำเนินโครงการ ‘บ้านคนไทยประชารัฐ’ บนที่ดินราชพัสดุ และมีมติอนุมัติให้กำหนดระยะเวลาการให้อัตราดอกเบี้ยผ่อนปรน สำหรับธุรกรรมนโยบายภาครัฐ โดยขยายระยะเวลาออกไปอีก 1 ปี ระหว่างวันที่ 3 ม.ค. 2566 - 2 ม.ค. 2567 เพื่อให้อัตราดอกเบี้ยคงเดิม โดยให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจปฏิบัติ ตามประกาศ ธปท. กฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง และมติ ครม. อย่างเคร่งครัด

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มุ่งมั่นดำเนินโครงการบ้านคนไทยประชารัฐ จำนวน 2,757 ยูนิต เพื่อให้ประชาชน 3 กลุ่มเป้าหมาย คือ ผู้ได้รับสิทธิในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ / ผู้มีรายได้ไม่เกิน 35,000 บาทต่อเดือน และประชาชนทั่วไปได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง โดยเป็นโครงการบ้านแฝด บ้านแถวอาคารชุดพักอาศัย ที่มีพื้นที่ใช้สอยไม่น้อยกว่า 28 ตร.ม. ในระดับราคา 350,000-700,000 บาท ซึ่งเป็นโครงการการผ่อนชำระสู่การเช่าระยะยาว กรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยเป็นของผู้ได้รับสิทธิอยู่อาศัยและผู้ได้รับสิทธิพัฒนาโครงการ ซึ่งมีมาตรการสินเชื่อ ดังนี้... 

ท่าเรือ 'มาบตาพุด' ระยะ 3 คืบ!! คาดปี 70 เปิดใช้ท่าเรือก๊าซ ช่วยรองรับการขนส่งก๊าซธรรมชาติได้ 31 ล้านตันต่อปี

(8 ก.พ. 66) น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 ว่า เป็นการรองรับการขนถ่ายก๊าซธรรมชาติและวัตถุดิบเหลวสำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมี เพื่อความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ ซึ่งมีมูลค่าการลงทุนทั้งโครงการ 6.4 หมื่นล้านบาท เป็นการลงทุนของภาคเอกชน 5.2 หมื่นล้านบาท ภาครัฐ 1.2 หมื่นล้านบาท แบ่งดำเนินการเป็น 2 ช่วง คือ

ช่วงที่ 1 เป็นการร่วมทุนระหว่างการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) กับเอกชน เพื่อขยายพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด เป็นพื้นที่ถมทะเล 1,000 ไร่ (พื้นที่หลังท่าและหน้าท่าพร้อมใช้งาน 550 ไร่ และพื้นที่กักเก็บตะกอนดิน 450 ไร่)
ช่วงที่ 2 เพื่อก่อสร้างท่าเรือสินค้าเหลว (แปลง A) และพื้นที่คลังสินค้าธุรกิจเกี่ยวเนื่อง (แปลง C)

โดยในช่วงที่ 1 ได้ดำเนินการออกแบบโครงสร้างพื้นฐานและงานออกแบบรายละเอียดเรียบร้อยแล้ว ส่วนการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน แบ่งเป็น การถมทะเลคืบหน้า ร้อยละ 35.88 เร็วกว่าแผน ร้อยละ 2.91 ขณะที่การดำเนินการก่อสร้างเขื่อนกันทราย (Revetment) ก่อสร้างได้ระยะทาง 5,410 เมตร มีการใช้หินสะสม 1.17 ล้านลบ.ม. และได้เริ่มงานลงหิน Toe Rock & Rock Underlayer ก่อสร้างได้ระยะทาง 240/5,410 เมตร คาดว่าจะแล้วเสร็จเปิดดำเนินการท่าเรือก๊าซได้ในปี 2570

'บิ๊กตู่' ปลื้ม!! RCEP ดัน ศก.อาเซียนโตเหนือปี 65 ขยายตัว 7% มูลค่ารวม 10 ล้านล้านบาท

(9 ก.พ. 66) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พอใจผลรายงานความตกลง RCEP ซึ่งทำให้การค้าไทยและประเทศสมาชิกขยายตัวร้อยละ 7.11 มูลค่าการค้ารวม 10 ล้านล้านบาท

นายอนุชา กล่าวว่า จากผลบังคับใช้ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership : RCEP) ซึ่งได้มีผลบังคับใช้ครบ 1 ปี ส่งผลให้การค้าของไทยกับประเทศสมาชิก RCEP อาทิ อาเซียน, จีน, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ขยายตัว 7.11% จากปีก่อนหน้า โดยมีมูลค่าการค้ารวม 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเท่ากับ 10 ล้านล้านบาท

นายอนุชา กล่าวว่า โดยแบ่งเป็นการส่งออกจากไทยไปประเทศสมาชิก RCEP มูลค่า 1.4 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ (4.8 ล้านล้านบาท) โดยประเทศอาเซียน คือ อินโดนีเซีย, กัมพูชา และสิงคโปร์ เป็นตลาดส่งออกอันดับต้น รองลงมาเป็นเกาหลีใต้และออสเตรเลีย และการนำเข้าจากประเทศสมาชิก RCEP มูลค่า 1.6 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ (5.7 ล้านล้านบาท) ขณะที่ไทยนำเข้าสินค้าจากบรูไนดารุสซาลาม, ออสเตรเลีย และเมียนมา เป็นอันดับต้น

'อลงกรณ์' ดัน 5 มติ เตรียมเสนอ 'รมต.เฉลิมชัย' เร่งแก้ปัญหาความเดือดร้อนของชาวประมง

'อลงกรณ์' เร่งแก้ปัญหาความเดือดร้อนชาวประมง สรุปมติ 5 ข้อเตรียมเสนอ 'รัฐมนตรีเฉลิมชัย' ยกเลิกคำสั่งคสช.พร้อมชะลอประกาศกรมประมงเรื่องรางวัลนำจับเพื่อความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย

วานนี้ (8 ก.พ.66) นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้รับมอบหมายจาก ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานการประชุมหารือแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของชาวประมงโดยมีนายมงคล สุขเจริญคณา ประธานสมาคมการประมงแห่งประเทศไทยและกรรมการตลอดจนตัวแทนนายกสมาคมชาวประมง เจ้าของเรือประมงที่ได้รับผลกระทบจากพระราชกำหนดประมงปี 2558, นายณฐกร สุวรรณธาดา คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีเกษตรฯ, นายอภัย สุทธิสังข์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์, นายบัญชา สุขแก้ว รองอธิบดีกรมประมง, นายเดชา ปรัชญารัตน์ ผู้อำนวยการกองกฎหมาย กรมประมง และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม ณ ห้องประชุม 123 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์  

นายอลงกรณ์ แถลงถึงผลการประชุมวันนี้ว่า ที่ประชุมมีข้อสรุปเป็นแนวทางแก้ไขปัญหาโดยจะเสนอ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ดังนี้....

1.) เห็นควรเสนอให้มีการปรับปรุงประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรื่อง คณะกรรมการเปรียบเทียบ และหลักเกณฑ์และวิธีการพิจารณาของคณะกรรมการเปรียบเทียบ พ.ศ. 2561 อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 170 วรรคสองและวรรคสาม แห่ง พรก.การประมง พ.ศ.2558 

2.) เห็นควรยกเลิกคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ 22/2560 เรื่อง การแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม

3.) กรณีที่มีการออกกฎระเบียบใดๆ จะต้องกำหนดห้วงเวลาก่อนการบังคับใช้เพื่อสร้างความเข้าใจแก่ชาวประมง โดยกำหนดระยะเวลาที่เหมาะสมในการบังคับใช้ หลังวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา 

4.) มอบหมายกรมประมงหารือกับคณะกรรมการกฤษฎีกาประเด็นความคลุมเครือในมาตรา 38 และมาตราอื่น ๆ เช่น มาตรา 19 และมาตรา 20 และมาตรา 105 เป็นต้น เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการบังคับใช้และการตีความกฎหมายเพื่อความเป็นธรรม

'สุริยะ' สั่ง!! กรมโรงงานฯ เฝ้าระวังฝุ่น PM 2.5 จากโรงงาน หากพบเกินค่า สั่งหยุดและดำเนินคดีทันที

(9 ก.พ. 66) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) และอุตสาหกรรมจังหวัดในปริมณฑล 5 จังหวัด เร่งดำเนินการมาตรการป้องกันและกำกับการตรวจฝุ่น PM2.5 จากการประกอบกิจการอย่างต่อเนื่อง โดยใช้ 3 มาตรการ คือ...

1.) มาตรการเร่งด่วน เข้มงวด กรณีตรวจพบโรงงานปล่อยเกินมาตรฐาน ให้ออกคำสั่งหยุดปรับปรุงแก้ไข และส่งดำเนินคดีทันที 

2.) มาตรการระยะกลาง พัฒนาระบบเฝ้าระวังและเตือนภัยมลพิษทางอากาศระยะไกล (Pollution Online Monitoring System: POMS) 

และ 3.) มาตรการระยะยาว ทบทวนและปรับปรุงมาตรฐานการระบายมลพิษทางอากาศจากโรงงานอุตสาหกรรมให้เทียบเท่ามาตรฐานสากล 

หลังดำเนินการตรวจเชิงรุกด้านฝุ่นละอองโรงงานที่มีกระบวนการเผาไหม้ โรงงานที่ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง โรงงานที่มีการใช้หม้อน้ำ โรงงานหลอมเหล็กหรือโลหะ โรงงานผลิตคอนกรีตผสมเสร็จ และโรงงานผลิตแอสฟัลติก ที่มีความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดฝุ่นละอองขนาดเล็กในกรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวน 896 โรงงาน ผลจากการตรวจวัดคุณภาพอากาศรอบพื้นที่เขตประกอบการ และชุมชนอุตสาหกรรม ในช่วงเดือนตุลาคม - ธันวาคม 2565 พบว่าค่า PM2.5 เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนดไว้ตามประกาศคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ คือ ค่าเฉลี่ยในเวลา 24 ชั่วโมง จะต้องไม่เกิน 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร และในปีนี้โรงงานมีความตื่นตัวเรื่องฝุ่นละอองขนาดเล็กมากยิ่งขึ้น ด้วยการกำกับการประกอบกิจการของตนเองให้ดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา

เดินเครื่อง!! โครงการพัฒนาคลองหมายเลข 3 พลิก ‘ปทุมธานี’ สู่ถิ่นวิถีท่องเที่ยวทางสายน้ำ

แนวคิดในการพัฒนา จังหวัดปทุมธานี ให้เป็นมากกว่าเมืองผ่าน แต่ต้องกลายเป็นเมืองแวะเริ่มเด่นชัดขึ้นเรื่อย ๆ ส่วนหนึ่ง ก็ต้องยอมรับว่าการมีภาคท้องถิ่นที่เอาจริงเอาจัง ช่วยได้มาก โดยในจังหวัดปทุมธานีนั้น เดิมจะมี นายเสวก ประเสริฐสุข หรือ ‘นายกใหญ่’ อดีต นายก อบต.เชียงรากใหญ่ และ อดีตรอง นายก อบจ.ปทุมธานี ผู้ได้รับฉายา ‘พี่ใหญ่ มีแต่ให้’ ที่คนปทุมฯ รู้จักกันดี คอยเป็นมือประสาน 10 ทิศกับทุกหน่วยงานในจังหวัด, ช่วยหางบประมาณ, ศึกษาปัญหาด้วยการพูดคุยชาวบ้าน หวังปั้นให้ ‘ปทุมธานี’ ไม่น้อยหน้าพื้นที่ใกล้เคียงอย่างกรุงเทพฯ, นนทบุรี, อยุธยา

เมื่อมีคนเริ่ม ก็เป็นเรื่องง่ายที่จะรับไม้ต่อ ซึ่งหากย้อนไปในการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อพัฒนาและแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจจังหวัดปทุมธานี ครั้งที่ 1/2566 ช่วงเดือนมกราคม จะพบว่า ตอนนี้มีการผลักดันโครงการพัฒนาและส่งเสริมการท่องเที่ยวคลองหมายเลข 3 จังหวัดปทุมธานี งบประมาณ 1.5 พันล้านบาท (ระยะเวลาดำเนินการ 8 ปี) ให้สายน้ำในจังหวัดปทุมธานีกลายเป็นพิกัดสำคัญทางเศรษฐกิจใหม่ของจังหวัด หรือด้วยการปั้นให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวขึ้นมานั่นเอง

โดยที่ประชุมในวันนั้นมีบุคคลสำคัญ ทั้งนายณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อพัฒนาและแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจจังหวัดปทุมธานี ครั้งที่ 1/2566 และ พลตำรวจโท คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี หัวหน้าส่วนราชการ ภาครัฐ ภาคเอกชนและหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม

สาระสำคัญอยู่ที่การติดตามเรื่องสืบเนื่องในการส่งเสริมและพัฒนาพื้นที่คลองหมายเลข 3 ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางสายน้ำ / การดำเนินการแต่งตั้งคณะทำงานโครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวคลองหมายเลข 3 (คลองน้ำอ้อม คลองบางหลวงเชียงราก และคลองบ้านพร้าว) จังหวัดปทุมธานี ตามมติที่ประชุมก่อนหน้าเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2565 

โดยในที่ประชุมได้มีมติสำรวจคลองหมายเลข 3 แม่น้ำเจ้าพระยาสายเก่า เพื่อฟื้นฟูและพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยววิถีสายน้ำตามวิถีชีวิตของชุมชน โดยใช้จุดแข็งของชุมชนที่มีอยู่ ทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ รวมถึงวัดวาอาราม และร้านรวงโดยรวมมาเป็นจุดขาย ซึ่งประกอบไปด้วย…

วัดสำคัญ อาทิ วัดบ้านพร้าวนอก / วัดดาวเรือง / วัดเสด็จ ปทุมธานี / วัดศาลเจ้า (เซียนแปะโรงสี) / วัดบางพูน / วัดหงษ์ปทุมาวาส (วัดมอญ) และ วัดตระพัง ส่วนสถานที่โดยรอบก็จะประกอบไปด้วยร้านอาหาร คาเฟ่ เช่น ครัวกันเองบ้านป่า / ครัวนาริมคลอง / P-river Cafe & Restaurant / ร้านอาหารป่าริมน้ำ / บ้านตานัด Baan Ta nid River Lodge’n Art Camp / สวนอาหารเพชรน้ำหนึ่ง / Prem Cafe in the Garden / ร้านอาหารริมคลองน้ำอ้อม รวมไปถึงแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ เช่น ชุมชนวัดศาลเจ้า และที่ทำการเชียงราก การประปานครหลวง (อาคารสถาปัตยกรรมสมัย ร.5)

อย่างไรก็ตาม ทางจังหวัดได้มีการตั้งเป้าหมายเพื่อปรับปรุงทัศนียภาพ ความสะดวกในการเดินทางทางน้ำ การขจัดสิ่งกีดขวาง ตั้งแต่คลองน้ำอ้อม คลองบางหลวงเชียงราก และคลองบ้านพร้าว สิ้นสุดที่วัดบ้านพร้าวนอก รวมระยะทาง 21 กิโลเมตร ซึ่งจากการล่องเรือในวันที่ได้ไปสำรวจ พบว่า ช่วงประตูน้ำที่การประปานครหลวง น้ำเชี่ยวมากและเรือที่มีประทุนไม่สามารถผ่านไปได้และหลายช่วงมีผักตบชวาหนาแน่น ทำให้ไม่สามารถเชื่อมคลองน้ำอ้อม คลองบางหลวงเชียงราก และคลองบ้านพร้าว 

โดยปัจจุบัน คลองหมายเลข 3 มีประตูน้ำปิดที่ปากแม่น้ำทั้ง 3 จุด จนกลายเป็นคลองปิด ส่งผลให้มีการสัญจรและใช้งานน้อยลง เนื่องจากช่วงปี พ.ศ. 2542 ได้มีการจัดการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ และมีการถมคลองไปช่วงหนึ่งเพื่อทำถนนแล้ววางแนวท่อระบายน้ำขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1 เมตร 2 ท่อด้านล่างแทน ทำให้แม่น้ำเจ้าพระยาสายเก่าถูกลดความสำคัญลงไปอีก ขณะที่ส่วนที่เหลืออยู่ก็กลายสภาพเป็นคลองน้ำนิ่ง ทำให้มีผักตบชวาขึ้นหนาแน่น 

แผนเบื้องต้น ก็คือ ช่วงคลองหมายเลข 1 ประตูระบายน้ำและสถานีสูบน้ำ คลองบ้านพร้าว จะมีการติดตั้งเครื่องสูบน้ำถาวรขนาด 3 ลบ.ม. ต่อวินาที จำนวน 4 เครื่อง / ช่วงคลองหมายเลข 2 ประตูระบายน้ำ คลองเชียงรากใหญ่ ไม่ต้องมีเครื่องสูบน้ำ และช่วงคลองหมายเลข 3 ประตูระบายน้ำและสถานีสูบน้ำ คลองบางหลวงเชียงราก จะมีการเครื่องสูบน้ำถาวรขนาด 3 ลบ/ม. ต่อวินาที จำนวน 6 เครื่องยนต์

'มาคาเลียส' จัดโปรฯ 'สุดสวีท' แถมลดสูงสุด 80% พาคนที่คุณรัก 'พัก-กิน-ชิล' ฟินรับวาเลนไทน์

'มาคาเลียส' (Makalius) แหล่งรวมอี-วอเชอร์ที่พัก ร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยว อันดับ 1 ของประเทศไทยต้อนรับเทศกาลแห่งความรัก จัดโปรโมชันพิเศษฉลองวาเลนไทน์ 

เอาใจบรรดาคู่รักให้ฟินไปกับ 4 ดีลที่พักสุดเอ็กซ์คลูซีพติดริมทะเล อาทิ...

>> Dusit Thani Pattaya (โรงแรมดุสิตธานี พัทยา) 
>> Forest Pool Villas by IP Plus (เดอะ ฟอเรสต์ พูลวิลล่า พัทยา)  
>> The Gems Mining Pool Villas Pattaya (เดอะเจมส์ ไมนิ่ง พูลวิลล่า พัทยา) 
>> และ Wora Bura Hua Hin Resort and Spa (วรบุระ หัวหิน รีสอร์ทแอนด์สปา หัวหิน) 

'ชัยวุฒิ' เสนอ 'อาเซียน' จับมือตั้งหน่วยงานข้ามชาติ ขจัด 'หลอกลวงลงทุนออนไลน์-แก๊งคอลเซ็นเตอร์'

(9 ก.พ. 66) นาย ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจเเละสังคม เป็นผู้เเทนประเทศไทยเข้าร่วมประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านดิจิทัลครั้งที่ 3 ที่ เกาะโบราไคย์ ประเทศฟิลิปปินส์ พร้อมด้วย ศาสตราจารย์พิเศษ วิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจเเละสังคม และนายตุลย์ ไตรโสรัส เอกอัครราชทูตประจำกรุงมะนิลา เข้าร่วมประชุมด้วย 

นายชัยวุฒิ เปิดเผยว่า การประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านดิจิทัลในครั้งนี้ เพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกันในด้านดิจิทัลของกลุ่มประเทศ 10 ประเทศ โดยการนำเทคโนโลยีการสื่อสารไอซีทีมาใช้ให้เกิดประโยชน์ เป็นการนำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันมาใช้อย่างเต็มรูปแบบ
 

'บิ๊กตู่' ขอบคุณ ‘รัฐ - เอกชน’ ทุกภาคส่วน ร่วมช่วยผู้ประกอบการ SMEs รอดพ้นวิกฤติโควิด

นายกฯ ขอบคุณ สมาคมธนาคารไทย-ธปท.-ภาคเอกชน ร่วมมือภาครัฐ หนุน ‘มาตรการสินเชื่อเพื่อการปรับตัว’ ขยายวงเงินกู้สูงสุด 150 ล้านบาท เสริมศักยภาพ SMEs รับธุรกิจโลกยุคใหม่ 

(10 ก.พ. 66) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ขอบคุณในความร่วมมือของสมาคมธนาคารไทย ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และภาคเอกชน ในการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง โดยนับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 สมาคมธนาคารไทยได้ร่วมมือกับ ธปท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน ให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่อง ทั้งมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) เพื่อช่วยเหลือเยียวยาผู้ประกอบการในระยะสั้น 

โดยสามารถช่วยเหลือ SMEs ได้ถึง 7.7 หมื่นราย วงเงินรวม 1.4 แสนล้านบาท มาตรการสินเชื่อฟื้นฟู ให้ความช่วยเหลือ 5.9 หมื่นราย คิดเป็นยอดอนุมัติสินเชื่อกว่า 2.1 แสนล้านบาท มาตรการพักทรัพย์พักหนี้ ให้ความช่วยเหลือ 413 ราย คิดเป็นมูลค่าสินทรัพย์ที่รับโอนราว 5.8 หมื่นล้านบาท รวมถึงมาตรการแก้หนี้อย่างยั่งยืน ที่ช่วยเหลือลูกค้าแก้ไขปัญหาหนี้ได้ตรงจุด ทันการณ์ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้ผ่านวิกฤต มีความพร้อมกลับมาเติบโตได้อย่างยั่งยืน 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top