Saturday, 17 May 2025
Econbiz

RS เตรียมปั้น 5 ธุรกิจเครือฯ เข้าตลาดหุ้น ดันมาร์เก็ตแคปแตะแสนล้านในปี 68

อาร์เอส (RS) ปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ตั้งเป้าเป็น Life Enriching ยกระดับในทุกมิติการใช้ชีวิตของลูกค้า ผลักดันรายได้ปี 66 สู่เป้าหมาย 5,500 ล้านบาท เล็งปั้นบริษัทในเครือเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ ดันมาร์เก็ตแคป แตะ 1 แสนล้านในอีก 3 ปี

นายสุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.อาร์เอส (RS) เปิดเผยว่า บริษัทวางเป้าหมายมาร์เก็ตแคปเติบโตแตะ 1 แสนล้านบาทภายในปี 68 จาก ณ วันที่ 16 ม.ค.66 มีมาร์เก็ตแคปอยู่ที่ 16,337.95 ล้านบาท โดยจะเดินหน้าปรับโครงสร้างธุรกิจใหม่แบ่งเป็น 6 กลุ่มหลัก ดังนี้

1. RS Multimedia ซึ่งประกอบด้วย ช่อง 8 และ COOLfahrenheit
2. RS Music ประกอบด้วยค่ายเพลง RSIAM, kamikaze, RoseSound และบริษัท โฟร์ท แอปเปิ้ล
3. RS LiveWell ประกอบด้วย RS Mall และแบรนด์ผลิตภัณฑ์ well u, Vitanature+, Lifemate และ Camu C
4. RS Connect ประกอบด้วย ULife และ De Beste
5. RS Pet All ธุรกิจใหม่ที่ประกอบธุรกิจครบวงจรสำหรับสัตว์เลี้ยง
6. R Alliance ดูแลด้านการลงทุน ตามกลยุทธ์ M&A และ JV

การปรับโครงสร้างธุรกิจใหม่มีแผนนำธุรกิจทั้ง 5 กลุ่ม ไม่รวม R Alliance ที่เป็นธุรกิจด้านการลงทุน เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้ได้ภายใน 3 ปี เพื่อสร้างการเติบโตในอนาคต อันดับแรกคือ บมจ.เชฎฐ์ เอเชีย (CHASE) จะเข้าจดทะเบียนในไตรมาส 1/66 เลื่อนจากแผนเดิมในไตรมาส 4/65 จากนั้นจะนำบริษัท อาร์เอส- ยูไลฟ์ จำกัด ธุรกิจขายตรงในกลุ่มธุรกิจ RS Connect เข้าตลาดหลักทรัพย์เป็นรายต่อไป โดยแต่งตั้ง บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด (APM) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน

ในลำดับถัดไปจะผลักดัน RS LiveWell และ RS Music เข้าตลาดหลักทรัพย์ โดยจะแต่งตั้งที่ปรึกษาทางการเงินภายในปีนี้

“ปีนี้จะเป็นปีที่มีความท้าทายที่สุด นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา จากการตั้งเป้าเป็น Life Enriching มุ่งมั่นในการยกระดับทุกมิติการใช้ชีวิตของลูกค้าผ่านทุกธุรกิจในเครือ พร้อมจัดโครงสร้างองค์กรใหม่โดยแบ่งเป็น 6 กลุ่มธุรกิจ เพื่อให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์องค์กร ซึ่งจะนำไปสู่การเติบโตที่แข็งแกร่งในแนวตั้ง และจะขยายธุรกิจใหม่ ๆ ในแนวราบ นับเป็นการสร้างอีโคซิสเต็มของอาร์เอส กรุ๊ป ให้เติบโตยั่งยืนตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ และเตรียมความพร้อมของอาร์เอส กรุ๊ป เพื่อ Spin-Off บริษัทในเครือเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ เพื่อทำให้มาร์เก็ตแคปสูงขึ้นเป็น 100,000 ล้านบาทในอีก 3 ปีข้างหน้า”นายสุรชัย กล่าว

สำหรับการดำเนินงานในปีนี้ บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโตแตะ 5,500 ล้านบาท โดยมาจากธุรกิจ Commerce 3,100 ล้านบาท ประกอบด้วย RS LiveWell 1,800 ล้านบาท RS Connect 900 ล้านบาท และ RS Pet All 400 ล้านบาท ส่วน Media&Entertainment จะมีรายได้ที่ 2,400 ล้านบาท ประกอบด้วย Rs Multimedia 1,450 ล้านบาท RS Music 400 ล้านบาท และ Concert,Event&Othets 550 ล้านบาท

ขณะที่ตั้งเป้าอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 48-50% และอัตรากำไรสุทธิที่ 11-13%

บริษัทยังคงขับเคลื่อนธุรกิจด้วยโมเดล Entertainmerce พร้อมมุ่งสู่การเป็น Life Enriching โดยโฟกัสที่การเจาะตลาด Mass และเพิ่ม Accessibility การเข้าถึงกลุ่มลูกค้าให้มากขึ้น ด้วยช่องทางการจำหน่าย และพาร์ตเนอร์ที่หลากหลาย

ธุรกิจคอมเมิร์ซ ปี 66 บริษัท อาร์เอส ลิฟเวลล์ จำกัด แบรนด์ well u และ Vitanature+ เตรียมออกผลิตภัณฑ์ใหม่ 19 SKUs ในหมวดผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร, ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม และผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนตัว แบรนด์ Lifemate ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ 22 SKUs ในหมวดอาหารกลุ่ม Specialty Food, สแน็คสำหรับสุนัขและแมว และผลิตภัณฑ์ดูแลทำความสะอาด นอกจากนี้ ยังเตรียมขยายช่องทางการจำหน่ายไปยัง Modern Trade และตลาดต่างประเทศด้วย

สินค้าบางส่วนในเครือ อาร์เอส ลิฟเวลล์ ยังได้จับมือพันธมิตร เพื่อขยายช่องทางไปสู่ Specialty Store และ Duty Free เพื่อเจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวจีนอีกด้วย

RS Mall แพลตฟอร์มจำหน่ายสินค้าสุขภาพและความงามก็จับมือกับพันธมิตรหลากหลายยิ่งขึ้น อาทิ สถาบันการเงิน โรงพยาบาล คลินิก และบริษัทประกันชั้นนำ เพื่อสร้างฐานลูกค้าใหม่ รวมไปถึงการสร้างระบบ CRM ที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

‘สุริยะ’ ห่วงค่าไฟแพง กระทบต้นทุนผลิต แนะผู้ประกอบการใช้พลังงานทดแทนช่วย

กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เผยทิศทางราคาพลังงานทรงตัวระดับสูง กดดันต้นทุนการผลิตภาคอุตสาหกรรม แนะผู้ประกอบการจำเป็นต้องหาแหล่งพลังงานทดแทนเพื่อลดต้นทุนการผลิต

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า สถานการณ์ทิศทางราคาพลังงานที่ทรงตัวในระดับสูงส่งผลให้ต้นทุนในการผลิตภาคอุตสาหกรรมปรับตัวสูงขึ้น และเป็นการเร่งอัตราเงินเฟ้อ รวมถึงส่งผลให้ขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยลดลง โดยคาดว่าสถานการณ์ราคาพลังงานจะมีผลกระทบในระยะยาว ทั้งนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมจึงได้มอบหมายให้สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) ทำการศึกษาผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรม พบว่าการขึ้นค่าไฟฟ้าที่อัตรา 5.33 บาทต่อหน่วย จะส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 4.88 ซึ่งอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด คือ อุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้า รองลงมา ได้แก่ ซีเมนต์ สิ่งทอ ผลิตภัณฑ์คอนกรีต เครื่องแต่งกาย และเซรามิค

นางวรวรรณ ชิตอรุณ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) กล่าวว่า สศอ. ได้ศึกษาวิเคราะห์ผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าไฟฟ้าต่อภาคอุตสาหกรรม โดยใช้ข้อมูลจากตารางปัจจัยการผลิตและผลผลิตของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) จากการศึกษาพบว่าการขึ้นค่าไฟฟ้าที่อัตรา 5.33 บาทต่อหน่วย จะส่งผลให้ต้นทุนการผลิตอุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.41 ต้นทุนการผลิตอุตสาหกรรมซีเมนต์เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.47 ต้นทุนการผลิตอุตสาหกรรมสิ่งทอเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.96 ต้นทุนการผลิตอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์คอนกรีตเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.14 ต้นทุนการผลิตอุตสาหกรรมเครื่องแต่งกายเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.98 และต้นทุนการผลิตอุตสาหกรรมเซรามิคเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.49 

SMART เปิดแผนปี 66 รับดีมานด์ตลาดวัสดุก่อสร้างฟื้น เดินหน้าขับเคลื่อน ESG มุ่งสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน

SMART เผยทิศทางธุรกิจปี 2566 ภาพรวมตลาดวัสดุก่อสร้างมีแนวโน้มขยายตัว ปัจจัยบวกจากนโยบายก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐ กระตุ้นภาคอสังหาฯ ดันดีมานด์ที่อยู่อาศัยเพิ่ม เดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจ มุ่งสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ชูกลยุทธ์พัฒนาคุณภาพสินค้าอิฐมวลเบา-อิฐมวลเบาตกแต่ง Green Innovation ตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภค เพิ่มช่องทางจำหน่ายผ่านโมเดิร์นเทรด ดีลเลอร์ ออนไลน์ ขยายฐานลูกค้าทั่วประเทศ ตั้งเป้าหมายการเติบโตรายได้ที่ 10%

นายรังสี ทีปกรสุขเกษม กรรมการผู้จัดการ บริษัท สมาร์ทคอนกรีต จำกัด (มหาชน) (SMART) ผู้ผลิตและจำหน่ายอิฐมวลเบาด้วยระบบอบไอน้ำภายใต้ความดันสูงเพื่อใช้ในงานก่อสร้าง และงานกั้นผนังอาคารเปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดวัสดุก่อสร้างมีแนวโน้มขยายตัวตามความต้องและการปริมาณการใช้ที่มากขึ้น ปัจจัยหนุนจาก นโยบายก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ส่งผลให้ธุรกิจภาคเอกชน ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์เปิดโครงการใหม่ ปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ความต้องการสินค้ากลุ่มวัสดุก่อสร้าง-อิฐมวลเบาปรับตัวดีขึ้น และราคาจำหน่ายอิฐมวลเบาปรับตัวเพิ่มขึ้น

สำหรับทิศทางธุรกิจปี 2566 บริษัทเดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจ สู่การพัฒนาที่ยั่งยืนในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ESG (Environmental, Social, Governance) เป็นแนวทางในการดำเนินธุรกิจให้เติบโตก้าวหน้าอย่างมั่นคงยั่งยืน  โดยดำเนินงานด้วยความโปร่งใส เป็นธรรม และรับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่มชูกลยุทธ์พัฒนาคุณภาพสินค้าอิฐมวลเบา-อิฐมวลเบาตกแต่ง Green Innovation ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และผู้บริโภค ไม่ก่อให้เกิดฝุ่น มลภาวะในการก่อสร้าง อาทิ การนำเศษจากการผลิตอิฐมวลเบานำกลับมาใช้ซ้ำ เพื่อผลิตบล็อกตกแต่ง สร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่สินค้ามากที่สุด อีกทั้ง พัฒนาผลิตภัณฑ์ช่วยแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงาน ประหยัดพลังงาน ประหยัดเวลา ลดต้นทุนโดยรวมของงานก่อสร้าง สามารถตอบโจทย์ความต้องการที่อยู่อาศัยที่เปลี่ยนไป พร้อมปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตให้สอดคล้องกับแนวทางเพื่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด สร้างสภาพแวดล้อมในการทำงานอันถูกสุขลักษณะและปลอดภัย โดยการใช้เทคโนโลยีที่ช่วยลดการเกิดของเสียอันตรายในระหว่างการผลิต เพื่อให้พนักงานรวมถึงสังคมรอบข้างมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น 

อีอีซี เปิดความสำเร็จ รวมพลังเครือข่ายพลังสตรีกว่า 600 คน สร้างการรับรู้คนในพื้นที่ เฝ้าระวังดูแลสิ่งแวดล้อม พร้อมร่วมพัฒนาสินค้าวิสาหกิจชุมชน สร้างงาน เพิ่มรายได้ให้คนอีอีซีต่อเนื่อง

วันนี้ (19 ม.ค. 2566) นายคณิศ แสงสุพรรณ ประธานที่ปรึกษาพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) หรืออีอีซี เข้าร่วมมอบนโยบายการดำเนินงานของเครือข่ายพลังสตรี อีอีซี ปี 2566 ภายในงานประชุมเชิงปฏิบัติการสรุปผลโครงการเสริมสร้างเครือข่ายการดูแลสิ่งแวดล้อม ชุมชน และเฝ้าระวังการใช้ประโยชน์ที่ดินตามแผนผัง อีอีซี (EEC Woman Power) โดยมีนายเกษมสันต์ จิณณวาโส ที่ปรึกษาพิเศษด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อีอีซี เป็นประธานในพิธี ร่วมด้วยนายธัชพล กาญจนกูล รองเลขาธิการสายงานพื้นที่และชุมชน อีอีซี เข้ามอบรางวัลเชิดชูเกียรติให้แก่เครือข่ายพลังสตรีอีอีซี จากพื้นที่อีอีซี 3 จังหวัด ที่เข้าร่วมงานฯ  ณ โรงแรมบางแสน เฮอริเทจ จังหวัดชลบุรี

​โครงการ เครือข่ายพลังสตรี อีอีซี นับเป็นโครงการสำคัญที่ อีอีซี ได้ดำเนินการมาต่อเนื่องจนเข้าสู่ปีที่ 4 ในปี 2566 นี้ เพื่อให้กลุ่มพลังสตรีใน 3 จังหวัด (ระยอง ชลบุรี ฉะเชิงเทรา) ที่เข้าร่วมโครงการฯ กว่า 600 คน เป็นกลไกสำคัญในการสร้างการรับรู้และความเข้าใจนโยบายต่างๆ ของอีอีซี และร่วมเป็นเครือข่ายในการดูแลเฝ้าระวังการใช้ประโยชน์ที่ดินในอีอีซี ให้สอดคล้องกับข้อกำหนดในแผนผังการใช้ประโยชน์ที่ดิน อีอีซี รวมถึงการยกระดับอาชีพ และผลิตภัณฑ์ชุมชนในพื้นที่ ซึ่งพลังสตรีได้มีส่วนร่วมในการสร้างงาน สร้างรายได้ให้แก่วิสาหกิจชุมชนให้ขายสินค้าท้องถิ่นได้เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย

ปตท. ผุด ‘on-ion’ สถานีชาร์จไฟรถยนต์ EV เต็มรูปแบบ นำร่อง 17 สาขา ศูนย์การค้าเซ็นทรัล

ออน-ไอออน เปิดให้บริการสถานีชาร์จไฟ EV ด้วยพลังงานสะอาดอย่างเต็มรูปแบบแล้ววันนี้ ในศูนย์การค้าเซ็นทรัล 17 สาขา พร้อมเชื่อมต่อความสุข ให้ทุกการเดินทางไม่สะดุด ด้วยจุดบริการทั่วไทย

เมื่อวานนี้ (18 ม.ค. 66) นายเชิดชัย บุญชูช่วย รองกรรมการผู้จัดการใหญ่นวัตกรรมและธุรกิจใหม่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วย นายโทรณ หงศ์ลดารมภ์ Head of EV Charger Business บริษัท อรุณ พลัส จำกัด (ARUN PLUS) ร่วมพิธีเปิดให้บริการสถานีอัดประจุสำหรับยานยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ ภายใต้แบรนด์ ออน-ไอออน (on-ion EV Charging Station) ในพื้นที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัล พร้อมให้บริการชาร์จไฟแก่รถยนต์ไฟฟ้าด้วยพลังงานสะอาด เชื่อมต่อความสุข เดินทางไม่สะดุด จุดบริการทั่วไทย ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล ลาดพร้าว กรุงเทพฯ 

on-ion EV Charging Station พร้อมให้บริการเต็มรูปแบบในพื้นที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัล 17 สาขาได้แก่ เซ็นทรัลเวิลด์, เซ็นทรัลปิ่นเกล้า, เซ็นทรัลเฟสติวัล เชียงใหม่, เซ็นทรัลเชียงใหม่ แอร์พอร์ต, เซ็นทรัล อยุธยา, เซ็นทรัลบางนา, เซ็นทรัล พระราม 2, เซ็นทรัล วิลเลจ สุวรรณภูมิ, เซ็นทรัล เวสต์เกต, เซ็นทรัล อุดรธานี, เซ็นทรัล อีสต์วิลล์, เซ็นทรัล แจ้งวัฒนะ, เซ็นทรัล ศาลายา, เซ็นทรัล ลาดพร้าว, เซ็นทรัล โคราช, เซ็นทรัล พระราม 3 และ เซ็นทรัล พระราม 9 และพร้อมให้บริการอีก 20 สาขาทั่วประเทศเร็ว ๆ นี้

'บิ๊กป้อม' ไฟเขียว!! แนวทางจัดการความมั่นคงเชิงพื้นที่ปี 66-70 ลงลึกถึงระดับตำบลทั่วไทย หนุน ปชช.อยู่ดีมีสุขถ้วนหน้า

(19 ม.ค. 66) พล.ท.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผช.โฆษก รองนายกรัฐมตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานการประชุม คณะกรรมการนโยบายและอำนวยการพัฒนาเพื่อเสริมความมั่นคงของชาติ (นพช.) ครั้งที่ 1/2566 ณ ห้องประชุมวิจิตรวาทการ สมช. ทำเนียบรัฐบาล

ที่ประชุมได้รับทราบ ผลการประเมินการขับเคลื่อนแผนการพัฒนาพื้นที่ เพื่อเสริมความมั่นคงของชาติ ปี 62-65 ซึ่งมีความสำเร็จที่มีนัยยะสำคัญ ได้แก่ ค่าเป้าหมายของตัวชี้วัดจากการที่จังหวัดประกาศพื้นที่เป้าหมายการพัฒนาเพื่อเสริมความมั่นคง ครบทุกจังหวัด และมีการจัดทำแผนการพัฒนา เพื่อเสริมความมั่นคงในพื้นที่ครบทุกแผน และมีแผนปฎิบัติการจัดระเบียบพื้นที่ชายแดน พื้นที่ชายฝั่งทะเล เกาะแก่ง และชุมชนพื้นที่สูง ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญของแผนการพัฒนาพื้นที่ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกัน และลดเงื่อนไขของปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติ โดยมุ่งเน้นการบูรณาการทำงาน ด้านความมั่นคง ควบคู่กับการพัฒนา ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคมและการป้องกันประเทศ เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงในพื้นที่เป้าหมาย ที่กำหนดผ่านกลไกการประเมินระดับจังหวัด

'บิ๊กตู่' ชู เศรษฐกิจไทยแข็งแกร่งต่อเนื่อง หลัง 'จีดีพี-เงินเฟ้อ-ดอกเบี้ย' ตัวเลขสวย

(20 ม.ค. 66) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยเปรียบเทียบ 4 เครื่องชี้เศรษฐกิจที่สำคัญ เป็นเครื่องยืนยันไทยยังคงมีแนวโน้มขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม สั่งการ ติดตามและประเมินสถานการณ์ทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อการกำหนดนโยบายที่มีประสิทธิภาพ และกำชับทุกหน่วยงานเร่งเดินหน้าตามนโยบายทางเศรษฐกิจที่ได้กำหนดไว้ ส่งเสริมความเชื่อมั่นของนักลงทุน ผู้ประกอบการ ส่งเสริม กระตุ้นทุกกิจกรรมทางเศรษฐกิจ เพื่อพัฒนาประเทศ

นายอนุชา กล่าวว่า การเปรียบเทียบเครื่องชี้เศรษฐกิจที่สำคัญตัวแรก ได้แก่ อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP Growth) ซึ่งพบว่า ในไตรมาสที่ 3 ปี 2565 ไทยมีการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง อยู่ที่ 4.5 %YoY และสูงกว่ากลุ่มประเทศ Big-4 สหรัฐฯ สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และจีน ซึ่งมีตัวเลขอยู่ที่ 1.9 %YoY 2.3 %YoY 1.5 %YoY และ 3.9 %YoY เรียงตามลำดับ 

ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อของไทยก็ต่ำกว่าสหรัฐฯ ยูโรโซน และค่าเฉลี่ยของ ASEAN-5 (สิงคโปร์ เวียดนาม อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย) โดยในปี 2564 อยู่ที่ร้อยละ 1.2 ในขณะที่ในเดือนพฤศจิกายน 2565 อยู่ที่ร้อยละ 5.5 และธันวาคม 2565 อยู่ที่ร้อยละ 5.9

‘Yahoo Finance’ ยกไทยติด 1 ใน 12 ประเทศแห่งเอเชียที่มี 'ความก้าวหน้ามากที่สุด'

เมื่อไม่นานมานี้ช่องยูทูบ ‘Thailand & The World’ ได้เผยแพร่วิดีโอ การจัดอันดับ 12 ประเทศในเอเชีย ที่มีความก้าวหน้ามากที่สุด ซึ่ง 1 ใน 12 ประเทศนั้นมีประเทศไทยติดอันดับอยู่ด้วย โดยเนื้อหาในคลิปดังกล่าว สรุปใจความได้ว่า...

ในศตวรรษที่ 21 ถือว่าเป็น ‘ศตวรรษแห่งทวีปเอเชีย’ เพราะมีการเติบโตทางด้านเศรษฐกิจที่รวดเร็วเมื่อเทียบกับประเทศตะวันตก โดย ‘McKinsey’ บริษัทที่ปรึกษาด้านการจัดการที่มีชื่อเสียงระดับโลก ได้ประเมินว่า เอเชียจะมี GDP มากกว่า 50% ของโลก ภายในปี 2040 และผู้บริโภคจากเอเชีย จะเป็นตัวขับเคลื่อนกว่า 40% ของการบริโภคทั้งโลกภายในปีดังกล่าวเช่นกัน 

ทั้งนี้ ความต้องการบริโภคที่สูงขึ้น เป็นผลมาจากการขยายตัวของชนชั้นกลาง โดย World Economic Forum ได้ทำการประเมินไว้ว่า ภายในปี 2030 หรืออีกเพียง 7-8 ปีข้างหน้า ‘2 ใน 3 ของชนชั้นกลาง’ จะเป็นชาวเอเชีย

ล่าสุด ‘Yahoo Finance’ ก็ได้เผยผลการจัดอันดับ ‘12 ประเทศในเอเชีย’ ที่มีความก้าวหน้ามากที่สุด เราจะมาดูกันว่า ประเทศไทยของเรา ทำได้ดีแค่ไหนในการจัดอันดับครั้งล่าสุดนี้

โดยวิธีการวิจัยการจัดอันดับในครั้งนี้ ทำขึ้นมาโดยการประเมินสัดส่วนของงบประมาณในการวิจัยและพัฒนา หรือ R&D ต่อ GDP ที่เป็นข้อมูลจากธนาคารโลก และระดับการพัฒนามนุษย์ จาก Human Developemtn Index หรือ HDI ของปี 2021-2022 ซึ่ง HDI มีการวัดจาก 3 ปัจจัยด้วยกันคือ 1. อายุคาดเฉลี่ย 2. ระดับการศึกษา และ 3. รายได้ต่อหัว หรือ GDP Per capita นอกจากนั้นยังมีการพูดถึงการมีอยู่ของบริษัทขนาดใหญ่ในประเทศนั้นๆ อีกด้วย

สำหรับ 12 อันดับประเทศในเอเชีย ที่มีความก้าวหน้ามากที่สุด มีดังต่อไปนี้...

อันดับที่ 12 อินโดนีเซีย Yahoo ระบุว่า อินโดนีเซีย เป็นประเทศจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่มีคะแนนดัชนีการพัฒนามนุษย์ HDI 0.718 สอดคล้องกับมาตรฐานการครองชีพที่สูง โดยมีการใช้งบประมาณในการวิจัยและพัฒนา R&D ต่อ GDP 0.28% ในปี 2020 โดยมีบริษัทยักษ์ใหญ่ระบบโลกตั้งอยู่ โดยมี Alphabet ที่บริษัทแม่ของ Google, Toyota, ExxonMobil เป็นต้น การลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ เติบโตขึ้น 64% ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2022 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งได้รับแรงหนุนหลักมาจากความสามารถในการจัดการทรัพยากรของประเทศ

อันดับที่ 11 จอร์เจีย จอร์เจียมีที่ตั้งอยู่ระหว่างยุโรปและเอเชีย โดยในปี 2020 ประเทศได้ใช้งบประมาณในการวิจัยและพัฒนา R&D ต่อ GDP 0.30% โดยมีระดับคะแนนดัชนีการพัฒนามนุษย์ HDI 0.802 ซึ่งถือว่าสูงมาก ในช่วงที่มีการสำรวจในปี 2021-2022 โดยในปี 2022 ที่ผ่านมา จอร์เจียได้รับเงินลงทุนจากต่างประเทศ 1,670 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 26%

อันดับที่ 10 ไทย อีกหนึ่งประเทศจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ภาคการบริการมีการเติบโตสูง คิดเป็น 58.3% ของ GDP ประเทศในปี 2020 ผลประกอบการของภาคการผลิตทางอุตสาหกรรมในปี 2021 เติบโตจากปีก่อนหน้า 7.31% คิดเป็นรายได้ที่ 137,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ 

ส่วนคะแนนดัชนีการพัฒนามนุษย์ HDI ในช่วงปี 2021-2022 มีระดับที่สูงมาก อยู่ที่ 0.800 

นอกจากนั้น ประเทศยังมีการลงทุนในด้านการวิจัยและพัฒนาเป็นอย่างมากในปี 2020 ซึ่งอยู่ที่ 1.14% ต่อ GDP และถ้าเจาะลึกลงไปทั้ง 3 หลักเกณฑ์ ในการพิจารณาคะแนนดัชนีการพัฒนามนุษย์ HDI ที่ใช้ในการวัดผลจะพบว่า คนไทยมีอายุขัยเฉลี่ยที่ 78.7 ปี ในระยะเวลาการศึกษา 15.9 ปี และมีรายได้ต่อหัวอยู่ที่ 619,000 ต่อปี

อันดับ 9 มาเลเซีย มาเลเซียมีคะแนนดัชนีการพัฒนามนุษย์ HDI ที่สูงมากเช่นกัน โดยอยู่ที่ 0.803 และจากข้อมูลล่าสุดของธนาคารโลกในปี 2018 ประเทศมีการลงทุนในด้านการวิจัยและพัฒนา อยู่ที่ 1.04% ต่อ GDP สำหรับบริษัทยักษ์ใหญ่ ที่มีการลงทุนที่นั่น ได้แก่ Alphabet, Microsoft เป็นต้น

อันดับที่ 8 ตุรกี เช่นเดียวกับจอร์เจีย ประเทศนี้มีที่ตั้งอยู่ระหว่างยุโรปและเอเชีย แต่มากถึง 97% ของพื้นที่ อยู่ในเขตเอเชีย ตุรกีมีคะแนนดัชนีการพัฒนามนุษย์ HDI ในปี 2022 ที่สูงมาก คือ 0.838 มีงบประมาณในการวิจัยและพัฒนา ที่ 1.09% ต่อ GDP ในปี 2022 อุตสาหกรรมทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศมาถึงจุดเปลี่ยนสำคัญ เมื่อบริษัท startup ต่าง ๆ อย่าง keteers ที่ถูกก่อตั้งขึ้นในปี 2015 มีมูลค่าบริษัทสูงถึง 12,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2022 อีกบริษัทหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ บริษัททางด้าน E-Commerce สัญชาติตุรกี ที่ชื่อ D market ซึ่งอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ ของสหรัฐอเมริกาอีกด้วย ส่วนบริษัทยักษ์ใหญ่จากต่างประเทศที่มีการลงทุนที่นั่น ได้แก่ Microsoft, apple เป็นต้น ตุรกียังมีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาโดรนอีกด้วย ซึ่งได้เป็นผู้จัดหาโดรนให้กับยูเครน ในการสนับสุนนการต่อสู้กับรัสเซียได้อย่างมีประสิทธิภาพ

อันดับที่ 7 รัสเซีย เป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีที่ตั้งคาบเกี่ยวระหว่างยุโรปและเอเชีย โดยพื้นที่กว่า 75% อยู่ทางฝั่งเอเชีย รัสเซียมีคะแนนดัชนีการพัฒนามนุษย์ HDI ที่สูงถึง 0.822 ในงบประมาณในการวิจัยและพัฒนาในปี 2018 ที่ 1.10% ต่อ GDP รัสเซียโดดเด่นในเรื่องเทคโนโลยีทางด้านการทหาร ที่เทียบเท่ากับเทคโนโลยีของสหรัฐอเมริกาในด้านการพรางตัว และเหนือกว่าในด้านเทคโนโลยีความเร็วเหนือเสียง ในด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ รัสเซียเป็นบ้านเกิดของบริษัทอย่าง Yandex, Auto, VK และ Y berry ศูนย์บริษัทต่างชาติที่มีชื่อเสียง ได้แก่ Microsoft, apple และ Alphabet ที่ตอนนี้ ทั้งหมดได้ถอนตัวออกจากประเทศไปแล้ว หลังจากที่รัสเซียได้เข้าทำสงครามกับยูเครน

อันดับที่ 6 จีน ในปี 2022 จีนเป็นประเทศที่มีขนาดเศษรฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก และคาดว่าจะสามารถแซงหน้าสหรัฐอเมริกาได้ในอีกไม่นาน คะแนนดัชนีการพัฒนามนุษย์ HDI ของจีน อยู่ที่ 0.768 ซึ่งยังต่ำกว่าไทย แต่สูงกว่าอินโดนีเซีย รัฐบาลได้มีการลงทุนในด้านการวิจัยและพัฒนา ด้วยงบประมาณสูงถึง 2.40% ต่อ GDP มีส่วนแบ่งทางการตลาดในอุตสาหกรรมที่ใช้ความรู้และเทคโนโลยีอย่างเข้มข้น ในระดับที่สูงมาก โดยมีการส่งออกในด้านนี้สูงถึง 17% ของ GDP ทั้งประเทศ ในปี 2018 และเช่นเดียวกับรัสเซีย จีนมีแต้มต่อเหนือสหรัฐอเมริกาในด้านเทคโนโลยีความเร็วเหนือเสียง ในแง่ของเทคโนโลยีสารสนเทศ จีนมีบริษัทขนาดใหญ่อย่าง Alibaba ที่เป็นคู่แข่งโดยตรงของ amazon จากสหรัฐอเมริกา

อันดับที่ 5 ไต้หวัน ไต้หวันเป็นประเทศในเอเชียตะวันออก มีงบประมาณในการวิจัยและพัฒนาสูงถึง 3.63% ของ GDP ทั้งประเทศ ในปี 2020 มีคะแนนดัชนีการพัฒนามนุษย์ HDI ที่สูงถึง 0.916 ในปี 2022 ไต้หวันมีบริษัทผลิตชิป อย่าง TSMC ที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดทั้งโลกในด้านนี้ สูงถึง 53% ในปี 2022 ส่วนบริษัทขนาดใหญ่จากต่างประเทศที่มีการลงทุนในไต้หวัน ได้แก่ ASC Group, United Microelectronics Corporation เป็นต้น

อันดับที่ 4 ฮ่องกง คะแนนดัชนีการพัฒนามนุษย์ HDI ของฮ่องกง สูงถึง 0.952 ในช่วงปี 2021-2022 แต่มีงบประมาณในการวิจัยและพัฒนา เพียง 0.99% ของ GDP ในปี 2020 ฮ่องกงถือเป็นประเทศที่รองรับธุรกิจ startup ได้ดีมาก โดยมีการเติบโตถึง 12% ในปี 2021 ทำให้มีบริษัทประเภทนี้ รวมแล้วถึง 3,755 บริษัท

'เสี่ยเฮ้ง' เร่ง 'ผลิต-บรรจุ' แรงงานป้อน 'ท่องเที่ยว-บริการ' หลัง 'นายกฯ' ห่วงภาคธุรกิจขาดแรงงานช่วง ศก.ฟื้น

(21 ม.ค.66) นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ตามที่ท่านนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้กล่าวขณะเปิดงานเฉลิมฉลองเทศกาลตรุษจีนที่จังหวัดราชบุรีเมื่อวันที่ 19 มกราคมที่ผ่านมาถึงกรณีที่ผู้ประกอบการภาคท่องเที่ยวและบริการประสบปัญหาขาดแคลนแรงงาน เนื่องจากธุรกิจมีการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วทำให้ผู้ประกอบการมีความต้องการแรงงานสูงขึ้นนั้น และท่านนายกฯ ได้สั่งการให้กระทรวงแรงงานเร่งขับเคลื่อนแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานในภาคท่องเที่ยวและบริการโดยเร่งฝึกอาชีพเพื่อผลิตแรงงานในสาขาที่ขาดแคลนรวมทั้งบรรจุตำแหน่งงานว่างในภาคท่องเที่ยวและบริการอย่างเร่งด่วน ซึ่งในเรื่องนี้กระทรวงแรงงานไม่ได้นิ่งนอนใจ ผมได้สั่งการให้หน่วยงานในสังกัดเร่งดำเนินการมาโดยตลอด 

นายสุชาติ กล่าวต่อว่า สำหรับการดำเนินงานของกระทรวงแรงงาน ได้ให้สำนักงานแรงงานจังหวัดลงพื้นที่สอบถามความต้องการแรงงานจากผู้ประกอบการภาคท่องเที่ยวและบริการ ซึ่งจากรายงานของสำนักงานแรงงานจังหวัด 60 จังหวัด พบว่า มีสถานประกอบกิจการประเภทโรงแรม ที่พัก ภัตตาคาร ร้านค้า จำนวน 32,359 แห่ง ลูกจ้าง 297,824 คน สถานประกอบกิจการที่มีความต้องการแรงงาน จำนวน 1,817 แห่ง ลูกจ้าง 9,763 คน ในส่วนของกรมการจัดหางาน ได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เบื้องต้นมีสถานประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวและบริการแจ้งความต้องจ้างงานในแพลตฟอร์มไทยมีงานทำ จำนวน 4,881 อัตรา มีผู้สมัครงาน จำนวน 4,019 คน ได้รับการบรรจุงานแล้ว จำนวน 3,491 คน และที่จังหวัดภูเก็ตได้มีการจัดงานนัดพบแรงงาน มีนายจ้าง/สถานประกอบการแจ้งความประสงค์ต้องการแรงงานกับสำนักงานจัดหางานจังหวัดภูเก็ต จำนวน 178 แห่ง ตำแหน่งงานว่าง 1,313 ตำแหน่ง 3,698 อัตรา บรรจุงานในสถานประกอบการแล้วจำนวน 50 แห่ง ลูกจ้างจำนวน 550 อัตรา มีนักศึกษาฝึกงานในสถานประกอบการ จำนวน 3,749 คน และนักเรียน นักศึกษาทำงานพาร์ทไทม์ช่วงว่างจากการเรียน จำนวน 345 คน

ขณะที่กรมพัฒนาฝีมือแรงงานกำลังเร่งดำเนินการฝึกอบรมทักษะฝีมือแรงงานให้แก่แรงงานภาคท่องเที่ยวและบริการ อาทิ พนักงานต้อนรับ พนักงานผสมเครื่องดื่ม นวดแผนไทย เป็นต้น ซึ่งขณะนี้ได้ฝึกไปแล้ว จำนวน 1,649 คน จากเป้าหมาย 4,900 คน และปรับแผนการฝึกเพิ่มเป็น 9,000 คน เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้ประกอบการมากขึ้น 

ด้าน คุณรังสิมันต์ กิ่งแก้ว อุปนายกฝ่ายยุทธศาสตร์การพัฒนาการท่องเที่ยว สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า ปัจจุบันสถานการณ์ขาดแคลนแรงงานในธุรกิจท่องเที่ยวและบริการจังหวัดภูเก็ตได้เริ่มคลี่คลายลงแล้ว หลังจากที่รัฐบาล กระทรวงแรงงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เร่งขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งการจัดนัดพบแรงงาน การฝึกอบรมทักษะระยะสั้น การให้นักเรียน นักศึกษาได้ทำงานพาร์ทไทม์ช่วงว่างจากการเรียน ทำให้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานลดน้อยลง และคาดการณ์ว่าไตรมาส 2 สถานการณ์จะเริ่มคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้นตามลำดับ เนื่องจากในช่วงเดือนมีนาคม 2566 จะมีนักศึกษาที่จบการศึกษาเข้าสู่ตลาดแรงงานเพิ่มมากขึ้น 

APCO ยืนหนึ่งงานวิจัย ยกระดับนวัตกรรมทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ ดันผลประกอบการปี 66 พุ่ง ตั้งเป้าโต 30-50%

APCO กางแผนธุรกิจปี 66 พัฒนางานวิจัยต่อเนื่อง เพิ่มประสิทธิภาพผลิตภัณฑ์ภูมิคุ้มกันบำบัด ชูนวัตกรรมวัฒนชีวาย้อนวัย/ชะลอวัย สร้างสังคมชีวี 100 ปีมีสุข ปักธงสมาชิก 20,000 คนใน ปีนี้ ด้านภูมิคุ้มกันบำบัดมะเร็ง และโครงการ Bye Bye HIV ขยายฐานดูแลผู้ป่วยในวงกว้าง ผลักดันยอดขายเพิ่ม ผลิตภัณฑ์สัตว์เลี้ยง-พันธมิตรจีนเสริมทัพ ตั้งเป้ารายได้โต 30-50% รักษาอัตรากำไรขั้นต้นไม่ต่ำกว่า 80%

ศ.ดร.พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอเชียน ไฟย์โตซูติคอลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ APCO เจ้าของธุรกิจนวัตกรรมธรรมชาติเพื่อสุขภาพและความงาม ยกระดับคุณภาพชีวิตด้วยการวิจัย พัฒนา ผลิตและจำหน่ายครบวงจร เปิดเผยว่า ทิศทางธุรกิจปี 2566 มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง จากภาพรวมตลาดผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ รวมถึงกำลังซื้อผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้น

โดยแผนการดำเนินธุรกิจปีนี้ บริษัทมุ่งเน้นขยายตลาดนวัตกรรมวัฒนชีวาย้อนวัย ชะลอวัย เพื่อสร้างสังคมชีวี 100 ปีมีสุข โดยทำการตลาดเพื่อเพิ่มจำนวนสมาชิกอย่างต่อเนื่อง จากการบอกต่อจากสมาชิกที่ใช้ผลิตภัณฑ์แล้วได้ผล ซึ่งสมาชิกที่แนะนำเพื่อนเข้าร่วมในสังคมวัฒนชีวา 3 ราย ตามเงื่อนไขของบริษัทจะสามารถใช้นวัตกรรมฟรีไปได้ตลอดทุกเดือน ทั้งนี้บริษัทตั้งเป้ามีสมาชิกครบ 20,000 คน ภายในเดือนกันยายนนี้ ผลักดันยอดขายประมาณ 200 ล้านบาท 

ขณะที่ นวัตกรรมภูมิคุ้มกันบำบัดมะเร็ง และ HIV ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ประสบความสำเร็จในการช่วยผู้ประสบปัญหาได้อย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะโครงการ Bye Bye HIV ที่ประสบความสำเร็จในการจัดการกับปัญหา HIV ส่งเสริมให้ผู้ติดเชื้อมีคุณภาพชีวิตเป็นปกติ ไม่ต้องพึ่งพายาต้านไวรัสที่มีผลข้างเคียงต่อไป โดยบริษัทตั้งเป้ารายได้เฉพาะนวัตกรรมภูมิคุ้มกันบำบัดเพิ่มขึ้น 20% 

สำหรับผลิตภัณฑ์เพื่อสัตว์เลี้ยงยอดขายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตั้งเป้ายอดจำหน่ายในประเทศไทยเพิ่มขึ้น 20% โดยบริษัทวางแผนการส่งออกไปต่างประเทศเพิ่มเติมภายในปี 2566 นี้

ด้านพันธมิตรในประเทศจีนที่นำนวัตกรรมวัฒนชีวาและนวัตกรรมภูมิคุ้มกันบำบัดเข้าไปจำหน่าย คาดว่า ยอดขายจะเพิ่มขึ้นเมื่อมีการปลดล็อคโควิด-19 ประมาณเดือนมีนาคมนี้ เชื่อว่าจะเพิ่มรายได้ให้กับ APCO อย่างมีนัยสำคัญ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top