Saturday, 17 May 2025
Econbiz

นายกฯ เชื่อมั่น นโยบายรัฐมาถูกทาง คาด จีดีพี ปี 66 ขยายตัว 3.8%

(11 ม.ค. 66) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มั่นใจเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง และมีอัตราการขยายตัวอย่างต่อเนื่องในอีก 4 ปีข้างหน้า ท่ามกลางการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจโลก ถือเป็นผลจากการดำเนินนโยบายที่เหมาะสมและทันต่อสถานการณ์ของรัฐบาล ที่ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยมีสัญญาณบวกได้อย่างต่อเนื่อง นายกรัฐมนตรีจึงกำชับให้ทุกหน่วยงานเร่งเดินหน้าขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวมให้เติบโตในระยะต่อไปได้อย่างมั่นคง พร้อมรับต่อสถานการณ์ความท้าทายในระดับโลก

นายอนุชา กล่าวว่า กระทรวงการคลังคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 2566 จะขยายตัวได้ถึงร้อยละ 3.8 แม้ต้องเผชิญกับสภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย โดยมีปัจจัยสำคัญจากการลงทุนของภาครัฐและภาคเอกชน รวมถึงภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคในประเทศยังคงเป็นแรงหนุนหลักต่อเนื่องจากปี 2565 โดยในปี 2566 คาดการณ์ว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมายังประเทศไทยกว่า 21 ล้านคน ซึ่งยังไม่รวมนักท่องเที่ยวจากจีน

ILINK ไฟเขียวนโยบายเพิ่มการจ่ายเงินปันผล จากเดิม 40% เป็นไม่ต่ำกว่า 50% ของกำไรสุทธิ

บอร์ดอินเตอร์ลิ้งค์ฯ อนุมัติ !! แจ้งเปลี่ยนนโยบายการจ่ายปันผลใหม่ จากเดิมในอัตราไม่ต่ำกว่า 40% เป็นไม่ต่ำกว่า 50% ของกำไรสุทธิ ขยับเพิ่มขึ้น ดึงความเชื่อมั่นนักลงทุน 

(11 ม.ค. 66) บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ILINK ได้เปิดเผยข้อมูลผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 1/2566 เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2566 ได้ลงความเห็นอนุมัติ ปรับเพิ่มอัตรานโยบายการจ่ายปันผลของบริษัท จากเดิมจ่ายในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 เป็นจ่ายในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของกำไรสุทธิของงบการเงินเฉพาะกิจการ หลังหักภาษีเงินได้ และหักสำรองตามกฎหมาย เว้นแต่บริษัทฯ มีความจำเป็นต้องใช้เงิน เพื่อการขยายกิจการ โดยจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่การจ่ายเงินปันผลในครั้งต่อไป

‘บางจาก’ ซื้อ ‘เอสโซ่’ จ่ายค่าหุ้นครึ่งหลังปี 66 เพิ่มศักยภาพโรงกลั่น - ได้ปั๊มน้ำมันอีก 700 แห่ง

บางจากฯ ประกาศซื้อหุ้นและทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของเอสโซ่(ประเทศไทย) โดยทำสัญญาซื้อขายหุ้นกับจาก ExxonMobil เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2566 สัดส่วน 65.99 % ที่มีมูลค่ากิจการ 55,500 ล้านบาท และเตรียมทำเทนเดอร์ ออฟเฟอร์ซื้อหุ้นเอสโซ่ทั้งหมด ต่อไป ส่วนราคาซื้อขายหุ้น หากอ้างอิงตามงบการเงินไตรมาส 3/2565 เบื้องต้นประมาณ 8.84 บาทต่อหุ้น คาดว่าจะสามารถดำเนินการซื้อขายและชำระเงินค่าหุ้นแก่ผู้ขายได้ภายในครึ่งหลังของปี 2566 พร้อมก้าวสู่บริบทใหม่เพื่อความมั่นคงด้านพลังงานและการเข้าถึงของผู้บริโภคได้ครอบคลุมมากขึ้น

บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (BCP) ได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการของบริษัท ครั้งที่ 1/2566 เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2566 ได้มีมติเอกฉันท์อนุมัติการเข้าทำธุรกรรมและเห็นชอบให้เสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นพิจารณาอนุมัติการเข้าซื้อหุ้นสามัญของบริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (ESSO) จาก ExxonMobil Asia Holdings Pte. Ltd. ('ExxonMobil') โดยบางจากฯ ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายหุ้นกับ ExxonMobil เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2566 และคาดว่าจะสามารถดำเนินการซื้อขายและชำระเงินค่าหุ้นแก่ผู้ขายได้ภายในครึ่งหลังของปี 2566 โดยต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขบังคับก่อนที่กำหนด และเตรียมพร้อมทำคำเสนอซื้อหุ้นที่เหลือทั้งหมด (tender offer) ของเอสโซ่ หลังจากการทำธุรกรรมกับ ExxonMobil เสร็จสิ้น

นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทบางจากและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การลงทุนครั้งนี้ เป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญสู่ความมั่นคงทางพลังงานที่มากขึ้นของบางจากฯ และประเทศไทย เป็นการลงทุนที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ที่เพิ่มความยั่งยืนและเพิ่มการเข้าถึงพลังงานได้ง่ายขึ้น เชื่อมั่นว่าการทำธุรกรรมครั้งนี้ ถือเป็นการพลิกโฉมสู่บริบทใหม่สำหรับบางจากฯ และประเทศไทย

การลงทุนครั้งนี้มีสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องคือโรงกลั่นน้ำมันกำลังการกลั่น 174,000 บาร์เรลต่อวัน เครือข่ายคลังน้ำมัน และสถานีบริการน้ำมันทั่วประเทศกว่า 700 แห่ง ก่อให้เกิดการประหยัดเชิงขนาดและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพต้นทุนของบริษัท โดยจะทำให้บางจากฯ มีกำลังการกลั่นน้ำมันรวม 294,000 บาร์เรลต่อวัน และเครือข่ายสถานีบริการกว่า 2,100 แห่ง สามารถดำเนินธุรกิจโรงกลั่นได้ครบวงจรมากขึ้น จัดหาน้ำมันดิบได้หลากหลายขึ้น และได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยีการกลั่นที่เสริมกันของโรงกลั่นทั้งสอง และการให้บริการด้านการตลาดที่ครอบคลุมและนำเสนอบริการให้กับลูกค้าได้ยิ่งขึ้นผ่านสถานีบริการน้ำมันทั่วประเทศ รวมถึงมีการแลกเปลี่ยนความรู้และเทคโนโลยี ช่วยเพิ่มพูนทักษะและความสามารถของพนักงาน สร้างความแข็งแกร่งให้ธุรกิจและก่อให้เกิดการส่งมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดสู่ลูกค้า และเตรียมความพร้อมให้กับกลุ่มบริษัทบางจากในการมุ่งสู่การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน

ไทย สมายล์ กรุ๊ป ร่วมโครงการ 'มหกรรม รวมพลัง สร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้' เพื่อสรรหา กัปตันเมล์ เป็นจำนวนมาก รองรับ รถโดยสารพลังงานไฟฟ้า กว่า 1,250 คัน ใน 122 เส้นทาง ในกทมฯ.และปริมณฑล

เมื่อวานนี้ (11 ม.ค. 66) นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานเปิดโครงการมหกรรม รวมพลัง สร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ ภายใต้นโยบาย 'สืบสาน รักษา ต่อยอด ฟื้นฟู พลิกโฉมตลาดแรงงานไทย' ซึ่งจัดขึ้น วิทยาลัยเทคโนโลยีภาคตะวันออก (อี.เทค.) จังหวัดชลบุรี โดย กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน เพื่อให้แรงงานไทยได้มีโอกาสเรียนรู้เกี่ยวกับอาชีพต่าง ๆ สามารถใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจเลือกประกอบอาชีพตามความถนัดและตรงกับความต้องการของตนเอง

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า “การจัดงานมหกรรม รวมพลัง สร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ ในครั้งนี้ พี่น้องแรงงานและกลุ่มนักเรียน นักศึกษา จะได้ตระหนักถึงความสำคัญของการพัฒนาทักษะฝีมือ ทิศทางการทำงานในปัจจุบันและความต้องการแรงงานในอนาคต เพื่อพัฒนาตนเองให้พร้อมที่จะเข้าสู่ตลาดแรงงาน เพื่อสร้างอาชีพและมีรายได้ที่มั่นคง ซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ

ส่องความคิดเห็น ‘ชาวเวียดนาม’ หลังนักท่องเที่ยวจีนกลุ่มแรกเข้าไทย

หลังจากเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2566 ประเทศไทยได้มีโอกาสต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวจีนกลุ่มแรกไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั้น ก็พลันกลายเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์กันในหมู่ประเทศเพื่อนบ้านชาวเวียดนามที่มีทั้งชื่นชม เหน็บแนม และตัดพ้อประเทศตนที่ไม่สามารถดึงคนจีนเข้าประเทศได้เช่นเดียวกันไทย 

โดยในสาระสำคัญที่ชาวเวียดนามได้พูดคุยกันในโลกโซเชียลนั้น เป็นการขยายความจากประเด็น ‘ป้ายแบนเนอร์ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย’ ที่ได้มีการเขียนข้อความต้อนรับนักท่องเที่ยวจีนกลุ่มนี้ ซึ่งชาวเวียดนามดูเหมือนจะอึ้ง และให้ความสนใจกับป้ายนี้เป็นอย่างมาก

กระทู้จุดติดในโลกโซเชียลของชาวเวียดนามเริ่มขึ้นจากการลงรูปนักท่องเที่ยวจีนกลุ่มแรก ที่ได้เดินทางมายังประเทศไทย พร้อมกับแคปชันข้อความเชิงคำถามที่ว่า “นักท่องเที่ยวจีนมาเที่ยวไทย 269 คนแรก ลองดูว่าคนไทยต้อนรับนักท่องเที่ยวจีนอย่างไร?” คำตอบที่ได้คือ บนแบนเนอร์ต้อนรับของไทยมีการแสดงความใกล้ชิดอย่างถึงที่สุด ด้วยคำพูดที่ว่า “จีน-ไทย คือ พี่น้องครอบครัวเดียวกัน ยินดีต้อนรับคนจีนกลับบ้าน” ซึ่งเสียงส่วนใหญ่มองไปในภาพเดียวกันว่า นี่เป็น ‘กลยุทธ์ขั้นเซียน’ ของไทยในการโกยหัวใจนักท่องเที่ยวจีนได้อย่างมาก

โดยหลังจากโพสต์นี้ถูกนำเสนอออกไป ก็ได้มีชาวเวียดนามได้เข้ามาแสดงความคิดเห็นไว้ต่าง ๆ นานา ดังนี้...

>> ในมุมบวกต่อการต้อนรับครั้งนี้ของไทย...
1. “นี่คือตลาด 1,400 ล้านคน” 
2. “ประเทศไทย ไม่ได้มีดีแค่ในทีวี” 

3. “คนจีนคิดถึงประเทศไทย เวลาพวกเขาต้องการไปท่องเที่ยว พวกเขาก็จะนึกถึงเมืองไทย ในขณะเดียวกัน ภาพลักษณ์ของเวียดนามยังแย่มาก คนจีนที่มาเที่ยวเวียดนาม มีคนหนุ่มสาวเป็นจำนวนน้อย การส่งเสริมการท่องเที่ยวของเราไม่ค่อยได้ผล”

4. “เนื่องจากเมืองไทยมีสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ ราคาก็ถูก คนจีนก็เลยชอบมาก”  
5. “ประเทศไทยมีการส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศจีน ทุก ๆ ปี จะมีการโปรโมตการท่องเที่ยวไทยที่ประเทศจีน” 

6. “ต้องขอบอกว่านักท่องเที่ยวจีนนั้น มีการใช้จ่ายสูงกว่าพวก Backpacker ที่มักจะนอนโรงแรมราคาถูก หนุ่มสาวชาวจีนที่เดินทางมาก็ดูดีมาก” 
7. “คนจีนใช้จ่ายอันดับ 1 อยู่ตลอดเวลา คนตะวันตกนั้นขี้โม้!”

นายกฯ สั่ง ทุกหน่วยงานรับมือผลกระทบต่อประชาชน วอน ปรับราคาแล้ว ต้องปรับปรุงคุณภาพการบริการด้วย

(13 ม.ค. 66) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตามที่ได้มีประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง กำหนดอัตราค่าจ้างบรรทุกโดยสาร และค่าบริการอื่น สำหรับรถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกินเจ็ดคน ที่จดทะเบียนในกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2565 เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบัน โดยประกาศดังกล่าว เป็นการให้ยกเลิกประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง กำหนดอัตราค่าจ้างบรรทุกคนโดยสารสำหรับรถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกินเจ็ดคน (TAXI - METER) ที่จดทะเบียนในเขตกรุงเทพมหานคร ประกาศ ณ วันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2557 

นายอนุชา กล่าวว่า ประกาศกระทรวงคมนาคมฯ พ.ศ. 2565 จะเริ่มมีผลบังคับให้มีการจัดเก็บค่าโดยสารแท็กซี่อัตราใหม่ ถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป คือตั้งแต่วันที่ 13 มกราคม 2566 เป็นต้นไป นั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ติดตามและมีความห่วงใยประชาชนที่โดยสารรถแท็กซี่ที่อาจมีภาระค่าใช้จ่ายมากขึ้น จึงได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามผลกระทบจากการปรับขึ้นอัตราค่าโดยสารดังกล่าว

นายอนุชา กล่าวว่า แม้การปรับขึ้นอัตราค่าโดยสารจะช่วยให้คนขับแท็กซี่มีรายได้ที่เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบันมากขึ้น นายกรัฐมนตรีก็ยังเป็นห่วงประชาชนที่โดยสารรถแท็กซี่ ที่อาจมีภาระค่าใช้จ่ายมากขึ้น จึงได้มีข้อสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ติดตามผลกระทบต่อประชาชนและเศรษฐกิจในภาพรวมจากการปรับขึ้นอัตราค่าโดยสารดังกล่าว และเสนอแนะมาตรการทางเศรษฐกิจที่เหมาะสม เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการการขึ้นค่าโดยสารแท็กซี่ดังกล่าวต่อไปโดยเฉพาะในช่วงเปลี่ยนผ่าน

นายอนุชา กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีรับรู้ถึงความเดือดร้อนของคนขับรถแท็กซี่ ซึ่งถือว่าเป็นประชาชนกลุ่มหนึ่งที่ได้รับความเดือดร้อนจากค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้น รวมถึงสถานการณ์ราคาพลังงานและเชื้อเพลิงที่สูงขึ้น ส่งผลกระทบถึงต้นทุนค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นด้วย ในขณะที่ค่าจ้าง ค่าโดยสารรถแท็กซี่ ไม่ได้มีการปรับขึ้นมาเป็นเวลากว่า 8 ปีแล้ว จึงเป็นที่มาของการปรับค่าโดยสารในครั้งนี้ 

นายอนุชา กล่าวว่า เพื่อให้กลุ่มคนขับแท็กซี่ มีรายได้เพียงพอกับสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้กระทรวงคมนาคมไปกำกับดูแลเพิ่มเติมว่า เมื่อขึ้นราคาค่าโดยสารแท็กซี่แล้ว ก็ต้องปรับปรุงคุณภาพการบริการให้ดีขึ้นด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะต้องเข้มงวดในเรื่องมารยาทของคนขับรถ ความปลอดภัย ความสะอาด ไม่เอาเปรียบผู้โดยสาร และต้องปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด หากพบว่าแท็กซี่กระทำผิดจะต้องถูกดำเนินการตามกฎหมายที่กำหนดในเรื่องบทลงโทษต่อไปโดยไม่ละเว้น

นายอนุชา กล่าวว่า โดยรายละเอียดของประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง กำหนดอัตราค่าจ้างบรรทุกโดยสาร และค่าบริการอื่น สำหรับรถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกินเจ็ดคน ที่จดทะเบียนในเขตกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2565 บางส่วนระบุถึงการกำหนดอัตราค่าจ้างบรรทุกคนโดยสาร สำหรับ (1) กรณีรถยนต์รับจ้าง ที่มีลักษณะเป็นรถเก๋งสามตอน รถเก๋งสามตอนแวน รถยนต์นั่งสามตอน และรถยนต์นั่งสามตอนแวน ให้กำหนด ดังต่อไปนี้...

'ประเสริฐ' หนุน ! นวัตกรรมคนไทย หม้อแปลง Low Carbon ลดคาร์บอน ลดก๊าซเรือนกระจก ลดโลกร้อน ลดค่าไฟ ประหยัดพลังงาน

'ประเสริฐ' เชียร์ !  นวัตกรรมคนไทย ลดคาร์บอน ลดโลกร้อน ลดก๊าซเรือนกระจก “หม้อแปลง Submersible Transformer Low Carbon” นอกจากสร้างทัศนีย์ภาพเมืองให้สวยงาม น่าอยู่ ลดพลังงาน ลดคาร์บอน ลดก๊าซเรือนกระจก ลดค่าไฟ 

'ดร.ประเสริฐ' สินสุขประเสริฐ อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กล่าว หม้อแปลง Submersible Transformer Low Carbon นี้ นอกจากจะทำให้ทัศนียภาพสวยงาม ทำให้เมืองหน้าอยู่ ยังช่วยประหยัดพลังงาน และยังลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ลดคาร์บอน ผมว่าถ้าประหยัดพลังงานตอนนี้ทุกคนคงอยู่ในใจตลอดแล้วเพราะว่าราคาพลังงานสูงเหลือเกิน เดือนมกราก็มีการปรับขึ้นอีก ฉะนั้นเรื่องของนวัตกรรมที่ช่วยการประหยัดพลังงานก็จะทำให้เราสะดวกสบายขึ้น เรื่องลดโลกร้อนลดคาร์บอนก็เป็นเรื่องสำคัญ เพราะในช่วงปีที่ผ่านมาเราคงเห็นสภาพอากาศรุนแรงในบ้านเราก็มีฝนตกค่อนข้างเยอะ แต่ว่าจริง ๆ ถ้าเรามองไปทั่วโลกไม่ว่าจะเป็น ปากีสถาน เกาหลีใต้ หรือในยุโรป ตอนช่วงหน้าร้อนก็จะ Heat wave ตอนนี้ที่อเมริกา หนาวมาก เรียกว่าติดลบ 40 องศา และเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่มีความรุนแรงถ้าเราดูสถิติในช่วงอย่างน้อย 5ปี 10ปี ที่ผ่านมา ก็ความรุนแรงพวกนี้รุนแรงมากขึ้นและเกิดถี่ขึ้นและนานขึ้น ฉะนั้นสภาพอากาศบ้านเรา โลกของเราเริ่มไม่ปกติแล้ว เหมือนคนป่วยที่อุณหภูมิสูงขึ้น มีอาการอาเจียน ไม่สบายเนื้อไม่สบายตัว ฉะนั้นเราต้องช่วยทำให้โลกนี้เย็นลง ด้วยการลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกหรือ Low Carbon  ลดอุณหภูมิโลก

ตัวหม้อแปลง Low Carbon ดังกล่าว ก็ได้รับรางวัลมากมายในส่วนของกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานก็ได้ ในส่วนของกระทรวงพลังงานก็ได้รับรางวัล Energy Award ได้รับรางวัลนวัตกรรมสินค้าสนับสนุนส่งเสริมสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ NIA, สินค้า มอก. 384  และใบประกาศเกียรติคุณ โครงการสนับสนุนกิจกรรมลดก๊าซเรือนกระจก กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) TGO รางวัลดังกล่าวเป็นการส่งเสริมสนับสนุนสินค้าไทย ของต่างประเทศก็ได้หลายอันเห็นตามข่าวที่ไปรับรางวัล IEEE, กัมพูชา ก็เป็นความภาคภูมิใจของคนไทย เพราะว่าเรื่องของหม้อแปลงประหยัดพลังงานหรือหม้อแปลง Low Carbon ก็เป็นการคิดค้นของคนไทย เป็นการผลิตของคนไทยก็มีความยินดีและชื่นชม ในวันนี้ได้มาทดสอบติดตั้งนำร่องในพื้นที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็ดีใจมากเพราะเป็นศิษย์เก่า ผมตั้งแต่สมัยก่อน 30 ปี 40 ปี ที่แล้ว มาเดินไม่เหมือนตอนนี้เลย เมื่อ 40 ปี ที่แล้วกับตอนนี้มันคนละเรื่อง สภาพห้องแถว สภาพตึก สภาพสายไฟ อะไรต่าง ๆ ถนนหนทางก็ดีขึ้นเยอะ ก็สำนักงานทรัพย์สินจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยทำหน้าที่ได้ดีมาโดยตลอด ทำให้บ้านเมืองสวยงาม พูดไปแล้วสยามสแควร์กับจุฬา ก็เหมือนของคู่กัน แล้วก็ทำให้ทัศนียภาพสวยงามก็ดีใจ และก็อีกครั้งหนึ่งของชื่นชมทางบริษัท เจริญชัยหม้อแปลงไฟฟ้า จำกัด, ทางบริษัท อีโนวา  อินทิเกรชั่น จำกัด และทางจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ร่วมมือกันทำผลงานตัวนี้ เพราะว่าเรื่องใหม่ๆ เรียนสื่อมวลชนว่า เรื่องใหม่ๆ ถึงแม้จะเป็นเรื่องที่ดีก็ตาม ได้รับรางวัลมากมายก็ตาม แต่ไม่กล้า คนไม่กล้าจะมีอีกเยอะ ก็อยากให้ตรงนี้เป็นตัวอย่าง เป็นเจ้าแรกที่จะทำให้บ้านเรามีทัศนียภาพที่สวยงาม มีการใช้พลังงานอย่างประหยัด มีประสิทธิภาพ และก็ช่วยลดเรื่องค่าใช้จ่าย ช่วยลดคาร์บอน ลดโลกร้อน ลดก๊าซเรือนกระจก เพื่อโลกของเราจะได้กลับมาเป็นปกติ

บิ๊กตู่ เร่งผลักดัน โครงการศูนย์ธุรกิจ อีอีซี ตั้งเป้า 1 ใน 10 เมืองน่าอยู่อัจฉริยะของโลกในปี 2580

'บิ๊กตู่' ดัน โครงการศูนย์ธุรกิจ อีอีซี ตั้งเป้า 1 ใน 10 เมืองน่าอยู่อัจฉริยะของโลกในปี 2580 คาดเปิดให้เอกชน 'ลงทุน-พัฒนาพื้นที่' ในปี 67 

(16 ม.ค. 66) น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ให้ความสำคัญและผลักดันเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) อย่างต่อเนื่อง โดยได้เร่งรัดติดตามโครงการศูนย์ธุรกิจอีอีซี และเมืองใหม่น่าอยู่อัจฉริยะอย่างใกล้ชิด ซึ่งโครงการนี้มีพื้นที่โครงการ 14,619 ไร่ ตั้งอยู่ที่ ต.ห้วยใหญ่ จ.ชลบุรี มีการจัดวางโซนพื้นที่พัฒนาเมือง ได้แก่...

- ศูนย์สำนักงานภูมิภาค และศูนย์ราชการอีอีซี 
- ศูนย์กลางการเงิน อีอีซี 
- ศูนย์การแพทย์แม่นยำ และการแพทย์อนาคต 
- ศูนย์การศึกษา วิจัยและพัฒนา นานาชาติ
- ศูนย์ธุรกิจอนาคต ที่พักอาศัยสำหรับคนทุกกลุ่ม รวมถึงการเดินทางภายในพื้นที่ จะมีการวางโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมด้วยการไม่ใช้เครื่องยนต์เป็นหลัก เช่น รถไฟเชื่อมโยง รถไฟความเร็วสูง รถไฟฟ้ารางเบาในเขตพื้นที่เมืองชั้นใน รถเมล์ไฟฟ้า และเรือโดยสารภายในพื้นที่โครงการ

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า การประชุมคณะกรรมการเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ เป็นประธาน เมื่อวันที่ 28 ธ.ค.2565 เห็นชอบและรับทราบความคืบหน้าโครงการที่อยู่ในเขต สปก. ตามที่ได้จัดทำแผนแม่บทแล้วเสร็จกำหนดระยะเวลาพัฒนาโครงการ 20 ปี แบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่...ระยะแรก 5,700 ไร่ระยะที่สอง 4,000 ไร่ และระยะสุดท้าย 4,919 ไร่ 

ทั้งนี้ สกพอ.และ ส.ป.ก. ได้ดำเนินการจ่ายค่าชดเชยให้เกษตรกรผู้มีสิทธิใช้ประโยชน์ในที่ดิน ส.ป.ก. ในระยะแรกแล้วทั้งสิ้น 2,483 ไร่ ซึ่งคาดว่าจะสามารถเตรียมที่ดินในเฟสแรกให้พร้อมได้ใน 5 ปีข้างหน้า โดยภายในไตรมาสแรกของปี 2566 นี้ จะเริ่มดำเนินการสรรหาและคัดเลือกผู้เชี่ยวชาญในการสร้างเมืองอัจฉริยะระดับโลก ที่มีประสบการณ์พัฒนาสมาร์ตซิตี้ให้สำเร็จทั้งในเกาหลี ซาอุดีอาระเบีย และญี่ปุ่น เพื่อออกแบบผังและจัดโซนของโครงการ รวมทั้งวิเคราะห์ธุรกิจที่เหมาะสมที่จะเข้ามาลงทุนในพื้นที่

‘สุริยะ’ นำทีมเยือนญี่ปุ่น ดึงนักลงทุน หนุนพัฒนาอุตสาหกรรมระหว่าง 2 ประเทศ

‘สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ’ รมว.อุตสาหกรรม นำทีมเยือนญี่ปุ่น หารือร่วมรัฐมนตรี METI ย้ำความสัมพันธ์แน่นแฟ้นเชิงเศรษฐกิจระหว่างประเทศ และการเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ (Strategic Partnership) อย่างรอบด้าน

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม (MIND) เปิดเผยถึงผลการหารือกับนายนิชิมุระ ยาสึโทชิ (Mr.Nishimura Yasutosh) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรม (METI) ระหว่างเยือนประเทศญี่ปุ่น วันที่ 11-15 มกราคม 2565 เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมระหว่าง 2 ประเทศ ว่า บรรยากาศการหารือเป็นไปด้วยดี ตอกย้ำความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างไทยและญี่ปุ่นที่ดำเนินธุรกิจร่วมกันมาอย่างยาวนานในหลายด้าน โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมที่นักลงทุนญี่ปุ่นได้มาลงทุนในประเทศไทย 

โดยการเข้าหารือกับ METI ยังเป็นการครบรอบ1 ปี ที่ทั้ง 2 กระทรวงฯ คือ กระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรม (METI) และกระทรวงอุตสาหกรรม (MIND) ได้ร่วมกันปรับแนวคิดจาก 'Connected Industries' มาสู่ความร่วมมือ Co-Creation for Innovative and Sustainable Growth ที่เน้นการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยี เมื่อปลายปี 2565 โดยเฉพาะประเด็นการดำเนินโครงการพัฒนาทักษะบุคลากร ซึ่งอยู่ภายใต้กรอบความร่วมมือ Cooperation Framework on Human Resource Development for Realizing Industry 4.0 ขับเคลื่อน 3 ประเด็นหลัก ประกอบด้วย 

1. แนวทางการร่วมกันพัฒนาทักษะด้านเทคโนโลยีดิจิทัลให้แก่บุคลากรในภาคอุตสาหกรรม 2. การขับเคลื่อนนโยบาย BCG ในสาขาอุตสาหกรรมเป้าหมาย และ 3. การเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับห่วงโซ่อุปทานผ่านแนวคิดการร่วมสร้าง (Co-Creation)

นายสุริยะ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ยังหารือในประเด็นการลงทุนภายใต้กรอบ AJIF (Asia-Japan Investing for the Future) มุ่งเน้นความเชื่อมโยงระหว่างญี่ปุ่นกับประเทศต่าง ๆ จึงเน้นย้ำถึงความพร้อมของประเทศไทย ในการต้อนรับนักลงทุนให้เข้ามาลงทุนในนิคมอุตสาหกรรม ที่กำกับดูแลโดยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ซึ่งปัจจุบันมีนิคมอุตสาหกรรมที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแล รวมทั้งสิ้น 67 แห่ง ใน 16 จังหวัด พื้นที่รวมเกือบ 2 แสนไร่ (ประมาณ 320 ตารางกิโลเมตร) เป็นนิคมฯที่ทันสมัย และมีเงินลงทุนสะสมรวมกว่า 150,000 ล้านเหรียญสหรัฐ

‘สุริยะ’ เผย ‘ไดกิ้น’ พร้อมใช้ไทยเป็น ‘ฮับ’ อาเซียน โชว์ศักยภาพนิคมฯ ‘สมาร์ท ปาร์ค’ รองรับทุกการลงทุน

'สุริยะ' แย้มข่าวดี 'ไดกิ้น' ยืนยันใช้ไทยเป็น 'ฮับ' ในอาเซียน โชว์ความพร้อมพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม รองรับนักลงทุนญี่ปุ่นทุกรูปแบบ ล็อคเป้า 'นิคมอุตสาหกรรมสมาร์ท ปาร์ค (Smart Park) - ท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 (ช่วงที่ 2)'

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า การเดินทางไปเยือนประเทศญี่ปุ่นระหว่างวันที่ 11-15 มกราคม 2566 มีโอกาสได้พบกับผู้บริหารระดับสูงของบริษัท Daikin Co.,Ltd. ที่นครโอซาก้า เพื่อหารือถึงการพัฒนาบริษัท Daikin ในประเทศไทย ซึ่งบริษัท Daikin ระบุว่า มีแผนที่จะพัฒนาบริษัท Daikin ที่ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมของประเทศไทยเป็นฮับของอาเซียน ที่คาดว่าจะทำให้เกิดการจ้างงานแรงงานไทยได้ไม่น้อยกว่า 1 หมื่นคน โดยบริษัท Daikin ปีนี้ยังได้รับการจัดอันดับให้เป็นบริษัทที่ทำกำไรสูงสุดเป็นอันดับสองของญี่ปุ่น รองจากบริษัทโซนี่อีกด้วย

“นับเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่ทาง บริษัท Daikin เล็งเห็นศักยภาพของประเทศไทยในการเป็นฮับของอาเซียน โดยเฉพาะในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม ภายใต้การกำกับดูแลของ กนอ.ซึ่งปัจจุบัน บริษัท Daikin ประเทศไทย มีโรงงานตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ (ชลบุรี) 4 โรงงาน และที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ (ระยอง) อีก 1 โรงงานอีกด้วย” นายสุริยะ กล่าว

นอกจากนี้ ได้หารือกับนายมัตสึโอะ ทาเคฮิโกะ (Mr. Matsuo Takehiko) อธิบดีกรมนโยบายการค้า กระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรม (Director General, Trade Policy Bureau Ministry of Economy, Trade and Industry : METI ) ถึงประเด็นการสนับสนุนโครงการไฮโดรเจนในนิคมอุตสาหกรรม Smart Park  โดย กนอ.ได้ย้ำถึงการเป็นนิคมอุตสาหกรรมที่ส่งเสริมพลังงานสะอาด และแผนการนำพลังงานไฮโดรเจนเข้ามาใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับรถรับส่งแรงงาน/พนักงานภายในนิคมอุตสาหกรรม การใช้พลังงานไฮโดรเจนเป็นพลังงานทดแทนด้านพลังงาน การสร้างสังคมปราศจากคาร์บอนโดยการประยุกต์ใช้พลังงานไฮโดรเจนขยายผลเทคโนโลยีรถยนต์พลังงาน รวมถึงการตั้งโรงงานเพื่อผลิตไฮโดรเจน 

ทั้งนี้ กนอ.ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOC) การศึกษาเพื่อพัฒนา “นิคมอุตสาหกรรมที่มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral Industrial Estate) ในพื้นที่มาบตาพุด” ร่วมกับหน่วยงานภาคอุตสาหกรรมที่สำคัญ 7 ราย เพื่อสนับสนุนการศึกษาเกี่ยวกับการใช้งาน และการกักเก็บพลังงานหมุนเวียน เพื่อพยายามลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และการพึ่งพาเชื้อเพลิงจากฟอสซิล  ขณะเดียวกัน องค์การส่งเสริมการต่างประเทศของญี่ปุ่น (Japan External Trade Organization : JETRO) ได้ร่วมมือกับผู้ประกอบการในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาไฮโดรเจน โดยมีเป้าหมายในการขอทุนจากองค์กรพัฒนาพลังงานและเทคโนโลยีอุตสาหกรรมใหม่ (New Energy and Industrial Technology Development Organization : NEDO) ในการพัฒนาและลงทุนไฮโดรเจนในนิคมอุตสาหกรรม Smart Park ด้วย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top