Monday, 28 April 2025
CoolLife

เราได้เรียนรู้อะไรจากการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด–19 ของ ‘ลุงตู่’ กันบ้าง?

ฉีดแล้วจ้า!! ลุงตู่ฉีดวัคซีนเรียบร้อยแล้วจ้า หลังจากเจอ ‘โรคเลื่อน’ เพราะมีข่าวว่า พบผู้ที่ฉีดวัคซีนแอสตราเซเนกาแล้วเสียชีวิต! เดี๋ยว ๆๆๆ โปรดใจเย็น ล่าสุดยังไม่มีรายงานแบบบ่งชี้ชัดว่า ผู้ที่เสียชีวิตมีต้นเหตุมาจากการฉีดวัคซีนนี้หรือไม่ รวมทั้งองค์การอนามัยโลก ก็ยังยืนยันว่า การฉีดวัคซีนแอสตราเซเนกา ยังทำได้ต่อไป

ว่าแล้ว ลุงตู่ ของเราจึงหย่อนตัวบนเก้าอี้ ถลกแขนเสื้อแล้วจัดการให้คุณหมอยง ‘แทงจึ๊ก!’ เข้าหัวไหล่ เรียกว่าเป็นแข็มแรกของแอสตราเซเนกากับคนไทย ประเทศไทย และกำลังทยอยฉีดกันไปอย่างต่อเนื่อง ทางแอสตราเซเนกายังยืนยันต่อมาอีกว่า ความเสี่ยงในการฉีด มีน้อยกว่าประโยชน์ที่ได้รับอย่างแน่นอน

3 วันมาแล้วที่ลุงตู่ฉีดวัคซีนไป ยังสุขภาพแข็งแรงดี ปึ้ก ๆ !! งั้นไปดูกันหน่อยว่า การฉีดครั้งนี้ เราได้เรียนรู้อะไรเพิ่มเติมกันอีกบ้าง?

States TOON EP.5

เหตุเกิดจากความวังเวง > <’

ม็อบหรือป่าช้า

ร่วมแชร์ประโยคดีต่อใจ เมื่อวันที่ ‘ผู้ว่าฯ ปู’ นายวีระศักดิ์ วิจิตร์แสงศรี แถลงข่าวออกจากโรงพยาบาล เพื่อเตรียมเดินทางกลับบ้าน หลังหายจากโรคโควิด – 19 เป็นที่เรียบร้อย

กว่า 82 วัน นับตั้งแต่ตรวจพบว่า ติดเชื้อโคโรน่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่ หรือโรคโควิด-19 หลังจากนั้น นายวีระศักดิ์ วิจิตร์แสงศรี ผู้ว่าฯ สมุทรสาคร ก็เข้าสู่กระบวนการรักษา โดยเป็นคนไข้ในพระบรมราชานุเคราะห์ ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา หลายครั้งมีข่าวไม่สู้ดี แต่ด้วยหัวใจที่ฮึดสู้ ตลอดจนความสามารถของทีมแพทย์ศิริราชพยาบาล จึงทำให้มีวันนี้ วันที่ได้ #คืนปูสู่สาคร

เช้าของวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2564 ผู้ว่าฯ ปู รวมทั้งทีมแพทย์ศิริราช ได้ออกแถลงการณ์ เรื่องอาการป่วยที่ผ่านมา และการเตรียมการออกจากโรงพยาบาล เรียกรอยยิ้มให้กับผู้เกี่ยวข้องกันทุก ๆ คน THE STATES TIMES จึงขอนำ ‘ประโยคดี ๆ’ ที่ผู้ว่าฯ สมุทรสาครได้เอ่ยออกมาจากใจ มาส่งต่อให้ได้อ่านร่วมกัน...

วันนี้เป็นอีกหนึ่งวันสำคัญทางประวัติศาสตร์ของชาติไทย และถูกบันทึกกันมากว่า 115 ปี โดยเป็นวันที่ชาติฝรั่งเศส ได้ทำสัญญาคืน ‘จังหวัดตราด’ รวมทั้งเกาะต่าง ๆ ในอาณาบริเวณ ให้กับประเทศไทย หลังจากที่ยึดไว้ในการครอบครองกว่า 3 ปี

ย้อนกลับไปในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ฝรั่งเศสได้ขยายอำนาจมาทางตะวันออกของแหลมอินโดจีน โดยครอบครองญวนและเขมรส่วนนอกไว้ทั้งหมด พร้อมทั้งอ้างสิทธิดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงเดิม ว่าเป็นของญวนและเขมร ดังนั้น ฝรั่งเศสจึงมีสิทธิครองครองดินแดนส่วนนี้ด้วย ซึ่งในเวลานั้น พื้นที่ดังกล่าว อยู่ในการครอบครองของอาณาจักรสยาม

จึงเป็นที่มาของการการปะทะกันของกำลังทหารไทยและฝรั่งเศส กระทั่งไทยยอมทำสัญญาสงบศึกในวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2436 โดยถอนทหารจากชายแดนทั้งหมด รวมทั้งเสียค่าปรับ ค่าทำขวัญแก่ฝรั่งเศส และให้ยอมรับว่า ดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ตลอดทั้งเกาะต่าง ๆ เป็นของฝรั่งเศส ประการที่สำคัญ รัฐบาลฝรั่งเศสยังได้ยึดครองจังหวัดจันทบุรีไว้จนกว่าจะปฏิบัติตามสัญญาครบถ้วนอีกด้วย

เป็นเวลากว่า 10 ปี ที่ฝรั่งเศสยึดเมืองจันท์เอาไว้ กระทั่งเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2446 รัฐบาลไทยจึงได้ทำสัญญากับรัฐบาลฝรั่งเศส ยอมยกเมืองตราดและเกาะทั้งหลายภายใต้แหลมลิงลงไปถึงเกาะกูด ตลอดจนถึงเมืองประจันตคีรีเขตต์ (เกาะกง) ให้แก่ฝรั่งเศส เพื่อให้ฝ่ายฝรั่งเศสยอมถอนทหารออกจากจังหวัดจันทบุรี จนต่อมาภายหลัง ฝรั่งเศสยินยอม และเข้าปกครองดินแดนตราดและเกาะกง ตั้งแต่วันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2447 เป็นต้นมา

แต่แล้วเมื่อวันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2449 ไทยก็ได้ทำสัญญากับฝรั่งเศสอีกครั้ง โดยยอมยกพระตะบอง เสียมราฐ และศรีโสภณ ให้แก่ฝรั่งเศส เพื่อแลกกับเมืองตราดคืนมา โดยเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2450 ฝรั่งเศสได้ทำพิธีมอบเมืองตราดอย่างเป็นทางการให้กับประเทศไทยตามเดิม รวมเวลาที่จังหวัดตราดตกอยู่ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศสเป็นเวลา 2 ปี 6 เดือน 7 วัน

ด้วยเหตุนี้ เพื่อเป็นการน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ที่ทรงดำเนินวิเทโศบายทางการเมืองระหว่างประเทศด้วยพระปรีชาสามารถ จนในที่สุด ฝรั่งเศสยอมทำสัญญายกเมืองตราดคืนให้แก่ประเทศไทย จึงตั้งให้วันที่ 23 มีนาคม ของทุกปี เป็น ‘วันตราดรำลึก’ ทั้งนี้เพื่อน้อมถวาย และระลึกถึงวันสู่อิสรภาพของเมืองสำคัญแห่งนี้


ที่มา: http://www.trat.go.th/trat100/trat_100/trat50.htm, http://oknation.nationtv.tv/blog/buraphadialysis/2008/07/19/entry-1

วันนี้เมื่อราว 71 ปีก่อน เป็นวันที่ประชาชนชาวไทยต่างรอคอย เมื่อพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จนิวัตประเทศไทย พร้อมด้วยพระคู่หมั้น ม.ร.ว. สิริกิติ์ กิติยากร (พระนาม ณ ขณะนั้น) โดยเสด็จพระราชดำเนินจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์มาสู่พระนคร

โดยนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2477 เป็นต้นมา พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงเสด็จพระราชดำเนินไปศึกษาต่อ ณ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ตลอดระยะเวลานั้น ทรงเสด็จนิวัตประเทศไทยครั้งแรกในช่วงปี พ.ศ. 2481 และครั้งที่สองในปี พ.ศ. 2488 พร้อมกับพระเชษฐา พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร

ต่อมาเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2489 หลังการสืบราชสันตติวงศ์เป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 9 แห่งพระบรมราชวงศ์จักรี จึงเสด็จพระราชดำเนินไปทรงศึกษาต่อ ในสาขานิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ ณ มหาวิทยาลัยโลซาน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ จนเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2492 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้ทรงประกอบพิธีหมั้นกับ ม.ร.ว.สิริกิติ์ กิติยากร ณ โรงแรมวินเซอร์ เมืองโลซาน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์

กระทั่งในปี พ.ศ. 2493 จึงเสด็จนิวัตประเทศไทยอีกครั้ง ร่วมกับ ม.ร.ว. สิริกิติ์ กิติยากร พระคู่หมั้น โดยการเสด็จพระราชดำเนินในครั้งนั้น พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พร้อมด้วยพระคู่หมั้น เสด็จออกจากพระตำหนักวิลล่าวัฒนา ในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2493 โดยรถยนต์พระที่นั่งไปยังท่าเรือวิลล์ฟรังซ์ ประเทศฝรั่งเศส เพื่อประทับเรือเดินสมุทรซีแลนเดีย ออกจากฝรั่งเศส ผ่านทะเลเมดิเตอร์เรเนียนลัดคลองสุเอซ สู่มหาสมุทรอินเดีย จนมาถึงสิงคโปร์

เมื่อเรือซีแลนเดียเทียบท่าที่ท่าเรือเกาะสีชัง จึงเปลี่ยนเรือพระที่นั่งเป็นเรือรบหลวงรัตนโกสินทร์ เพื่อเสด็จฯ มายังป้อมพระจุลจอมเกล้า แล้วประทับเรือหลวงศรีอยุธยา เทียบที่ท่าราชวรดิฐ พระที่นั่งราชกิจวินิจฉัย กรุงเทพมหานคร

การเสด็จนิวัตประเทศไทยครั้งนั้น ทรงมีพระราชกรณียกิจสำคัญ โดยในวันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2493 ทรงประกอบพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร ต่อมาในวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2493 ทรงประกอบพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสกับ ม.ร.ว. สิริกิติ์ กิติยากร จากนั้นในวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2493 ทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ตามลำดับ


ที่มา:

https://www.hii.or.th/wiki84/

https://www.blockdit.com/posts/5ea770bcb0cefd12268089e7

http://www.virtualmuseum.finearts.go.th/TheNationalArchives/index.php/exhibitions-narama9/34-building3/floor2.html

หนึ่งในหน่วยงานที่ดำเนินการคู่กับกระบวนการทางกฎหมาย นั่นคือ กระทรวงยุติธรรม ซึ่งในวันนี้ ถือเป็นวันสำคัญทางกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทย เนื่องจากเป็นวันคล้ายวันก่อตั้ง กระทรวงยุติธรรม ที่มีอายุมากว่า 130 ปี

กระทรวงยุติธรรมของประเทศไทย ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2434 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 โดยการสถาปนากระทรวงยุติธรรมขึ้นนั้น ถือได้ว่าเป็นงานปฏิรูปกฎหมายชิ้นแรกของยุคสมัยก็ว่าได้ ทั้งนี้เพื่อทำหน้าที่เป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบด้านกระบวนการยุติธรรมอย่างแท้จริง

แต่เดิมมีการใช้ชื่อว่า กระทรวงยุตติธรรม และมีการเปลี่ยนชื่อเป็นกระทรวงยุติธรรม เมื่อวันที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2495 โดยในระยะแรกเริ่ม ในหลวงรัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯ ให้ว่าจ้างเนติบัณฑิต ผู้เชี่ยวชาญกฎหมายการต่างประเทศ เข้ามารับราชการเป็นที่ปรึกษา ได้แก่ นายกุสตาฟ โรแลง แยกแมงส์ ชาวเบลเยี่ยม ต่อมาได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นพระยาอภัยราชา สยามนุกูลกิจ

เมื่อเวลาผ่านไป กระทรวงยุติธรรม ในปัจจุบัน ถูกพัฒนาเป็นหน่วยงานราชการส่วนกลาง ประเภทกระทรวงของไทย มีภารกิจเป็นหน่วยงานหลักของกระบวนการยุติธรรม ในการดำเนินการเพื่อพัฒนากฎหมาย และระบบบริหารจัดการของกระบวนการยุติธรรมอย่างเป็นเอกภาพ โปร่งใส คุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน ช่วยเหลือและให้ความรู้แก่ประชาชนทางกฎหมาย ป้องกัน ปราบปราม แก้ไขปัญหาอาชญากรรมในสังคมและอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ การบังคับคดีแพ่ง บังคับคดีล้มละลาย บังคับคดีทางอาญา รวมทั้งบำบัดแก้ไขฟื้นฟูผู้กระทำผิด

จากวันแรกจนมาสู่วันนี้ เป็นเวลากว่า 130 ปี ที่กระทรวงยุติธรรมดำเนินการด้วยหลักแห่งความเที่ยงธรรมตลอดมา ถือเป็นหนึ่งในหน่วยงานที่มีความสำคัญ และรักษาความเสมอภาคให้กับประชาชนทุกคนในประเทศ


ที่มา:

https://www.lib.ru.ac.th/journal/oct/oct23_ck_index_6.html

https://th.wikipedia.org/wiki/กระทรวงยุติธรรม

ย้อนกลับไปราว 105 ปี วันนี้ถือเป็นวันสถาปนา ‘จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย’ โดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประดิษฐาน ‘โรงเรียนข้าราชการพลเรือนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว’ ขึ้นเป็น ‘จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย’

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถือกำเนิดจาก ‘โรงเรียนสำหรับฝึกหัดวิชาข้าราชการฝ่ายพลเรือน’ โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยูหัว โปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2442 โดยมี ‘พระเกี้ยว’ เป็นเครื่องหมายประจำโรงเรียน ต่อมาได้มีการเปลี่ยนนามของโรงเรียน ไปเป็น ‘โรงเรียนมหาดเล็ก’ เพื่อใช้เป็นรากฐานของสถาบันการศึกษาขั้นสูง

จวบจนในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ยกโรงเรียนมหาดเล็กเป็นโรงเรียนข้าราชการพลเรือน พร้อมทั้งพระราชทานนามโรงเรียนแห่งนี้ใหม่ว่า ‘โรงเรียนข้าราชการพลเรือนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว’

และในวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2459 ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประดิษฐานโรงเรียนข้าราชการพลเรือนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขึ้นเป็นมหาวิทยาลัย พร้อมพระราชทานนามว่า ‘จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย’ จึงถือเป็นวันสถาปนาของมหาวิทยาลัย นับแต่นั้นเป็นต้นมา

ปัจจุบัน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถือเป็นมหาวิทยาลัยอันดับต้น ๆ ของประเทศไทย โดยมีคณะวิชาที่เปิดสอน 19 คณะ ครอบคลุมสาขาวิชาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สังคมศาสตร์ และมนุษยศาสตร์ นอกจากนี้ยังมีวิทยาลัย สำนักวิชา รวมทั้งบัณฑิตวิทยาลัย ที่แตกแยกย่อยออกไปอีกมากมาย โดยมีหลักสูตรทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และหลักสูตรนานาชาติรวมกว่า 506 หลักสูตร

ตลอดระยะเวลากว่า 105 ปี ที่มหาวิทยาลัยได้ถูกสร้างสรรค์พัฒนา จนเรียกได้ว่า เป็นสถาบันการศึกษาสำคัญแห่งหนึ่งของชาติ และจะดำรงคุณภาพ เพื่อยกระดับความรู้ให้กับประชาชนของชาติสืบไป


ที่มา: https://th.wikipedia.org/wiki/จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

เอ่ยชื่อ ‘สนามบินดอนเมือง’ สำหรับคนไทยถือเป็นชื่ออันคุ้นเคย ซึ่งวันนี้เมื่อ 107 ปีก่อน เป็นวันที่ท่าอากาศยานดอนเมือง ได้เปิดดำเนินการเป็นครั้งแรก

ท่าอากาศยานดอนเมือง หรือ สนามบินดอนเมือง ในความคุ้นเคยของคนไทย เป็นท่าอากาศยานที่ตั้งอยู่บนถนนวิภาวดีรังสิต ห่างจากกรุงเทพมหานครไปทางทิศเหนือราว 24 กิโลเมตร โดยก่อนหน้าที่จะมีสนามบินแห่งนี้ แต่เดิมเคยมีสนามบินแห่งแรกของประเทศ นั่นคือ สนามบินสระปทุม

แต่เนื่องด้วยมีพื้นที่จำกัด และมีที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ไม่เหมาะสม ทางราชการจึงได้คิดหาสถานที่ใหม่ที่มีบริเวณกว้างขวาง และจากการบินสำรวจทางอากาศ จึงได้พบเห็นผืนนาที่อยู่ทางตอนเหนือของอำเภอบางเขน ซึ่งมีลักษณะเป็นพื้นที่ที่เหมาะสม

ต่อมา กรมเกียกกายทหารบกได้เริ่มดำเนินการปรับพื้นที่ให้เป็นสนามหญ้า ที่เครื่องบินสามารถวิ่งและบินขึ้น-ลงได้ พร้อมทั้งสร้างโรงเก็บเครื่องบิน และอาคารสถานที่ทำการตามความจำเป็น การก่อสร้างแล้วเสร็จเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2457 กรมเกียกกายทหารบกจึงส่งมอบให้กรมจเรการช่างทหารบกรับช่วงดูแลต่อ และเรียกชื่อสนามบินนี้ว่า ‘สนามบินดอนเมือง’

กระทั่งวันที่ 27 มีนาคม พ.ศ.2457 กระทรวงกลาโหมได้ออกคำสั่งตั้งกองบินทหารบกขึ้น และย้ายเข้าที่ตั้งถาวรที่สนามบินดอนเมือง จึงนับเป็นวันเปิดดำเนินการ และเป็นการเริ่มต้นกิจการการบินของเมืองไทยอย่างเป็นรูปธรรม ต่อมาภายหลัง กองทัพอากาศก็ได้ถือเอาวันที่ 27 มีนาคม ของทุกปี เป็นวันที่ระลึกของกองทัพอากาศด้วยเช่นกัน

ท่าอากาศยานดอนเมือง เคยปิดตัวลงเมื่อวันที่ 28 กันยายน พ.ศ.2549 พร้อมกับการเปิดใช้งานท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยถูกปรับเปลี่ยนเป็นสถานที่ซ่อมเครื่องบิน ฝึกบิน และสำหรับจอดเครื่องบินส่วนตัวของบุคคลสำคัญ แต่ต่อมาก็กลับมาเปิดทำการใหม่อีกครั้ง เมื่อวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ.2550 กระทั่งปัจจุบัน สนามบินดอนเมืองได้ชื่อว่า เป็นท่าอากาศยานนานาชาติแห่งที่ 2 ของประเทศ เปิดรับเที่ยวบินจากต่างประเทศกว่า 16 ประเทศ และเที่ยวบินภายในประเทศอีกมากมาย

.

ที่มา:

https://th.wikipedia.org/wiki/ท่าอากาศยานดอนเมือง

https://www.trueplookpanya.com/blog/content/51392/-timhis-tim-


สนับสนุนข่าวโดย : รับข้อเสนอพิเศษมอเตอร์โชว์ ในงาน Mazda Motor Show สัมผัสปิกอัพใหม่ All-New Mazda BT-50 และยนตรกรรมสกายแอคทีฟจากมาสด้า ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%* รับประกันคุณภาพรถสูงสุด 5 ปี* และบัตรเติมน้ำมัน 10,000 บ.* 24 มี.ค. 64 - 4 เม.ย. 64 ที่บูธและโชว์รูมทั่วประเทศ

วันนี้เป็นวันคล้ายวันประสูติของ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ หรือที่คนไทยรู้จักกันในพระนาม ‘พระองค์จุล’ เจ้านายชั้นสูงที่ทรงมีเชื้อสายชาวต่างชาติ เป็นพระองค์แรกในพระบรมราชวงศ์จักรี

พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ เป็นพระโอรสในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ พระราชโอรสในรัชกาลที่ 5 กับ หม่อมคัทริน ณ พิศณุโลก ชายาชาวรัสเซีย

เมื่อยังทรงพระเยาว์ ทรงเข้าศึกษาที่โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า (ระดับประถม) จนพระชันษาครบ 13 ปี ได้เสด็จไปทรงศึกษาที่โรงเรียนแฮร์โรว์ ประเทศอังกฤษ จากนั้นทรงศึกษาระดับอุดมศึกษา ที่วิทยาลัยตรินิตี้ มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ด้านประวัติศาสตร์ และทรงได้รับปริญญาตรี เมื่อปี พ.ศ. 2473 และปริญญาโท ในปี พ.ศ. 2477

เมื่อสำเร็จการศึกษา พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ทรงเข้ารับราชการเป็นนายทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ ปฏิบัติหน้าที่ ณ สถานเอกอัครราชทูตไทย ในกรุงลอนดอน ต่อมา ทรงค้นพบว่า มีความสนพระทัยในงานประพันธ์และประวัติศาสตร์ จึงทรงพระนิพนธ์หนังสือ เป็นจำนวนทั้งสิ้น 13 เล่ม โดยเล่มที่ยังถูกกล่าวถึงมาจนปัจจุบัน ได้แก่ เกิดวังปารุสก์, เจ้าชีวิต, ดาราทอง และไทยชนะ

ตลอดพระชนม์ชีพ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ทรงประกอบกิจต่าง ๆ มากมาย โดยทรงเป็นผู้แทนพระองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวหลายพระองค์ ในงานพระราชพิธีต่าง ๆ อาทิ ทรงเป็นผู้แทนพระองค์พระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ในงานพระบรมศพสมเด็จพระเจ้าอัลแบร์ที่ 1 พระเจ้าแผ่นดินเบลเยี่ยม ในปี พ.ศ. 2477 ทรงเป็นผู้แทนพระองค์พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 8 ในงานพระบรมศพพระเจ้าจอร์จที่ 5 และงานพระบรมราชาภิเษก พระเจ้าจอร์จที่ 6 รวมถึงทรงเป็นผู้แทนพระองค์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ในงานพระบรมราชาภิเษก สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร

นอกจากนี้ ยังทรงมีกิจด้านการศุลมากมาย ตลอดจนบริจาคทรัพย์เพื่อการกุศล โดยเฉพาะในโรงพยาบาลต่าง ๆ เนื่องจากทรงเล็งเห็นในความสำคัญของงานสาธารณสุข กระทั่งช่วงท้ายพระชนมชีพ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ทรงประชวรเป็นเนื้องอกที่หลอดอาหารส่วนบน โดยพำนักรักษาพระองค์อยู่ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ก่อนที่ในวันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2506 จะทรงสิ้นพระชนม์อย่างสงบ

พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ทรงเป็นเจ้านายชั้นสูงที่ทรงประกอบกิจเพื่อแผ่นดิน ตลอดจนมีผลงานทรงพระนิพนธ์ไว้ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษามากมาย ควรค่าแก่การยกย่องเป็นอย่างสูง


ที่มา: https://th.wikipedia.org/wiki/พระเจ้าวรวงศ์เธอ_พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์

วันนี้เมื่อ 71 ปีก่อน เป็นวันถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร ณ พระเมรุมาศ ท้องสนามหลวง

พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2468 ณ เมืองไฮเดลเบิร์ก ประเทศเยอรมัน เป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก และ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี

เมื่อทรงพระเยาว์ได้ตามเสด็จสมเด็จพระราชชนกและสมเด็จพระราชชนนีไปยังประเทศต่าง ๆ ทั้งประเทศฝรั่งเศส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งสมเด็จพระราชชนกทรงเข้าทรงศึกษาวิชาแพทยศาสตร์ ณ มหาวิทยาลัยฮาวาร์ด สหรัฐฯ ในระหว่างปี พ.ศ. 2469 - 2471 แล้วจึงเสด็จกลับประเทศไทยเป็นครั้งแรกเมื่อพระชนมายุได้ 3 พรรษา ในระหว่างนั้นสมเด็จพระราชชนกทรงพระประชวรและสิ้นพระชนม์ พระองค์จึงอยู่ในความดูแลของสมเด็จพระราชชนนีเพียงพระองค์เดียว

พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร เสด็จขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 8 แห่งราชวงศ์จักรี เมื่อวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2478 ขณะที่มีพระชนมพรรษา 9 พรรษา และยังทรงประทับอยู่ ณ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ จึงได้มีการแต่งตั้งคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เพื่อทำหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินจนกว่าพระองค์จะทรงบรรลุนิติภาวะ

พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร เสด็จนิวัตพระนครครั้งแรกภายหลังทรงราชย์เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2481 และครั้งที่สองเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2488 โดยระหว่างเวลานั้น ทรงตั้งพระทัยจะทรงศึกษาปริญญาเอก สาขานิติศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยโลซาน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ จนเรียบร้อยแล้ว จึงจะเสด็จนิวัตพระนครเป็นการถาวร และจะทรงรับการบรมราชาภิเษกในภายหลัง แต่ก่อนกำหนดการเสด็จพระราชดำเนินกลับไปทรงศึกษาต่อที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์เพียง 4 วัน พระองค์ได้เสด็จสวรรคตด้วยทรงต้องพระแสงปืน เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489

หลังจากเสด็จสวรรคต ได้อัญเชิญพระบรมศพมาประดิษฐาน ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท พระบรมมหาราชวัง และจัดให้มีพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพในระหว่างวันที่ 28 - 29 มีนาคม พ.ศ. 2493 ณ พระเมรุมาศ ท้องสนามหลวง รวมระยะเวลาที่ทรงครองสิริราชสมบัติทั้งสิ้น 12 ปี


ที่มา: https://th.wikipedia.org/wiki/พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล_พระอัฐมรามาธิบดินทร


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top