Monday, 28 April 2025
CoolLife

16 สิงหาคม ของทุกปี คนไทยร่วมรำลึกถึงการสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยวันนี้ถูกกำหนดให้เป็น ‘วันสันติภาพไทย’ ด้วย

‘วันสันติภาพไทย’ คือ วันที่ 16 สิงหาคม ของทุกปี ซึ่งเป็นวันที่ระลึกถึงการสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งในวันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2488 ประเทศไทย โดยนายปรีดี พนมยงค์ หัวหน้าขบวนการเสรีไทย ในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในรัชกาลที่ 8 ได้ออกประกาศสันติภาพในพระปรมาภิไธยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ให้การประกาศสงครามต่อสหรัฐอเมริกาและบริเตนใหญ่เมื่อวันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2485 เป็นโมฆะ เนื่องจากเป็นการกระทำอันขัดต่อเจตจำนงของประชาชนและขัดต่อรัฐธรรมนูญ ซึ่งประชาชนชาวไทยทั้งในและนอกประเทศได้ร่วมกันแสดงเจตจำนงไม่ยอมรับคำประกาศดังกล่าวด้วยการจัดตั้งขบวนการเสรีไทยช่วยเหลือฝ่ายสัมพันธมิตรในการต่อสู้กับกองทัพญี่ปุ่นที่ยึดครองประเทศไทยอยู่ในระหว่างสงคราม (ตั้งแต่วันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2484) โดยที่ประเทศไทยประกาศว่าจะร่วมมือเต็มที่ทุกทางกับสหประชาชาติในการสถาปนาเสถียรภาพในโลกนี้ ประกาศสันติภาพนี้มีนายทวี บุณยเกตุ รัฐมนตรี เป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ

เพื่อเป็นการรำลึกถึงเหตุการณ์ดังกล่าว มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จึงตั้งชื่อถนนภายในศูนย์ท่าพระจันทร์ ที่เชื่อมระหว่างประตูถนนพระอาทิตย์กับประตูท่าพระจันทร์และผ่านหน้าตึกโดมว่า ถนน 16 สิงหาคม

18 สิงหาคม ของทุกปี กำหนดให้เป็น ‘วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ’ น้อมรำลึก ‘ในหลวง ร.4’ พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย

ในวันที่ 18 สิงหาคม ของทุก ๆ ปี ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งในวันสำคัญของวงการวิทยาศาสตร์ ดาราศาสตร์ และการศึกษาของไทย เนื่องจากตรงกับวันที่ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรสุริยุปราคาเต็มดวง ที่ ต.หว้ากอ จ.ประจวบคีรีขันธ์ หลังพระองค์ทรงคำนวณการเกิดสุริยุปราคาไว้อย่างแม่นยำ ล่วงหน้า 2 ปี ด้วยพระปรีชาสามารถด้านวิทยาศาสตร์ของพระองค์ จึงได้มีการถวายพระราชสมัญญานามให้ทรงเป็น ‘พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย’ และด้วยพระปรีชาสามารถด้านวิทยาศาสตร์นี้ คณะรัฐมนตรีจึงกำหนดให้วันที่ 18 สิงหาคมของทุกปี เป็น ‘วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ’

เพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์ครั้งสำคัญทางวิทยาศาสตร์ดังกล่าว และเพื่อเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 ทรงเป็น ‘พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย’ ไปพร้อมกัน

สำหรับความเป็นมา พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พร้อมด้วยพระราชโอรส พระราชธิดา รวมทั้งสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ฯ (รัชกาลที่ 5) ขณะพระชนมายุ 16 พรรษา ได้เสด็จพระราชดำเนินทางชลมารค ไปทอดพระเนตรสุริยุปราคาเต็มดวงที่ ตำบลบ้านหว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ในวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2411

ด้วยทรงตั้งพระปณิธานแน่วแน่ที่จะพิสูจน์ผลการคำนวณของพระองค์ หลังจากที่ทรงใช้กล้องโทรทรรศน์คำนวณการเกิดสุริยุปราคาครั้งแรกได้อย่างแม่นยำ ล่วงหน้า 2 ปี ซึ่งพระองค์คำนวณไว้ว่า สุริยุปราคาจะเกิดขึ้นในวันอังคาร ขึ้น 1 ค่ำ เดือน 10 ปีมะโรง สัมฤทธิศก จุลศักราช 1230 โดยจะเห็นหมดดวงและชัดเจนที่สุด ที่หมู่บ้านหัววาฬ ตำบลหว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ตั้งแต่บริเวณเกาะจาน ขึ้นไปถึงปราณบุรี และลงไปถึงเมืองชุมพร และโปรดฯ ให้เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุญนาค) ไปสร้างค่ายหลวงและพลับพลาที่ประทับ พร้อมกับเชิญคณะนักดาราศาสตร์จากประเทศฝรั่งเศส และเซอร์แฮรี ออด เจ้าเมืองสิงคโปร์เดินทางมาเข้าเฝ้าฯ และร่วมในการสังเกตการณ์ ซึ่งเมื่อถึงวันอังคารที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2411 เหตุการณ์ก็เป็นไปตามที่ทรงพยากรณ์ไว้ทุกประการ ไม่คลาดเคลื่อนแม้แต่วินาทีเดียว

องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่ง สหประชาชาติ (ยูเนสโก) ได้ประกาศยกย่องพระเกียรติคุณของพระองค์ให้ทรงเป็นบุคคลสำคัญของโลก ด้วยพระราชกรณียกิจและพระเกียรติคุณนานัปการ โดยเฉพาะพระราชกรณียกิจด้านดาราศาสตร์

17 สิงหาคม พ.ศ. 2558 เกิดเหตุการณ์สะเทือนขวัญกลางกรุงเทพมหานคร คนร้ายวางระเบิดบริเวณ ‘ศาลท้าวมหาพรหม’ คร่าชีวิต 20 ราย

เหตุการณ์สะเทือนขวัญครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อเวลา 18.50 น. ของวันที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2558 ในขณะที่เหตุการณ์ดำเนินไปอย่างปกติ จู่ ๆ ก็เกิดเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว บริเวณรอบศาลท้าวมหาพรหม หน้าโรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ สี่แยกราชประสงค์ แรงระเบิดส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บกว่า 130 คน และมีผู้เสียชีวิต 20 คน เป็นชาวไทย 6 คน และชาวต่างชาติอีก 14 คน

ภายหลังเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ได้เก็บวัตถุพยานในที่เกิดเหตุ ประกอบด้วย ชิ้นส่วนเป้, ชิ้นส่วนลูกเหล็กกลม และชิ้นส่วนของท่อเหล็ก ซึ่งตกอยู่ในที่เกิดเหตุจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีหลักฐานชิ้นสำคัญ นั่นคือ ภาพจากกล้องวงจรปิด ยืนยันว่าผู้ต้องสงสัยเป็นชายใส่เสื้อสีเหลือง

วันต่อมา 18 สิงหาคม พ.ศ. 2558 ยังมีระเบิดเกิดขึ้นอีกครั้งบริเวณท่าเรือย่านสาทร ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถแกะรอยเพิ่มเติม จนเข้าทำการจับกุม นายอาเดม คาราดัก และนายเมียไรลี ยูซุฟู ชายชาวอุยกูร์ พร้อมหลักฐาน อาทิ อุปกรณ์ประกอบระเบิด สารเคมีเอทีพี รวมทั้งเสื้อผ้าที่สวมใส่ในวันเกิดเหตุ

ในเวลาต่อมา ยังมีการออกหมายจับผู้ต้องหาเพิ่มเติมอีกกว่า 17 คน ในจำนวนนั้นมีคนไทยร่วมขบวนการด้วยอยู่สองคน โดยการก่อเหตุรุนแรงถูกเชื่อมโยงไปยังเรื่องการก่อการร้ายข้ามชาติ แต่ต่อมามีประเด็นเรื่องความขัดแย้งในธุรกิจค้ามนุษย์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย

ปัจจุบัน ผ่านมาแล้วกว่า 9 ปี เหตุการณ์สะเทือนขวัญนี้ควรเป็นบทเรียนครั้งสำคัญต่อผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ในเรื่องการดูแลความปลอดภัย ทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนต่อไป

19 สิงหาคม พ.ศ. 2489 'พสกนิกรไทย' ร่วมส่งเสด็จฯ 'ในหลวง ร.9' พร้อมตะโกนก้อง ขออย่าละทิ้งพวกเขา พระองค์ทรงนึกตอบในใจ “ถ้าปชช.ไม่ทิ้งข้าพเจ้า แล้วข้าพเจ้าจะทิ้งปชช.อย่างไรได้”

เมื่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล สวรรคตกะทันหัน ณ พระที่นั่งบรมพิมาน ในพระบรมมหาราชวัง เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 ในวันเดียวกัน รัฐสภาลงมติเป็นเอกฉันท์อัญเชิญ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ขึ้นทรงราชย์สืบราชสันตติวงศ์เป็นสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 สืบต่อไป

แต่เนื่องจากยังมีพระราชกิจด้านการศึกษา จึงเสด็จพระราชดำเนินไปศึกษาต่อ ณ มหาวิทยาลัยแห่งเดิม แต่เปลี่ยนสาขาจากวิทยาศาสตร์ ไปเป็นสาขาสังคมศาสตร์ นิติศาสตร์ และรัฐศาสตร์

เดิมทีรัชกาลที่ 9 ทรงตั้งพระราชหฤทัยว่าจะทรงครองราชสมบัติ แค่ในช่วงพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพของพระบรมเชษฐาธิราชเท่านั้น เพราะยังทรงพระเยาว์และไม่เคยเตรียมพระองค์ในการเป็นพระมหากษัตริย์มาก่อน แต่ก็เกิดเหตุการณ์หนึ่งขึ้น ที่ทรงจดจำไม่มีวันลืม คือ…

พระราชนิพนธ์บันทึกประจำวันบางส่วนของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 ระหว่างวันเสด็จพระราชดำเนิน จากสยามสู่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ คงพอจะสะท้อนให้เห็นถึงความรักของประชาชน ที่พร้อมใจส่งเสด็จอย่างมืดฟ้ามัวดิน เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2489 

“...วันนี้ถึงวันที่เราจะต้องจากไปแล้ว พอถึงเวลาก็ลงจากพระที่นั่งพร้อมกับแม่ ลาเจ้านายฝ่ายใน ณ พระที่นั่งชั้นล่างนั้นแล้ว ก็ไปยังวัดพระแก้วเพื่อนมัสการลาพระแก้วมรกต และพระภิกษุสงฆ์ ลาเจ้านายฝ่ายหน้า ลาข้าราชการทั้งไทยและฝรั่ง แล้วก็ไปขึ้นรถยนต์ ตลอดทางที่รถพระที่นั่งแล่นผ่านฝูงชนที่มาส่งเสด็จอย่างล้นหลาม ได้ทอดพระเนตรเห็นประชาชนที่แสดงความจงรักภักดี บางแห่งใกล้จนทอดพระเนตรเห็นดวงหน้าและแววตาชัด ที่บ่งบอกถึงความเสียขวัญอย่างใหญ่หลวง ทั้งเต็มไปด้วยความรักและห่วงใย อันเป็นภาพที่ทำให้อยากรับสั่งกับเขาทุกคน ถึงความหวังดีที่ทรงเข้าพระทัย และขอบใจเขาเช่นกัน ขวัญของคนเป็นสิ่งสำคัญ ถ้าขาดกำลังใจ ถ้าขวัญเสียมีแต่ความหวาดระแวง ประเทศจะมีแต่ความอ่อนแอและแตกสลาย

พอรถแล่นออกไปได้ไม่ถึง 200 เมตร มีผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาหยุดรถแล้วส่งกระป๋องให้เราคนละใบ ราชองครักษ์ไม่แน่ใจว่าจะมีอะไรอยู่ในนั้น บางทีจะเป็นลูกระเบิด เมื่อมาเปิดดูภายหลังปรากฏว่าเป็นทอฟฟี่ที่อร่อยมาก ตามถนนผู้คนช่างมากมายเสียจริง ๆ ที่ถนนราชดำเนินกลาง ราษฎรเข้ามาใกล้จนชิดรถที่เรานั่ง กลัวเหลือเกินว่าล้อรถของเราจะไปทับแข้งทับขาใครเข้าบ้าง รถแล่นฝ่าฝูงชนไปได้อย่างช้าที่สุด ถึงวัดเบญจมบพิตร รถแล่นเร็วขึ้นได้บ้าง ตามทางที่ผ่านมา ท่ามกลางเสียงโห่ร้องถวายพระพรได้ยินเสียงใครคนหนึ่งร้องขึ้นมาดัง ๆ เข้าพระกรรณ์ ว่า…”

“ในหลวง อย่าละทิ้งประชาชน...”

พระองค์จึงทรงนึกตอบในพระราชหฤทัยว่า “...ถ้าประชาชนไม่ทิ้งข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าจะทิ้งประชาชนอย่างไรได้...”

ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงตระหนักในหน้าที่พระมหากษัตริย์ของพระองค์ ดังที่ได้ตรัสตอบชายคนเดิมนั้นในอีก 20 ปีต่อมา หลังจากที่จบการศึกษาจากสวิตเซอร์แลนด์ พระองค์เสด็จเยือนกรุงปารีส ทรงพบกับหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร (พระอิสริยยศ ขณะนั้น) ซึ่งเป็นธิดาของเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เป็นครั้งแรก

20 สิงหาคม พ.ศ. 2447 ประหาร ‘นางล้วน’ นักโทษหญิง คดีฆ่าสามีแล้วเผาทั้งบ้าน ด้วยวิธีการ ‘ตัดศีรษะ’ เป็นรายสุดท้ายของประเทศไทย

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2447 มีการประหารชีวิตนักโทษหญิง ด้วยการตัดศีรษะเป็นครั้งสุดท้ายในประเทศไทย ที่วัดหนองจอก ริมคลองแสนแสบ อำเภอมีนบุรี จังหวัดพระนคร (กรุงเทพมหานคร)

โดยมีการบันทึกไว้ว่า มีการประหารชีวิตนักโทษหญิง ชื่อ ‘นางล้วน’ ด้วยวิธีตัดหัวเป็นรายสุดท้ายของประเทศไทย แต่เป็นรายสุดท้ายสำหรับผู้หญิง ส่วนรายสุดท้ายที่ถูกประหารด้วยวิธีตัดหัวเป็นผู้ชาย ก็คือนายบุญเพ็ง นักโทษผู้โด่งดัง เจ้าของฉายา ‘บุญเพ็งหีบเหล็ก’ ที่ได้ก่อคดีฆาตกรรมสะเทือนขวัญ ฆ่าชิงทรัพย์ตั้งแต่ขณะอยู่ในผ้าเหลือง สุดท้ายถูกประหารที่วัดภาษี คลองตัน เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2462

สำหรับนางล้วน นักโทษหญิงรายสุดท้ายที่ถูกตัดหัวนั้น ไม่มีเรื่องราวที่พูดถึงกันมากนัก จึงถูกบันทึกไว้เพียงสั้น ๆ ว่า ต้องโทษด้วยข้อหาว่าฆ่าผัวตายแล้วเผาทั้งบ้าน ถูกประหารที่วัดหนองจอก ริมคลองแสนแสบ มีนบุรีหลังจากเพิ่งคลอดลูกในคุกได้เพียง 1 เดือน ก่อนเข้าหลักประหาร นางล้วนได้มีโอกาสให้นมลูกเป็นครั้งสุดท้ายที่ท่าน้ำวัดหนองจอก ส่วนลูกของนางนั้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจนายหนึ่งได้รับไปอุปการะ

21 สิงหาคม พ.ศ. 2411 ‘ในหลวงรัชกาลที่ 5’ ประกาศใช้หน่วย ‘สตางค์’ เป็นครั้งแรกในไทย กำหนด 100 สตางค์เท่ากับ 1 บาท กลายเป็นมาตรฐานเงินบาทในปัจจุบัน

ย้อนกลับไปในวันนี้เมื่อ 156 ปีที่แล้ว ซึ่งตรงกับวันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2411 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้มีการออกประกาศให้ใช้หน่วย ‘สตางค์’ เป็นครั้งแรก

โดยก่อนหน้านี้ ตั้งแต่กรุงศรีอยุธยาจนถึงช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ประเทศไทยใช้หน่วยเงินเป็น ทศ พิศ พัดดึงส์ ชั่ง ตำลึง บาท สลึง เฟื้อง ไพ ซีก เสี้ยว อัฐ และโสฬส ซึ่งถือเป็นระบบที่ยากต่อการคำนวณและการแลกเปลี่ยนในการใช้จ่ายต่าง ๆ

อย่างไรก็ตาม 100 สตางค์ มีการกำหนดค่าให้เท่ากับ 1 บาท และนั่นถือเป็นจุดกำเนิดของหน่วยสากลที่นิยมใช้กันมาจนถึงปัจจุบัน

22 สิงหาคม พ.ศ. 2407 วันก่อตั้ง 'กาชาดสากล' 12 ชาติยุโรปลงนามในอนุสัญญาเจนีวา มุ่งหวังเป็นองค์กรกลาง ช่วยดูแลทหารที่ได้รับบาดเจ็บจากสงคราม

วันนี้เมื่อ 160 ปีก่อน เป็นวันที่ ‘สภากาชาดสากล’ ก่อตั้งขึ้นครั้งแรกที่กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ หลังจากประเทศในยุโรป 12 ชาติ ลงนามในอนุสัญญาเจนีวา

โดยหากย้อนกลับไป ซึ่งก็คือวันที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2407 อองรี ดูนังต์ (Henri Dunant) นักธุรกิจชาวสวิตเซอร์แลนด์ ได้ทำการร่างสัญญาฉบับหนึ่งขึ้นมา เพื่อร่วมลงนามกับประเทศต่าง ๆ ในทวีปยุโรปเป็นจำนวน 12 ประเทศ เพื่อเสนอให้มีการก่อตั้งองค์กรกลางเพื่อดูแลทหารที่ได้รับบาดเจ็บจากสงคราม ซึ่งถูกเรียกว่า อนุสัญญาเจนีวา (Geneva Conventions) ฉบับที่ 1 และเกิดเป็นการก่อตั้ง ‘กาชาดสากล’ ขึ้น

โดยสัญลักษณ์ที่หลาย ๆ คนน่าจะคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี คือจะใช้เป็นรูปกากบาทสีแดงบนพื้นที่มีสีขาว ซึ่งเป็นตราสัญลักษณ์ของธงประจำชาติสวิตเซอร์แลนด์นั่นเอง นอกจากนี้ ยังถือเป็นกฎหมายมนุษยธรรมฉบับแรกของโลกอีกด้วย

และด้วยการทำงานขององค์กรกาชาดนี้ ที่เข้ามามีบทบาทในการให้ความช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์เป็นอย่างดี ส่งผลให้ นายอังรี ดูนังต์ ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพครั้งแรกของโลกในปี พ.ศ. 2444 อีกด้วย

23 สิงหาคม พ.ศ. 2553 ‘Airport Rail Link’ เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการ เชื่อม 'พญาไท-สุวรรณภูมิ' ด้วยเวลาไม่เกินครึ่งชั่วโมง

รถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ (Airport Rail Link) หรือ รถไฟฟ้าเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เป็นโครงการระบบขนส่งมวลชนแบบพิเศษ เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2553 โดยปัจจุบันต้นสถานีของ ARL คือ ‘พญาไท’ และปลายสถานี คือ ‘สนามบินสุวรรณภูมิ’ โดยใช้ระยะเวลาการเดินทาง 25 นาที

โดยในวันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2564 รถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ ได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น ‘AERA1’ (เอราวัน) ภายใต้ผู้รับสัมปทานรายใหม่ คือ บริษัท เอเชีย เอรา วัน จำกัด ของกลุ่มซี.พี. และพันธมิตร จากผู้รับสัมปทานรายเดิม คือ บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด (รฟฟท.) บริษัทลูกของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)

ในอนาคต ‘รถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์’ จะมีการรวมรถไฟฟ้าสายนี้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน สุวรรณภูมิ ดอนเมือง และอู่ตะเภา โดยใช้เส้น Airport Rail Link เดิมเป็นส่วนต่อขยาย โดยแนวเส้นทางส่วนที่ต่อขยายคือ สถานีพญาไท เชื่อมต่อกับสถานีกลางบางซื่อ ซึ่งเป็นสถานีต้นทางของรถไฟชานเมืองสายสีแดง บางซื่อ- รังสิต และ บางซื่อ-ตลิ่งชัน และจะเชื่อมต่อไปยังสถานีดอนเมือง

ทั้งนี้ หากก่อสร้างแล้วเสร็จและเปิดใช้งาน ระยะเวลาที่ใช้เดินทางจาก สถานีพญาไทไปสนามบินดอนเมืองจะใช้เวลาเพียง 10-15 นาทีเท่านั้น ซึ่งจะทำให้การเดินทางสู่สองสนามบินเป็นเรื่องง่ายดาย ทั้งลดระยะเวลาการเดินทางและมีความสะดวกสบายที่มากขึ้น

24 สิงหาคม พ.ศ. 2557 โปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง ‘พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา’ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 29 ของประเทศไทย

หากย้อนกลับไปวันนี้เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ในหลวงรัชกาลที่ 9 มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 29 ของไทย

ประกาศราชกิจจานุเบกษา พระบรมราชโองการ ประกาศแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี มีเนื้อหาดังนี้

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า

โดยที่ได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ได้บัญญัติให้พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนหนึ่งตามมติของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ได้นำความกราบบังคมทูลพระกรุณาว่า สภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ลงมติเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2557 เห็นชอบด้วยในการแต่งตั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ด้วยคะแนนเสียงเป็นเอกฉันท์ของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ

จึงทรงพระราชดำริว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นผู้ที่สมควรไว้วางพระราชหฤทัยให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 19 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี บริหารราชการแผ่นดินตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

ประกาศ ณ วันที่ 24 สิงหาคม 2557 เป็นปีที่ 69 ในรัชกาลปัจจุบัน
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ

25 สิงหาคม พ.ศ. 2375 ‘นิวยอร์กซัน’ รายงานข่าวหลอกลวง จนหนังสือพิมพ์ขายดีเทน้ำเทท่า หลังอ้างพบสิ่งมีชีวิตบน ‘ดวงจันทร์’ หนักสุด!! มนุษย์มีปีกบินได้

เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2375 หนังสือพิมพ์ ‘นิวยอร์กซัน’ ที่ออกในเมืองแมนฮัตตัน สหรัฐอเมริกา ได้สร้างความตื่นตะลึงให้คนอ่าน โดยเริ่มลงบทความการค้นพบทางดาราศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ อ้างว่า ‘เซอร์ จอห์น เฮอร์เซล’ นักคณิตศาสตร์และดาราศาสตร์ชาวอังกฤษ ไปส่องกล้องโทรทัศน์ขนาดมหึมาดูดวงจันทร์ที่แหลมกู๊ดโฮป พบสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดเกิดขึ้น ทำให้หนังสือพิมพ์ฉบับนี้ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า จึงลงบทความเรื่องนี้ติดต่อกันถึง 6 ตอน

ทั้งนี้ บทความดังกล่าวได้บรรยายว่า ได้พบสิ่งมีชีวิตบนดวงจันทร์ นอกจากมีมหาสมุทร ชายหาด ต้นไม้ และเทวสถาน มีอารยธรรมเกิดขึ้นแล้ว ยังมีสัตว์ อย่าง แพะ วัวไบซัน หนูยักษ์บีเวอร์ ยูนิคอร์นซึ่งเป็นสัตว์ในตำนานของกรีก และสิ่งมีชีวิตคล้ายมนุษย์ แต่มีปีกเหมือนค้างคาว สามารถบินได้ พร้อมกับเขียนภาพที่เห็นจากกล้องนี้มาประกอบเรื่อง

เมื่อมีคนตื่นเต้นข่าวนี้มาก ต่างก็สนใจติดตามหลักฐานของเรื่องมากขึ้น เดอะซันเลยต้องจบลงด้วยการอ้างว่า เนื่องจากเลนส์มหึมาที่ใช้ดูดวงจันทร์จนเห็นทะลุปรุโปร่งนี้ พอเจอแสงอาทิตย์เข้า เลนส์ก็รวมแสงทำให้เกิดไฟไหม้หอสังเกตการณ์จนมอดไปหมด

ถึงแม้ต่อมาคนจำนวนมากจะรู้ว่าข่าวนี้เป็นเรื่อง ‘แหกตา’ แต่ยอดขายของ นสพ.เดอะซันก็ยังครองอันดับสูงตลอดมาเพราะข่าวนี้ แสดงว่าคนเราแม้จะรู้ว่าเป็นข่าวปลอม ข่าวเท็จ ก็ยังสนใจมากกว่าข่าวจริง

นี่เป็นข่าวลวงหรือข่าวปลอมเมื่อ 192 ปีก่อน เดี๋ยวนี้มนุษย์ฉลาดขึ้นแต่ก่อนมาก ข่าวประเภทนี้น่าจะหมดยุคไปได้แล้ว เพราะหลอกคนฉลาดไม่ได้ แต่กลับตรงกันข้าม โดยเฉพาะในสื่อออนไลน์ที่สื่อสารกันได้อย่างรวดเร็วและกว้างขวางในขณะนี้ กลับเกลื่อนไปด้วยข่าวลวง ข่าวปลอม ที่สร้างขึ้นมาเพื่อเป็นการล้อเลียน เสียดสี หรือเพื่อสร้างอิทธิพลทางความคิดความเชื่อ และเป็นการสร้างรายได้ จนเห็นอยู่เป็นประจำและทำกันเป็นขบวนการ

ได้อ่านบทความพิเศษเรื่อง ‘Fake News ข่าวลวง ข่าวปลอม’ ของ มานิจ สุขสมจิตร นักหนังสือพิมพ์อาวุโส ซึ่งผู้เขียนได้นำเสนอต่อที่ประชุมราชบัณฑิตและภาคีสมาชิก สำนักธรรมศาสตร์และการเมือง ราชบัณฑิตยสภา เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2564 ได้กล่าวถึงข่าวลวง ข่าวปลอมที่แพร่ระบาดอยู่ในสื่อออนไลน์อย่างยากต่อการแยกแยะ ส่งผลกระทบต่อบุคคลในด้านความคิด ความเชื่อ อารมณ์ และความรู้สึก ที่น่าวิตกคือ ข่าวลวง ข่าวปลอม แพร่ได้เร็วและกว้างขวางกว่าข่าวจริงถึง 100 เท่า อาจจะเป็นเพราะน่าตื่นเต้นเร้าใจกว่า

ในบทความนี้ยังได้นำข่าวลวง ข่าวปลอมทั้งของไทยและต่างประเทศมากล่าวไว้หลายเรื่อง อย่างเช่น

ระหว่างวันที่ 16 มกราคม ถึง 31 กรกฎาคม 2563 ที่มีการเริ่มระบาดของโควิด-19 นั้น พบข่าวลวงมากกว่า 19,008 ข้อความ ทั้งช่วงก่อนและหลังมีมาตรการปิดเมือง ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจที่ผิดพลาด อันอาจเป็นผลเสียต่อชีวิต

หรือภาพที่ประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูตินถือพระพุทธรูป แล้วบอกว่า ประธานาธิบดีรัสเซียเปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธแล้ว ความจริงเป็นภาพทหารเรือคนหนึ่งถือพระพุทธรูป แต่เปลี่ยนเอาปูตินมาแทนทหารเรือ เจตนาสร้างข่าวปลอมขึ้นอย่างชัดเจน

ข่าวที่ประเทศอิตาลีกำหนดในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ แต่ความเป็นจริงแค่รับรองว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาหนึ่งในบรรดาศาสนาทั้งหลายที่มีผู้นับถือเท่านั้น

คราวที่มี ‘ข่าวเสือดำ’ โด่งดัง ก็มีภาพรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติยกมือไหว้ผู้ต้องหาซึ่งเป็นเศรษฐีใหญ่อย่างนอบน้อม แล้วบรรยายภาพว่า ‘งานนี้รอดแหง๋ๆ’ ทำให้มีการก่นด่าตำรวจกันอย่างถล่มทลาย แต่ต่อมาก็มีคลิปวิดีโอให้เห็นชัดเจนว่า เป็นการรับไหว้ตามปกติธรรมดาของคนไทยเท่านั้น

นอกจากนั้น ในสื่อออนไลน์ยังเนืองแน่นไปด้วยโฆษณาชวนเชื่อ ชวนให้เสียเงินมากมาย อย่างไฟฉายชนิดหนึ่งกระบอกสั้น ๆ แต่อธิบายสรรพคุณราวกับส่องไปถึงดาวอังคาร หรือกระทะทำอาหารจากเกาหลียี่ห้อหนึ่ง บอกว่าไม่มีขายในประเทศผู้ผลิต ส่งมาให้คนไทยใช้โดยเฉพาะ ทำอะไรก็น่ากินไปทุกอย่างเหมือนอาหารทิพย์

ส่วนในอเมริกาที่อ้างว่าเป็นแบบอย่างประชาธิปไตย พยายามจะให้ทั้งโลกเป็นแบบตัว ก็สร้างแบบอย่างที่ดีงามไว้ไม่ใช่ย่อย เป็นที่เปิดเผยว่า ในการชิงชัยระหว่างนายโดนัลด์ ทรัมป์ กับ นางฮิลลารี คลินตัน ทรัมป์เห็นว่าแม้จะหาเสียงด้วยการพูดจริงบ้างเท็จบ้างคะแนนก็ยังเป็นรองนางฮิลารี อีกทั้งสื่อหลักที่จ้างไว้เชียร์ คนก็ไม่ค่อยเชื่อถือแล้ว จึงใช้นักสร้างข่าวปลอมรายหนึ่ง มีชื่อว่า นายคาเมรอน แฮร์ริส เป็นบัณฑิตด้านรัฐศาสตร์และเศรษฐศาสตร์ ไปซื้อเว็บไซต์เก่า ๆ ที่ไม่ได้ใช้งานแล้วมาสร้างข่าว fake news ปล่อยข่าวแรกว่าเป็นข่าวด่วน พบบัตรลงคะแนนปลอมให้ฮิลลารีหลายแสนใบในโกดังเก็บของที่รัฐโอไฮโอ พร้อมอุปโลกน์ช่างรับจ้างทั่วไปรายหนึ่งเป็นผู้เข้าไปพบ มีภาพประกอบคนยืนอยู่ข้างกล่องใส่บัตรเลือกตั้งด้วย แต่ความจริงเอาภาพนี้มาจากหนังสือพิมพ์ที่เมืองเบอร์มิงแฮมของอังกฤษ คนละเรื่องกันเลย สร้างข่าวเท็จกระหึ่มไปทั่ว แม้วันรุ่งขึ้น กกต.รัฐโอไฮโอจะรีบเข้าไปตรวจโกดังแล้วปฏิเสธว่าข่าวนี้ไม่มีความจริง ก็สายไปแล้ว มีคนเชื่อเป็นจำนวนมาก

แม้ในครั้งที่ประธานาธิบดีทรัมป์ แพ้ โจ ไบเดน ในวันที่ไบเดนสาบานตนเข้ารับตำแหน่ง ทรัมป์ก็ไม่ยอมไปร่วมตามประเพณี ไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ มีเอกสารที่ประทับตราประธานาธิบดี มีลายมือปลอมของทรัมป์แพร่ไปตามสื่อทั่วโลก มีข้อความบรรทัดเดียวว่า ‘โจ คุณก็รู้ว่าผมชนะ’ เป็นทำนองว่าแพ้เพราะถูกโกง เป็นข่าวปลอมบันลือโลกอีกชิ้นหนึ่ง

นี่คือการเมืองแบบอเมริกัน…

ข่าวปลอมได้ส่งผลกระทบต่อผู้คนและสังคมมากขึ้นในระยะหลายปีที่ผ่านมา เนื่องด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล และอินเทอร์เน็ตทำให้การสร้างข่าวปลอมทำได้ง่าย เผยแพร่ได้รวดเร็ว และมีผู้คอยรับสารอยู่ตลอดเวลา นักวิจัยจาก MIT (สถาบันเทคโนโลยีแห่งแมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกา) พบว่า ข่าวปลอมสามารถแพร่กระจายได้รวดเร็วกว่าข่าวจริงถึง 100 เท่า

ส่วนในประเทศไทย ศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ของ อสมท. พบว่า ตลอดปี 2559 สามารถเก็บข้อมูลได้ว่า มีข่าวปลอมกว่า 300 หัวข้อ แต่ละหัวข้อมีการไลก์และแชร์บนเฟซบุ๊กรวมกันอยู่ในหลักแสน

จากการสำรวจของ สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) หรือ สพธอ. พบว่า ในปี 2561 คนไทยใช้งานอินเทอร์เน็ตเฉลี่ยสูงถึงวันละ 10 ชั่วโมง 5 นาที และเชื่อถือข้อมูลที่ได้รับทางโซเชียลมีเดียร้อยละ 40 นับเป็นตัวเลขที่สูงสุดในภูมิภาค นอกจากนี้ยังพบว่า กลุ่มผู้อ่านที่ค่อนข้างสูงอายุเป็นกลุ่มที่แชร์ข่าวปลอมมากที่สุด เพราะคนกลุ่มนี้เพิ่งจะเข้าสู่โลกอินเทอร์เน็ตตอนอายุมากแล้ว ไม่ทันยุคทันสมัย ขาดความรู้เท่าทันสื่อและเทคโนโลยีดิจิทัล ไม่คิดว่าภาพ เสียง และวิดีโอสมัยนี้ตัดต่อให้ดูเสมือนจริงได้ และเชื่อโดยสนิทใจว่าข่าวทุกข่าวที่นำเสนอได้ผ่านการกลั่นกรองมาแล้ว โดยไม่ทันคิดว่าจะมีผู้ไม่หวังดีสร้างข่าวปลอมขึ้นเพื่อหลอกลวง

ที่น่าห่วงอย่างยิ่งในเรื่องข่าวลวง ข่าวปลอมก็คือ เยาวชนของไทยเข้าถึงโลกออนไลน์เร็วเกินไป จากการสำรวจของมูลนิธิสื่อสร้างสุขภาวะเด็กและเยาวชน ร่วมกับนักวิชาการจากสถาบัน บัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ พบว่านักเรียนมัธยมศึกษาของไทยเปิดรับสื่อออนไลน์ถึงวันละ 6-8 ชั่วโมง ใช้เพื่อการศึกษา 61% เพื่อเล่นเกม ติดต่อสื่อสารกับผู้อื่น 39% และผู้ปกครองส่วนใหญ่อนุญาตให้บุตรหลานใช้โทรศัพท์มือถือตั้งแต่อายุ 2-3 ขวบเท่านั้น ผลการศึกษาของ OECD (The Organisation for Economic Co-operation and Development) ได้ประเมินสมรรถภาพของนักเรียนอายุ 15 ปี จาก 77 ประเทศทั่วโลก พบว่า ความสามารถในการรับมือกับ fake news ของเด็กไทยอยู่ในลำดับที่ต่ำมาก เป็นลำดับที่ 76 โดยมีเด็กอินโดนีเซียรั้งท้าย ส่วนความสามารถเด็กในการรับมือกับ fake news ประเทศที่อยู่ในลำดับต้น ๆ ได้แก่ สหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น เยอรมนี เนเธอร์แลนด์ และเดนมาร์ก

นี่คือเรื่องน่าเป็นห่วงของข่าวลวง ข่าวปลอม


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top