Friday, 4 July 2025
เลือกตั้ง

‘อรรถวิชช์’ ร้องศาลปกครอง เพิกถอนแบ่งเขตเลือกตั้ง กทม. ชี้ วิธีแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน หวั่น ทำประชาชนสับสน

(16 มี.ค. 66) ดร.อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี รองหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวถึงการแบ่งเขตเลือกตั้งใหม่ของกรุงเทพมหานครว่า พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. พ.ศ.2561 มาตรา 27 (1) กำหนดหลักเกณฑ์การแบ่งเขตให้ ‘รวมอำเภอต่าง ๆ เป็นเขตเลือกตั้ง’ ซึ่งหมายความว่าจะต้องมีอำเภอหลักอยู่ในเขตเลือกตั้ง แต่ปรากฎว่าการแบ่งเขตที่ออกมา มีการรวมเฉพาะแขวงโดยไม่มีเขต (อำเภอ) หลัก มาเป็นเขตเลือกตั้งใหม่

ตัวอย่างเช่น เขตเลือกตั้งที่ 8 ประกอบด้วย แขวงทุ่งสองห้องของเขตหลักสี่ และแขวงลาดยาว แขวงจตุจักร แขวงจอมพล ของเขตจตุจักร, เขตเลือกตั้งที่ 9 ประกอบด้วย แขวงอนุสาวรีย์ของเขตบางเขน และแขวงจันทรเกษม แขวงเสนานิคม ของเขตจตุจักร และแขวงตลาดบางเขนของเขตหลักสี่ และยังมีเขตเลือกตั้งอื่น ๆ ที่เป็นการรวมเฉพาะแขวง โดยไม่มีเขตหลักถึง 13 เขตเลือกตั้ง ได้แก่เขตเลือกตั้งที่ 8, 9, 12, 13, 17, 18, 19, 21, 26, 27, 28, 29 และ 30 ซึ่งเป็นการรวมแขวงต่าง ๆ เป็นเขตเลือกตั้ง ไม่ได้รวมอำเภอต่าง ๆ เป็นเขตเลือกตั้ง ขัดต่อหลักเกณฑ์ตามมาตรา 27 (1)

‘ไทยสร้างไทย’ เปิดตัว ‘ไข่มุก’ นักร้องวงพริกไทย ลงสมัคร ส.ส. เจ้าตัว เผย ชอบนโยบาย ลั่น!! ขอโอกาสใช้ความรู้ทำเพื่อ ปชช.

(16 มี.ค. 66) หลังจากที่ นางสาวปัณณรัตน์ สิรินันท์ หรือ ‘ไข่มุก’ นักร้องนำคนล่าสุดของวงดนตรีระดับตำนานอย่าง ‘วงพริกไทย’ ได้หวนกลับมาเป็นนักร้องนำอย่างเต็มตัว หลังจากห่างหายไปถึง 2 ปี กลับมาคราวนี้ ขอทุ่มสุดตัว ทั้งด้านวงการบันเทิง และขอลงสนามสมัคร ส.ส. กรุงเทพฯ กับพรรคไทยสร้างไทย เป็นครั้งแรกอีกด้วย

โดยน้องไข่มุก เปิดใจถึงความสนใจการเมืองอยากทำงานการเมืองว่า ตนขอกราบขอบพระคุณ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ุ หรือที่ทุกคนเรียกว่า ‘คุณแม่’ ที่มอบโอกาสให้ตนได้เข้ามาทำงานทางการเมือง และอีกบุคคลที่ตนจะลืมไม่ได้คือ คุณต้น กุณฑล ประจวบเหมาะ ที่สนับสนุนและดูแลตนมาตั้งแต่แรก รวมทั้งคุณอุดมเดช และคุณสุธา รวมถึงผู้ใหญ่อีกหลายคนที่คอยช่วยเหลือ แนะนำสิ่งดี ๆ ให้ตนมาตลอด ตนคิดว่า การเมืองเป็นเรื่องของคนไทยทุก ๆ คน เพราะการเมืองมีผลต่อการดำเนินชีวิตของพวกเรามาตลอด อีกทั้งประชาชนไม่ได้มีสิทธิ์มีเสียง มีอำนาจ แค่ในวันเลือกตั้งเท่านั้น แต่จริง ๆ แล้ว พวกเราควรมีสิทธิ์และควรได้รับสิทธิ์ภายใต้กฎหมายทุก ๆ วัน ตลอดเวลา

ดังนั้น ในฐานะคนรุ่นใหม่ที่มีหัวใจรักประชาธิปไตย ตนจึงตัดสินใจที่จะใช้ความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์ที่เคยช่วยเหลือคนด้อยโอกาส และคลุกคลีกับกลุ่มคนรากหญ้า จึงพอที่จะรู้ปัญหาของคนกลุ่มนี้ ว่าพวกเขาต้องการอะไร และเรามีวิธีที่จะช่วยเหลือพวกเขาได้อย่างไร ซึ่งตนอยากเห็นประเทศไทย เป็นรัฐสวัสดิการเพื่อประชาชนแบบร้อยเปอร์เซ็นต์

“ประชาชนทุก ๆ คนควรต้องได้รับสวัสดิการที่ดีของภาครัฐ ไว้ว่าจะเป็นหน่วยงานประกันสังคม สวัสดิการรักษาแบบยกระดับเทียบเท่าผู้ที่ทำประกันชีวิต เช่นได้รับยาที่มีคุณภาพ มีหมอเฉพาะทางคอยให้การรักษา การลดขั้นตอนของหน่วยงานรัฐ รวมทั้งการกระจายอำนาจออกจากส่วนกลางไปชนบท โดยมองค์กรที่มีประชาชนมีส่วนร่วมตรวจสอบได้ตามกฎหมาย ไม่ใช่เสือกระดาษ น้องมุกอยากเห็นการเก็บภาษีที่เป็นธรรมต่อประชาชน และประชาชนทุกคนควรเสียภาษี ถ้ารายได้เข้าเกณฑ์นะคะ คนที่มีรายได้ต่ำกว่า 150,000 บาท/ปี ไม่ต้องเสียภาษีบุคคลธรรมดา” น้องไข่มุก กล่าว

‘พิธา’ นำทัพผู้สมัคร ขึ้นรถแห่ ลุยหาเสียงทั่วนครรังสิต ชวน ปชช.ฟังปราศรัย หวัง รักษาแชมป์เขตเดิม-รุกเพิ่มเขตใหม่

(17 มี.ค. 66) นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมด้วยว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. ปทุมธานี 3 เขต ประกอบด้วย นายเจษฎา ถาวรธรรมฤทธิ์ (เขต 2) น.ส.ชลธิชา แจ้งเร็ว (เขต 3) และนายสกล สุนทรวาณิชย์กิจ (เขต 4) ลงพื้นที่ตลาดรังสิต จังหวัดปทุมธานี โดยนายพิธาขึ้นรถแห่เชิญชวนประชาชนให้ออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้ง และร่วมรับฟังการปราศรัยแนะนำแนวนโยบายพรรคก้าวไกล และเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ปทุมธานี ครบทั้ง 7 เขต ในเย็นวันนี้ ที่ตลาดจัมโบ้ คลองสาม

นายพิธา กล่าวว่า ปัจจุบันเหลือเวลาอีกไม่ถึง 60 วัน จะมีการเลือกตั้งใหม่ เมื่อการเลือกตั้ง 2562 พี่น้องชาวปทุมธานี จำนวน 1 ใน 4 เลือกพรรคอนาคตใหม่ มาคราวนี้เป็นพรรคก้าวไกล ต้องขอคะแนนพี่น้องประชาชนชาวปทุมธานีอีกครั้ง ตนหวังว่าพรรคก้าวไกลจะปักธงในจังหวัดปทุมธานี รักษาแชมป์เขตเดิม เพิ่มเติมเขตใหม่ได้ จึงขอให้ประชาชนกาก้าวไกล 2 ใบ เลือกทั้งคนทั้งพรรค เพื่อให้พรรคก้าวไกลได้เข้าไปเปลี่ยนแปลงประเทศ

สำหรับกำหนดการเวทีปราศรัยใหญ่ที่ปทุมธานี พร้อมเปิดตัวว่าที่ผู้สมัครครบ 7 เขต จะเริ่มตั้งแต่เวลา 18.00 น. เป็นต้นไป ณ ตลาดจัมโบ้ คลองสาม ผู้ปราศรัยนอกจากนายพิธา ยังประกอบด้วย นายรังสิมันต์ โรม โฆษกพรรคก้าวไกล, น.ส.เบญจา แสงจันทร์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล, นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล และนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า และผู้ช่วยหาเสียงพรรคก้าวไกล

‘สมศักดิ์’ เปิดใจ เหตุทิ้ง ‘พปชร.’ ย้ายซบ ‘เพื่อไทย’ เผย มีโอกาสแลนด์สไลด์ ชี้ เป็น รบ.หลายพรรคทำงานยาก

(17 มี.ค. 66) ที่ร้านกินเส้น สนามบินน้ำ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม แถลงถึงเส้นทางการเมือง ที่จะย้ายไปอยู่พรรคเพื่อไทย ว่า แนวทางตัดสินใจ 3 ประเด็น คือ ฟ้า ดิน อากาศ โดยในส่วนของอากาศ คือข้อมูลพรรคการเมืองต่าง ๆ และต้องให้ความสำคัญกับทีมงาน แนวนโยบายนำไปสู่การปฏิบัติ โดยเฉพาะการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ซึ่งเสถียรภาพรัฐบาลมีความสำคัญ

นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมา พรรค พปชร.ได้ ส.ส.118 คน แต่ยังไม่สามารถทำเศรษฐกิจให้ประชาชนพอใจได้ เพราะเป็นรัฐบาลผสม มีการต่อรองกระทรวงและโควตาต่าง ๆ โดยพรรค พปชร.ไม่ได้ดูกระทรวงเศรษฐกิจทั้งหมด ทำให้ต้องคิดว่าการจะทำให้สิ่งต่าง ๆ ให้สัมฤทธิ์ผลช่วยประชาชนได้ คือดูพรรคที่จะแลนด์สไลด์ จะมีส่วนทำให้แนวนโยบายรัฐบาลใหม่ประสบผลสำเร็จ เป็นที่พึ่งของประชาชนใจในการแก้ปัญหาความยากจน จึงตัดสินใจสมัครเป็นสมาชิกเพื่อไทย โดยตนได้ทำหนังสือลาออกจากรัฐมนตรียุติธรรม และส่งเอกสารลงรับไปเรียบร้อยแล้ว โดยจะไม่ขอรักษาการรัฐมนตรี เพื่อความสบายใจต่อฝ่ายต่าง ๆ และทำหนังสือลาออกจากพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ซึ่งนายทะเบียนพรรคการเมืองลงรับเรียบร้อยแล้ว เพื่อให้เกิดความชัดเจน และได้สมัครเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย โดยเอกสารจะเรียบร้อยในวันที่ 20 มี.ค.นี้

นายสมศักดิ์ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี ไม่ได้ติดใจอะไร และขอให้โชคดี โดยนายกฯ พูดกับนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ฝากมาถึงตนด้วย และต้องขอบคุณ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ในการทำงานที่ผ่านมา ตนอยู่กับพลังประชารัฐก็ทำงานเต็มที่เมื่อไปอยู่กับเพื่อไทยก็จะทำเต็มที่ แม้จะยังไม่ได้เข้าไปที่พรรคเพื่อไทย แต่เมื่อมีข่าวออกมา และเห็นแนวทางทำงานของตน ทำให้คนในพรรคเพื่อไทย โทรมาแสดงความยินดีจำนวนมาก ส่วนตนจะไปดูพื้นที่ไหนในพรรคเพื่อไทย สุดแล้วแต่ผู้บริหารพรรคจะเห็นเหมาะสม ตนไม่เลือก ไปได้ทุกที่ และไม่ได้คาดหวังจะไปนั่งกระทรวงใด เพราะเวลาตั้งรัฐบาลแล้วหวังไว้ที่หนึ่ง แต่ไปได้กระทรวงอื่น จึงไม่ได้คิดอะไร ไม่คาดหวัง แล้วแต่ประชาชนจะสนับสนุน ทั้งนี้ หากไปอยู่เพื่อไทยแล้วได้อยู่ในลำดับไม่เกิน 50 ก็น่าจะได้เป็น ส.ส.

นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ก่อนหน้านั้น ได้กราบลานายวิษณุ เครืองาม และ พล.อ.ประวิตร ทั้งคู่ได้ให้ศีลให้พร ยืนยันว่าไม่มีความแตกแยก แต่การเป็นพรรคร่วมรัฐบาลหลายพรรค ถือเป็นอุปสรรค และหากทีมงานที่ไม่สามัคคีจะเป็นอุปสรรค เพราะคนหนึ่งไปซ้าย คนหนึ่งไปขวา ส่วนพรรคเพื่อไทย นั้นทำงานเป็นระบบ และเป็นพรรคพวกกันมาก่อน จึงเข้าใจและพูดคุยกันได้

ผู้สื่อข่าวถามว่า แสดงว่าการทำงานในพรรค พปชร.ทำให้ทำงานลำบากหรือไม่ กล่าวว่า ไม่ลำบาก พล.อ.ประวิตร หัวหน้าพรรค เป็นปกติ แต่บางคนเกิดความรู้สึกติดขัดบ้างเล็กน้อย เช่น ตนเป็นประธานยุทธศาสตร์พรรค แต่เมื่อไม่เป็นหนึ่งเดียวกันก็ทำงานยาก

เมื่อถามว่ามั่นใจว่า พรรคเพื่อไทยจะแลนด์สไลด์ นายสมศักดิ์กล่าวว่า ดูจากโพลเมื่อ 2 เดือนที่แล้วได้ 220 เสียง แต่ถ้าเราไปช่วยอีกทาง คิดว่าจะขยับได้ เมื่อถามย้ำว่า เป้าหมายที่ไปพรรคเพื่อไทย เพราะเชื่อว่าจะเป็นรัฐบาลแน่นอน นายสมศักดิ์ กล่าวว่า หากเข้าไปช่วยหาเสียง มีนโยบายใหม่ จึงมั่นใจว่าจะได้เสียงมากขึ้นตามเป้าที่ผู้บริหารพรรคเพื่อไทยวางไว้ ส่วนตนจะช่วยให้ดีที่สุด เพราะการเป็นรัฐบาลเป็นความใฝ่ฝันของทุกพรรค แต่จะเป็นได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขที่มีมากน้อยของแต่ละพรรคจะดำเนินการ หากประชาชนช่วยเลือกเข้ามามาก จะได้แลนด์สไลด์ ส่วนจะได้ 310 เสียงหรือไม่ ตนไม่กล้าคิด เพราะไม่ได้ถือโพล หรือลงไปดูตรงนี้

เมื่อถามว่า หลังเลือกตั้งพรรค พปชร.จะจับมือกับเพื่อไทย หรือไม่ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า เป็นเรื่องของผู้บริหาร และผู้ใหญ่ของพรรคพูดคุยกัน โดยการพบกับ พล.อ.ประวิตร ท่านไม่ได้พูดเรื่องนี้ให้ฟัง แสดงว่าไม่มีคำตอบที่ชัดเจน จึงเชื่อว่ายังไม่ได้พูดคุยกัน

‘กกต.’ ชี้!! ทำตามกฎหมายทุกขั้นตอน  หลัง ‘ชพก.’ ท้วง!! ปมแบ่งเขต กทม.

(17 มี.ค. 66) ที่สำนักคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายปกรณ์ มหรรณพ กกต.แถลงข่าวชี้แจงข้อท้วงติงจากพรรคการเมือง ถึงกรณีการแบ่งเขตเลือกตั้งเลือกตั้งใหม่ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ว่า วันนี้ กกต.จะมีการเรียกประชุมด่วน ซึ่งสืบเนื่องมาจากพิจารณาข้อมูลทุกอย่าง รวมทั้งของพรรคชาติพัฒนากล้า เมื่อมีข้อท้วงติงของพรรคการเมือง เราก็พร้อมที่จะตรวจสอบอีกครั้งหนึ่ง จึงมีการเรียกประชุมด่วนในเวลา 16.00 น.ของวันนี้ สำหรับเรื่องดังกล่าว เราพร้อมให้ข้อมูลและเหตุผล ซึ่งสิ่งที่มีข่าวในช่วงนี้คือการแบ่งเขตของ กกต.กทม.อาจจะมีปัญหา แต่ตนขอยืนยันว่า ผอ.กกต.กทม.และทีมงาน รวมทั้งส่วนกลางที่เกี่ยวข้องได้ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการแบ่งเขตอย่างสุดความสามารถ และได้ใช้เวลาในการพิจารณาอย่างเหมาะสม

“โดยเรื่องที่มีข้อท้วงติงของนักการเมืองนั้นบางครั้งอาจจะไม่ตรงกับข้อเท็จจริง อยากจะขอชี้แจงว่าการแบ่งเขตครั้งนี้ กกต.กทม.ยึดหลักตามรัฐธรรมนูญ และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.อย่างเคร่งครัด ซึ่งกฎหมายในมาตรา 27 ของ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ระบุว่าให้แบ่งเขตแต่ละเขตติดต่อกัน และต้องจัดให้มีจำนวนราษฎรในแต่ละเขตใกล้เคียงกันต่างกันไม่เกินบวกลบร้อยละ 10 ซึ่งมาจากรัฐธรรมนูญมาตรา 86 (5) บัญญัติว่าจะต้องแบ่งเขตเลือกตั้งแต่ละเขตให้แต่ละเขตติดต่อกัน และต้องจัดให้มีจำนวนราษฎรในแต่ละเขตใกล้เคียงกัน ซึ่งกฎหมายบัญญัติให้เราปฏิบัติ” นายปกรณ์ กล่าว

นายปกรณ์ กล่าวอีกว่า สิ่งที่เป็นปัญหาคือ กรุงเทพมหานครไม่สามารถกำหนดเขตปกครองเดียวให้เป็นเขตเลือกตั้งได้ เพราะค่าเฉลี่ยของประชากรของกรุงเทพมหานครในหนึ่งเขตเลือกตั้ง มีประมาณ 160,000 คน ตัวอย่างเช่น เขตปกครองในเขตคลองสามวา มีประมาณ 200,000 คน, เขตบางเขน เขตประเวศ เขตลาดกระบังมีเขตละ 180,000 คน, เขตสายไหม 200,000 กว่าคน, เขตหนองจอก เขตบางขุนเทียน มีเขตละ 180,000 กว่าคน, เขตบางแค 190,000 คน

ดังนั้น จะเห็นได้ว่าทั้ง 8 เขตนี้ ไม่สามารถแบ่งเป็นเขตเดียวของการเลือกตั้งได้ เราจึงได้พิจารณาตามกฎหมายในมาตรา 21 (2) ที่กำหนดว่า ในกรณีที่ไม่สามารถทำตาม (1) ได้ เพราะราษฎรในแต่ละเขตไม่ใกล้เคียงกัน จึงให้แบ่งเขตตามสภาพของชุมชนที่มีราษฎรติดต่อกันประจำ ในลักษณะเป็นเขตชุมชนเดียวกัน โดยจะต้องให้จำนวนประชากรมีจำนวนใกล้เคียงกันมากที่สุด

นายปกรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า กรณีตามที่เป็นข่าวที่ยกตัวอย่างเขต 8 และ 9 ว่าไม่มีเขตหลัก ซึ่งกฎหมายไม่ได้กำหนดว่าจะต้องมีเขตหลัก ซึ่งเขต 8 และ 9 มองแล้วมีเขตหลักและจำเป็นต้องเอาแขวงที่ใกล้เคียงมารวมกัน เพื่อให้จำนวนประชากรมีจำนวนใกล้เคียงกันมากที่สุด อย่างไรก็ตามเราได้ปฏิบัติตามมาตรา 27 (2) อย่างเคร่งครัด ทุกเขตจะเป็นลักษณะชุมชนเดียวกัน จำนวนราษฎรจะไม่เกินหลักเกณฑ์ที่กำหนด ซึ่ง กกต.ได้ออกหลักเกณฑ์ระเบียบที่ว่า จังหวัดแบ่งเขตโดยค่าเฉลี่ยประชากรในจังหวัดเป็นเกณฑ์ แต่ละเขตไม่ควรเกินร้อยละ 10 ของค่าเฉลี่ยประชากร หรือในกรุงเทพมหานครแต่ละเขตไม่ควรเกิน 16,000 คน

‘พิธา’ ฉะ ‘บิ๊กตู่-บิ๊กป้อม’ พอกันที 8 ปีที่บริหารประเทศย่อยยับ ลั่น!! เตรียมปิดฉากระบอบปรสิตผ่านบัตรเลือกตั้ง ของ ปชช.

เมื่อวันที่ (17 มี.ค. 66) ช่วงค่ำ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ขึ้นปราศรัยปิดการเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. พรรคก้าวไกลจังหวัดปทุมธานีที่ตลาดจัมโบ้ ตำบลคลองสาม อำเภอคลองหลวง โดยนายพิธากล่าวว่าเลือกตั้งครั้งนี้มีความสำคัญมาก เพราะเป็นวาระสุดท้ายของ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร การเลือกตั้งครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่เปลี่ยนรัฐบาลและนโยบาย แต่ต้องปักธงวัฒนธรรมทางการเมืองแบบใหม่ด้วย

นายพิธากล่าวว่าสัปดาห์นี้ พล.อ.ประยุทธ์ทำงานเป็นสัปดาห์สุดท้าย พอกันที 8 ปีที่แปดเปื้อน 8 ปีที่ผ่านมา บริหารประเทศย่อยยับอย่างไร ตอนนี้ก็ยังย่อยยับอย่างนั้น มีโฆษณาออกมาจากพรรครวมไทยสร้างชาติว่านโยบายพรรคการเมืองต่าง ๆ เหมือนไอติมที่แบ่งกันดูด ส่วนพรรคของ พล.อ.ประยุทธ์จะเป็นไอติมสีน้ำเงินผ่านมือถือ แต่ภายใต้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์เองไม่ใช่หรือ ฝนตกไม่ทั่วฟ้า เยียวยาไม่ทั่วถึง ชีวิตสิ้นคำนึง คำนึงถึงแค่ความตาย ครั้งนี้เรามีโอกาสแล้ว เหลือเวลาอีก 60 วัน ถึงเวลาปิดฉากระบอบปรสิตผ่านบัตรเลือกตั้งของประชาชน

‘บิ๊กแจ๊ส’ มอบดอกไม้ต้อนรับ ‘อุ๊งอิ๊ง’ เยือนเมืองปทุมฯ ด้าน ‘เฉลิม’ พร้อมหนุน ลั่น!! บิ๊กแจ๊ส ยังไงก็อยู่เพื่อไทย

(18 มี.ค. 66) เมื่อวันที่ 17 มี.ค. 66 ที่อาคารยิมเนเซียม 4 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ตำบลคลองหนึ่ง อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี พรรคเพื่อไทย นำโดย นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย, นางสาวแพทองธาร ชินวัตร หรือ ‘อุ๊งอิ๊ง’ ประธานที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม พรรคเพื่อไทย และนายเศรษฐา ทวีสิน ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ร่วมจัดงาน ‘คิดใหญ่ ทำเป็น เพื่อไทยทุกคน’ เปิดตัวผู้ประสงค์ลงสมัครรับการเลือกตั้ง ส.ส.เขต ทั้ง 400 เขตทั่วประเทศ รวมถึงประกาศนโยบายในการหาเสียงเลือกตั้ง โดยมีคณะกรรมการบริหารพรรค, สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.), ผู้ประสงค์ลงสมัครรับการเลือกตั้ง ส.ส., สมาชิกพรรค และผู้สนับสนุนพรรคเข้าร่วมงาน จนแน่นสถานที่

บรรยากาศการจัดงานเป็นไปอย่างคึกคักตั้งแต่เปิดเวที ในโอกาสนี้ พล.ต.ท.คำรณ ธูปกระจ่าง (บิ๊กแจ๊ส) นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี ร้อยตำรวจเอก ดร.ตรีลุพธ์ ธูปกระจ่าง นายกเทศมนตรีนครรังสิต ได้เดินทางมามอบดอกไม้ให้กำลังใจคุณอุ๊งอิ๊ง แพทองธาร ชินวัตร พรรคเพื่อไทย โดยคุณอุ๊งอิ๊งได้กล่าวขอบคุณบิ๊กแจ๊ส ส่วนนายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ได้กล่าวกับบิ๊กแจ๊สว่าเรายังเหมือนเดิม ทางด้าน ร้อยตำรวจเอกเฉลิม อยู่บำรุง ได้พูดว่า บิ๊กแจ๊สจะไปไหนได้ ยังไงอยู่เพื่อไทย มีการโบกธงเพื่อไทย ป้ายสนับสนุนยกเชียร์ พร้อมตะโกนโห่ร้อง ตั้งแต่หน้างานจนถึงบริเวณจัดงาน อากาศครึกครื้นตลอดเวลา

สำหรับพรรคเพื่อไทยในจังหวัดปทุมธานีทั้ง 7 เขต ประกอบด้วย

เขต 1. นายสุรพงษ์ อึ้งอัมพรวิไล ที่ครองแชมป์มายาวนาน เป็นถึงอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ขุมกำลังหลักอยู่ที่อำเภอลาดหลุมแก้วและเมืองปทุม

เขต 2.นายศุภชัย นพขำ ลูกชายของนายกแป๊ะ นายสายัณ นพขำ อดีตนายกเทศมนตรีตำบลบ้านกลาง เป็น ส.ส.แชมป์เก่า และลงพื้นที่ตลอด

เขต 3. นายยุทธศักดิ์ ชูประเสริฐ นักการเมืองใหม่ที่เปิดตัวเดินลงพื้นที่มาหลายปีต่อเนื่อง อาสาอยากจะเข้ามาพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่

เขต 4. นายสุทิน นพขำ อดีต ส.ส.ปทุมธานี น้องชายของนายกแป๊ะ นายสายัณ นพขำ อดีตนายกเทศมนตรีตำบลบ้านกลาง ครั้งนี้กลับมาลงสนามสู้ศึกอีกครั้ง

‘ต้นกล้า ก้าวไกล’ เผย ไม่หวั่นแบ่งเขตพิศดาร ซัด!! กกต.แบ่งเขตแบบเล่นเก้าอี้ดนตรี

(18 มี.ค. 66) นายจรยุทธ จตุพรประสิทธิ์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม.(ยานนาวา-บางคอแหลม) พรรคก้าวไกล (ก.ก.) กล่าวถึงการแบ่งเขตเลือกตั้งล่าสุดโดย คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ว่าการแบ่งเขตครั้งนี้ มีผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่มีนัยยะสำคัญหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพมหานคร แม้ว่าในเขตยานนาวา-บางคอแหลม ที่ตนลงสมัคร จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ แต่สำหรับหลายเขต มีทั้งที่ถูกเพิ่มพื้นที่และลดพื้นที่ลงจนเกิดความสับสนทั้งในหมู่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งและว่าที่ผู้สมัครเอง

นายจรยุทธ กล่าวต่อว่า การแบ่งเขตเช่นนี้ อาจ มองได้ว่าเป็นไปเพื่อประโยชน์ของพรรคใดพรรคหนึ่ง ให้ได้คะแนนเสียงได้เปรียบกว่าพรรคอื่น ๆ หรือไม่ และยังมีความน่ากังวลอีกประการหนึ่ง คือการทำหน้าที่ของ ส.ส. ในอนาคตจะยากลำบากขึ้นไปอีก จากการแบ่งเขตที่ไม่สอดคล้องกับสภาพของพื้นที่ ประชากร และความเป็นจริง

‘ภูมิใจไทย’ เปิดตัวผู้สมัคร ส.ส. กทม. 33 เขต ด้าน ‘พุทธิพงษ์’ ลั่น!! ขอทุ่มเททำงานเพื่อ ปชช.

(18 มี.ค. 66) ที่พรรคภูมิใจไทย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย พร้อมด้วยนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ ผอ.การเลือกตั้ง กทม. พรรคภูมิใจไทย เปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม. ทั้ง 33 เขต ประกอบด้วย

เขต 1 พระนคร สัมพันธวงศ์ ดุสิต บางรัก น.ส.สิริอร ม้ามณี
เขต 2 สาทร ราชเทวี ปทุมวัน น.ส.พัชรินทร์ ซำศิริพงษ์
เขต 3 บางคอแหลม ยานนาวา นายนรเสฏฐ์ เธียรประสิทธิ์
เขต 4 คลองเตย วัฒนา นางกรณิศ งามสุคนธ์รัตนา
เขต 5 ห้วยขวาง วังทองหลาง นายประเดิมชัย บุญช่วยเหลือ
เขต 6 ดินแดง พญาไท น.ส.ภาดาท์ วรกานนท์
เขต 7 บางซื่อ ดุสิต นายพชร ภูมิจิตร
เขต 8 จตุจักร หลักสี่ น.ส.ศลิษา สิงหเสนี
เขต 9 บางเขน จตุจักร หลักสี่ น.ส.พีร์ปภาอร เสถียรไทย
เขต 10 ดอนเมือง นายณัฏฐ์  มงคลนาวิน

เขต 11 สายไหม นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ
เขต 12 บางเขน สายไหม ลาดพร้าว นายศุภกิจ ตังทัตสวัสดิ์
เขต 13 ลาดพร้าว วังทองหลาง นายกษิดิ์เดช ชุติมันต์
เขต 14 บางกะปิ วังทองหลาง นายอำพล ขำวิลัย
เขต 15 คันนายาว บึงกุ่ม นายอิทธิเดช สุพงษ์
เขต 16 คลองสามวา นายณัฐดนัย ชนิตร์วัฒน์
เขต 17 หนองจอก คลองสามวา นายนิกม์ แสงศิรินาวิน
เขต 18 หนองจอก มีนบุรี ลาดกระบัง นายธีระวิทย์ วงศ์เพชร
เขต 19 มีนบุรี สะพานสูง นายพงษ์เพชร เพชรสุวรรณคดี
เขต 20 ลาดกระบัง นายเอกฤทธิ เจียกขจร

เขต 21 ประเวศ สะพานสูง นางสกุลรัตน์ ทิพย์วรรรณงาม
เขต 22 สวนหลวง ประเวศ นายมณฑล โพธิ์คาย
เขต 23 พระโขนง บางนา น.ส.มณีรัตน์ ลิมป์รัตนกาญจน์
เขต 24 คลองสาน ธนบุรี ราษฎรบูรณะ น.ส.เจณิสตา เตชะโสภณมณี
เขต 25 ทุ่งครุ ราษฎร์บูรณะ นายเจริญศักดิ์ มณีรัตนสุบรรณ
เขต 26 จอมทอง บางขุนเทียน นายโชติพิพัฒน์ เตชะโสภณมณี
เขต 27 บางบอน บางขุนเทียน นายสุทธิชัย เมฆสุวรรณ
เขต 28 หนองแขม บางบอน จอมทอง พญ.ศรันย์รัสย์ อภิวรานันทกุล
เขต 29 บางแค หนองแขม น.ส.ธัณยาการย์ เตชะพัฒน์สิริ
เขต 30 บางแค ภาษีเจริญ น.ส.ศุภิกา พัฒน์ธนันภู
เขต 31 ทวีวัฒนา ตลิ่งชัน นายพศิน ชาญศิลป์
เขต 32 บางกอกน้อย บางกอกใหญ่ ภาษีเจริญ ตลิ่งชัน ธนบุรี น.ส.อัชญา จุลชาต
เขต 33 เขตบางพลัด บางกอกน้อย นายจักรพันธ์ พรนิมิตร

โดย นายพุทธิพงษ์ ปราศรัยตอนหนึ่งว่า พรรคภูมิใจไทยจะเดินหน้าขอโอกาสรับใช้คน กทม. เราไม่ได้พูดเฉย ๆ และเราไม่ได้แค่พูดแล้วทำ แต่ก่อนพูดเราทำ พวกเราได้ทำไปแล้ว สิ่งที่ตนจะนำเสนอในวันนี้อาจจะต่างจากทุกพรรคการเมือง เพื่อบอกว่าทำไมประชาชนต้องเลือกพรรคภูมิใจไทย

“เราปฏิเสธไม่ได้ว่า กทม.คือประเทศไทย คือที่รวมตัวของพี่น้องประชาชนทั้งประเทศที่เข้ามาพร้อมความหวัง มาเรียน มาศึกษา พรรคภูมิใจไทย จึงต้องมาขอรับใช้พี่น้องคน กทม.ผู้บริหารพรรคภูมิใจไทยได้ศึกษา ได้คิดวิเคราะห์จนตกผลึกแล้วว่า ปัญหาของคน กทม.คืออะไร เรามีความพร้อมมากกว่าพรรคอื่น กทม.ในวันนี้ ถ้าคิดแบบเดิม ทำแบบเดิม ก็ได้แบบเดิม เราจึงต้องมองว่าจะพัฒนา กทม.ไปข้างหน้าอย่างไร พรรคภูมิใจไทยเป็นพรรคแรกและพรรคเดียวที่นำเสนอนโยบายของ กทม.แบบแบ่งตามกลุ่มเขต ตามสภาวะแวดล้อมและปัญหา เป็น 4 พื้นที่” นายพุทธิพงษ์ กล่าว

‘ธนาธร’ ชี้ ‘รัฐสวัสดิการ’ คือทางรอดพ้นความเหลื่อมล้ำ ชู หั่นงบกองทัพช่วยหนุน ลั่น!! ‘ก้าวไกล’ เท่านั้นที่กล้าทำ 

‘ธนาธร-พรรณิการ์’ ลุยช่วยก้าวไกลหาเสียงสุดสัปดาห์สองจังหวัด ภาคอีสาน ‘กาฬสินธุ์-ขอนแก่น’ ชี้ รัฐสวัสดิการไม่ใช่ทางเลือกแต่เป็นทางรอดเดียวสังคมไทยออกจากวิกฤติความเหลื่อมล้ำสุดขั้ว ย้ำประเทศมีเงินพอทำได้ แต่ต้องกล้าตัดงบกองทัพ-นโยบายเอื้อทุนใหญ่ ชูก้าวไกลพรรคเดียวเท่านั้นกล้าทำเรื่องยาก ชนคนส่วนน้อยเพื่อคนส่วนใหญ่ รับรอง เลือกแล้วคุ้มกว่าอนาคตใหม่แน่นอน

(18 มี.ค. 66) นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า และผู้ช่วยหาเสียงของพรรคก้าวไกล พร้อมด้วย พรรณิการ์ วานิช กรรมการบริหารคณะก้าวหน้า และผู้ช่วยหาเสียงของพรรคก้าวไกล ร่วมกิจกรรมช่วยว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พรรคก้าวไกลหาเสียงในช่วงสุดสัปดาห์ 

โดยเริ่มต้นที่จังหวัดกาฬสินธุ์ ช่วยนายชวลิต กงเพชร ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขต 1 จังหวัดกาฬสินธุ์ และนางสาวสุพัตรา วันตุ้ม ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขต 2 จังหวัดกาฬสินธุ์ ร่วมขบวนแห่ไปรอบเมืองกาฬสินธุ์ เปิดปราศรัยที่สวนสาธารณะกุดน้ำกิน ก่อนร่วมเดินแจกเอกสารแนะนำตัวผู้สมัครและนโยบาย และขึ้นปราศรัยร่วมกับว่าที่ผู้สมัครในทั้งสองเขตที่ตลาดโต้รุ่งกาฬสินธุ์ ส่วนวันรุ่งขึ้น ได้เดินสายต่อมายัง อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น ร่วมเดินหาเสียงกับนายวุฒิรักษ์ แพงตาแก้ว ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขต 4 จังหวัดขอนแก่น ที่ตลาดน้ำพอง ก่อนร่วมเปิดเวทีปราศรัยที่วัดโพธิ์ศรีโคกสูง ตำบลโคกสูง อำเภออุบลรัตน์ จังหวัดขอนแก่น

โดยเนื้อหาของการปราศรัยของนายธนาธรรอบนี้ เน้นย้ำถึงปัญหาสภาพทางเศรษฐกิจของประชาชนในปัจจุบัน ที่เป็นสาเหตุความจำเป็นของการมีรัฐสวัสดิการ โดยนายธนาธรระบุว่า ช่องว่างความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจของประเทศไทยมีแต่ห่างขึ้นทุกวัน สถานการณ์โควิดในรอบสามปีที่ผ่านมายิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง ประชาชนหมดสิ้นความหวัง ในสถานการณ์แบบนี้สังคมไทยต้องมีรัฐสวัสดิการรองรับคนที่พ่ายแพ้ไม่ให้ถูกบดขยี้จากสภาพสังคมปัจจุบัน 

“ประเทศไทยวันนี้ต้องเผชิญหน้ากับปัญหาสังคมสูงวัย เด็กเกิดใหม่ลดจำนวนลงเหลือปีละ 5 แสนคน คนไม่อยากมีลูกเพราะการมีลูกมีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก ยิ่งในสภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ยิ่งทำให้คนมีลูกน้อยลง จะแก้ปัญหานี้ได้ต้องมีรัฐสวัสดิการเท่านั้น เพื่อเป็นกลไกให้คนยืนอยู่ในสังคมได้อย่างมั่นคง ไขว่คว้าหาความฝันในชีวิต เลือกเส้นทางชีวิตเดินได้” นายธนาธร กล่าว

นายธนาธรยังกล่าวต่อไปว่า แต่ทั้งหมดจะเป็นไปไม่ได้ถ้าไม่มีเจตจำนงทางการเมืองที่แน่วแน่ ในการหางบประมาณมาสร้างรัฐสวัสดิการ เช่น การปฏิรูปกองทัพ ลดงบประมาณกองทัพที่ไม่เกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศ ทุกวันนี้กองทัพเข้ามาทำเรื่องที่ไม่ใช่หน้าที่มากมาย ทั้งหวย มวย ม้า สนามกอล์ฟ รีสอร์ต หากเราสามารถยกเลิกธุรกิจกองทัพได้ ประเทศเราจะมีเงินประมาณคืนกลับมาได้ถึง 5 หมื่นล้านบาทต่อปี

รวมทั้งเก็บภาษีคนรวยมาดูแลคนจน เช่น ภาษีนิติบุคคลที่เรียกเก็บจากบริษัทขนาดใหญ่ ยกเลิกสิทธิ BOI ที่ให้กับบริษัทขนาดใหญ่ระดับร้อยล้านพันล้านขึ้นไป ถ้าทำสำเร็จจะได้อีก 8 พันล้านบาทต่อปี รวมถึงการเก็บภาษีความมั่งคั่ง จากคนรวยที่มีทรัพย์สินเกิน 300 ล้านบาท จะทำให้เรามีรายได้เพิ่มขึ้นอีก 6 หมื่นล้านบาทต่อปี


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top