Saturday, 4 May 2024
เงินดิจิทัล

‘คลัง’ เตรียมเปิดลงทะเบียนร้านค้าร่วม ‘เงินดิจิทัล’ พ.ย.นี้ ยัน!! จ่าย 1 หมื่นครั้งเดียว-ไม่แบ่งงวด ใช้จริง ก.พ. 67

(10 ต.ค. 66) นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนนโยบายเติมเงิน 10,000 บาทผ่านดิจิทัลวอลเล็ต เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ประมาณเดือนพฤศจิกายน 2566 จะเริ่มเปิดลงทะเบียนร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ ส่วนประชาชนที่จะเข้าร่วมโครงการ คาดว่าจะสามารถเข้าร่วมโครงการได้หลังจากนี้

ดังนั้นจึงยืนยันว่า นโยบายเติมเงิน 10,000 บาทผ่าน Digital Wallet สามารถดำเนินการได้ทัน ที่จะเปิดใช้อย่างเป็นทางการเดือนกุมภาพันธ์ 2567

ทั้งนี้โครงการรัฐที่ผ่านมามีประชาชนยืนยันตัวตนมาแล้ว 40 ล้านคน ที่มีอยู่ในระบบฐานข้อมูลของรัฐ แต่ยังมีผู้ที่ยังไม่อยู่ในระบบฐานข้อมูลอีกประมาณ 10 ล้านคน ด้วยกฎหมายที่กำหนด ทั้งรัฐบาลยืนยันจะเติมเงินดิจิทัลให้ทุกคนที่มีสิทธิครั้งเดียว 10,000 บาท โดยไม่มีการแบ่งจ่ายเงินเป็นงวด ๆ แน่นอน แม้ที่ผ่านมาจะมีข้อเสนอให้เปลี่ยนเงื่อนไขแบ่งเป็นงวด เพราะเห็นว่าจะเกิดประโยชน์มากกว่า แต่ที่ผ่านมามีข้อเสนอให้แบ่งจ่ายเป็นงวดเข้ามาจริง

สำหรับนโยบายการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท จำเป็นต้องเปิดให้ลงทะเบียน แต่การลงทะเบียนในโครงการ ไม่เกี่ยวข้องกับการลดจำนวนโครงการเพื่อไม่ให้โครงการต้องใช้เงินมากถึง 5.6 แสนล้านบาทใช่หรือไม่

รมช.คลังบอกว่า ไม่เกี่ยวกันเนื่องจากเมื่อมีการเดินหน้าโครงการนี้แล้วรัฐบาลก็ต้องหาแหล่งเงินมาเพื่อรองรับโครงการอยู่แล้วโดยไม่ได้รอว่าจะมีจำนวนการลงทะเบียนจำนวนเท่าไหร่ในการทำโครงการ โครงการนี้จะใช้งบประมาณเป็นหลัก เนื่องจากขณะนี้มีตัวเลือกให้กับรัฐบาลหลายทางเลือก แต่จะใช้ทางเลือกที่ดีที่สุด คือการเกลี่ยงบประมาณและปรับลดงบประมาณที่ไม่จำเป็น และขณะนี้เป็นช่วงการจัดทำ พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567

ยืนยันว่า กระทรวงการคลังไม่มีแนวคิดที่จะขายหุ้นของรัฐวิสาหกิจ หรือลดสัดส่วนการถือหุ้นในรัฐวิสาหกิจลงโดยการขายหุ้นออกมากเพื่อนำเงินมาใช้ในโครงการนี้อย่างแน่นอน โดยเบื้องต้นทางเลือกแรกที่รัฐบาลจะใช้คือการเกลี่ยงบประมาณและปรับลดงบประมาณที่ไม่จำเป็น

อย่างไรก็ตาม หลังจากได้งบประมาณที่เป็นไขมันส่วนเกินแล้วจะนำงบประมาณที่เหลือมาใช้ในการพัฒนาลงทุนในโครงการต่าง ๆ ที่มีความจำเป็นและเกี่ยวเนื่องกับนโยบายของรัฐ ซึ่งสำนักงบประมาณก็จะไปดูในรายละเอียดว่ามีโครงการใดบ้างที่ไม่จำเป็น

ขณะนี้เป็นช่วงการจัดทำ พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 อยู่ระหว่างการทำเรื่องเสนอของบประมาณไปยังสำนักงบประมาณ ดังนั้นโครงการใดที่ไม่จำเป็นหรือเป็นไขมันส่วนเกินที่สามารถปรับลดได้หรือตัดได้ โดยนำงบประมาณที่เหลือมาใช้ในการพัฒนาลงทุนในโครงการต่าง ๆ ที่มีความจำเป็นและเกี่ยวเนื่องกับนโยบายของรัฐ ซึ่งสำนักงบประมาณก็จะไปดูในรายละเอียดว่ามีโครงการใดบ้างที่ไม่จำเป็น

จับตา!! อาการปากกล้าขาสั่น 'รัฐบาลเศรษฐา' อาจยอมลดทิฐิ ก่อนปม 5.6 แสนล้านมาจากไหน? ทำไมต้อง 'ดิจิทัล โทเคน'? ลาม

สามสี่วันก่อน 'เล็ก เลียบด่วน' เขียนถึงระเบิด 3 ลูกของรัฐบาล คือ เงินดิจิทัล วอลเลต, การแก้ไขรัฐธรรมนูญ และการนิรโทษกรรมคดีการเมือง…วันนี้ก็เลยต้องขอตามไปดูอีกนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายเติมเงินดิจิทัล วอลเล็ต ให้ผู้ที่อายุ 16 ปีขึ้นไปคนละหมื่นบาท…วงเงินงบประมาณ 5.6 แสนล้านบาท

ก็ต้องวิเคราะห์และสรุปอย่างตรงไปตรงมาว่า…แม้รัฐบาลจะยืนกระต่ายขาเดียว ยืนยันว่าจะเดินหน้า แต่ก็เริ่มออกอาการปากกล้าขาสั่นกันบ้างแล้ว…หลังจากที่กระแสต่อต้านด้วยหวั่นเกรงว่าจะนำพาประเทศชาติเสียหาย สะท้านสะเทือนนโยบายทางการคลัง ซ้ำรอยเดียวกับโครงการรับจำนำข้าว...

อาจารย์เมธี ครองแก้ว นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ อดีตกรรมการ ปปช. ถึงกับออกบทความยาว 4 หน้า สะกิดเตือนแรงๆ พร้อมเสนอแนะให้ ปปช.ทักท้วงไปยังรัฐบาล แบบเดียวกับที่ทักท้วงรัฐบาลยิ่งลักษณ์กรณีโครงการรับจำนำข้าว...แต่ครั้งนั้นยิ่งลักษณ์ไม่นำพา จนถูกดำเนินคดีผิดกฎหมายอาญามาตรา 157 ต้องหลบลี้อยู่ต่างแดนจนวันนี้...

เมื่อวันที่ 10 ต.ค.ที่ผ่านมา ปปช.ไปชี้แจงรายงานผลงานในรอบปี และ สว.สมชาย แสวงการ ก็หยิบยกเรื่องดิจิทัล วอลเล็ต ฝากให้ ปปช.ตลอดจน กกต. และกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ร่วมกันตรวจสอบโครงการนี้เสียแต่เนิ่นๆ โดยได้เอ่ยอ้างถึงรัฐธรรมนูญ มาตรา 245...

เพื่อความงดงามตามท้องเรื่อง 'เล็ก เลียบด่วน' ขออนุญาตยกมาตรา 245 มาให้ดูเต็มๆ ครับ

“มาตรา 245 เพื่อประโยชน์ในการจะระงับหรือยับยั้งความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นแก่การเงินการคลังของรัฐ ให้ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินเสนอผลการตรวจสอบการกระทำที่ไม่เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐและอาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่การเงินการคลังของรัฐอย่างร้ายแรง ต่อคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน...

...ในกรณีที่คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินเห็นพ้องด้วยกับผลการตรวจสอบดังกล่าว ให้ปรึกษาหารือร่วมกับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หากที่ประชุมร่วมเห็นพ้องกับผลการตรวจสอบนั้น ให้ร่วมกันมีหนังสือแจ้งสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา และคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบโดยไม่ชักช้า และให้เปิดเผยผลการตรวจสอบดังกล่าวต่อประชาชนเพื่อทราบด้วย”    

ครับ!! แม้ดูเหมือนข้อเสนอนี้ อาจจะเร็วไปบ้างเล็กน้อย เพราะรัฐบาลยังไม่แถลงให้เป็นเรื่องเป็นราวว่าจะเอางบประมาณโครงการ 5.6 แสนล้านบาทมาจากไหน...ทำไมไม่ใช่แอปฯ เป๋าตัง...แต่ใช่หรือไม่ว่าคำถามและข้อเสนอที่ดูเหมือนจะเร็วไปบ้างนี่เองที่จะทำให้รัฐบาลได้คิดหรือลดทิฐิลง...

ดังเช่นตอนนี้รัฐบาลเริ่มขาสั่นยอมทบทวนในบางประเด็นแล้ว เช่น ประเด็นขยายพื้นที่การใช้จ่าย และที่สำคัญระบุว่าคนที่จะใช้จ่ายต้องแสดงตัวตน...ซึ่งประเด็นนี้จะเท่ากับลดจำนวนเงินงบประมาณไปได้บ้าง เพราะคนที่ไม่ไปแสดงตนก็คงมีจำนวนหนึ่ง...

อย่างไรก็ตาม...ประสา 'เล็ก เลียบด่วน' ก็ฟันธงว่า  ประเด็นสำคัญที่จะนำไปสู่ความร้อนฉ่าและฉาวโฉ่ในอนาคตของโครงการนี้น่าจะอยู่ที่ผลประโยชน์อันเป็นวาระซ่อนเร้นเกี่ยวกับวิธีการใช้จ่ายผ่าน...ดิจิทัล โทเคน ที่มีจะมีค่าบริการและค่าออกโทเคน  ซึ่งคนที่มีความรู้เรื่องนี้ดีคนหนึ่งก็คือคนชื่อ 'เศรษฐา' นั่นเอง...

ว่ากันว่า...ถ้ารัฐบาลยังขาไม่สั่นในประเด็น 'ดิจิทัล  โทเคน' และจะเดินหน้าต่อไป...มหกรรมการแฉข้อมูลชุดใหญ่ไฟกะพริบที่จะโยงไปถึงผู้หลักผู้ใหญ่ในทำเนียบรัฐบาลจะออกมาเต็มคาราเบล...

พรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆ ไม่คิดจะช่วยนายกฯ เศรษฐากันบ้างหรือครับ..!!??

‘กลุ่มรวมพลคนเอาเงินหมื่น’ บุกหนุน ‘เพื่อไทย’ แจกเงินดิจิทัล ฟาก ‘จุลพันธ์’ ยัน!! พร้อมผลักดันโครงการให้เกิดขึ้นจริง

(17 ต.ค. 66) ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) กลุ่มรวมพลคนเอาเงินหมื่น นำโดย นายยุทธศักดิ์ ชูประเสริฐ อดีตผู้สมัครสส.ปทุมธานี พรรคเพื่อไทย ได้มอบเสื้อที่มีข้อความว่า “ประชาชน สนับสนุน 10,000 บาท ดิจิทัลวอลเล็ต” และสติกเกอร์ ให้นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง พร้อมร้องเพลง “คนจนมีสิทธิ์มั้ยคะ คนจนมีสิทธิ์มั้ยคะ เงินหมื่นจะได้สักที เพราะมีหนี้นะคะ” เพื่อสนับสนุนให้พรรคเพื่อไทยเดินหน้าโครงการดิจิทัลวอลเล็ต

โดยนายจุลพันธ์ กล่าวว่า จริง ๆ ไม่ว่าจะสนับสนุนหรือคัดค้านเราก็พร้อมรับฟัง ส่วนตัวไม่แปลกใจที่มีเสียงคัดค้าน เพราะทุกนโยบายรัฐบาลที่ทำมาก็มีทั้งค้านและสนับสนุน ที่นายกฯ บอกให้ประชาชนสะท้อนเสียงมานั้น ไม่ได้ต้องการให้เกิดความแตกแยก แต่เพื่อต้องการรับฟังเสียงของประชาชนให้รอบด้าน เพราะเรามาจากประชาชนเห็นความลำบากของประชาชน เมื่อเราเข้ามาจึงต้องการประชาชนอยู่ดีกินดี และต้องการให้เศรษฐกิจของประเทศไทยโตขึ้นเฉลี่ยปีละ 5% เป็นอย่างน้อย ตนฟังเสียงทุกเสียง ทั้งความเป็นห่วงเม็ดเงินไปลงที่คนรวยแล้วจะใช้หรือไม่ วันนี้เราคิดว่าจะมาจะตัดในส่วนของคนรวยออกหรือไม่ เราคิดจริง ๆ ถ้าไม่ได้รับฟังเสียงของประชาชนดีไม่ดีจะตัดไปเรื่อย ๆ แต่เมื่อฟังเสียงวันนี้ชัดเจนทุกคนยังรออยู่ ฉะนั้นในฐานะที่เป็นรัฐบาลและได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีให้ดำเนินการเรื่องนี้ ยืนยันว่าเราสู้และจะสนับสนุนนโยบายนี้ให้เกิดขึ้นให้ได้

‘กิตติ์ธัญญา’ ชี้ ดิสเครดิต ‘เงินดิจิทัล’ เป็นเรื่องปกติ เหน็บคนไม่เห็นด้วย คงหวั่น ปชช.จะชื่นชอบ ‘พท.’ มากขึ้น

(23 ต.ค. 66) น.ส.กิตติ์ธัญญา วาจาดี สส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย (พท.) ให้สัมภาษณ์กรณีเสียงท้วงติงและบางส่วนอาจมีการด้อยค่านโยบายดิจิทัลวอลเล็ต ในฐานะพรรคการเมืองที่เป็นเจ้าของนโยบายว่าเป็นการดิสเครดิตหรือไม่ ว่า เป็นธรรมดาของการเมืองที่จะมีการดิสเครดิตกัน แต่อยากให้คนที่คอยดิสเครดิตนโยบายต่างๆ ฟังเสียงประชาชนด้วย ทั้งนี้ จากที่ตนได้ลงพื้นที่ไม่มีใครไม่อยากได้ มีแต่คนบอกว่าอยากได้ให้เร็วที่สุด ซึ่งเงินจำนวน 10,000 บาท หากรวมคนในครอบครัว บางครอบครัวก็อาจจะสามารถตั้งตัวได้ และเราไม่ทราบเลยว่าส่งผลเสียตรงไหน

น.ส.กิตติ์ธัญญากล่าวต่อว่า คนที่มาด้อยค่าเงินดิจิทัลวอลเล็ตนั้น ถามว่าเขามีเงินเดือนหลักแสน หลักห้าหมื่น หกหมื่นต่อเดือน เขาเคยลำบากหรือไม่ว่าวันนี้หางานหาเงิน กินพรุ่งนี้ คำที่บอกว่าหาเช้ากินค่ำ วันนี้ใช้ไม่ได้แล้วเพราะหาเช้าวันนี้กินเช้าวันพรุ่งนี้ ทุกวันนี้ชาวบ้านโดยเฉพาะคนที่มีหนี้นอกระบบ เขาหาเงินตัวเป็นเกลียว หากมีเงิน 10,000 บาทมาซัพพอร์ตเขาบ้าง แม้จะไม่ใช่เงินที่ยิ่งใหญ่ที่อาจจะไม่ได้ทำให้เขารวยเป็นมหาเศรษฐี แต่มันสามารถทำให้เขายืดระยะเวลาในการอดมื้อกินมื้อได้

“เหตุผลหลักที่เขาต่อต้านเป็นเพราะเขากังวลว่าจะเป็นนโยบายที่ประชาชนชอบ แล้วจะดึงความสนใจของประชาชนกลับมาที่นายกรัฐมนตรีและพรรคการเมือง แต่คนที่จำเป็นต้องใช้ไม่มีใครต่อต้านเลย มีแต่ถามว่าแค่นี้หรือ ขยายการซื้อได้หรือไม่ เรื่องนี้มีประเด็นเดียวคือประเด็นเรื่องการเมือง กลัวว่าเราเป็นพรรคที่ประชาชนชื่นชมอยู่แล้ว ประชาชนจะยิ่งเครซี (crazy) ในนโยบายพรรคเพื่อไทยที่จะทำได้มากยิ่งขึ้น” น.ส.กิตติ์ธัญญากล่าว

เมื่อถามว่า กังวลว่าจะกระทบกับความเชื่อมั่นที่ประชาชนมีต่อพรรค พท.หรือไม่ น.ส.กิตติ์ธัญญากล่าวว่า คนที่กังวลไม่ใช่เราแต่เป็นชาวบ้านที่เขารอความหวังจะใช้เงินนี้ ชาวบ้านเขาพูดว่าเห็นคนรวยมาบอกไม่ให้แจก แล้วถ้าคนรวยไม่ยอมให้แจก ส.ส.กับนายกรัฐมนตรีจะกลัวคนรวยไม่เลือกหรือไม่ แล้วจะยังมองเห็นคนจนอยู่หรือไม่ คนจนอยากได้ อย่าฟังแต่เสียงคนรวย ซึ่งนายกรัฐมนตรีก็มองว่าไม่สามารถแบ่งคนรวยกับคนจนได้ เพราะเงินที่นำมาให้ก็เป็นเงินภาษีของทุกคน ย้ำว่าเราไม่กังวลเพราะเป็นนโยบายที่เราจะทำ

“ดิฉันมองว่าแม้แต่พระพุทธเจ้ายังถูกวิพากษ์วิจารณ์ แล้วนับประสาอะไรกับพรรคการเมือง นายกรัฐมนตรี หรือนักการเมืองที่จะไม่ถูกวิพากษ์วิจารณ์เสียดสี แต่ทั้งนี้หากเรามองแค่คนกลุ่มหนึ่ง แล้วไปแคร์แค่กลุ่มเดียว คนอีกล้านๆ คนที่เขาต้องการ เราจะไม่แคร์เขาหรือ คนที่กังวลในการที่ด้อยค่าหรือบูลลี่ในเงินหมื่นบาท ไม่ใช่เรา ไม่ใช่พรรคเพื่อไทย ไม่ใช่นายกรัฐมนตรี แต่เป็นประชาชนตาดำๆ ที่เขารอคอยความหวังกับเงินนี้ เราแคร์และเราฟังทุกเสียง ทุกอย่างมีทั้งข้อดีและข้อเสีย แต่อะไรที่มีข้อเสียน้อยที่สุด และเราจะทำในสิ่งที่เกิดประโยชน์มากที่สุดให้กับประชาชน” น.ส.กิตติ์ธัญญา กล่าว

เมื่อถามว่า อยากสื่อสารอะไรถึงประชาชนที่ทั้งเห็นด้วยและอาจมีเสียงท้วงติงหรือไม่ น.ส.กิตติ์ธัญญากล่าวว่า ปัจจุบันถามว่าระหว่างสุขภาพดีกับมีเงินจะเลือกอะไร ฉะนั้น พรรค พท.เราทำควบคู่กันไป เรารื้อเรื่อง 30 บาทรักษาทุกโรค เพื่อจะให้ประชาชนมีสุขภาพที่ดีขึ้น นอกจากนี้เรายังพยายามลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาสให้ประชาชน

‘ภูมิธรรม’ สอนมวย!! ‘ก้าวไกล’ การเมืองแบบใหม่ไม่ใช่ค้านทุกเรื่อง พร้อมลุยต่อ ‘เงินดิจิทัล’ ตามสโลแกน ‘คิดใหญ่ ทำเป็น’

(27 ต.ค. 66) ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายภูมิธรรม เวชชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ ในฐานะรักษาการรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์กรณีที่พรรคก้าวไกล ตั้งกระทู้ถาม นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี แต่นายเศรษฐา มอบให้ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม มาตอบกระทู้สดแทน จนทำให้พรรคก้าวไกลเกิดความไม่พอใจ ว่า ก็ถือว่าเป็นสิทธิที่พรรคก้าวไกลจะอภิปราย แต่เราได้เคยตกลงกันแล้วว่า เราจะทำงานการเมืองกันอย่างสร้างสรรค์ ตนเชื่อว่า นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล และ นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล อภิปรายในสภาต้องใจเย็น และรับฟังปัญหาให้มากขึ้น บรรยากาศในการทำงานระหว่างรัฐบาล และ ฝ่ายค้าน ก็จะดีขึ้น

“แต่ก็ต้องยอมรับว่า นายกรัฐมนตรี จะมาตอบหรือไม่ก็ได้ หากมีภารกิจ ถ้ามีเวลาก็จะมาให้ทัน หากไม่มีอคติมากจนเกินไป เพราะบรรยากาศในสภา ไม่ใช่เรื่องของคน 2 ฝ่ายจะมาขัดแย้งกัน ไม่อยากให้จับผิดหรือใช้เวทีทางการเมือง ทั้งเวทีรัฐสภา หรือเวทีอื่นๆในการดิสเครดิต ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศ เพราะรัฐบาลพร้อมจะทำงาน” นายภูมิธรรม กล่าว

นายภูมิธรรม กล่าวต่อว่า ฝากถึงพรรคก้าวไกล ในวันที่ 10 พ.ย. จะมีการรับฟังความเห็นเรื่องรัฐธรรมนูญ จากพรรคก้าวไกล และหลายๆภาคส่วน รวมถึงกลุ่มวิชาชีพต่างๆ และภาคประชาสังคม ยืนยันเราไม่คิดจะค้าน ต่างฝ่ายต่างเป็นนักการเมือง อยากเห็นการเปลี่ยนแปลง เราควรทำการเมืองแบบใหม่ ไม่ใช่ฝ่ายค้าน และจะค้านทุกเรื่อง หรือเสาะหาจุดในการโจมตี อยากให้ประชาชนเห็นแล้วสบาย ไม่ใช่มีแต่ภาพการโจมตีทางการเมืองใส่กัน สิ่งใดที่มีปัญหา ก็ขอให้ช่วยท้วงติง ไม่ใช่ใช้ทุกโอกาสและเวลาในการดิสเครดิตใส่กัน มันไม่เป็นประโยชน์และไม่สร้างสรรค์

ส่วนกรณีที่พรรคก้าวไกลยื่นแก้ไขรัฐธรรมนูญ ต่อที่ประชุมรัฐสภา เพราะไม่เชื่อใจ คณะกรรมการศึกษาการทำประชามติฯ ของรัฐบาล นายภูมิธรรม กล่าวว่า ตนเคยพูดหลายครั้งแล้วว่า การเมืองให้ดูที่ความเป็นจริง และใช้หลักการและเหตุผลที่ถูกต้องที่พยายามเดิน เราจะทำรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ โดยที่ไม่แตะหมวด 1 และ 2 แต่พรรคก้าวไกลเสนอแก้รัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ ซึ่งทำให้เรารู้ว่า คนบางส่วนก็ยังมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน ถ้ายังดึงดันแบบนี้จะไปต่อไม่ได้ พรรคเพื่อไทย จะแก้รัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น แต่เราไม่อยากเห็นประชาธิปไตยแบบสุดขั้ว โดยไม่คำนึงถึงความเห็นต่าง และจะต้องคุยกันให้ตกผลึก และเคารพความเห็นที่แตกต่าง แต่ไม่จำเป็นต้องตามใจกัน เราก็แสดงจุดยืนเรา ท่านก็แสดงจุดยืนของท่าน แต่ทำอย่างไรให้สังคมส่วนใหญ่เกิดความเข้าใจ นี่จึงเป็นที่มาของการตั้งอนุกรรมการเข้ามาแก้ไขปัญหาเหล่า ขอร้องอย่าอคติต่อกัน เราจะทำให้ประเทศนี้ไปในทิศทางที่ดี

เมื่อถามว่าแฮชแท็ก #เพื่อไทยตระบัดสัตย์ ซึ่งคาดว่า น่าจะมาจากประเด็นกระแสข่าวอนุกรรมการดิจิทัลวอลเล็ต ที่อาจจะแบ่งหรือเพิ่มหลักเกณฑ์ผู้เข้าร่วมโครงการ ที่จากเดิมจะแจกทุกคน นายภูมิธรรม กล่าวว่า ไม่เป็นไร เป็นเพียงความเห็น เรายอมรับความเห็นหลากหลาย มีทั้งคนเห็นด้วยและเห็นต่าง พรรคเพื่อไทยเผชิญสิ่งนี้มาโดยตลอด เรากำลังออกนอกกรอบ เหมือนที่เราเคยทำในโครงการ 30 บาท , กองทุนหมู่บ้าน และโครงการอื่นๆ แต่โครงการเหล่านั้น ก็มีวัตถุประสงค์ที่แตกต่าง เหมือนดิจิทัลวอลเล็ต ที่ต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น ถ้ายังปล่อยก็จะเหมือน 9 ปีที่ผ่านมา แต่ทุกคำวิจารณ์ เรารับฟัง แต่ไม่คิดปรับปรุง แต่เราจะทำให้รอบคอบมากขึ้น

เมื่อถามต่อว่า สโลแกน “คิดใหญ่ ทำเป็น” ในช่วงเลือกตั้ง แต่พอเป็นรัฐบาล ดูเหมือนจะทำไม่ได้ เหมือนในช่วงที่หาเสียง จะกระทบต่อความเชื่อมั่นในการเลือกตั้งรอบหน้าหรือไม่ นายภูมิธรรม ยืนยันว่า เพื่อไทยคิดใหญ่ทำเป็น เราทำเรื่องใหญ่ เรื่องยาก ให้เป็นเรื่องที่ทำได้ และนี่คือด่านสำคัญ ที่พรรคเพื่อไทยจะต้องพิสูจน์ตัวเองให้ประชาชนมั่นใจ แต่ถ้าจะทำให้ 100% นั้นยาก

“ผลงานในอนาคต จะพิสูจน์ได้ว่า เพื่อไทย มีความสามารถ เราเดินทุกนโยบาย ในช่วงที่เป็นรัฐบาล 1-2 เดือนที่ผ่านมา อยากให้คนใช้วิจารณญาณให้กว้างขวาง และให้โอกาสเราในการทำงาน” นายภูมิธรรม กล่าว

‘นักวิชาการ’ ชี้!! ลดแจกเงินดิจิทัล ศก.ปีหน้าหด แต่ ‘ยั่งยืน-คลังไม่เสี่ยง’ แนะ!! ปรับเกณฑ์คัดกรอง ใช้ ‘ทรัพย์สิน-ภาระหนี้’ พิจารณาร่วมด้วย

เมื่อวันที่ 29 ต.ค. 66 นายอนุสรณ์ ธรรมใจ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุน และการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า การปรับลดขนาดและวงเงินดิจิทัลวอลเล็ตลงมาช่วยลดความเสี่ยงทางการคลังในอนาคตลงมาได้ แม้จะทำให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจปีหน้าลดลงบ้าง แต่จะให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจมีเสถียรภาพมากกว่าในระยะปานกลาง หากมุ่งเป้าไปที่กลุ่มผู้มีรายได้น้อยประมาณ 15 ล้านคน จะใช้เงินงบประมาณ 1.5 แสนล้านบาท และอาจไม่จำเป็นต้องกู้เงินเลย และผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเปรียบเทียบกับการแจกเงินแบบถ้วนหน้า 56 ล้านคน หรือตัดคนที่มีเงินเดือนเกินกว่า 25,000 บาท และ/หรือมีบัญชีเงินฝากเกิน 1 แสนบาทออก เหลือผู้มีสิทธิประมาณ 43 ล้านคน ใช้งบประมาณ 4.3 แสนล้านบาท หรือตัดผู้มีเงินเดือนเกินกว่า 50,000 บาท และ/หรือมีบัญชีเงินฝากกว่า 5 แสนบาท เหลือผู้มีสิทธิ 49 ล้านคน ใช้งบประมาณ 4.9 แสนล้านบาท

การแจกเฉพาะกลุ่มเน้นไปที่คนยากจนหรือชนชั้นกลางรายได้ต่ำมีแนวโน้มใช้จ่ายมากและเร็ว มักซื้อสินค้าจำเป็นภายในประเทศ มีความจำเป็นและมีปัญหาสภาพคล่อง จะทำให้ประสิทธิภาพและประสิทธิผลของโครงการแจกเงินเพิ่มขึ้น รวมทั้งทำให้ต้นทุนงบประมาณโครงการแจกเงินลดลง นโยบายแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ตต้องดูทั้งมิติทางด้านมหภาคและจุลภาค ต้องมีมาตรการอื่น ๆ ด้านจุลภาคเสริมให้เงินแจกที่ประชาชนได้รับกลายเป็นการลงทุนขนาดเล็กในระดับชุมชนมากกว่าแปลงเป็นการบริโภคเพียงอย่างเดียว

หากไม่แจกเงินถ้วนหน้า รัฐบาลควรปรับเกณฑ์คัดกรองคนมีรายได้สูงนอกเหนือจากเกณฑ์เงินฝากและเงินเดือน รัฐบาลควรนำสินทรัพย์อื่น ๆ และภาระหนี้สินมาร่วมพิจารณา เช่น การถือครองที่ดิน การถือครองอสังหาริมทรัพย์ เงินลงทุนในตลาดการเงิน การถือครองพันธบัตรและหุ้น ภาระหนี้สิน เป็นต้น มาเป็นเกณฑ์ในการคัดกรอง การตัดคนที่เงินเดือนเกินกว่า 25,000 บาทออกแต่ยังใช้งบประมาณมากกว่า 4.3 แสนล้านบาท เนื่องจากคนจ่ายภาษีเงินได้บุคคลธรรมดามีอยู่ประมาณ 4 ล้านกว่าคนจากกำลังแรงงานทั้งหมดเกือบ 40 ล้านคนนั้น การที่คนเสียภาษี 4 ล้านคนนี้แบกรับภาระมาตรการแจกเงิน เกิดประเด็นทางนโยบายสาธารณะว่า เราควรพัฒนาระบบภาษีให้เป็นธรรม และขยายฐานภาษีให้กว้างขวางขึ้นและ เร่งแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจโดยด่วน

ปัญหาของการไม่แจกถ้วนหน้า คือ ต้นทุนการบริหารการแจกเงินสูงขึ้นและอาจยุ่งยากในการคัดกรองหากข้อมูลไม่ครบถ้วน ผู้ที่ประกอบอาชีพอิสระหรือไม่ได้อยู่ในฐานข้อมูลการเสียภาษีเงินได้จำนวนหนึ่งอาจมีเงินเดือนมากกว่า 25,000 บาทก็ได้ แต่อาจไม่ได้ถูกคัดออก หรือบางคนอาจมีเงินเดือนสูงกว่า 25,000 บาทแต่มีภาระหนี้สินมาก อาจถูกคัดออกทั้งที่ควรได้รับเงินแจก หรือบางคนมีเงินเดือนต่ำกว่า 25,000 บาท เงินฝากต่ำกว่า 1 แสนบาท แต่มีทรัพย์สินอย่างอื่นจำนวนมาก อาจไม่มีความจำเป็นต้องได้รับเงินแจก ฐานคนเสียภาษีต่ำทำให้การใช้เงินงบประมาณยังสูงอยู่มาก คัดคนมีรายได้สูงออกมากเท่าไหร่ ตัวทวีคูณทางการคลังเฉลี่ยเพิ่มขึ้น เพราะผู้มีรายได้น้อยมากเท่าไหร่ จะมีความโน้มเอียงในการบริโภคสูงขึ้นเท่านั้น หรือ MPC (Marginal Propensity to Consume) สูง การแจกเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจจะมีประสิทธิภาพประสิทธิผลสูงกว่า ใช้งบประมาณน้อยลง ก่อหนี้ก่อภาระผูกพันในอนาคตน้อยลง ความเสี่ยงฐานะการคลังลดลงมาก

ขณะที่เศรษฐกิจไทยได้รับผลบวกจากการขยายตัวอย่างมากของการส่งออกอาหารและสินค้าเกษตร ภาคส่งออกและภาคท่องเที่ยวของไทยยังคงฟื้นตัวต่อเนื่อง การขยายตัวของการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมอาหารเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดในเดือนกันยายน มูลค่าการส่งออกแตะเกือบ 9 แสนล้านบาท มีอัตราขยายตัวเพิ่มขึ้น 2.1% บวกต่อเนื่องสองเดือนติดต่อกัน เฉพาะสินค้าเกษตรขยายตัวเพิ่ม 12% เป็นบวก 2 เดือนติดต่อกัน และสินค้าอุตสาหกรรมเกษตรเพิ่ม 5.4% เป็นบวกครั้งแรกในรอบ 6 เดือน โดยสินค้าสำคัญที่เพิ่มขึ้น เช่น ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็ง และแห้งเพิ่ม 166.2% ข้าวเพิ่ม 51.4% ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังเพิ่ม 3.7% น้ำตาลทรายเพิ่ม 16.3% ไขมันและน้ำมันจากพืชและสัตว์เพิ่ม 12.8% สิ่งปรุงรสอาหารเพิ่ม 27.1% ผักกระป๋องและผักแปรรูปเพิ่ม 17.3% นมและผลิตภัณฑ์นมเพิ่ม 3.1% ผักสด แช่เย็น แช่แข็ง และแห้งเพิ่ม 7.9% ไข่ไก่สดเพิ่ม 52.7% ทำให้เศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัวต่อเนื่องแม้อาจชะลอตัวลงบ้างจากผลกระทบสงครามในตะวันออกกลาง

ผลกระทบต่อการแตกตัวของโลกาภิวัตน์ การแยกขั้วของภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจของโลก (Geo-Economic Fragmentation: GEF) ต่อเศรษฐกิจ การค้าการลงทุนของไทยจะเพิ่มขึ้นหากสงครามในฉนวนกาซาลุกลามสู่สงครามในภูมิภาคตะวันออกกลางและมีการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่อกัน รัฐบาลควรรักษาพื้นที่ทางการคลัง (Fiscal Space) เอาไว้ หากเกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยจะได้มีงบประมาณเพียงพอแก้ปัญหาเศรษฐกิจในอนาคตหากมีความจำเป็น ถ้าแจกเงินอย่างถ้วนหน้าจะส่งผลให้พื้นที่ทางการคลังจะลดลง ช่วงต้นปี GEF เพิ่มอย่างแน่นอนหากสงครามอิสราเอลขยายวงสู่การคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ การเตรียมพื้นที่ทางการคลังไว้กระตุ้นเศรษฐกิจภายหลังและช่วยบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจและความเดือดร้อนทางเศรษฐกิจเป็นเรื่องที่เตรียมการล่วงหน้าไว้ก่อน

ช่วงที่เหลือของปีนี้ ตลาดการเงินโลกจะมีความผันผวนมาก อัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐอเมริกาอาจปรับขึ้นได้อีก แม้ในการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในวันที่ 31 ต.ค.-1 พ.ย.นี้จะไม่มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หากไม่มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต้นเดือนพฤศจิกายน ในการประชุมครั้งต่อไปในเดือนธันวาคมน่าจะมีปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อ คาดผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวสหรัฐยังอยู่ในช่วงขาขึ้นต่อไป โดยมองว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะ 10 ปีอาจแตะระดับ 6% ได้ ปัจจัยดังกล่าวทำให้เงินทุนเคลื่อนย้ายมายังตลาดพันธบัตร และเทขายการลงทุนในตลาดสินทรัพย์เสี่ยง ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลงแรงต่อเนื่อง นอกจากนี้ผลกระทบสงครามขยายวง ทำให้ราคาทองและน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อไป

หน้าที่ของอัตราดอกเบี้ยในระบบเศรษฐกิจ คือ การทำให้ปริมาณเงินและอุปสงค์ของเงินมีความสมดุล เป็นหลักประกันว่า เงินออมที่เกิดขึ้นในปัจจุบันจะถูกเคลื่อนย้ายไปสู่การลงทุนหรือการบริโภคเพื่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ยังเป็นเครื่องมือหนึ่งของนโยบายการเงินของทางการ รวมทั้งเป็นกลไกในการจัดสรรทรัพยากรและสินเชื่อไปยังโครงการลงทุนที่คาดว่าจะให้อัตราผลตอบแทนสูงสุด เส้น Yield Curve สามารถเป็นตัวสะท้อนข้อมูลตลาดและภาวะเศรษฐกิจ บอกถึงกิจกรรมเศรษฐกิจในอนาคตและการคาดการณ์หรือคาดคะเนของตลาด (Market Expectation) ถ้าเส้น Yield Curve ทอดขึ้น ผู้คนในตลาดและระบบเศรษฐกิจจะคาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยจะสูงขึ้นในอนาคต อัตราดอกเบี้ยจะผันแปรไปตามวัฏจักรธุรกิจ (Business Cycle) หรือภาวะเศรษฐกิจ ทุกคนจะคาดการณ์ว่า ระบบเศรษฐกิจกำลังจะขยายตัวเพิ่มขึ้น ขณะที่ Yield Curve ที่ทอดลงจะสะท้อนจุดเริ่มต้นของภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวลง ลักษณะและความชันของ Yield Curve มีความสำคัญและมีผลต่อสถาบันการเงินและตัวกลางทางการเงิน เช่น ธนาคาร และ บริษัทเงินทุน กู้เงินจากตลาดการเงินระยะสั้นแล้วปล่อยกู้ ในโครงการระยะยาว ยิ่ง Yield Curve ทอดขึ้นและมีความชันมากเท่าไหร่ สถาบันการเงินย่อมได้รับผลตอบแทนมากเท่านั้น

เนื่องจากส่วนต่าง (Spread) ระหว่างอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นและระยะยาวจะมีมากขึ้น กำไรของสถาบันการเงินและตัวกลางทางการเงินย่อมเพิ่มขึ้น ขณะนี้เส้นผลตอบแทนจะมีลักษณะทอดขึ้นจากซ้ายไปขวาอาจจะเรียกว่า เป็น Ascending Yield Curve ก็ได้ ในกรณีนี้จะมีการคาดคะเนว่า อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นในอนาคตจะสูงขึ้น อัตราผลตอบแทนระยะยาว คือ ค่าเฉลี่ยของอัตราปัจจุบันกับอัตราดอกเบี้ยในอนาคตนั้นอยู่เหนืออัตราดอกเบี้ยปัจจุบัน แสดงว่า อัตราดอกเบี้ยระยะยาวสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น กองทุนขนาดใหญ่และเฮดจ์ฟันด์ยังคงเคลื่อนย้ายเงินทุนจากตลาดหุ้นมายังตลาดพันธบัตรต่อไป จนกว่าราคาหุ้นจะปรับฐานลงมาสู่ระดับที่ทำให้การลงทุนในตลาดสินทรัพย์เสี่ยงมีความน่าสนใจหรือบริษัทต่างๆสามารถจ่ายเงินปันผลเพิ่มขึ้นได้ หรือ มี Market P/E Ratio ลดลงมากพอ อัตราผลตอบแทนเมื่อปรับความเสี่ยงแล้วของตลาดหุ้นสามารถแข่งขันกับอัตราผลตอบแทนของตลาดพันธบัตรที่ยังคงปรับตัวสูงขึ้นอยู่

นายอนุสรณ์ กล่าวว่า เงินก็เหมือนกับสินค้าทั่วไปที่ระดับราคาของมัน หรืออัตราดอกเบี้ยถูกกำหนดโดยอุปสงค์และอุปทาน หน่วยการผลิตจะผลิตเพิ่มขึ้นหรือลดลงขึ้นอยู่กับการเปรียบเทียบระหว่างอัตราผลตอบแทนที่คาดหวังว่าจะได้รับเพิ่มขึ้นอันเนื่องมาจากการลงทุนเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งหน่วย (Marginal Efficiency of Investment-MEI) กับ อัตราดอกเบี้ยในตลาด เมื่อ MEI ยังสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยในตลาด หน่วยการผลิตจะยังขยายการลงทุนไปเรื่อย ๆ จนกระทั่ง MEI เท่ากับ อัตราดอกเบี้ย ในภาวะที่ระบบเศรษฐกิจไทยมีกำลังการผลิตส่วนเกินอยู่ อัตราเงินเฟ้อค่อนข้างต่ำ รัฐบาลก่อหนี้เพิ่ม สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีสูงมาก ทางการไม่ควรปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกแม้นในหนึ่งหรือสองไตรมาสข้างหน้า อัตราเงินเฟ้ออาจเพิ่มขึ้นจากราคาพลังงานปรับสูงขึ้น ในระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยม อัตราดอกเบี้ยจึงทำหน้าที่เป็นกลไกจัดสรรทรัพยากรของสังคมและระบบเศรษฐกิจตามการขึ้นลงของราคาของเงิน หรืออัตราดอกเบี้ย ที่ระดับอัตราดอกเบี้ย ณ ระดับใดระดับหนึ่งในระบบการเงิน

หน่วยเศรษฐกิจที่มีประสิทธิภาพในการลงทุนจะสามารถประมูลเงินทุนไปดำเนินในกระบวนการผลิต (คือสามารถรับภาระของดอกเบี้ย) ส่วนหน่วยเศรษฐกิจที่มีประสิทธิภาพต่ำย่อมไม่สามารถได้เงินทุนไปขยายการผลิต หน่วยธุรกิจที่สามารถมีกำไรได้และมีประสิทธิภาพสูง ไม่ได้หมายความว่า การผลิตจะมีคุณค่าต่อสังคมเสมอไป เช่น โรงงานผลิตสุรา โรงงานผลิตยาสูบ สถานอาบอบนวด เป็นต้น กำไรมากแต่มีผลกระทบทางสังคม หรือการผลิตบางอย่าง กำไรต่ำหรือบางครั้งก็มีประสิทธิภาพต่ำแต่เป็นกิจการที่มีความสำคัญต่อสังคมและระบบเศรษฐกิจ เช่น สถานเลี้ยงดูเด็กกำพร้า บ้านพักคนชรา หรือ การทำนาหรือเกษตรกรรม เป็นต้น เมื่อเป็นเช่นนี้ เราจึงไม่สามารถอาศัยกลไกอัตราดอกเบี้ยเพียงอย่างเดียวในการจัดสรรทรัพยากรของสังคม จำเป็นต้องมีกลไกหรือเครื่องมืออื่นๆรวมทั้งการแทรกแซงโดยรัฐด้วย โดยเฉพาะประเทศกำลังพัฒนาและประเทศเหล่านี้มักอาศัยธนาคารเฉพาะกิจของรัฐในการเข้ามาดูแลในการจัดสรรทรัพยากรของระบบเศรษฐกิจรวมทั้งการช่วยเหลือภาคเกษตรกรรมและธุรกิจขนาดเล็กด้วย

หากรัฐบาลตัดสินใจแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ตอย่างถ้วนหน้า รัฐบาลต้องกู้เงินจำนวนมากจากตลาดการเงินภายใน อาจจะเกิด Crowding out Effect ดันอัตราดอกเบี้ยในตลาดให้สูงขึ้นและไปเบียดบังการลงทุนภาคเอกชน การลงทุนโดยรวมอาจไม่ได้ปรับเพิ่มขึ้นตามเป้าหมาย ผลสุทธิของการกระตุ้นเศรษฐกิจจากนโยบายแจกเงินจะเบาบางลงจากการลดลงจากต้นทุนทางการเงินของภาคเอกชนที่เพิ่มสูงขึ้น การลงทุนลดลงของภาคเอกชน ส่งผลต่อการสะสมทุนลดลง (Less Capital Accumulation) นำมาสู่การเติบโตที่ลดลงในระยะยาว แม้ในระยะสั้น มาตรการแจกเงินจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการบริโภคก็ตาม

‘นายกฯ เศรษฐา’ ยัน!! แจกเงินดิจิทัลฯ ไม่ใช่การสงเคราะห์คนจน

‘นายกฯ เศรษฐา’ แถลง ‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ ใช้จ่ายผ่าน ‘เป๋าตัง’ แจก 50 ล้านคน รายได้ไม่เกิน 7 หมื่นต่อเดือน เงินฝากทุกบัญชีรวมไม่เกิน 5 แสนบาท มีระยะเวลาการใช้ 6 เดือน พร้อมขยายพื้นที่การใช้ครอบคลุมระดับอำเภอ เตรียมตั้งงบ 600,000 ล้านบาท แต่ยังต้องผ่านขั้นตอนกฎหมาย 

(10 พ.ย. 66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง เรียกประชุมนโยบายโครงการเติมเงินดิจิทัล 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ชุดใหญ่ โดยระบุในช่วงเช้าก่อนการแถลงว่า “คำพูดของตน ไม่ต้องจด ไม่ต้องอัด ตั้งใจฟังอย่างเดียว เพราะมี Press Release อย่างหนาให้”

จากนั้นเมื่อเวลา 14.00 น. นายกฯ เศรษฐา ได้แถลงภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ว่า... 

โครงการดังกล่าวจะเติมเงินในระบบเศรษฐกิจ รวม 600,000 ล้านบาท ครอบคลุม 50 ล้านคน และอีก 100,000 ล้านบาทในกองทุนเพิ่มขีดความสามารถ และยังต้องผ่านกระบวนการตามกฎหมายก่อนที่จะสรุป และต้องมีมติของคณะกรรมการที่เกี่ยวข้อง

ทั้งนี้ นายกฯ กล่าวว่า ได้ปรับเงื่อนไขให้รัดกุมมอบสิทธิการใช้จ่าย 10,000 บาทให้คนอายุ 16 ปีขึ้นไปรายได้ไม่ถึง 70,000 บาท และมีเงินฝากไม่ถึง 500,000 บาท พร้อมทั้งย้ำด้วยว่า คนที่มีรายได้มากกว่า 70,000 บาท แต่มีเงินฝากน้อยกว่า 50,000 ก็จะไม่ได้รับสิทธิ หรือรายได้น้อยกว่า 70,000 บาท แต่เงินฝากมากกว่า ก็จะไม่ได้รับสิทธิ

นายกฯ กล่าวอีกว่า ส่วนการใช้จ่ายนั้น จะใช้จ่ายในระดับอำเภอ มีระยะเวลาใช้จ่ายก้อนแรกภาย 6 ในเดือน สามารถซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคได้เท่านั้น ซื้อบริการไม่ได้ แลกเปลี่ยนเป็นเงินสดไม่ได้ ซื้อทอง เพชร พลอย เติมน้ำมัน เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กัญชา กัญชง หรือนำไปชำระหนี้ไม่ได้ ร้านค้าไม่จำเป็นต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่ร้านค้าที่สามารถขึ้นเป็นเงินสดได้ต้องเป็นร้านค้าที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเท่านั้น

ทั้งนี้ เมื่อมีการถามถึงการใช้งาน ดิจิทัลวอลเล็ต ว่าจะใช้สิทธิ์ยากหรือไม่ และเข้าร่วมอย่างไรนั้น? นายกฯ ประกาศว่า “เราจะพัฒนาต่อยอดระบบ ‘เป๋าตัง’ ซึ่งมีประชาชนลงทะเบียน 40 ล้านคน ร้านค้าที่คุ้นเคยกว่า 1.8 ล้านร้านค้า ซึ่งเป๋าตัง มีความพร้อมด้านเทคโนโลยีลดระยะเวลา งบประมาณ ซ้ำซ้อน”

หลังจากนั้น นายกฯ ยังได้เผยถึง โครงการลดหย่อนลดภาษี โดยกล่าวด้วยว่า รัฐบาลจะออกโครงการลดหย่อนภาษีให้คนไทยสามารถลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคล จากการซื้อสินค้า-บริการมูลค่าไม่เกิน 50,000 บาท โดยใช้ใบกำกับภาษีมาประกอบยื่นภาษีบุคคล และรัฐจะคืนเงินภาษีให้ ดังนั้นคนที่ไม่ได้รับสิทธิดิจิทัลวอลเล็ต ก็สามารถเข้าร่วมโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการนี้ได้ และจะทำให้ร้านค้าเข้าระบบภาษีดิจิทัลมากขึ้นอีกด้วย

“ยังยืนยันให้คนไทยทุกคนมีส่วนร่วมในการกระตุ้นเศรษฐกิจให้คนไทยลดหย่อนภาษีมูลค่าไม่เกิน 50,000 บาท มาประกอบการยื่นภาษี” นายกฯ กล่าว

โดยสรุป นโยบายทั้งหมดนี้จะส่งผลดีต่อประเทศ 2 ด้าน คือกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศในระยะสั้น โดยมีประชาชนทุกภาคส่วนเป็นกลไกที่สำคัญ ผ่านการบริโภคและการลงทุน วางโครงสร้างพื้นฐานเพื่อนำไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัลและ E-Government ซึ่งเป็นการวางและแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างของประเทศในระยะยาว

“นี่ไม่ใช่สงเคราะห์ ประชาชนผู้ยากไร้ แต่เป็นการเติมเงินลงไปในระบบเศรษฐกิจแทนสิทธิการใช้จ่าย เพื่อให้ประชาชนมีบทบาทร่วมกับรัฐบาลในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจของประเทศ ในขณะที่ยังรักษาวินัยการเงินการคลังของรัฐทุกประการ...

“ผมขอให้ประชาชนทุกคนได้รับสิทธิร่วมกันใช้จ่ายอย่างมีความภาคภูมิใจ โดยทุกคนร่วมเป็นผู้สร้างการเจริญเติบโตและความมั่นคงทางเศรษฐกิจให้กับประเทศเรา” นายกฯ ทิ้งท้าย

สำหรับโครงการทั้งหมดที่ว่ามาจะสามารถใช้ได้เมื่อใดนั้น จะต้องผ่านการตีความโดยกฤษฎีกา ในช่วงปลายปีนี้ นำเข้าสู่สภาช่วงต้นปีหน้า จัดเตรียมงบประมาณและเปิดใช้ประชาชนใช้ พฤษภาคม ปีหน้า (2567) ช่วงก่อนหน้านั้นจะมี e-Refunds ตั้งแต่เดือนมกราคม และโครงการเสริมสร้างขีดความสามารถ เริ่มได้เดือนมิถุนายน 67 ทั้งนี้ ต้องเข้าสู่กระบวนการกฎหมาย ทำงานรัดกุม ก่อนเข้าครม. เพื่อได้รับการอนุมัติต่อไป 

จับตา!! ก้าวใหม่ ‘นายกฯ เศรษฐา’ ปรับแก้เงินดิจิทัลฯ ข้ามกับดัก ป.ป.ช.

ด้วยการทำหน้าที่ประธานวิป ครม. กับรัฐสภาอย่างแข็งขันของ ‘รัฐมนตรีเดือน’ มนพร เจริญศรี รมช.คมนาคม ด้วยการปรับวิธีคิดวิธีมองของเจ้าตัว และด้วยแรงเชียร์ของ สส.พรรคเพื่อไทย ทำให้เมื่อวันที่ 8 ก.พ.ที่ผ่าน นายกรัฐมนตรีสูงยาวถุงเท้าแดง…นายกฯ คนที่ 30 นาม ‘เศรษฐา ทวีสิน’ ย่างสามขุมไปตอบกระทู้ถามสดกลางสภาฯ

คนถามเป็นอดีตนายกฯ คนที่ 20 นาม ‘ชวน หลีกภัย’ อีกคนคือ อดีตรมว.คมนาคม จากค่ายภูมิใจไทย นาม ‘โสภณ ซารัมย์’

ประธานสภาฯ  วันมูหะหมัดนอร์ มะทา เอ่ยปากขอบคุณและชื่นชมนายกฯ และ ครม. อยู่พักใหญ่

‘เล็ก เลียบด่วน’ นั่งฟังอยู่กลางสี่แยกไฟแดงพอดี ต้องบอกตรง ๆ ว่าขอกดไลก์ให้นายกฯ สักครั้ง ทั้งการตัดสินใจไปตอบกระทู้และเนื้อหาตอบกระทู้ที่ฟังดูมีความเร่าร้อนที่จะแก้ปัญหา...ก็โอเค…

สายข่าวพรรคเพื่อไทยยืนยันว่า...บัดนี้นายกฯ เศรษฐาพร้อมแล้วที่จะเดินหน้าเข้าสู่โหมดผู้นำที่จะลืมตาดวงโตทั้งสองข้างเดินหน้านโยบายดิจิทัลวอลเล็ต…เริ่มตั้งแต่การประชุมคณะกรรมการชุดใหญ่ในสัปดาห์หน้า อาจจะเป็นวันที่ 15 ก.พ. หรือถ้าติดขัดก็เป็นสัปดาห์ต่อไป...เพื่อหาบทสรุป และจะได้รู้กันว่ากรรมการแต่ละคนคิดอ่านกันอย่างไร...ก่อนที่จะได้สรุปและนำเสนอ ครม. ต่อไป หากว่าไม่มีบทสรุปเป็นอย่างอื่น…

ว่ากันตามเนื้อผ้าก็ระทึกใจดี เพราะไม่ว่าจะอย่างไร คำเตือนจากป.ป.ช. ภายใต้บทสรุป ‘4 ความเสี่ยง 8 ข้อเสนอแนะ’ นั้น อ่านแล้วอาจจะไม่เห็นด้วยแต่มันก็ชวนหลอกหลอนอยู่ไม่น้อย ‘เล็ก เลียบด่วน ขอคัดลอกข้อเสนอแนะข้อที่ 8 ข้อสุดท้าย มาเป็นตัวอย่างไว้ ณ ที่นี้

“7.8 หากรัฐบาลมีความจำเป็นต้องการช่วยเหลือประชาชน รัฐบาลควรช่วยเหลือกลุ่มประชาชนที่มีฐานะยากจน ที่เปราะบาง ที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เท่านั้น โดยแจกจากแหล่งเงินงบประมาณปกติ มิใช่เงินกู้ตามพระราชบัญญัติเงินกู้ และจ่ายในรูปเงินบาทปกติในอัตราที่เหมาะสม เพื่อพยุงการดำรงชีวิตของกลุ่มประชาชนที่ยากจน โดยการกระจายจ่ายเงินเป็นงวด ๆ หลายงวด ผ่านระบบแอปเป๋าตังที่มีประสิทธิภาพ และมีฐานข้อมูลครบสามารถทำได้รวดเร็ว การดำเนินการกรณีนี้หากใช้แหล่งเงินงบประมาณปกติ มิใช่จากการกู้เงินตามพระราชบัญญัติเงินกู้จะลดความเสี่ยงต่อการขัดรัฐธรรมนูญ ขัดพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลัง พ.ศ. 2561 และขัดพระราชบัญญัติเงินตรา พ.ศ. 2501 ประการสำคัญ ไม่สร้างภาระหนี้สาธารณะของประเทศ ในระยะยาว”

ก็ต้องตามไปดูว่าจะมีการปรับแก้อะไรกันบ้างก่อนจะเดินหน้าก้าวข้ามไปให้ได้....เพราะนาทีนี้ถ้าถอยหลังต้องบอกว่าเสียรังวัด เสียฟอร์มพรรค ที่ว่า ‘คิดใหญ่ทำเป็น’

แต่ก็นั่นแหละผู้สันทัดกรณีชี้ว่า…งานนี้พรรคเพื่อไทยลุยพรรคเดียวก็ไปไม่ได้ ต้องถามพรรคร่วมรัฐบาลพรรคอื่นด้วย วันไหนนำเข้า ครม. วันนั้นจะได้รู้กัน...แต่ถ้าถามภายใต้เงื่อนไขวันนี้ วันที่ยังไม่มีการปรับแก้อะไรกัน ‘เล็ก เลียบด่วน’ ฟันธงให้ได้เลยก็ได้ว่า...

อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าค่ายภูมิใจไทย และพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าค่ายรวมไทยสร้างชาติ...ไม่เอาด้วยแน่นอน… 

ดังนั้นจะแก้อะไรก็รีบแก้ พูดเป็นอย่างเดียวไม่พอ คิดดีอย่างเดียวไม่ได้ต้องทำเป็นด้วย..

วันนี้มาเอาใจช่วยนายกฯ ให้โชคดี เฮงๆ หลังตรุษจีนครับ

‘ลุง-ป้า’ สุดขยัน!! ตัดต้นกระถินยักษ์เผาเป็นถ่านเลี้ยงชีพ ไม่รอเงินหมื่นจากภาครัฐ บอก!! “จะได้รึเปล่ายังไม่รู้”

(22 มี.ค. 67) ผู้ใช้เฟซบุ๊ก 'Pat Sangtum' ได้โพสต์ข้อความในหัวข้อ ‘CHARCOAL MAKER-WOODCUTTER คนตัดฟืนเผาถ่าน’ โดยระบุว่า…

“ทางเข้าบ้านเราด้านหนึ่งเป็นหุบเหว ซึ่งเกิดจากการขุดดินขึ้นไปทำถนน (ไปทะลุที่ตลาดปากช่อง) หุบเขานี้ เวลาผ่านมากว่า 35 ปี ก็กลายที่อยู่อาศัยของสัตว์ต่างๆ ทั้งกระต่าย ไก่ป่า และมีพันธุ์ไม้แปลก ๆ ขึ้นเอง ในช่วงฤดูฝน จะเป็นป่าในหุบเหว ป่านี้เต็มไปด้วยต้นกระถินยักษ์ เพราะแถวดงพญาเย็น ที่เคยถูกถางป่าจนกลายเป็นเขาหัวโล้นทั้งหมด ทางการได้เอาเมล็ดพันธุ์กระถินยักษ์ มาปลูก โดยคิดแต่เพียงว่าเป็นต้นไม้โตเร็ว กระถินยักษ์จึงกระจายไปทั่วบริเวณทั่วทั้งอำเภอ เมื่อเมล็ดกระถินร่วงแล้วขึ้นเป็นต้นใหม่อย่างรวดเร็ว ต้นไม้ป่าธรรมชาติ ก็สู้ไม่ไหว ตายสี่ตายห้ากันหมด แม้เวลาผ่านมาครึ่งศตวรรษ มองไปทางไหนก็เป็นภูเขากระถินยักษ์ มีไม่กี่ลูก ที่ยังเป็นป่าเบญจพรรณ”

ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายนี้ ระบุเพิ่มว่า “ลุงป้า มาตัดกระถินในหุบเหวหน้าบ้านทุกวัน เอาไปเผาถ่าน ลุงอายุ 69 ปี ป้า 60 ทั้งคู่ได้รับเงินประกันสังคม ได้รับเบี้ย สว. และลูก ๆ ซึ่งโตกันแล้ว มีหลานแล้ว ก็ให้เดือนละ 3,000 บาท ทั้งสองอยู่ในหมู่บ้านห่างไป 3 กม. มีรถปิคอัพ มีบ้าน แต่ขยันหาเงินตลอดเวลา ไม่นั่ง ๆ นอน ๆ ดูทีวี ลุงวัย 69 แข็งแรงมาก เพราะท่อนไม้ที่ลุงต้องขนขึ้นมาจากเหวนั้น หนักมาก ๆ เราลองยกดู ยกได้แป๊บเดียว ก็หายใจไม่ทันแล้ว แต่ทั้งคู่ ขนขึ้นมาเพื่อเอามาบรรทุกท้ายรถ ทำอย่างนี้วันละ 2 เที่ยว 

และเสริมต่อว่า “ลุงบอกว่า เผาถ่านแล้ว มีคนมารับที่เตา ไม่ต้องไปเร่ขาย เราจึงบอกว่าถ้าแวะมาขนไม้ ก็เอาถ่านมาให้ด้วย ลุงขายถุงละ 30 ก็เลย สั่งไป 10 ถุง ด้วยคิดว่าขนาดถุงจะเหมือนที่ร้านหมูกระทะ หรือร้านขายถ่านในตลาด ทำไว้ขาย ปรากฏว่ามาถึง ขนาดถุงเท่ากับถังแก๊ส ตกใจมากจึงถามว่าทำไมขายถูก ลุงบอกว่าถ้าไปขายต่อให้ขาย 50 บาท”

นอกจากนี้ ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายนี้ยังเล่าต่อว่า ตอนนี้ถ้าเราต้องจากไป ไม่ต้องไปวัดเลย ไม่ต้องพึ่งดอกไม้จันทน์ เราถามลุงว่า เงินก็พอใช้แล้ว เดี๋ยวก็ได้จากรัฐบาลอีกหมื่นบาท 

ลุงตอบว่า "ไม่รอหรอก จะได้รึเปล่ายังไม่รู้"

คุ้มค่าหรือ? ‘รัฐบาล’ ทุ่ม 5 แสนล้านดัน ‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ ‘นโยบายประชานิยม’ จะพาเศรษฐกิจไทยฟื้นหรือดิ่งเหว

ต้อนรับเทศกาลสงกรานต์ กับการแถลงข่าวเงินดิจิทัลวอลเล็ต โดยเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2567 มีการ ‘ประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet (ดิจิทัลวอลเล็ต) ครั้งที่ 3/2567’ ที่ทำเนียบรัฐบาล ที่มีนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง เป็นประธานการประชุม

ประเด็นที่น่าสนใจคงไม่พ้น ‘แหล่งที่มาของงบประมาณ’ ในโครงการ โดยนายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวถึงแหล่งเงินของโครงการฯ 500,000 ล้านบาท สามารถบริหารจัดการผ่านกระบวนการงบประมาณได้ทั้งหมด โดยจะใช้เงินจากงบประมาณจาก 3 ส่วน ได้แก่

1. เงินงบประมาณรายจ่ายปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 จำนวน 152,700 ล้านบาท ซึ่งได้ขยายกรอบวงเงินงบประมาณในปี 2568 เรียบร้อยแล้ว

2. การดำเนินโครงการผ่านหน่วยงานของรัฐ จำนวน 172,300 ล้านบาท โดยให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ดูแลกลุ่มประชาชนที่เป็นเกษตรกร จำนวน 17 ล้านคนเศษ ผ่านกลไกมาตรา 28 ของงบประมาณปี 2568

3. การบริหารจัดการเงินงบประมาณรายจ่ายปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ของรัฐบาล จำนวน 175,000 ล้านบาท ซึ่งงบประมาณปี 2567 เพิ่งเริ่มใช้ จึงมีเวลาที่รัฐบาลจะพิจารณาว่ารายการใดที่จะสามารถปรับเปลี่ยนได้ รวมถึงงบกลาง ก็อาจนำมาใช้เพิ่มเติมในส่วนนี้ถ้าวงเงินไม่เพียงพอ รวมวงเงินส่วนที่ 1-3 เป็นวงเงิน 500,000 ล้านบาท

นโยบายเรือธงของพรรคเพื่อไทย ที่นายกฯ เศรษฐา ได้เคยแถลงเมื่อวันที่ 14 กันยายน 2566 ยืนยันว่านโยบายดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ทำได้แน่นอน และไม่มีการกู้เงินมาแจก ในวันนี้ได้เห็นแหล่งที่มาของการใช้เงินแล้ว คงพอรับรู้ได้ว่า เป็นการ ‘กู้เงิน’ หรือไม่ ?

การเดินหน้าโครงการนี้ จะกระตุ้นเศรษฐกิจไทยได้มากน้อยแค่ไหน ก็คงตัดสินกันในตอนนี้ไม่ได้ ถึงแม้นักวิชาการหลายท่าน รวมทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย ก็เคยให้ความเห็นติติงกันมาพอควรมาแล้ว

ทีนี้ มาลองดูโครงการใหญ่ ๆ จาก 3 ประเทศ ในเอเชีย ที่ใช้งบประมาณหลายแสนล้านบาท ในช่วงนี้ มีเป้าหมายใช้งบประมาณในด้านใดบ้าง

เริ่มจาก ‘เกาหลีใต้’ ทุ่ม 2.5 แสนล้านเกาะกระแส AI หวังสร้างตำนานบทใหม่ สู่การเป็นมหาอำนาจเซมิคอนดักเตอร์ ประธานาธิบดี ยุน ซุก ยอล ของเกาหลีใต้ เปิดเผยเมื่อวันที่ 9 เม.ย. ว่ารัฐบาลจะลงทุน 9.4 ล้านล้านวอน (2.5 แสนล้านบาท) ในด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ 1.4 ล้านล้านวอน (3.8 หมื่นล้านบาท) สำหรับส่งเสริมบริษัทเซมิคอนดักเตอร์ด้าน AI ภายในปี 2027 เพื่อรักษาตำแหน่งผู้นำระดับโลกในด้านชิปเซมิคอนดักเตอร์ล้ำสมัย

โดยรัฐบาลเกาหลีใต้วางแผนที่จะขยายการวิจัยและพัฒนาชิป AI เช่น หน่วยประมวลผลประสาทเทียม (NPU) และชิปหน่วยความจำแบนด์วิธสูงรุ่นต่อไป นอกจากนี้ ยังจะส่งเสริมการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ทั่วไป (AGI) และเทคโนโลยีความปลอดภัยแห่งอนาคตที่เหนือกว่ารุ่นที่มีอยู่ และตั้งเป้าที่จะทำให้เกาหลีใต้กลายเป็นหนึ่งในสามประเทศชั้นนำในด้านเทคโนโลยี AI รวมถึงชิป และครองส่วนแบ่งในตลาด system semiconductor ทั่วโลกให้ได้ 10% หรือมากกว่าภายในปี 2030

ถัดมา ‘เวียดนาม’ ทุ่มลงทุน 9.6 แสนล้าน พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานคมนาคม ฝั่ม มิญ จิ๊ญ นายกฯเวียดนาม เปิดเผยเมื่อวันที่ 16 ก.พ. ว่า เวียดนามเตรียมจัดสรรเม็ดเงินลงทุนภาครัฐราว 657 ล้านล้านดอง (กว่า 9.6 แสนล้านบาท) ในปี 2567 โดยมุ่งเน้นพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมเป็นส่วนใหญ่ พร้อมเน้นย้ำว่า เมื่อโครงการด้านการคมนาคมเริ่มดำเนินการแล้ว จะช่วยลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์และยกระดับศักยภาพด้านการแข่งขันให้กับองค์กรต่าง ๆ ควบคู่ไปกับการส่งเสริมการพัฒนาด้านอุตสาหกรรม การบริการ และชุมชนเมือง

และอีก 1 ประเทศ ที่มีการลงทุนหลักแสนล้าน ‘มาเลเซีย’ ทุ่มเกือบ 3 แสนล้านขยายท่าเรือใหญ่สุดในประเทศ สำนักข่าว Bloomberg รายงานว่า เวสต์พอร์ทส์ โฮลดิงส์ ผู้ให้บริการท่าเรือรายใหญ่สุดของมาเลเซียกำลังมองหานักลงทุนจากภายนอกเพื่อระดมเงินลงทุนขยายท่าเรือ 8,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 299,539 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้ศักยภาพของท่าเรือขยายเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าในอีกหลายสิบปีข้างหน้า

ท่าเรือแห่งนี้เป็นท่าเรือใหญ่อันดับ 2 ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การขยับขยายท่าเรือจะเพิ่มศักยภาพเป็น 27 ล้านตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 20 ฟุต จากปัจจุบันอยู่ที่ 14 ล้าน ตลอดอายุสัมปทานซึ่งจะอยู่จนถึงปี 2082

การขยายท่าเรือเวสต์พอร์ทส์สะท้อนความพยายามในการขยายท่าเรือของประเทศเพื่อนบ้านตามแนวช่องแคบมะละกา ซึ่งเป็นหนึ่งในเส้นทางเดินเรือที่พลุกพล่านที่สุดในโลก

การลงทุนเพื่อให้เกิดการจ้างงาน ดึงต่างชาติมาลงทุน เพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจของ 3 ประเทศข้างต้น เปรียบเทียบกับงบประมาณที่รัฐบาลไทย จะทุ่ม 500,000 ล้านบาท ตามนโยบายประชานิยมที่เคยหาเสียงไว้ คุ้มค่าหรือไม่? บางทีอาจเป็นคำถามที่ไม่ต้องการผลลัพธ์เพื่อตอบคำถามนี้ 

เรื่อง: The PALM


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top