Sunday, 5 May 2024
อเมริกา

‘ไบเดน’ ควง ‘ผู้นำญี่ปุ่น-โสมใต้’ จ่อประกาศความร่วมมือครั้งใหม่ เพิ่มความมั่นคง 3 ชาติ ผนึกกำลังเผชิญหน้า ‘จีน-เกาหลีเหนือ’

เมื่อวันที่ 18 ส.ค. 66 สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า นายโจ ไบเดนประธานาธิบดีสหรัฐฯ เตรียมที่จะประกาศความร่วมมือด้านความมั่นคงครั้งใหม่ ในการประชุมสุดยอดไตรภาคี ร่วมกับประธานาธิบดียุน ซอกยอลของเกาหลีใต้ และนายฟูมิโอะ คิชิดะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 18 ส.ค.ที่ผ่านมา เพื่อหวังที่จะเป็นการส่งข้อความที่หนักแน่นไปยังจีน ที่แสดงความไม่พอใจต่อการร่วมมือกันของทั้ง 3 ฝ่ายนี้อย่างเห็นได้ชัด

ก่อนหน้านี้ พันธมิตรของสหรัฐฯ อย่างประเทศเกาหลีใต้และญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีต่อกันมานานหลายสิบปี หลังจากการที่ญี่ปุ่นยึดครองคาบสมุทรเกาหลีระหว่างปี 1910 – 1945 ซึ่งเต็มไปด้วยการใช้ความรุนแรง แต่เมื่อไม่นานมานี้ ประธานาธิบดียุนของเกาหลีใต้ได้ตัดสินใจที่จะหันมายุติข้อพิพาทกับญี่ปุ่นเรื่องการใช้แรงงานทาสในช่วงสงคราม และหันมาเรียกประเทศญี่ปุ่นว่าเป็นพันธมิตร ท่ามกลางความตึงเครียดจากเกาหลีเหนือและจีน

ในการประชุมสุดยอดไตรภาคีครั้งนี้ที่จะมีขึ้นที่แคมป์เดวิด บ้านพักส่วนตัวของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในรัฐแมริแลนด์ ผู้นำของทั้ง 3 ประเทศจะบรรลุข้อตกลงในเรื่องการตั้งสายด่วนฉุกเฉิน 3 ฝ่าย การจัดซ้อมรบเป็นประจำ และจะตกลงที่จะจัดการประชุมสุดยอดไตรภาคีเช่นนี้ทุกปี โดยหวังที่จะกำหนดให้เป็นแบบแผนในความร่วมมือ 3 ฝ่ายนี้

ยิ่งไปกว่านั้น ฮิการิโกะ โอโนะ โฆษกหญิงของกระทรวงต่างประเทศญี่ปุ่นยังระบุอีกว่า ในการประชุมดังกล่าวจะมีการตกลงกัน ถึงความจำเป็นในการหารือพูดคุยกัน ในขณะที่เกิดสถานการณ์วิกฤต และเดินหน้าในเรื่องการแชร์ข้อมูลเกี่ยวกับเกาหลีเหนือแบบเรียลไทม์อีกด้วย ขณะที่นายแอนโทนี บลิงเกน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐอเมริกากล่าวว่า เขามองการประชุมสุดยอดในครั้งนี้ว่าเป็น ยุคใหม่ของความร่วมมือไตรภาคี “ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้เป็นพันธมิตรที่สำคัญ ไม่ใช่แค่ในภูมิภาคแต่เป็นทั่วโลก” บลิงเกนกล่าว โดยคาดว่าจะมีการพูดคุยกันถึงเรื่องอื่นๆ นอกเหนือประเด็นในทวีปเอเชียด้วยเช่นกัน

ในช่วงที่ผ่านมา ประเทศเกาหลีเหนือได้มีการยิงทดสอบขีปนาวุธอยู่บ่อยครั้ง และประเทศจีน ภายใต้การนำของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้แสดงแสนยานุภาพมากขึ้น ทั้งในประเทศและภูมิภาคเอเชีย จากความพยายามที่จะเรียกร้องกรรมสิทธิ์ทางทะเลที่มีข้อพิพาทและจัดการซ้อมรบครั้งใหญ่รอบเกาะไต้หวัน นายหวัง อี้ รัฐมนตรีต่างประเทศจีน ได้เรียกร้องให้ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้หันมาร่วมมือกับจีน เพื่อช่วยกันพัฒนาภูมิภาคเอเชียตะวันออก โดยกล่าวว่า “ไม่ว่าคุณจะย้อมสีผมให้เป็นสีทอง หรือทำจมูกให้แหลมแค่ไหน คุณก็ไม่มีวันเป็นชาวตะวันตกได้”

ด้านนายราห์ม เอมานูเอล เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำญี่ปุ่น กล่าวว่า “เราได้สร้างบางอย่างที่จีนไม่อยากให้เกิดขึ้น สิ่งที่เราอยากจะบอกคือเราเป็นมหาอำนาจ และมีตัวตนในบริเวณมหาสมุทรแปซิฟิกอย่างถาวร และคุณสามารถมั่นใจในสหรัฐฯ ได้อีกนาน” นอกจากนั้นแล้ว นายเอมานูเอลยังกล่าวอีกว่า จีนควรที่จะเข้าใจว่า “เราคือมหาอำนาจที่กำลังอยู่ในขาขึ้น ขณะที่จีนกำลังอยู่ในขาลง”

ปลิดชีพ "ชาย" ขู่ฆ่า "โจ ไบเดน" แม้ไม่มี112 | Y WORLD EP.73

Y WORLD ตอนนี้จะพาคุณไปฟังเรื่องราวการ "ปกป้องผู้นำ" ของตนขั้นสุดแบบสหรัฐอเมริกา ในกรณีที่ FBI ปลิดชีพ 'ชาย’ ขู่ฆ่า 'โจ ไบเดน' แม้สหรัฐอเมริกาจะไม่มีกฎหมายมาตรา 112 แบบประเทศไทย แต่ก็ต้องยอมรับว่า หากใครมาหมิ่นหรือคิดร้ายผู้นำในประเทศของเขา โดนดีทันที เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ไปรับชมกันเลย

‘ทรัมป์’ เข้ามอบตัว หลังแพ้คดีล้มล้างผลการเลือกตั้ง ปี 2020 นับเป็น ปธน.สหรัฐฯ คนแรก ที่ถูกบันทึกภาพประวัติอาชญากรรม

(25 ส.ค. 66) นายโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐ และผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐจากพรรครีพับลิกัน เข้ามอบตัวที่รัฐจอร์เจียแล้วเมื่อวันที่ 24 ส.ค.ที่ผ่านมา ตามเวลาท้องถิ่น และสร้างประวัติศาสตร์ในฐานะอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนแรกที่ถูกบันทึกภาพเพื่อประกอบแฟ้มคดี

ทรัมป์เดินทางด้วยเครื่องบินส่วนตัวจากรัฐนิวเจอร์ซีไปยังเรือนจำที่ฟูลตันเคาน์ตี ในนครแอตแลนตา รัฐจอร์เจีย เพื่อเข้ามอบตัวในข้อหาวางแผนล้มล้างผลเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในปี 2020 โดยเขาอยู่ในเรือนจำดังกล่าวราว 20 นาที ท่ามกลางผู้สนับสนุนหลายสิบคนที่รวมตัวอยู่ด้านนอกเรือนจำ

ในบันทึกที่มีการโพสต์บนเว็บไซต์ของเรือนจำ ทรัมป์ถูกบรรยายว่าเป็นชายผิวขาว สูง 6 ฟุต 3 นิ้ว หนัก 97 กิโลกรัม ผมสีบลอนด์ ตาสีฟ้า และมีหมายเลขผู้ต้องหาคือ ‘P01135809’

ทรัมป์ได้วางเงินประกันตัว 200,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 7,000,000 บาท เพื่อให้เขาได้รับการปล่อยตัวขณะรอการพิจารณาคดี แม้ว่านี่จะเป็นข้อหาในคดีอาญาครั้งที่ 4 ที่ทรัมป์เจอในปีนี้ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ทรัมป์ถูกถ่ายภาพเพื่อประกอบการทำแฟ้มคดีอย่างเป็นทางการ

ก่อนเดินทางกลับบ้าน ทรัมป์กล่าวกับผู้สื่อข่าวที่สนามบินว่า เขามีสิทธิ์ที่จะคัดค้านผลการเลือกตั้ง เพราะเขาคิดว่ามีการโกงการเลือกตั้งเกิดขึ้น ดังนั้น เขาจึงมีสิทธิ์ทุกประการที่จะทำเช่นนั้น และมีคนจำนวนมากที่ทำแบบเดียวกัน ไม่ว่าฮิลลารี คลินตัน หรือสเตซีย์ อับรามส์ (อดีตผู้สมัครผู้ว่าการรัฐจอร์เจีย) หรือคนอื่นๆ อีกมากมาย

ทรัมป์ยังบอกด้วยว่า คดีที่มีการกล่าวหาเขาในครั้งนี้เป็นเพียงความยุติธรรมจอมปลอม ต่อมาเขาโพสต์บน X เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนมกราคม 2021 โดยนำภาพที่เขาถูกถ่ายประกอบแฟ้มคดีมาลงพร้อมระบุว่า “การแทรกแซงการเลือกตั้ง อย่ายอมแพ้!!”

ทรัมป์แย้งว่าคดีที่เขาถูกฟ้องร้องมีแรงจูงใจทางการเมือง เพราะเขาเป็นผู้นำในการแข่งขันชิงตัวแทนจากพรรครีพับลิกัน เพื่อท้าสู้กับประธานาธิบดีโจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครต ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปีหน้า

เมื่อสัปดาห์ก่อน ทรัมป์ถูกตั้งข้อหาแทรกแซงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในรัฐจอร์เจียร่วมกับจำเลย 18 คน หลังจากที่เขาพ่ายแพ้แก้ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ด้วยคะแนนเสียงน้อยกว่า 12,000 เสียงในรัฐดังกล่าว โดยผู้ต้องหาที่ได้ไปมอบตัวเพื่อถ่ายทำประวัติในรัฐจอร์เจียครั้งนี้ยังรวมถึงนายรูดี จูเลียนี อดีตนายกเทศมนตรีนครนิวยอร์ก และนายมาร์ก มีโดวส์ อดีตหัวหน้าคณะทำงานประจำทำเนียบขาว

มือปืนเหยียดเชื้อชาติ กราดยิงคนผิวดำดับ 3 รายในแจ็กสันวิลล์ สลด!! เหตุเกิดตรงกับวันครบรอบสุนทรพจน์ ‘มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์’

เมื่อวันที่ 26 ส.ค. 66 ตามเวลาท้องถิ่น มือปืนรายหนึ่งก่อเหตุกราดยิงใส่คนผิวสี 3 ราย จนเสียชีวิตในแจ็กสันวิลล์ รัฐฟลอริดา ของสหรัฐอเมริกา จากนั้นก็ฆ่าตัวตายตาม ถือเป็นเหตุสลดใจล่าสุดที่เกิดขึ้นเพราะการเหยียดเชื้อชาติในสหรัฐฯ

มือปืนถูกระบุว่าเป็นคนผิวขาว อายุ 20 ต้นๆ ได้เข้าไปในร้านดอลลาร์เจเนอรัล และเปิดฉากยิงใส่คนผิวสีจนเสียชีวิต 3 ราย ทำให้เกิดการเผชิญหน้ากับตำรวจที่เข้าระงับเหตุ แต่คนร้ายได้จบชีวิตตนเองในท้ายที่สุด

‘นายอำเภอที เค วอเตอร์ส’ กล่าวว่า ผู้เสียชีวิตเป็นชาย 2 รายและหญิง 1 ราย โดยมือปืนซึ่งยังไม่มีการเปิดเผยชื่ออย่างเป็นทางการ ใช้ปืนไรเฟิลกึ่งอัตโนมัติที่มีน้ำหนักเบา และปืนพกในการก่อเหตุ

นายอำเภอวอเตอร์สเชื่อว่า มือปืนลงมือก่อเหตุตามลำพังและมีข้อมูลระบุว่า เขาต้องการฆ่าตัวตาย โดยมือปืนรายนี้อาศัยอยู่กับพ่อแม่ของเขาในเคลย์เคาท์ตีของแจ็กสันวิลล์ โดยปืนอย่างน้อย 1 กระบอกของเขามีเครื่องหมายสวัสดิกะอยู่บนนั้น

ขณะที่ ‘ดอนนา ดีแกน’ นายกเทศมนตรีแจ็กสันวิลล์ กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นอาชญากรรมที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง ซึ่งขับเคลื่อนด้วยความเกลียดชังทางเชื้อชาติ และว่าแค่เหตุยิงเพียงครั้งเดียวก็มากเกินไป ยิ่งการกราดยิงหมู่เช่นนี้ยิ่งเป็นเรื่องเหลือที่จะรับได้

‘รอน เดอซานติส’ ผู้ว่าการรัฐฟลอริดา กล่าวว่า เหตุกราดยิงที่เกิดขึ้นถือเป็นเรื่องน่ากลัว มือปืนพุ่งเป้าไปที่คนโดยดูจากเชื้อชาติของพวกเขา ซึ่งเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้โดยสิ้นเชิง และฆ่าตัวตายแทนที่จะเผชิญหน้า และรับผิดชอบในสิ่งที่เขาได้กระทำลงไป เขาเลือกทางออกอย่างคนขี้ขลาด

ด้านทำเนียบขาวระบุว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯ ได้รับฟังการบรรยายสรุปเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าวแล้ว

เหตุกราดยิงดังกล่าวเกิดขึ้นในวันครบรอบ 60 ปีที่ ‘มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์’ ได้กล่าวสุนทรพจน์อันโด่งดัง “I have a dream” เพื่อเรียกร้องสิทธิพลเมืองให้กับคนผิวสีในสหรัฐฯ

‘ทรัมป์’ ระดมเงินทุนจากผู้สนับสนุนได้มากกว่า 248 ล้านบาท หลังแพ้คดีล้มผลการเลือกตั้ง และถูกเก็บภาพผู้ต้องหาในจอร์เจีย

(27 ส.ค. 66) หลังสร้างประวัติศาสตร์ในฐานะอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนแรกที่ถูกถ่ายภาพเพื่อทำประวัติผู้ต้องหา ที่เมืองแอตแลนตา รัฐจอร์เจีย เมื่อสัปดาห์ก่อน ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ก็ยังสามารถระดมทุน เพื่อสนับสนุนการรณรงค์หาเสียง ชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้เพิ่มเติมไม่หยุด

นับตั้งแต่มีการเผยแพร่ภาพถ่ายประกอบคำฟ้อง ที่ทรัมป์ต้องเข้าไปถ่ายในเรือนจำ เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม ตามเวลาท้องถิ่น ยอดเงินระดมทุนสนับสนุนการรณรงค์หาเสียงของทรัมป์นั้น เพิ่มขึ้นถึง 7.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 248.5 ล้านบาท

ในช่วง 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงที่มีคำฟ้องทรัมป์ในหลายกรณี ทั้งจากคดีของรัฐบาลกลางและคำฟ้องของรัฐต่างๆ ในคดีที่เกี่ยวข้องกับการกล่าวอ้างอันเป็นเท็จ เกี่ยวกับผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปี 2020

‘สตีเวน ชุง’ โฆษกทีมหาเสียงของทรัมป์ระบุว่า ทรัมป์สามารถระดมทุนได้เป็นเงินเกือบ 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือเกือบ 700 ล้านบาท

ชุงระบุว่า ในวันศุกร์ที่ 25 สิงหาคมเพียงวันเดียว มีผู้บริจาคเงินให้กับการรณรงค์หาเสียงของทรัมป์สูงถึง 4.18 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือกว่า 146 ล้านบาท ซึ่งถือว่าสูงที่สุดเท่าที่เคยได้รับบริจาคมาในวันเดียว

ขณะที่ภาพถ่ายประกอบการทำแฟ้มคดีของทรัมป์ ซึ่งมีการเผยแพร่โดยศาลของรัฐจอร์เจีย ถูกนำไปพิมพ์ลงเสื้อยืด แก้วน้ำ แก้วกาแฟ โปสเตอร์ ไปจนถึงหัวตุ๊กตาทั้งจากฝ่ายที่นิยมชมชอบและฝ่ายที่เห็นต่าง

นับจนถึงขณะนี้ ทรัมป์เผชิญกับการฟ้องร้อง 5 คดี ซึ่งรวมถึงคดีการกล้าวอ้างเป็นเท็จว่ามีการโกงการเลือกตั้ง ทำให้เขาเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ 2 คดี รวมถึงคดีที่กลุ่มผู้สนับสนุนทรัมป์บุกเข้าไปในสภาคองเกรสของสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2021 ซึ่งทรัมป์ปฏิเสธว่าเขาไม่ได้ทำผิดตามที่ถูกกล่าวหา และย้ำว่าคดีทั้งหมดมีแรงจูงใจทางการเมืองอยู่เบื้องหลัง

‘โฆษกสภาความมั่นคง สหรัฐฯ’ ขู่คว่ำบาตรเกาหลีเหนือ หลัง ‘ผู้นำคิม’ จ่อพบ ‘ปูติน’ หารือหนุนอาวุธสู้ศึกยูเครน

(5 ก.ย. 66) สื่อสหรัฐฯ รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า ‘นายคิม จอง อึน’ ผู้นำเกาหลีเหนือ มีแผนที่จะเดินทางเยือนรัสเซียในเดือนกันยายนนี้ เพื่อพบหารือกับประธานาธิบดี ‘วลาดิมีร์ ปูติน’ ของรัสเซีย เกี่ยวกับความเป็นไปได้ ที่เกาหลีเหนือจะจัดหาอาวุธให้รัสเซีย เพื่อสนับสนุนการทำสงครามในยูเครน

อย่างไรก็ดี บีบีซีระบุว่า ยังไม่มีการแสดงความเห็นใดๆ เกี่ยวกับรายงานข่าวดังกล่าว และสถานที่ของการพบกันที่แน่นอนก็ยังคงไม่มีความชัดเจนเช่นกัน แต่นิวยอร์กไทม์สรายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า มีแนวโน้มสูงมากที่สุดที่ผู้นำคิมจะเดินทางด้วยรถไฟหุ้มเกราะ

นายจอห์น เคอร์บี โฆษกสภาความมั่นคงแห่งชาติประจำทำเนียบขาว กล่าวว่า นายเซอร์เก ซอยกู รัฐมนตรีกลาโหมรัสเซีย พยายามที่จะโน้มน้าวให้เกาหลีเหนือขายกระสุนปืนใหญ่ให้กับรัสเซีย ระหว่างที่เขาเดินทางเยือนเกาหลีเหนือครั้งล่าสุด

นายซอยกูซึ่งถือเป็นผู้แทนต่างชาติคนแรกที่นายคิม จอง อึน ให้การรับรองนับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 เพื่อเข้าชมการจัดงานแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์ของเกาหลเหนือ ซึ่งรวมถึงขีปนาวุธฮวาซอง ซึ่งเชื่อว่าเป็นขีปนาวุธพิสัยไกลข้ามทวปตัวแรกของเกาหลีเหนือ ที่ขับเคลื่อนโดยใช้เชื้อเพลิงแข็ง

เคอร์บีกล่าวว่า นับตั้งแต่การเยือนของซอยกู ผู้นำคิมและปูตินได้แลกเปี่ยนจดหมายกัน เพื่อให้คำมั่นที่จะเพิ่มความร่วมมือระหว่างสองประเทศ

“เราขอเรียกร้องให้เกาหลีเหนือยุติการเจรจาด้านอาวุธกับรัสเซีย และปฏิบัติตามคำมั่นสัญญานที่เคยประกาศไว้ว่าจะไม่จัดหาหรือขายอาวุธให้กับรัสเซีย” นายเคอร์บีกล่าว และเตือนว่า สหรัฐฯ จะดำเนินการต่างๆ ซึ่งรวมถึงการคว่ำบาตร หากเกาหลีเหนือจัดหาอาวุธให้กับรัสเซียด้วย

ขณะเดียวกันก็มีความกังวลทั้งในสหรัฐฯ และเกาหลีใต้เกี่ยวกับสิ่งตอบแทนที่เกาหลีเหนือจะได้รับจากข้อตกลงดังกล่าว ซึ่งอาจส่งผลให้มีการเพิ่มความร่วมมือทางทหารระหว่างเกาหลีเหนือและรัสเซียมากขึ้น

ความกลัวอีกประการหนึ่งคือรัสเซียจะสามารถจัดหาอาวุธให้กับเกาหลีเหนือได้ในอนาคต ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เกาหลีเหนือต้องการอาวุธเหล่านี้มากที่สุด และที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือ ‘คิม จอง อึน’ อาจขอให้ปูตินจัดหาเทคโนโลยีหรือความรู้เกี่ยวกับอาวุธ ที่มีความก้าวหน้าสูงให้กับเกาหลีเหนือ เพื่อที่จะได้มีพัฒนาการสำคัญในโครงการอาวุธนิวเคลียร์

นิวยอร์กไทม์สรายงานว่า การพบกันระหว่างผู้นำทั้งสองอาจเกิดขึ้นที่เมืองวลาดิวอสต็อก ริมชายฝั่งทะเลทางตะวันออกของรัสเซีย โดยมีรายงานว่าเมื่อปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านา เจ้าหน้าที่ของเกาหลีเหนือได้เดินทางไปยังวลาดิวอสต็อกและมอสโก ซึ่งรวมถึงเจ้าหน้าที่รักษาความปลอภัยที่ดูแลเกี่ยวกับการเดินทางของผู้นำเกาหลีเหนือ จึงเป็นสัญญานที่ชัดเจนถึงการเตรียมการในเรื่องดังกล่าว

ก่อนหน้านี้ เกาหลีเหนือและรัสเซียเคยออกมาปฏิเสธอย่างชัดเจนว่า เปียงยางไม่ได้จัดหาอาวุธให้กับรัสเซียเพื่อใช้ในสงครามยูเครน

‘Marianne Williamson’ หญิงแกร่งแห่งพรรค Democratic ผู้ท้าชิงเก้าอี้ประธานาธิบดี ที่วาดฝันจะสามารถเปลี่ยนสหรัฐฯ ได้

โลกใบนี้จะเปลี่ยนไป… หากในปี ค.ศ. 2024 ‘Marianne Williamson’
ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีหญิงคนแรกของสหรัฐอเมริกา

ปัจจุบันทุกวันนี้ คงปฏิเสธไม่ได้ว่า สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่มีบทบาทมากที่สุดบนโลกใบนี้ นับเนื่องมายาวนานตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 คือ บทบาทการเป็นผู้นำโลกเสรี แม้กระทั่งประเทศผู้นำของคอมมิวนิสต์ขั้วตรงข้ามอันได้แก่ ‘สหภาพโซเวียต’ จะถึงกาลอวสานล่มสลายไปแล้วก็ตาม แต่สหรัฐอเมริกายังคงอยู่ในบทบาทนี้มาโดยตลอดจนทุกวันนี้

ตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นทั้งผู้นำรัฐบาลและประมุขแห่งรัฐนั้นเป็นตำแหน่งที่มาจากการเลือกตั้งทางอ้อมของชาวอเมริกันผ่านคณะผู้เลือกตั้ง (Electoral College) ทุก 4 ปี และมีวาระในการดำรงตำแหน่งได้ไม่เกิน 2 สมัย ปีหน้า ค.ศ. 2024 จะเป็นปีที่ Joe Biden ประธานาธิบดีสหรัฐฯคนปัจจุบันดำรงตำแหน่งครับ 4 ปีในวาระแรก ซึ่งโดยปกติแล้วประธานาธิบดีในตำแหน่งมักจะเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีในสมัยที่ 2 โดยอัตโนมัติ ถ้าไม่มีคู่แข่งขันหรือผู้ท้าชิงภายในพรรค เว้นแต่จะวางมือทางการเมืองเอง

แต่สำหรับการเลือกตั้งปี ค.ศ. 2024 ปรากฏว่า ภายในพรรค Democratic มีผู้เข้าท้าชิงเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีอีก 2 คน คนแรกคือ ‘Robert F. Kennedy Jr.’ หรือ ‘RFK Jr. วัย 69 ปี จากตระกูลคหบดีและนักการเมืองเก่าแก่ Kennedy ซึ่งเขาเป็นบุตรชายของ ‘Robert Kennedy’ ผู้เป็นน้องชายของประธานาธิบดี Kennedy วุฒิสมาชิกแห่งมลรัฐ Massachusetts และดำรงตำแหน่งรัฐมนตรียุติธรรมในรัฐบาลของพี่ชาย Robert Kennedy ผู้ที่ถูกลอบยิงจนเสียชีวิต ขณะรณรงค์หาเสียง เพื่อชิงตำแหน่งผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีของพรรค Democratic สำหรับ Robert F. Kennedy Jr. ผู้เป็นลูก ซึ่งจะเป็นผู้เข้าท้าชิงผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีของพรรค Democratic ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปี ค.ศ. 2024 เป็นทนายความด้านสิ่งแวดล้อม นักเขียน และนักเคลื่อนไหวต่อต้านวัคซีน mRna

และคนต่อมา ซึ่งคือผู้ที่เราจะได้นำเรื่องราวและแนวคิดของเธอมาบอกเล่าคือ ‘Marianne Deborah Williamson’ (เกิด 8 กรกฎาคม ค.ศ. 1952) วัย 71 ปี เธอเกิดที่เมือง Houston รัฐ Texas เป็นลูกคนสุดท้องในบรรดาลูกทั้ง 3 คนของ ‘Samuel Sam Williamson’ ทหารผ่านศึกในสงครามโลกครั้งที่ 2 และทนายความด้านการย้ายถิ่นฐาน และ ‘Sophie Ann Kaplan’ แม่บ้านและอาสาสมัครในชุมชน Peter พี่ชายของเธอเป็นทนายความด้านการย้ายถิ่นฐานเหมือนกับบิดาของเขา พี่สาวผู้ล่วงลับของเธอ ‘Elizabeth Jane’ เป็นคุณครู บิดาของเธอและปู่ย่าตายายของเธอเป็นผู้อพยพชาวยิว-รัสเซีย ปู่ของเธอเปลี่ยนนามสกุลจาก ‘Vishnevetsky’ เป็น ‘Williamson’ หลังจากเห็นป้ายโฆษณา ‘บริษัท Alan Williamson จำกัด’ บนรถไฟ เธอได้รับการเลี้ยงดูมาในครอบครัวชนชั้นกลางที่นับถือศาสนายิวแบบอนุรักษ์นิยม จึงได้เรียนรู้เกี่ยวกับศาสนาของโลก และความยุติธรรมทางสังคมจากครอบครัว Williamson บรรยายตัวเองว่าเป็น ‘สาวยิว’ ในการให้สัมภาษณ์ในปี ค.ศ. 2022 เธอเริ่มสนใจในการสนับสนุนและเข้าร่วมในเรื่องราวสาธารณะต่าง ๆ เมื่อเธอเห็น ‘Rabbi’ นักบวชในศาสนายิวของเธอ กล่าวต่อต้านสงครามเวียดนาม และทำให้เธอมีแนวคิดแบบเสรีนิยมมาจนทุกวันนี้

เธอผ่านพ้นเรื่องราวต่าง ๆ มากมาย เธอมีชีวิตแต่งงานช่วงสั้น ๆ ในปี ค.ศ. 1979 กับนักธุรกิจชาว Houston เธอบอกว่า การแต่งงานของเธอใช้เวลาเพียง ‘นาทีครึ่ง’ เท่านั้น ในปี ค.ศ. 1990 เธอให้กำเนิดลูกสาวชื่อ ‘India Emmaline’ และมีหลานยายหนึ่งคน ในปี ค.ศ. 2012 การสำรวจความคิดเห็นของ Newsweek เสนอให้เธอเป็นหนึ่งใน ‘50 baby boomers’ (ผู้ที่เกิดในยุค baby boom) ที่มีอิทธิพลมากที่สุด

‘Marianne Williamson’ เป็นนักเขียน เธอแต่งหนังสือ 14 เล่ม ส่วนใหญ่เกี่ยวเรื่องของจิตวิญญาณ รวมถึงบทภาพยนตร์ ‘Advice, How To and Miscellaneous’ หนังสือที่เธอแต่ง 7 เล่ม อยู่รายชื่อหนังสือขายดีของ ‘The New York Times’ โดย 4 เล่มที่เปิดตัวมียอดขายสูงสุด ในปี ค.ศ. 1998 เธอเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง ‘Peace Alliance’ องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรที่ตั้งอยู่ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งทำงานเกี่ยวกับการสร้างสันติภาพทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ และยังเป็นผู้ก่อตั้ง ‘Project Angel Meal’ องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรในปี ค.ศ. 1989 ซึ่งให้บริการอาหารฟรี สำหรับผู้ที่ป่วยเกินกว่าจะซื้อของและปรุงอาหารเองได้ โดยให้บริการในพื้นที่ส่วนใหญ่ของเทศมณฑล Los Angeles กับ Los Angeles ตอนใต้ และนคร Los Angeles เป็นพื้นที่ให้บริการที่ใหญ่ที่สุด 2 แห่งขององค์กรนี้ ในปี ค.ศ. 2017 ผู้รับบริการคือ ชาวอเมริกันเชื้อสายฮิสแปนิกและลาติโน 39% ชาวแอฟริกันอเมริกัน 29% คนขาว 21% และเชื้อชาติอื่น ๆ อีก 11%

เธอไปออกรายการ ‘The Oprah Winfrey Show’ หลายครั้ง จนกลายเป็นที่ปรึกษาด้านจิตวิญญาณของ ‘Oprah Winfrey’ ด้วย เธอเคยสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ (ผู้สมัครอิสระ) เขตรัฐสภาที่ 33 ของมลรัฐ California ในปี ค.ศ. 2014 แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ เธอสมัครเป็นสมาชิกพรรค Democratic ในปี ค.ศ. 2019 และลงสมัครชิงตำแหน่งผู้สมัครประธานาธิบดีของพรรค Democratic ในปี ค.ศ. 2020 ในที่สุดก็ถอนตัว และหันไปสนับสนุน ‘Bernie Sanders’ แทน แต่ก็พ่ายให้กับ Joe Biden ผู้ซึ่งชนะการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐฯ คนปัจจุบัน และครั้งนี้เธอลงสมัครชิงตำแหน่งตัวแทนผู้สมัครประธานาธิบดีของพรรค Democratic สำหรับการเลือกตั้งประธานาธิบดี ปี ค.ศ. 2024 ในเวทีรณรงค์หาเสียง ในตำแหน่งผู้แทนพรรคเพื่อเป็นผู้สมัครประธานาธิบดี Williamson เรียกร้องให้เพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำ การจ่ายค่าชดเชยสำหรับความอยุติธรรมทางเชื้อชาติ การจัดการกับสภาพภูมิอากาศที่มีการเปลี่ยนแปลง และการจัดตั้งกระทรวงสันติภาพแห่งสหรัฐอเมริกา

การรณรงค์ชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ค.ศ. 2024 วันที่ 23 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2023 เธอยืนยันว่า เธอจะเปิดตัวลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีใน ปี ค.ศ. 2024 เธอเริ่มการรณรงค์หาเสียงในวันที่ 4 มีนาคม ค.ศ. 2023 โดยมีนโยบายในด้านต่าง ๆ ดังนี้

- สิทธิในการทำแท้ง เธอสนับสนุนการเข้าถึง การทำแท้ง การบริการ และทางเลือกต่าง ๆ เธอได้พูดสนับสนุนสิทธิในการทำแท้ง ที่ได้รับการประกันภายใต้การคว่ำบาตรในขณะนี้ ตามคำตัดสินของศาลสูงสหรัฐฯ ในปี ค.ศ. 1973 (Roe v. Wade)

- การชดเชยสำหรับชาวอเมริกันผิวสี เธอสนับสนุนการจัดสรรเงินค่าชดเชยผู้ที่เคยเป็นทาส หรือลูกหลานทายาท มูลค่า 200-500 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งกระจายไปตลอด 20 ปี สำหรับ ‘โครงการทางเศรษฐกิจและการศึกษา’ โดยจะจ่ายตามคำแนะนำของกลุ่มผู้นำผิวสีที่ได้รับเลือก

- การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและพลังงาน เธอถือว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็น ‘ความท้าทายทางศีลธรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคปัจจุบัน’ เธอสนับสนุนข้อตกลงใหม่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และกลับเข้าสู่ข้อตกลงปารีส ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอีกครั้งโดยทันที และระบุว่า เธอยินดีที่จะสนับสนุนความร่วมมือภาคพื้นแปซิฟิก หากมีการรวมการคุ้มครองคนงานและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และเธอยังสนับสนุนการอุดหนุนโดยตรงของสหรัฐฯ จากเชื้อเพลิงฟอสซิล รวมถึงถ่านหิน และลงทุนใหม่ในการพัฒนาพลังงานหมุนเวียน ทั้งในสหรัฐอเมริกาและต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศกำลังพัฒนา

- การควบคุมอาวุธปืน เธอสนับสนุนการควบคุมอาวุธปืน โดยอธิบายว่า ปัญหานี้เป็นเรื่องส่วนตัวสำหรับเธอ เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน ค.ศ. 2018 เธอได้กล่าวปาฐกถาสำคัญแก่สตรีมุสลิมและชาวยิวหลายร้อยคน ที่การประชุม Sisterhood of Salaam-Shalom ในเมือง Doylestown มลรัฐ Pennsylvania แปดวันหลังจากชาวยิว 11 คนถูกสังหารที่โบสถ์ยิว ‘Tree of Life’ ในเมือง Pittsburgh เธอคัดค้านความกลัวที่ว่า ‘เรื่องนี้จะถูกใช้เป็นพลังทางการเมือง’ และสนับสนุนการทดแทนด้วยการมอบความรักต่อกัน

- การดูแลสุขภาพและการฉีดวัคซีน เธอสนับสนุนการดูแลสุขภาพถ้วนหน้าภายใต้ ‘แผน Medicare for All’ และสนับสนุนกฎระเบียบที่เป็นอิสระของอุตสาหกรรมยา เพื่อป้องกันสิ่งที่เธอเรียกว่า ‘การปฏิบัติแบบน่าล่า’

- การย้ายถิ่นฐาน เธอไม่สนับสนุนการเปิดพรมแดน แต่เรียกร้องให้สิ่งที่เธออธิบายว่า เป็นแนวทางที่มีมนุษยธรรมมากขึ้นต่อนโยบายเรื่องพรมแดน ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2019 เธอวิพากษ์วิจารณ์ประธานาธิบดี ‘Donald Trump’ ในขณะนั้น เกี่ยวกับนโยบายการเข้าเมืองของเขา หลังจากมีรายงานว่า เด็กถูกแยกออกจากครอบครัวและถูกส่งตัวเข้าศูนย์กักกัน เธอเรียกการกระทำเหล่านี้ว่า ‘อาชญากรรมที่รัฐสนับสนุน’ หลังจาก Trump ประกาศว่า “ICE จะเริ่มการส่งผู้อพยพจำนวนมากกลับประเทศ” เธอกล่าวว่า “ไม่แตกต่างกับสิ่งที่ชาวยิวเผชิญกับนาซีเยอรมนีในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2” นอกจากนั้น เธอยังสนับสนุนการดำเนินการรอการตัดบัญชีสำหรับการมาถึงในวัยเด็ก (DACA) และขยายการคุ้มครองและการแปลงสัญชาติให้กับผู้อพยพที่ไม่มีเอกสาร ซึ่งถูกนำตัวมายังสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก โดยไม่คำนึงถึงอายุปัจจุบันของพวกเขา

- ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและความมั่นคงของชาติ เธอสนับสนุนการจัดตั้งกระทรวงสันติภาพของสหรัฐอเมริกา เพื่อช่วยในการออกแบบที่เธอเสนอใหม่ ซึ่งรวมถึงแผนการจัดตั้งสถาบันสันติภาพ ซึ่งจำลองมาจากสถาบันการทหาร แต่ยังคงสนับสนุนการมีส่วนร่วมทางทหาร เมื่อชาติพันธมิตร NATO ถูกคุกคาม เมื่อสหรัฐอเมริกาตกอยู่ภายใต้การคุกคามของการโจมตี หรือ ‘เมื่อระเบียบด้านมนุษยธรรมของโลกตกอยู่ในความเสี่ยง’ เธอสนับสนุนการถอนทหารสหรัฐฯ ทั้งหมดออกจากอัฟกานิสถานอย่างปลอดภัยโดยเร็วที่สุด และจะพิจารณาใช้กองกำลังรักษาสันติภาพของสหประชาชาติดำเนินการแทน เธอกล่าวว่า “สหรัฐฯ มีฐานทัพในต่างประเทศมากถึง 750 แห่ง หากสามารถลดทอนงบประมาณด้านการทหารลงได้ จะสามารถนำไปใช้ดำเนินการโครงต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ได้อีกมาก”

- เธอสนับสนุนสหรัฐฯ อย่างจริงจัง โดยใช้จุดยืนของตน เช่น ผ่าน CFIUS : The Committee on Foreign Investment in the United States (คณะกรรมการร่วมของหน่วยงานที่มีอำนาจตรวจสอบธุรกรรมบางอย่าง ที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนจากต่างประเทศในสหรัฐอเมริกา และธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์บางอย่างโดยบุคคลต่างชาติ เพื่อพิจารณาผลกระทบของธุรกรรมดังกล่าวต่อความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา) เพื่อป้องกันไม่ให้จีนซื้อบริษัทที่มีความสำคัญเชิงกลยุทธ์ ซึ่งเธอเชื่อว่าจะช่วยปกป้องเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ผลประโยชน์ และสิทธิมนุษยชน เช่นเดียวกับในกรณีของชาวอุยกูร์และผู้อยู่อาศัยในฮ่องกง เธอสนับสนุนการกลับเข้าร่วมแผนปฏิบัติการร่วมฉบับสมบูรณ์ (JCPOA : Joint Comprehensive Plan of Action) ซึ่งเป็นความตกลงระหว่างประเทศต่อโครงการนิวเคลียร์อิหร่าน ซึ่งบรรลุในกรุงเวียนนา เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม ค.ศ. 2015 ระหว่างประเทศอิหร่านกับ P5+1 (สมาชิกถาวรคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ 5 ประเทศ ได้แก่ ประเทศจีน, ฝรั่งเศส, รัสเซีย, สหราชอาณาจักร, สหรัฐอเมริกาบวกเยอรมนี) และสหภาพยุโรปอีกครั้ง และวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลของประธานาธิบดี Trump ที่ยกระดับความตึงเครียดกับอิหร่าน เธอสนับสนุนการแก้ปัญหา 2 รัฐ ต่อความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล–ปาเลสไตน์

- ชุมชน LGBTQ เธอสนับสนุนรัฐบัญญัติความเท่าเทียมกัน

- ค่าแรงขั้นต่ำ เธอสนับสนุนการเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำของรัฐบาลกลางเป็น 15 ดอลลาร์ต่อชั่วโมง

เห็นได้อย่างชัดเจนว่า นโยบายของ Marianne Williamson ค่อนข้างจะมีทัศนคติเชิงบวกต่อความสงบสุขและสิ่งแวดล้อมของโลก แต่จากสรุปผลสำรวจเปรียบเทียบระหว่างผู้เข้าท้าชิงเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีของพรรค Democratic ทั้ง 3 คนแล้ว เธอมาเป็นอันดับ 3 ท้ายสุด ห่างจาก Joe Biden ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนปัจจุบัน ซึ่งเป็นผู้นำในทุก Poll มาก ส่วน Robert F. Kennedy Jr. ตามมาเป็นอันดับ 2 แต่ก็ถูกประธานาธิบดี Biden นำชนิดทิ้งกันไม่เห็นฝุ่นเลยทีเดียว

ส่วน Marianne Williamson เธอมีคะแนนที่เลือกเพียงครึ่งเดียวของ Robert F. Kennedy Jr. เท่านั้น จึงเป็นการยากมาก ๆ ที่เธอจะมีโอกาสได้รับเลือกเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีของพรรค Democratic เพื่อไปชิงชัยในตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ กับผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีของพรรค Republican กอปรกับคณะกรรมการระดับชาติของพรรค Democratic ได้แสดงการสนับสนุนประธานาธิบดี Biden อย่างเต็มที่แล้ว

และ ณ เดือนมีนาคม ค.ศ. 2023 คณะกรรมการระดับชาติของพรรค Democratic ก็ยังไม่มีแผนที่จะจัดเวที debate เบื้องต้น ของผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีของพรรคอย่างเป็นทางการใด ๆ ซึ่ง Marianne Williamson ได้วิพากษ์วิจารณ์การตัดสินใจครั้งนี้ว่าเป็น ‘แผนการที่มีการเตรียมการเอาไว้แล้ว’ และ ‘เป็นกระบวนการกีดกันผู้สมัครรายอื่น’ ด้วยแนวคิดและนโยบายของเธอ แม้ว่าจะเป็นมิตรกับความสงบสุขและสิ่งแวดล้อมของโลก แต่นโยบายเช่นนี้ก็เป็นภัยคุกคามต่อผลประโยชน์ของบรรดากลุ่มทุนการเมืองต่าง ๆ ของสหรัฐฯ เธอจึงไม่น่าที่จะมีโอกาสได้รับเลือกเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีของพรรค Democratic เลยแม้แต่น้อย

‘สว.มะกัน’ เล่นเกมแรง ยื่นญัตติถอดถอน ‘โจ ไบเดน’ ขยี้ปมคอร์รัปชันผ่านลูกชาย แม้ไร้ผล แต่เชื่อแต้มหด

พอใกล้เข้าสู่บรรยากาศการหาเสียงเลือกตั้งใหญ่ในสหรัฐอเมริกา เกมการเมืองยิ่งเพิ่มระดับความเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ล่าสุดวันนี้ ‘เควิน แมคคาร์ธีย์’ วุฒิสมาชิกจากพรรคฝ่ายค้าน รีพับลิกัน ได้ยื่นประเด็นกล่าวหา ‘โจ ไบเดน’ ผู้นำสหรัฐฯ คนปัจจุบันจากพรรคเดโมแครต ว่าพัวพันการทุจริต คอร์รัปชัน รับสินบนจากบริษัทข้ามชาติ เพื่อนำไปสู่การพิจารณาถอดถอน โจ ไบเดน พ้นจากตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ

โดยวุฒิสมาชิก แมคคาร์ธีย์ อ้างว่าต้องการเปิดโปงรูปแบบ ‘วัฒนธรรมการคอร์รัปชัน’ ของครอบครัวไบเดน ที่มีมานานตั้งแต่เมื่อโจ ไบเดน ยังดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดีในสมัย ‘บารัค โอบามา’ ซึ่งข้อกล่าวหาส่วนใหญ่ที่หยิบยกมาล้วนเกี่ยวพันกับธุรกิจครอบครัวไบเดน โดยเฉพาะ ‘ฮันเตอร์ ไบเดน’ บุตรชายของ โจ ไบเดน ที่ใช้ชื่อเสียงของพ่อเป็นใบเบิกทางสู่ผลประโยชน์ด้านธุรกิจของตนเองหลายล้านเหรียญในช่วงหลายปีที่ผ่านมา 

สื่อต่างชาติได้รวบรวมประเด็นที่ฝ่ายรีพับลิกันหยิบยกขึ้นมากล่าวหาโจ ไบเดน และครอบครัวไว้ดังนี้ 

1.) โจ ไบเดน ใช้ตำแหน่งหน้าที่เอื้อผลประโยชน์ให้ลูกชาย - ฮันเตอร์ ไบเดน ตั้งแต่สมัยเป็นรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ

ประเด็นนี้ ‘เจมส์ โคเมอร์’ สมาชิกพรรครีพับลิกันจากรัฐเคนทัคกี เคยตั้งข้อสงสัยเรื่องการพบปะสังสรรค์ของโจ ไบเดน กับกลุ่มทุนผู้มีอิทธิพลทางการเมืองในยุโรปตะวันออกจำนวนมากในช่วงที่ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพื่อกรุยทางให้ลูกชายและ หนึ่งในบริษัทที่ถูกตั้งข้อสงสัยคือ Burisma บริษัทกลุ่มทุนพลังงานยักษ์ใหญ่ของยูเครนที่ ฮันเตอร์ ไบเดน ได้เข้าไปนั่งในตำแหน่งบอร์ดผู้บริหาร และได้รับค่าตอบแทนสูงว่า 10 ล้านเหรียญต่อปี และนำไปสู่ข้อกล่าวหาต่อมาคือ

2.) โจ ไบเดน และ บุตรชาย รับเงินสินบนจากกลุ่มทุนต่างชาติ 

โดยพรรคฝ่ายค้านเคยยื่นหลักฐานว่า ‘มิโคลา สโลเชฟสกี’ อดีตผู้บริหารระดับสูงของ Burisma เคยจ่ายเงินให้กับทั้ง โจ และ ฮันเตอร์ ไบเดน กว่า 5 ล้านเหรียญ แต่ต่อมาเขากลับคำให้การว่าไม่รู้ ไม่เห็นการจ่ายเงินดังกล่าว และนอกเหนือจาก Burisma แล้ว ยังมีข้อกล่าวหาอีกด้วยว่าครอบครัวไบเดนเคยรับเงินจากแหล่งทุนอิทธิพลต่างชาติ ทั้งจีน รัสเซีย คาซัคสถาน และโรมาเนีย กว่า 20 ล้านเหรียญมาแล้ว แต่โจ ไบเดน ได้ออกมาปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา 

3.) โจ ไบเดน จงใจปกปิดธุรกิจของลูกชาย ที่อาจพัวพันกับการรับเงินสินบน และฟอกเงินไปต่างประเทศ 

ซึ่งพบหลักฐานการโอนเงินราว 1.4 แสนเหรียญ จากนายทุนชาวคาซัคสถานไปเข้าบัญชีบริษัทเปลือกหอย (บริษัทที่จดทะเบียนแต่ในนาม ในต่างประเทศที่ให้สิทธิประโยชน์ด้านภาษี) ของ ฮันเตอร์ ไบเดน ที่ถูกนำไปซื้อรถหรูส่วนตัวในเวลาต่อมา รวมถึงความเชื่อมโยงระหว่างธุรกิจของครอบครัวไบเดน กับกลุ่มนายทุนใหญ่รัสเซีย และยูเครน 

4.) ครอบครัวไบเดนได้รับ ‘การดูแลเป็นพิเศษ’ เหนือนักการเมืองคนอื่นจากเจ้าหน้าที่รัฐ

โดยพรรครีพับลิกัน ตั้งข้อสังเกตว่า ข้อกล่าวหาครอบครัวไบเดนไปพัวพัน มักไม่ค่อยถูกยกขึ้นมาเป็นคดี หรือถ้าถึงขั้นเป็นคดีความขึ้นศาล ก็มักถูกตัดจบลงอย่างง่ายดายเพราะหลักฐานไม่เพียงพอ ที่อาจบ่งชี้ว่า โจ ไบเดน ใช้อำนาจในตำแหน่งกดดันการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐได้เหมือนกัน

เมื่อรวบรวมประเด็นได้ตามนี้ ฝ่ายรีพับลิกันจึงเล่นเกมแรง ยื่นประเด็นถอดถอน โจ ไบเดน จากตำแหน่งด้วยข้อหาคอร์รัปชัน ใช้อำนาจ หน้าที่ เอื้อผลประโยชน์ให้ธุรกิจครอบครัว และรับสินบน แม้ข้อกล่าวหาส่วนใหญ่จะเคยถูกพิจารณา และตีตกไปแล้วเพราะ ‘หลักฐานไม่เพียงพอ’

แต่ทั้งนี้ ฝ่ายรีพับลิกันเองก็ไม่ได้คาดหวังว่าการเสนอญัตติในการถอดถอนโจ ไบเดน ว่าจะสามารถทำให้ไบเดน หลุดจากตำแหน่งได้ แต่ทำเพื่อหวังผลในการสร้างกระแสการรับรู้ต่อสาธารณชน คนอเมริกันทั่วไป จากการอภิปรายรายละเอียดข้อกล่าวหาจากทีมรีพับลิกัน และการนำเสนอหลักฐานผ่านสื่ออย่างต่อเนื่อง

เนื่องจาก โจ ไบเดน ประกาศลงชิงตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ ต่ออีกสมัยในการเลือกตั้งครั้งต่อไปในปี 2024 ซึ่งการจิกไม่ปล่อย และทำให้คดีอยู่ในกระแสเรื่อยๆ ย่อมมีผลต่อคะแนนความนิยมของไบเดนได้เช่นกัน

ดังเช่น โพลสำรวจความเห็นชาวอเมริกันล่าสุด พบว่า 42% ของกลุ่มตัวอย่างเชื่อว่าโจ ไบเดน มีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกิจของลูกชายจริง และเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายด้วย 18% คิดว่า โจ ไบเดน ทำผิดจริยธรรมทางการเมือง ในขณะที่ 38% ยังมั่นใจในความบริสุทธิ์ของโจ ไบเดน

เชื่อว่าหลังจากนี้ การขุดหลักฐานโจมตีผู้สมัครชิงตำแหน่งผู้นำสหรัฐจากทั้ง 2 พรรค จะยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่ง โจ ไบเดน นอกจากจะมีชนักติดหลังเรื่องข่าวอื้อฉาวของลูกชาย ฮันเตอร์ ไบเดน แล้ว ยังมีประเด็นเรื่องสุขภาพ ที่มักโดนโจมตีเสมอว่า เขายังจะฟิตในตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ ต่อในสมัยที่ 2 อีกหรือไม่ แม้เขาจะยืนยันหนักแน่นว่ายังไหวในวัย 80 ปีก็ตาม

เรื่อง : ยีนส์ อรุณรัตน์

‘ซีเรีย’ ร้อง!! UN จัดการ ‘สหรัฐฯ’ ให้จ่ายเงินชดเชยค่าเสียหาย หลังใช้สงครามบังหน้า ก่อนเข้ายึดครองดินแดน-ขโมยน้ำมัน

(14 ก.ย. 66) ‘ซีเรีย’ เรียกร้องสหประชาชาติ ให้ดำเนินการเอาผิดกับสหรัฐฯ ต่อกรณียึดครองดินแดนบางส่วนของซีเรีย เช่นเดียวกับลอบสกัดทรัพยากรทางธรรมชาติในพื้นที่เหล่านั้นอย่างผิดกฎหมาย ตามรายงานของสำนักข่าวซานา สื่อมวลชนแห่งรัฐเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา

นอกจากนี้แล้ว ดามัสกัส ยังเรียกร้องขอเงินชดเชยจากวอชิงตัน สำหรับสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า เป็นการปล้นน้ำมันและก๊าซธรรมชาติของประเทศ

ในรายงานชิ้นหนึ่งที่เผยแพร่เมื่อวันอาทิตย์ (10 ก.ย.) สำนักข่าวซานา อ้างอิงหนังสือของกระทรวงการต่างประเทศของซีเรีย ที่ส่งถึง ‘อันโตนิโอ กูเตอร์เรส’ เลขาธิการใหญ่แห่งสหประชาชาติ เช่นเดียวกับ แอลเบเนีย ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานหมุนเวียนคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติประจำเดือนกันยายน

โดยในหนังสือดังกล่าว เรียกร้องให้องค์กรระหว่างประเทศแห่งนี้หยุดสหรัฐฯ จากการละเมิดกฎหมายสากลและกฎบัตรสหประชาชาติ ด้วยการประจำการทหารอย่างผิดกฎหมาย ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศ

กระทรวงการต่างประเทศของซีเรีย อ้างอีกว่า นอกจากนี้แล้ว วอชิงตันและกลุ่มติดอาวุธพันธมิตร ยังกระทำผิดด้วยการฉกชิงทรัพยากรทางยุทธศาสตร์ และความมั่งคั่งของประเทศอีกด้วย

ในหนังสือดังกล่าวได้ประเมินความเสียหายทั้งทางตรงและทางอ้อม ที่เกิดขึ้นกับภาคอุตสาหกรรมน้ำมันและเหมืองที่มั่งคั่งของซีเรีย จากฝีมือของกองทัพสหรัฐฯ นับตั้งแต่ปี 2011 จนถึง 2023 อยู่ที่ประมาณ 115,200 ล้านดอลลาร์

โดยในหนังสือได้ปิดท้าย เรียกร้องให้ลงโทษพวกเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ สำหรับการขโมยและบอกว่ารัฐบาลอเมริกาจำเป็นต้องจ่ายชดเชยแทนคนเหล่านี้ นอกจากนี้แล้ว พวกเขายังเรียกร้องให้ถอนบุคลากรทางทหารของอเมริกาทุกรายออกจากซีเรีย พร้อมกับคืนบ่อน้ำมันและก๊าซธรรมชาติทั้งหมด กลับคืนสู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลซีเรีย

เมื่อช่วงปลายเดือนที่แล้ว พลเอกมาร์ค มิลลีย์ ประธานคณะเสนาธิการร่วมแห่งกองทัพสหรัฐฯ คาดการณ์ว่า ทหารอเมริกาจะยังคงประจำการในประเทศแห่งนี้ต่อไปอีกในอนาคตอันใกล้ โดยเน้นว่า วอชิงตันจะไม่มีวันเดินหนีออกจากตะวันออกกลาง อ้างถึงอันตรายจากพวนักรบรัฐอิสลาม (ไอเอส) ในภูมิภาค นอกจากนี้ เขายังยอมรับว่าน้ำมันเป็นหนึ่งในเหตุผลหลักที่อเมริกาจะไม่ถอนตัวจากภูมิภาคนี้

‘ซีเรีย’ ดำดิ่งสู่ความขัดแย้งในปี 2011 เมื่อกลุ่มฝ่านค้านลุกฮือต่อต้านรัฐบาลของประธานาธิบดีบาชาร์ อัล อัสซาด จากนั้นในปี 2015 อัสซาดเผชิญกองทัพรัสเซียเข้าช่วยเหลือกองกำลังของพวกเขาในการสู้รบกับกลุ่มไอเอส ในขณะที่สหรัฐฯ เปิดปฏิบัติการทางทหารของตนเองหนึ่งปีก่อนหน้านั้น ทว่าไม่ได้เป็นการเชิญจาก อัสซาด แต่อย่างใด

เมื่อการให้ ‘ทิป’ กลายเป็นเรื่องลำบากใจของชาวเกาหลีใต้ จนลูกค้าแห่เลี่ยงใช้บริการ ส่อฉุดยอดขายร่วง-ธุรกิจดิ่ง

‘ค่าทิป’ เรื่องลำบากใจชาวเกาหลีใต้ ผู้บริโภคแห่เลี่ยงใช้บริการ การทำให้วัฒนธรรมให้ทิปกลายเป็นเรื่องปกติ อาจฉุดยอดขายธุรกิจลง เนื่องจากลูกค้าบางคนอาจเข้าใจว่า ยิ่งรับประทานอาหารมากเท่าไร ยิ่งต้องจ่ายค่าทิปมากเท่านั้น

เมื่อวันที่ 14 ก.ย. 66 อัลจาซีราห์ นำเสนอรายงานเรื่องนี้ โดยระบุว่า สังคมของชาวเกาหลีใต้ได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากสหรัฐฯ มากมายหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความชื่นชอบชีสเบอร์เกอร์ของสหรัฐฯ ปาร์ตี้สละโสดแบบ bridal shower และละครซิตคอม แต่มีวัฒนธรรมอย่างหนึ่งของสหรัฐฯ ที่สังคมเกาหลีใต้รับไม่ได้ และออกแนวไม่ชอบใจเท่าที่ควร นั่นคือธรรมเนียม ‘การให้ทิป’

ชาวเกาหลีใต้ก็เหมือนประเทศอื่น ๆ นอกสหรัฐที่มักไม่ค่อยให้ทิปเพื่อเข้าไปซื้อบริการ แต่ก็กำลังเจอกับปัญหาท้าทายเมื่อเร็วๆ นี้ เมื่ออูเบอร์ของเกาหลีใต้ เพิ่มช่องทางสร้างรายได้ให้คนขับบางราย โดยสามารถรับทิปได้ 0.75 เซนต์-1.5 ดอลลาร์ ต่อการให้บริการ 1 ครั้ง หรือราว 26-53 บาทต่อการบริการ 1 ครั้ง ซึ่งการให้ทิปอูเบอร์ จะแตกต่างกันไปตามระดับความพรีเมียมของแท็กซี่

การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นในเวลาอันรวดเร็ว ทำให้ชาวเกาหลีใต้ต่อต้านการให้ทิป แม้แต่ 2 เซนต์ก็ไม่อยากให้

โพสต์ในโลกออนไลน์ที่เป็นกระแสมาแรง ระบุว่า “ตอนนี้ ธรรมเนียมการให้ทิปเริ่มต้นด้วยการให้ตามความพึงพอใจ แต่หลังจากนั้นจะกลายเป็นความกดดัน”

ขณะที่ชาวเน็ตคนอื่นๆ ร่วมกันล่าแม่มด ตามข่าวลือต่าง ๆ นานา เพื่อสืบหาและทำให้ธุรกิจที่ต้องจ่ายค่าตอบแทนเพิ่ม หรือการจ่ายค่าทิปเป็นเรื่องที่น่าอาย

กระแสให้ทิปกลายเป็นประเด็นร้อนในสังคมเกาหลีใต้ จนสำนักข่าวแห่งหนึ่งพาดหัวข่าวว่า “เดี๋ยวนะ ที่นี่คืออเมริกาเหรอ?”

‘ซอน อึนจี’ พนักงานการเงินวัย 34 ปี เล่าว่าเธอไม่เคยให้ทิปใครหรือร้านใดในเกาหลีใต้เลย ยกเว้นบริจาคเงินเพื่อการกุศล เมื่อเกิดกระแสว่า บางธุรกิจเปิดให้เพิ่มทิป เธออาจหลีกเลี่ยงไม่สนับสนุนธุรกิจที่ขอเงินเพิ่มแบบนี้

“การให้ทิปไม่ใช่เรื่องสำคัญในเกาหลีใต้ และไม่ควรเป็นเรื่องสำคัญในตอนนี้” ซอน กล่าว

ปัจจุบัน เกาหลีใต้ยังเป็นประเทศที่ไม่นิยมให้ทิป แต่มีข้อยกเว้นให้บางธุรกิจ เช่น แคดดี้ในสนามกอล์ฟ หรือคนเก็บลูกกอล์ฟ และพนักงานเสิร์ฟร้านอาหารทะเลหรือบาร์บีคิว ที่สามารถขอทิปจากลูกค้าได้ และกฎหมายของเกาหลีใต้ กำหนดให้ร้านอาหาร รวมถึงธุรกิจอื่น ๆ ต้องระบุค่าใช้จ่ายสินค้าและบริการต่างๆ ทั้งหมด รวมออกมาเป็นราคาเดียว

แม้แต่คนขับรถส่งของ ที่รับรายได้จากแอปพลิเคชันดิลิเวอร์รี ยังไม่ได้รับอนุญาตให้รับทิป ไม่ว่าจะให้บริการในวันฝนตกหรือแดดออกก็ตาม

ชาวเน็ตเกาหลีใต้บางคนบ่นว่า พวกเขาทุ่มเงินไม่กี่เหรียญให้กับพนักงานบริการส่วนใหญ่ แต่กลับไม่สนใจให้ทิปช่างทำกุญกับบุคลากรการแพทย์ ช่างเป็นอะไรที่ชวนให้สับสน

‘ฌอน จุง’ ศาสตราจารย์ด้านบริหารกิจการให้บริการ จากมหาวิทยาลัยบอสตัน บอกว่า “สหรัฐฯ เป็นประเทศให้ทิปมากกว่าปกติ เพราะการให้ทิปเป็นเรื่องที่ถูกตั้งความหวัง และเป็นวัฒนธรรมที่นิยมในร้านอาหารอย่างแพร่หลาย”

อย่างไรก็ตาม การให้ทิปในเกาหลีใต้เป็นเรื่องที่ไม่ได้รับการยอมรับ แม้แต่เจ้าของร้านอาหารต่าง ๆ ก็มองว่า วัฒนธรรมการให้ทิปเป็นเรื่องที่ไม่จำเป็น

‘นัม ซุกจา’ เป็นเจ้าของธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่นระดับไฮเอ็นด์ในกรุงโซล ที่มีเมนูอาหารที่เป็นจุดขายคือซาชิมิทูน่า ภายในร้านอาหารเต็มไปด้วยห้องอาหารส่วนตัว และลูกค้าร้านนี้มักจะจ่ายเงิน 10,000 วอน หรือราว 268 บาท ให้กับพนักงานเสิร์ฟ เมื่อเริ่มสั่งอาหารชุดแรก ซึ่งการให้ทิปพนักงาน อาจทำให้ได้รับบริการที่เอาใจใส่มากขึ้น ได้รับอาหารชุดต่อไปไวขึ้น หรือได้รับการเสิร์ฟแบบพิเศษ

อย่างไรก็ตาม นัม คิดว่า การที่ลูกค้าของเธอรู้สึกว่าต้องให้ทิปเพื่อรับบริการที่ดีขึ้นเป็นเรื่องที่ผิด และเรื่องนี้ทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจ

ด้าน ‘คิม มยองคยู’ เจ้าของบาร์แห่งหนึ่งในเกาหลีใต้กังวลว่า การทำให้วัฒนธรรมให้ทิปกลายเป็นเรื่องปกติ อาจฉุดยอดขายธุรกิจให้ลดลง เนื่องจากลูกค้าบางคนอาจเข้าใจว่า ยิ่งรับประทานอาหารมากเท่าไร ยิ่งต้องจ่ายค่าทิปมากเท่านั้น

“การให้ทิปดูไม่เป็นเรื่องที่น่าพอใจสำหรับลูกค้า ถ้าจะให้วางกล่องใส่ทิปไว้เหรอ? ร้านไม่มีทางทำแน่นอน” คิม ย้ำ

ด้าน ‘กาเกา โมบิลลิตี’ ผู้ให้บริการเรียกแท็กซี่รายใหญ่ที่สุดของเกาหลีใต้ เผยว่า ยอดให้ทิปของประเทศถึงจุดพลิกผันเมื่อเดือนก่อน

โดยบริษัทเริ่มโครงการนำร่อง เสนอช่องทางจ่ายเงินเพิ่มที่เรียกว่า ‘ทิปขอบคุณ’ 1.5 ดอลลาร์ หรือต่ำกว่านั้น เพื่อเป็นแรงจูงใจให้ผู้ขับขี่ให้บริการที่ดีขึ้น แต่โฆษกหญิงของบริษัทบอกว่า มีเพียงคนขับที่ให้บริการแท็กซี่ระดับสูงและได้รับคะแนนรีวิว 5 ดาวหลังให้บริการเท่านั้น ที่สามารถรับทิปจากลูกค้าได้

อย่างไรก็ตาม อนาคตของฟังก์ชันนี้จะเป็นอย่างไรนั้น บริษัทยังไม่ได้วางแผนใดๆ เพิ่มเติม

จากโพลสำรวจข้อมูลของโอเพนเซอร์เวย์ในกรุงโซล พบว่า ชาวเกาหลีใต้ 7 ใน 10 คน ไม่ชอบฟีเจอร์ให้ทิปแท็กซี่ ขณะที่มีผู้ตอบแบบสอบถามเพียง 1 ใน 6 เท่านั้น ที่เห็นด้วยกับฟีเจอร์ดังกล่าว

ข้อกังขาจากสาธารณชนเกี่ยวกับการให้ทิป จุดประกายให้กับโต๊ะข่าว ที่ทำข่าวเกี่ยวกับการให้ทิปลดลงส่งผลกระทบต่อสหรัฐฯ โดยผู้ประกาศข่าวหญิงคนหนึ่ง ถึงกับต้องทำประเด็นข่าวใหม่ เพื่ออธิบายว่า การให้ทิปปริมาณมากเป็นวัฒนธรรมที่แพร่หลายในสหรัฐฯ ได้อย่างไร และถึงขั้นที่ลูกค้าต้องจ่ายทิปจำนวนมาก

นักข่าวกล่าวว่า โดยปกติแล้ว ผู้คนมักสงสัยกันว่า ทำไมโลกเราต้องมีวัฒนธรรมการให้ทิป เมื่อมองไปที่สหรัฐฯ ผู้คนในประเทศนี้ก็เริ่มซักถามและแลกเปลี่ยนข้อมูล เกี่ยวกับสถานที่ที่อาจจะเก็บค่าทิป หรือไม่เก็บค่าทิปกันบ้างแล้ว


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top