Tuesday, 20 May 2025
สำนักข่าวการศึกษาออนไลน์สำหรับทุกคน

เยาวชนจีนยุคใหม่ 'หัวก้าวหน้า' และ 'รักชาติ' ไปพร้อมกัน

“ประเทศจีนไม่ได้สมบูรณ์พร้อม แต่มันมีพัฒนาการที่ดีขึ้นเรื่อยๆ” ความคิดเห็นจากคนรุ่นใหม่ในจีน ยุคที่เราเรียกว่า #เยาวชนยุคสีจิ้นผิง

เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2564 ที่ผ่านมา The Economist ได้เปิดประเด็นที่น่าสนใจซึ่งกำลังเกิดขึ้นในประเทศจีนในเวลานี้ นั่นคือ ‘เยาวชนรุ่นสีจิ้นผิง’ หรือ ‘Generation Xi’

ซึ่งเป็นการนิยามเยาวชนจีนในปัจจุบันที่ทั้งมี ‘ความรักชาติ-ชาตินิยม’ (Patriotism) แต่ก็ ‘หัวก้าวหน้า’ (Progressive) มีความคิดสมัยใหม่ พร้อมขับเคลื่อนสังคมจีนให้พัฒนาขึ้นอยู่ตลอดเวลา

----------------
'เยาวชนคืนถิ่น'
----------------

ปัจจุบันเยาวชนจีน เริ่มหลั่งไหลกลับไปทำงานในถิ่นฐานบ้านเกิดตามชนบทมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากความเหลื่อมล้ำระหว่างเมืองและชนบทในประเทศจีนลดน้อยลง

พัฒนาการด้านระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน รถไฟความเร็วสูง การสร้างเมืองใหม่ การค้าการลงทุนที่เกิดขึ้นในแต่ละมณฑล ระบบอินเตอร์เน็ต และเทคโนโลยีสมัยใหม่

ทำให้คนรุ่นใหม่ที่เพิ่งจบ มีทางเลือกมากกว่าการเข้าไปเป็นแรงงานหรือพนักงานกินเงินเดือนในเมืองใหญ่ซึ่งมีค่าครองชีพสูง

----------------
ความเหลื่อมล้ำที่ลดลงด้วยเทคโนโลยีออนไลน์
----------------

เทคโนโลยีและระบบออนไลน์ ทำให้ความแตกต่างระหว่างการอยู่ ‘เขตเมือง’ กับ ‘เขตชนบท’ ลดน้อยลงมาก ผู้คนในเมืองเล็กๆ หรือชนบทช้อปปิ้งผ่านแอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์ ไม่ต่างจากผู้คนที่อยู่ในเมืองใหญ่

เมื่อทุกคนเข้าถึงระบบได้จากทุกที่บนผืนแผ่นดินจีน ก็ไม่มีความจำเป็นต้องมากระจุกตัวกันตามเมืองใหญ่

คนรุ่นใหม่ในจีนเห็นโอกาสในการสร้างเนื้อสร้างตัวจากระบบออนไลน์ในโลกยุคดิจิทัล จากการลงทุน การค้า การโฆษณา การทำตลาดออนไลน์ ในขณะที่ทัศนคติเรื่องการรับราชการมีน้อยลง

กระแสโรแมนติกของการหวนคืนสู่ธรรมชาติอันชนบทมีมากขึ้นเรื่อยๆ คนรุ่นใหม่พากันหาสินค้าท้องถิ่นที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมารีวิวขายในตลาดออนไลน์ ประกอบกับการรีวิวการท่องเที่ยวท้องถิ่นที่เพิ่มขึ้น

ในขณะที่รัฐบาลและภาคเอกชนจีนก็ได้พัฒนาระบบการค้าออนไลน์ให้มีความสะดวกในทุกมิติ ตั้งแต่การสั่งซื้อ-ขาย การขนส่ง ค่าบริการขนส่งที่มีราคาต่ำ ซึ่งช่วยทำให้ตลาดการค้าเติบโตได้อย่างดี

----------------
'คนจีนโพ้นทะเลคืนถิ่น' (海归)
----------------

ด้านคนรุ่นใหม่ของจีนที่ไปรับการศึกษาจากต่างประเทศ โดยเฉพาะในชาติตะวันตก เริ่มหันกลับมาทำงานในประเทศจีนมากขึ้น เนื่องจากมองเห็นโอกาสเติบโตที่มากขึ้น รวมถึงรายได้ที่สมน้ำสมเนื้อในการทำงาน

ประกอบกับปัญหาผู้อพยพจากตะวันออกกลาง และนโยบายกดดันจีนของสหรัฐอเมริกา ที่ทำให้ชาวอเมริกันมองจีนและชาวจีนเป็นภัยคุกคามต่อการครองอำนาจนำของตน จนเกิดกระแสการเหยียดเชื้อชาติที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

ทำให้ชาวเอเชียจำนวนหนึ่ง โดยเฉพาะชาวจีน หันหน้ากลับไปยังแผ่นดินแม่ที่ซึ่งมีโอกาสมีรายได้ที่ดี และไม่มีปัญหาด้านการเหยียดชาติพันธุ์ รอพวกเขาอยู่

จากสถิติคนจีนที่ไปเรียนต่างประเทศจำนวน 6.2 ล้านคนในระหว่างปี ค.ศ. 2000 - 2019 ปัจจุบันมีถึง 4 ล้านคนที่กลับมาทำงานในประเทศจีน

ในขณะที่ปี 2001 มีเพียงแค่ 14% เท่านั้นที่กลับมาทำงานในประเทศจีนหลังจบการศึกษาในต่างประเทศ แต่ตั้งแต่ปี 2013 เป็นต้นมา คนจีนที่ไปศึกษาต่อและกลับมาทำงานในประเทศจีนพุ่งสูงขึ้นไปถึง 4 ใน 5 ส่วนของทั้งหมด

----------------
*** แน่นอนว่าทุกประเทศทุกสังคมล้วนมีปัญหาของตน แต่การที่คนรุ่นใหม่จะมีสำนึกรักชาติหรือภูมิใจในชาติบ้านเมืองได้ พวกเขาต้องเห็นอนาคต เห็นโอกาส และการพัฒนาที่เกิดขึ้นต่อคุณภาพชีวิตของพวกเขาด้วย

และนั่นคือ สิ่งที่รัฐบาลจีนทำให้กับประชาชนของเขา ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้นำประเทศทุกประเทศควรนำมาศึกษาเป็นบทเรียนครับ

เขียนโดย: อ.ดร. กิตติธัช ชัยประสิทธิ์ อาจารย์ประจำคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร ลาดกระบัง (KMITL)


อ้างอิง:
https://www.economist.com/special-report/2021-01-23
https://www.economist.com/special-report/2021/01/21/young-chinese-are-both-patriotic-and-socially-progressive
https://www.economist.com/special-report/2021/01/21/the-gap-between-chinas-rural-and-urban-youth-is-closing
https://thinkmarketingmagazine.com/should-mena-be-looking-into-chinas-youth-for-the-future-zak-dychtwald-talks-young-china/

10 อันดับมหาวิทยาลัยในประเทศจีนที่ได้รับการขนานนามว่าผลิตบุคลากรที่มีคุณภาพทั้งทักษะด้านวิชาและความรู้ รวมไปถึงการทำงานที่มีประสิทธิภาพและสามารถต่อยอดพัฒนาทางด้านอาชีพได้อย่างดีเยี่ยม (พาร์ท 1)

ประเทศจีน ในปัจจุบันถือว่าได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศไทยเพราะนอกจากการเป็นเพื่อนบ้านที่มีมิตรภาพที่ดีอย่างยาวนาน วัฒนธรรมหรืออิทธิพลก็เข้ามามีส่วนหนึ่งในการดำรงชีวิตของคนไทย นอกจากเป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่แล้ว เทคโนโลยีต่าง ๆ ก็ก้าวหน้าอีกด้วย รวมไปถึงการเรียนหนังสือที่ประเทศจีนก็เป็นอันดับต้น ๆ ในการพัฒนาทางด้านการศึกษาเหมือนกัน ในวันนี้ THE STUDY TIMES ขอมาแนะนำ 10 อันดับมหาวิทยาลัยในประเทศจีนกันว่าจะมีที่ไหนบ้าง เผื่อเป็นการพิจารณาตัดสินใจที่จะเข้าศึกษาต่อในต่างประเทศ ประเทศจีนถือได้ว่ามีความน่าสนใจอย่างยิ่งเลยทีเดียว 

อันดับที่ 1 Tsinghua University (清华大学)
อยู่อันดับที่ 15 ของโลก มหาวิทยาลัยตั้งอยู่ที่กรุงปักกิ่ง ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1911 ในชื่อ Tsing Hua Imperial College และเพิ่มการสอนระดับมหาวิทยาลัยในปี ค.ศ. 1925 ก่อนจะเปลี่ยนชื่อเป็น National Tsing Hua University ในปี ค.ศ. 1928 มีศิษย์เก่าคนสำคัญที่เรียนที่แห่งนี้คือ Xi Jinping ประธานาธิบดีคนปัจจุบันของประเทศจีน โดย Tsinghua University เป็น 1 ในมหาวิทยาลัยชั้นนำ 9 แห่งของจีนที่ได้รับการคัดเลือกและได้รับทุนสนับสนุนด้านการวิจัยจากรัฐบาลจีน ปัจจุบันเป็นมหาวิทยาลัยที่สอบเข้ายากที่สุดแห่งหนึ่งและมีชื่อเสียงโดดเด่นระดับโลกด้านวิศวกรรมและวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ จนทุกคนตั้งฉายาให้กับมหาวิทยาลัยแห่งนี้ว่าเป็น "MIT แห่งเมืองจีน"
เว็บไซต์ : https://www.tsinghua.edu.cn/


เครดิตภาพ : https://zhuanlan.zhihu.com/p/145790991

อันดับที่ 2 Peking University (北京大学) 
อยู่ในอันดับที่ 23 ของโลก ตั้งอยู่ในกรุงปักกิ่ง ก่อตั้งปี ค.ศ. 1898 และมีชื่อเสียงจากการเป็นแหล่งรวมนักศึกษาหัวก้าวหน้าในขบวนการปฏิวัติจีนในช่วงต้นทศวรรษ 1920  มหาวิทยาลัยได้รับการขนานนามว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่มีสายศิลป์อันดับ 1 ของจีน ในมหาวิทยาลัยยังมีสถาปัตยกรรมแบบจีนที่สวยงาม ถือว่านอกจากการเรียนจะแน่น สถานที่ บรรยากาศก็น่าเรียนเพิ่มขึ้นอีกด้วย 
เว็บไซต์ : https://www.pku.edu.cn/


เครดิตภาพ : https://m.cucas.cn/school_column?sid=256

อันดับที่ 3 Fudan University (复旦大学) 
อยู่ในอันดับที่ 34 ของโลก ตั้งอยู่ที่เมืองเซี่ยงไฮ้ มหาวิทยาลัยก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1905 ในฐานะ Fudan Public School ก่อนจะเปลี่ยนชื่อเป็น Fudan University ในปี ค.ศ. 1917 และต่อมาได้ควบรวมกับ Shanghai Medical University ในปี ค.ศ. 2000 โดยมหาวิทยาลัยมีชื่อเสียงด้านศึกษาศาสตร์ สังคมศาสตร์ และแพทยศาสตร์ อีกทั้งยังเป็น 1 ใน 30 มหาวิทยาลัยในประเทศจีนที่กระทรวงศึกษาธิการจีนอนุมัติให้เปิดการเรียนการสอนหลักสูตรแพทยศาสตร์ภาคภาษาอังกฤษให้แก่ชาวประเทศได้เข้ามาศึกษาได้ 
เว็บไซต์ : https://www.fudan.edu.cn/


เครดิตภาพ : https://www.china-admissions.com/fudan-university/

อันดับที่ 4 Shanghai Jiao Tong University (上海交通大学) 
อยู่ในอันดับที่ 47 ของโลก ตั้งอยู่ที่เมืองเซี่ยงไฮ้ เป็นมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของจีน ก่อตั้งปลายสมัยราชวงศ์ชิงในปี ค.ศ. 1896 โดยกระทรวงไปรษณีย์และการสื่อสารภายใต้ชื่อ Nanyang Public School มหาวิทยาลัยแห่งนี้ได้รับการยอมรับเป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงด้านธุรกิจในระดับโลก
เว็บไซต์ : https://en.sjtu.edu.cn/


เครดิตภาพ : https://vse.apru.org/shanghai-jiao-tong-university-2021summer/

อันดับที่ 5 Zhejiang University (浙江大学) 
อยู่ในอันดับที่ 53 ของโลก ตั้งอยู่ในเมืองหังโจว เมืองหลวงของมณฑลเจ้อเจียง มหาวิทยาลัยก่อตั้งปี ค.ศ. 1897 เป็น 1 ในมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศจีน มีชื่อเสียงด้านการก่อตั้งทำธุรกิจหรือ Start-Up ส่วนใหญ่ศิษย์เก่าที่จบการศึกษาในมหาวิทยาลัยแห่งนี้เป็นเจ้าของบริษัท Start-Up มากกว่า 100 แห่งในประเทศจีน 
เว็บไซต์ : https://www.zju.edu.cn/english/


เครดิตภาพ : http://www.eduincn.com/zhejiang-university/

และนี้ก็เป็นพาร์ทแรกของ 10 อันดับมหาวิทยาลัยในประเทศจีนที่ได้รับการยอมรับว่ามีชื่อเสียงและสร้างบุคลากรที่มีคุณภาพ ออกมาพัฒนาประเทศและมีนักศึกษาต่างชาติเข้ามาเรียนมากมาย ส่วนอีก 5 อันดับจะมีที่ไหนบ้าง ต้องคอยติดตามกันในสัปดาห์หน้านะคะ 


ที่มา : 
https://www.learningeast.com/
http://www.toeasteducation.com/
 

THE STUDY TIMES X DekThai Online สัปดาห์ที่สิบเอ็ด พบกับวิดีโอสรุปเนื้อหา เทคนิค แนวข้อสอบ แต่ละรายวิชา

????THE STUDY TIMES X DekThai Online สัปดาห์นี้

????วันจันทร์ที่ 26 กรกฎาคม - วันศุกร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

⏰ทุกวัน เวลา 18.00 น.

พบกับวิดีโอสรุปเนื้อหา เทคนิค แนวข้อสอบ 5 รายวิชา 

????วันจันทร์ที่ 26 กรกฎาคม
วิชาคณิตศาสตร์: เรื่อง ทฤษฎีจำนวน สำหรับ สอวน.

โดย ครูพี่ปุ๊ องอาจ สุภัคชูกุล 
อดีตตัวแทนคณิตศาสตร์โอลิมปิก นักเรียนทุนรัฐบาลญี่ปุ่น
#สอนวิชาคณิตศาสตร์ คอมพิวเตอร์ ม.ต้น-ม.ปลาย  

????วันอังคารที่ 27 กรกฎาคม
วิชา BMAT: เรื่อง แนวข้อสอบ BMAT Problem Solving

โดย ครูจึ๋ง สมนึก สงวนตระกูล
นักเรียนทุนรัฐบาลญี่ปุ่น Monbusho
เกียรตินิยมอันดับ 1 เหรียญทอง Computer Engineering Osaka University
#BMAT เรียนเตรียมสอบแพทย์ Critical Thinking, Problem Solving, Maths & Science

????วันพุธที่ 28 กรกฎาคม
วิชาดาราศาสตร์: เรื่อง น้ำขึ้นน้ำลง

โดย คุณน้ำหวาน ภิรมณ กำเนิดมณี
นักเรียนทุน พสวท. (ฟิสิกส์) ปริญญาตรี-ปริญญาเอก สหรัฐอเมริกา
#สอนวิชาฟิสิกส์ ดาราศาสตร์ เตรียมเข้าม.4

????วันพฤหัสบดีที่ 29 กรกฎาคม
วิชาชีววิทยา: เรื่อง Glycolysis

โดย ครูหมอเมศ กฤษณะ ธรรมศิริ 
ปริญญาตรี คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
#สอนชีววิทยาม.ต้น-ม.ปลาย

????วันศุกร์ที่ 30 กรกฎาคม
วิชาปัญญาเลิศ 1: เรื่อง การเคลื่อนที่

โดย ดร.ถาวร ตันหยงมาศกุล (อ.บู้)
การศึกษาดุษฎีบัณฑิต หลักสูตรและการสอนมหาวิทยาลัยบูรพา ปริญญาเอก
#คณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ระดับ ป.5-ม.3

????ช่องทางรับชม 
Facebook และ YouTube: THE STUDY TIMES

'ปวดหลังร้าวลงขา' ร่วมกับอาการชาหรือไม่มีแรง อาจไม่ใช่กระดูกทับเส้นเสมอไป แต่อาจเป็นเพียงการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อพิริฟอร์มิส

เมื่อมีอาการปวดหลังจากการนั่งทำงานนาน ๆ หรือ ยกของหนักแล้วมีอาการปวดสะโพกร้าวลงขาข้างใดข้างหนึ่ง อาการที่เกิดขึ้นมักเป็น ๆ หาย ๆ ก่อให้เกิดความรำคาญใจ ร่วมกับมีอาการชาหรือไม่มีแรง ทำให้หลายคนเข้าใจว่าเป็นโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท แต่แท้ที่จริงแล้วอาการดังกล่าวอาจเป็นเพียงการบาดเจ็บ การอักเสบหรือเป็นพังผืดของกล้ามเนื้อสะโพกชั้นลึกที่เรียกว่า กล้ามเนื้อพิริฟอร์มิส หรือที่คนทั่วไปเรียกว่า "สลักเพชร"

กล้ามเนื้อพิริฟอร์มิสเป็นกล้ามเนื้อมัดเล็ก ๆ ที่มักเกิดการเกร็งหรือบาดเจ็บจากการใช้งานในชีวิตประจำวันของเรา เช่น การนั่ง การเดิน การวิ่ง ทำให้เกิดอาการปวด "สลักเพชร" หรือก้นทางด้านหลัง กล้ามเนื้อมัดนี้เป็นทางผ่านของเส้นประสาทใหญ่ที่ลงไปเลี้ยงและรับส่งสัญญาณไปกลับระหว่างขากับไขสันหลัง เมื่อเส้นประสาทดังกล่าวได้รับการหนีบ จากการหดเกร็งของกล้ามเนื้อนี้ ทำให้อาการแสดงที่เกิดขึ้นมีความคล้ายคลึงกับอาการของโรคกระดูกทับเส้นประสาท

ดังนั้นเมื่อมีอาการปวดหลังร้าวลงขา ขอให้รีบไปพบนักกายภาพบำบัดหรือแพทย์ เพื่อวินิจฉัยและให้คำแนะนำที่ถูกต้อง อย่าวิตกกังวลหรือกลัวว่าจะต้องได้รับการรักษาด้วยการผ่าตัดเสมอไป เพราะอาจไม่ใช่โรคกระดูกทับเส้นประสาท

อาการนี้มักพบบ่อยในคน 4 กลุ่มคือ
- ผู้ที่ประสบอุบัติเหตุล้มก้นกระแทก หรือ เล่นกีฬาที่มีการปะทะ
- ยกของหนักเดินขึ้นลงบันได
- วิ่งขึ้นลงทางชัน
- นั่งเก้าอี้เตี้ยนาน ๆ (เก้าอี้ที่ระดับก้นต่ำกว่าเข่า)

ผู้ป่วยส่วนมากที่มารับการรักษากล้ามเนื้อพิริฟอร์มิสที่คลินิกกายภาพบำบัด คือกลุ่มวัยรุ่นหนุ่มสาวที่ชื่นชอบการออกกำลังกายในฟิตเนส โดยเฉพาะคนที่อยากปั้นสะโพกหรือก้นให้เฟิร์มเบอร์เดียวกับเจนนิเฟอร์โลเปส หรือ กัปตันอเมริกา ดังนั้นกลุ่มนี้จะได้รับการฝึกท่าก้นอย่างหนักสารพัดท่า ซึ่งถ้าหากฝึกหนักเกินไปหรือฝึกจนเกิดความไม่สมดุลของกล้ามเนื้อก็จะเกิดการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อพิริฟอร์มิสได้เช่นกัน

การป้องกันการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อพิริฟอร์มิสคือ หลีกเลี่ยงการเป็นคน 4 กลุ่มทางด้านบน และออกกำลังกล้ามเนื้อก้นด้วยความพอดี อย่ากดดันตัวเอง หรือเทรนเนอร์มากเกินไป ซึ่งความพอดีและการมีทางสายกลาง คือ หนทางป้องกันโรคนี้ได้

การรักษาทางกายภาพบำบัดเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง นักกายภาพบำบัดจะใช้การยืดกล้ามเนื้อเพื่อลดการเกร็งของกล้ามเนื้อพิริฟอร์มิส และใช้เครื่องมือทางกายภาพบำบัดเพื่อคลายความเจ็บปวดหรือลดการอักเสบของกล้ามเนื้อพิริฟอร์มิส พร้อมทั้งแนะนำการปรับการใช้ชีวิตประจำวันเพื่อไม่ให้เกิดการบาดเจ็บซ้ำอีก

คำถามยอดฮิตสำหรับทุกคนที่มีอาการเหล่านี้ คือ
สามารถไปนวดได้ไหม? คำตอบคือ ถ้ายังไม่มีอาการชาหรือปวดร้าวลงขา ก็สามารถไปนวดได้ แต่ถ้ามีอาการชาหรือปวดร้าวลงขาแล้ว แนะนำให้ปรึกษาแพทย์หรือนักกายภาพบำบัดจะดีกว่า

การประคบด้วยความร้อนหรือเย็นช่วยได้ไหม ? ต้องบอกว่าการประคบด้วยความร้อนหรือเย็นจะได้ผลดีกับเนื้อเยื่อที่อยู่ชั้นตื้นหรือชั้นบนเท่านั้น ไม่สามารถส่งผลไปถึงกล้ามเนื้อชั้นลึกอย่างกล้ามเนื้อพิริฟอร์มิสได้ แต่หากจะประคบเพื่อบรรเทาปวดเบื้องต้นก็สามารถทำได้

เชิญชวนมายืดเหยียดกล้ามเนื้อพิริฟอร์มิสและกล้ามเนื้อรอบสะโพก โดย 2 ท่านี้เป็นท่าที่ง่ายและสามารถทำได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์ใด ๆ ยืดค้างไว้จนรู้สึกตึงบริเวณก้น นาน 10 - 20 วินาที อย่าให้เจ็บมาก เมื่อทำเป็นประจำสามารถช่วยป้องกันโรคนี้ได้ในระดับหนึ่ง

ท่าที่ 1 นั่งเก้าอี้ นำข้อเท้าข้างหนึ่งวางไว้บนหน้าขาอีกข้างหนึ่งตามรูป พยายามก้มตัวลงทางด้านหน้าให้มากที่สุดจนรู้สึกตึงบริเวณก้นทางด้านหลัง ค้างไว้ 10 - 20 วินาที

ท่าที่ 2 นั่งขัดสมาธิบนพื้นด้วยการงอขาข้างหนึ่งทางด้านหน้า ส่วนขาอีกข้างเหยียดไปทางด้านหลังตามรูป ยืดลำตัวตั้งตรง จะรู้สึกก้นทางด้านหลังและหน้าขา ค้างไว้ 10 - 20 วินาที

เขียนโดย: กภ.อุสา บุญเพ็ญ ปริญญาโท วิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต พัฒนาการมนุษย์ มหาวิทยาลัยมหิดล เจ้าของคลินิกกายภาพบำบัด และเพจสุขภาพดี


เอกสารอ้างอิง
E R Benson and S F Schutzer. Posttraumatic piriformis syndrome: diagnosis and results of operative treatment. J Bone Joint Surg Am. 1999. P.941-949.
https://www.physio-pedia.com/Piriformis_Syndrome
http://www.freyagilmore.uk/2016/08/30/piriformis-syndrome/
https://www.precisionnutrition.com/doctor-detective-sciatic-pain
https://www.inquirer.com/philly/health/personal-best/an-integrative-stretching-plan-to-combat-tight-hips-20171206.html

คณะสัตวแพทยศาสตร์ เป็นคณะที่หลาย ๆ คนที่รักและเมตตาเหล่าสัตว์น้อยใหญ่ต่างสนใจ อยากที่จะศึกษาเกี่ยวกับการดูแลรักษาสัตว์ไม่ให้บาดเจ็บ และ ปลอดภัย การเรียนในคณะนี้ยังต้องพบเจออีกหลาย ๆ อย่าง ที่ไม่ใช่แค่การดูแลรักษาสัตว์เท่านั้น

สำหรับใครที่สนใจอยากที่จะเรียนในคณะสัตวแพทยศาสตร์แต่ยังไม่รู้ว่าการเรียนภายใน 6 ปีนั้นจะต้องพบเจอกับอะไร วันนี้ THE STUDY TIMES จะขอมาแนะนำการเรียนในคณะนี้กัน ที่นอกจากการเรียนที่เข้มข้นไปด้วยเนื้อหาแล้ว ยังต้องพบเจอกับอะไรอีกมากมายเลยทีเดียว 

แต่ก่อนอื่น คณะสัตวแพทยศาสตร์ นั้นหมายถึง สัตว์ รวมกับคำว่า แพทย์ และ ศาสตร์ คือการเรียนเกี่ยวกับการรักษาสัตว์ไม่ใช่แค่เพียงสัตว์เลี้ยงเท่านั้น ยังรวมไปถึงสัตว์ทุกชนิดและทุกประเภท เมื่อจบมาแล้วจะได้รับวุฒิการศึกษาคือ สัตวแพทยศาสตรบัณฑิต นอกจากการเรียนเพื่อรักษาสัตว์ คณะนี้ยังต้องเรียนเกี่ยวกับ ผลผลิตด้านปศุสัตว์ การขยายพันธุ์สัตว์ การเลี้ยง และบำรุงพันธุ์สัตว์ วิธีการควบคุมโรคของสัตว์ที่สามารถติดต่อมาถึงมนุษย์ได้ รวมถึงด้านสุขศาสตร์อาหาร และผลิตภัณฑ์ที่ได้จากสัตว์ เรียกได้ว่าครอบคลุมทุกอย่างเกี่ยวกับสัตว์จริง ๆ 


โดยในคณะสัตวแพทยศาสตร์ จะเรียนทั้งหมด 6 ปี เหมือนกับเรียนแพทยศาสตร์ และ เภสัชศาสตร์ โดยจะแบ่งเป็น ปี 1 - 3 เรียกว่าชั้น Pre-clinic และปี 4 - 6 เรียกว่าชั้น Clinic โดยมีการเรียนคร่าว ๆ ดังต่อไปนี้

ปี 1 (ชั้น Pre-clinic) จะเรียนวิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐานทั่วไป เช่น ฟิสิกส์ทางการแพทย์ เคมีทั่วไป ชีววิทยาทั่วไป เคมีอินทรีย์ เป็นต้น 

ปี 2-3 (ชั้น Pre-clinic) เป็นชั้นปีที่เริ่มเรียนวิชาของคณะสัตวแพทย์ศาสตร์ ซึ่งการเรียนในคณะนี้ ไม่ได้เรียนแค่เฉพาะสัตว์เลี้ยงในบ้านอย่างสุนัขหรือแมวเท่านั้น ยังต้องเรียนไปถึงสัตว์ในฟาร์มเช่น หมู ไก่ ม้า วัว รวมไปถึงสัตวน้ำอีกด้วย วิชาที่เรียนยกตัวอย่างเช่น  จุลกายวิภาควิทยา หลักสัตวบาล Anatomy Neuroanatomy Immunology สรีรวิทยา อนามัยสิ่งแวดล้อม เภสัชวิทยา เป็นต้น เรียนตั้งแต่โครงสร้างของสัตว์และสิ่งมีชีวิตที่มองเห็นและมองไม่เห็น จนถึงสุขอนามัยในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ 

ปี 4-6 (ชั้น Clinic) เริ่มเข้าสู่วิชาเกี่ยวกับการรักษา พยาบาลสัตว์มากขึ้น วิชาเรียนจะเจาะลึกลงไปอีก เช่น อายุรศาสตร์ตามระบบอวัยวะ เทคนิคการวินิจฉัยและการรักษาโรคสัตว์ รังสีวิทยา พิษวิทยา หลักการศัลยศาสตร์และวิสัญญี เทคโนโลยีชีวภาพทางการสืบพันธุ์ของสัตว์ สุขศาสตร์อาหาร กฎหมายและจริยธรรมแห่งวิชาชีพ เป็นต้น ซึ่งในช่วง 3 ปีนี้ก็จะมีความยากมากยิ่งขึ้น มีการฝึกงานและทำวิจัยต่าง ๆ เพื่อให้ตัวผู้เรียนมีประสบการณ์มากยิ่งขึ้น พร้อมที่จะไปดูแลรักษาพยาบาลสัตว์น้อยใหญ่ 

เมื่อเรียนจบแล้ว คณะสัตวแพทยศาสตร์ไม่ได้จบมาเป็นสัตว์แพทย์อย่างเดียวนะคะ ยังสามารถทำงานในหน่วยงานรัฐ ได้แก่ กรมปศุสัตว์, กรมประมง และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ฯลฯ ส่วนหน่วยงานเอกชน สามารถประกอบอาชีพในธุรกิจด้านอุตสาหกรรมเลี้ยงสัตว์ การผลิตอาหารสัตว์ และธุรกิจฟาร์มสัตว์ต่าง ๆ

ส่วนสถาบันที่เปิดสอนในคณะสัตวแพทยศาสตร์มีดังต่อไปนี้ 
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน
มหาวิทยาลัยขอนแก่น
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
มหาวิทยาลัยมหิดล
มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก วิทยาเขตบางพระ จังหวัดชลบุรี
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย วิทยาเขตนครศรีธรรมราช
มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์    
มหาวิทยาลัยเวสเทิร์น

คณะสัตวแพทยศาสตร์ถือว่ามีความน่าสนใจอย่างยิ่งในการเข้าศึกษาต่อเพราะนอกจากจะได้ช่วยเหลือสัตว์น้อยใหญ่แล้ว ยังฝึกความอดทนอีกมาก แต่ทุกการเรียนรู้จะแลกมาด้วยประสบการณ์ที่อาจจะไม่มีวันลืมได้เลย THE STUDY TIMES ขอเป็นกำลังใจให้น้อง ๆ ทุกคนตามความฝันของตัวเองได้สำเร็จนะคะ


ที่มา 
https://www.dek-d.com/tcas/45341/
https://campus.campus-star.com/education/133857.html
https://www.admissionpremium.com/adplanning/fac?id=20150911135458QJCr0qY

‘นายกฯ’ โพสต์หารือ ‘ศธ.-อว.’ กำหนดมาตรการลดภาระ ค่าใช้จ่าย ’ผู้ปกครอง-ครู-นักเรียน’ เตรียมนำเข้าครม.อังคารหน้า คาดนักศึกษา 1.75 ล้านคน มีเฮเคาะเกณฑ์ลดค่าเทอมสูงสุด 50% ส่วน ม.เอกชน หัวละ 5 พัน

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ได้โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊กส่วนตัว ‘ประยุทธ์ จันทร์โอชา Prayut Chan-o-cha’ ระบุว่า ได้ประชุมกับกระทรวง ศธ.และ อว. เพื่อกำหนดมาตรการช่วยเหลือในระยะเร่งด่วนในการช่วยลดภาระ/ค่าใช้จ่าย ให้กับผู้ปกครอง ครู และนักเรียน/นักศึกษาให้ครอบคลุมทุกกลุ่ม รวมถึงกลุ่มด้อยโอกาสยากจนและกลุ่มผู้พิการ โดยมีแนวทางในด้านต่าง ๆ เช่น 

1.) มาตรการช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในการเรียน 

2.) ขอความร่วมมือให้ลด หรือชะลอการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายต่าง ๆ จากผู้ปกครองในโรงเรียนเอกชน 

3.) สนับสนุนค่าใช้จ่ายแก่สถานศึกษา เพื่อรองรับการเรียนแบบออนไลน์ 

4.) ช่วยเหลือผู้ปกครองที่ได้รับผลกระทบจากการถูกเลิกจ้างงาน

ที่ประชุมได้มอบหมายให้ อว.และ ศธ. จัดทำรายละเอียดและขั้นตอนในการดำเนินการในมาตรการต่าง ๆ ให้แล้วเสร็จ เพื่อนำเข้าสู่การพิจารณาในที่ประชุม ครม.ในสัปดาห์หน้า

ด้านนายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เปิดเผยหลังประชุมร่วมกับนายกฯ ว่า นายกฯ ได้รับหลักการมาตรการตามที่ อว.เสนอ คือ 

1.) สถาบันอุดมศึกษาภาครัฐ จะลดค่าเล่าเรียน และค่าธรรมเนียมการศึกษา โดยกำหนดเป็น 3 ขั้น ได้แก่ ขั้นที่ 1 ส่วนที่ไม่เกิน 50,000 บาท ลดค่าเล่าเรียน/ค่าธรรมเนียมการศึกษา ร้อยละ 50 ขั้นที่ 2 ตั้งแต่ 50,001-100,000 บาท ลดร้อยละ 30 และขั้นที่ 3 ตั้งแต่ 100,001 บาทขึ้นไป ลดร้อยละ 10 โดยรัฐบาลจะสนับสนุนงบประมาณสำหรับส่วนลดนี้ ร้อยละ 60 และสถาบันอุดมศึกษาสมทบ ร้อยละ 40

2.) สถาบันอุดมศึกษาเอกชน รัฐบาลจะสนับสนุนลดค่าเล่าเรียน/ค่าธรรมเนียมการศึกษา คนละ 5,000 บาท และให้ทางสถาบันอุดมศึกษาเอกชนแต่ละแห่งพิจารณาลดค่าเล่าเรียนเพิ่มเติม และสนับสนุนมาตรการอื่น ๆ เช่น ขยายเวลาผ่อนชำระหรือผ่อนจ่ายค่าธรรมเนียมการศึกษา ตั้งกองทุนสนับสนุนการศึกษา จัดหาอุปกรณ์/โปรแกรมคอมพิวเตอร์ สำหรับนักศึกษายืมเพื่อใช้ในศึกษาออนไลน์ ส่วนลดค่าหอพักนักศึกษา จัดสวัสดิการพิเศษกรณีนักศึกษาป่วยด้วยโรคโควิด-19 เป็นต้น 

ทั้งนี้มาตรการนี้จะเริ่มใช้ทันทีในภาคศึกษาที่ 1 ปีการศึกษา 2564 โดยจะมีนิสิต นักศึกษาที่ได้รับประโยชน์เป็นจำนวนถึง 1,750,109 คน

3 วิธี ไม่ให้ครอบครัวกลายเป็นสนามรบ ในช่วงโควิด!! ยิ่งอยู่ใกล้ ทำไมยิ่งดูห่างไกล ในช่วงล็อกดาวน์

ในช่วงล็อกดาวน์ ครอบครัวหลายครอบครัวถือโอกาสใช้เวลาร่วมกัน มีกิจกรรมต่างๆ เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างคนในครอบครัวให้ดียิ่งๆ ขึ้นไป ในขณะที่มีอีกหลายครอบครัวที่ประสบปัญหาเรื่องงาน เงิน กระทั่งเกิดความเครียด ซึ่งนำไปสู่ความขัดแย้ง จนบ้านกลายเป็นสนามรบ สามวันดีสี่วันทะเลาะ คู่รักหลายต่อหลายคู่เลือกที่จะยุติความสัมพันธ์ไม่ไปต่อ ซึ่งเรื่องนี้ไม่ได้เกิดเฉพาะกับคนในบ้านเมืองเราเท่านั้น แต่เกิดขึ้นกับคนทั้งโลก 

สถิติความขัดแย้งในครอบครัวช่วง COVID-19 จากการสำรวจของสมาคม จิตแพทย์อเมริกา (America Psychiatry Association) ร้อยละ 12 ของชาวอเมริกันยอมรับว่า ครอบครัวของพวกเขาทะเลาะกันมากขึ้น และพบว่าครอบครัวจะมีความสุขมากขึ้นในช่วงสัปดาห์แรกของ Lockdown แต่เมื่อเวลาผ่านไปเกิน 1 เดือน คนในครอบครัวกลับรู้สึกเครียด และเริ่มคิดว่าครอบครัวเริ่มมีปัญหา ทางด้านประเทศจีนพบสถิติการหย่าร้างเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว คู่สมรสที่ยื่นเรื่องขอหย่าร้างในเมืองซีอาน (Xi’an) และต้าโจว (Dazhou) เพิ่มสูงมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเมืองเซี่ยงไฮ้ก็มีจำนวนคดีที่เกี่ยวข้องกับการหย่าร้างเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 25 

ในขณะที่สื่อทุกช่องทางให้ความสำคัญกับการฉีดวัคซีน และ อัตราการติดเชื้อ การเสียชีวิตออกข่าวกันเป็นรายวันรายชั่วโมง แต่ไม่มีหน่วยงานไหนออกมาพูดชัดเจนในเรื่องการดูแลครอบครัวอย่างไรไม่ให้เกิดปัญหาในช่วงล็อกดาวน์ มีวิธีปฏิบัติดังนี้

1. ยอมรับและเรียนรู้ที่จะอยู่กับความจริงในปัจจุบัน

ขั้นตอนแรกของการจัดการปัญหา คือการยอมรับว่าเรากำลังอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ปกติ เป็นธรรมดาที่จะรู้สึกกังวลและประสบความยากลำบากในการจัดการปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น ความกังวลเป็นเพียงสัญชาตญาณการต่อสู้เพื่อที่จะเอาตัวรอดจากวิกฤติครั้งนี้ ควรหลีกเลี่ยงการกังวลกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นเวลานานๆ โดยไม่จำเป็น การเสพข่าวเรื่องเดิมๆ ซ้ำไปซ้ำมาตลอดทั้งวันย่อมไม่เกิดผลดี มีแต่จะทำให้เกิดความเครียดมากขึ้น

2. การสื่อสารเชิงบวกสำคัญที่สุด

ทุกคนในครอบครัวต่างก็มีความเครียดส่วนตัว ต้องอาศัยความเข้าอกเข้าใจซึ่งกันและกัน ทุกคนทำงานในบ้าน การดูแลเอาใจใส่อาจทำไม่ได้ดีเท่าตอนปกติ การเข้า Zoom ประชุมงานทั้งวัน การประสานงานพูดคุยกันโดยไม่ได้เจอหน้ากัน เหนื่อยกว่าเป็น 2 เท่า การพูดให้กำลังใจกันและกันเป็นเรื่องจำเป็น ข้อผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ ให้มองผ่าน ชมกันให้มากกว่าต่อว่า ในตรงกันข้ามหากมีใครสักคนในบ้านเป็น Toxic Person เอาแต่ใจ พูดไม่ดี ด่าทอ อารมณ์เสียตลอดเวลา คนในบ้านก็พลอยไม่มีความสุข และหากมีใครสักคนทนไม่ได้ ตอบโต้ขึ้นมา บ้านที่เคยน่าอยู่ ก็จะกลายเป็นสนามรบทันที

3. จัดระเบียบชีวิตใหม่ 

ในเมื่อทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว ชีวิตย่อมเปลี่ยนไปตามการเปลี่ยนแปลง ชีวิตจะไปต่อได้ ให้ดูสิ่งของในบ้านว่าอะไรที่เกินความจำเป็นบ้าง เลือกไว้เฉพาะที่จำเป็นสำหรับคนในบ้านเท่านั้น พื้นที่ในการตั้งโต๊ะทำงาน โต๊ะเรียนหนังสือของคนในบ้านต้องมีพื้นที่เพียงพอ อุปกรณ์ในการทำงาน การเรียนต้องครบ เครื่องมือสื่อสาร อินเทอร์เน็ต ควรจัดตารางเวลาลำดับหน้าที่ของแต่ละคนให้ลงตัว ช่วงงาน ช่วงเวลาอาหาร ช่วงพัก มีเวลาส่วนตัว และการพูดคุยกันในเวลาของครอบครัว จะได้เอาใจใส่ซึ่งกันและกันในช่วงนี้  นี่ไม่ใช่สถานการณ์ปกติ หากยังใช้วิถีชีวิตอย่างไม่เตรียมพร้อมมีความเสี่ยงสูงมากที่จะเกิดปัญหาได้

เชื่อว่า 3 วิธีที่พูดมา คงจะทำให้คุณจัดการกับความกังวลที่เกิดขึ้น เรียนรู้วิธีสื่อสารเชิงบวก และการปรับตัวเองในการใช้ชีวิตใหม่ เพื่อให้คนในครอบครัวผ่านวิกฤติครั้งนี้ไปพร้อมๆ กันค่ะ

เขียนโดย อ.นิธิมา กุญชร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาบุคลากร โปรเฟสชั่นนอล เทรนเนอร์
#Talktonitima


อ้างถึง:

https://www.posttoday.com/life/healthy/653628
https://psychologistbkk.com/th/%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B9%8C/

วันนี้เราลองมาดูแนวทางการพัฒนาชาติอย่างยั่งยืน ที่ทำให้สวีเดนพัฒนาจากประเทศที่เคยยากจนที่สุดในยุโรป ให้กลายเป็นหนึ่งในประเทศที่มีสิ่งแวดล้อมดีที่สุดในโลกกันดีกว่า

ทำไมใครๆ ก็อิจฉาสวีเดน หนึ่งในประเทศผู้นำด้านสิ่งแวดล้อมโลก และการพัฒนาที่ยั่งยืนระดับโลก

...ประเทศสวีเดน หนึ่งในประเทศแถบสแกนดิเนเวียที่เคยติดอันดับประเทศที่มีการพัฒนาอย่างยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม และพลังงานทางเลือกที่ดีที่สุดในโลก

...ประเทศที่จำเป็นต้องนำเข้าขยะจากต่างประเทศ เพราะขยะไม่พอรีไซเคิลใช้ในประเทศ

...ประเทศแรกในโลกที่ประกาศเป้าหมายปลอดการใช้พลังงานคาร์บอน

...และยังเป็นประเทศบ้านเกิดของนักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมชื่อดังระดับโลกอย่าง เกรต้า ธุนเบิร์ก

สวีเดนทำได้อย่างไร? วันนี้เราลองมาดูแนวทางการพัฒนาชาติอย่างยั่งยืน

ที่ทำให้สวีเดนพัฒนาจากประเทศที่เคยยากจนที่สุดในยุโรป ให้กลายเป็นหนึ่งในประเทศที่มีสิ่งแวดล้อมดีที่สุดในโลกกันดีกว่า

ปัจจัยสำคัญที่สร้างสวีเดนให้มีความมั่งคั่ง และยั่งยืนในด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม คือ ยุทธศาสตร์ของรัฐบาล การพัฒนาด้านนวัตกรรม สังคมคุณภาพ และการศึกษาที่มีเป้าหมายหากนับย้อนหลังไปเมื่อร้อยปีก่อน ประเทศสวีเดน อาจเป็นเพียงหนึ่งในประเทศยากจนในดินแดนยุโรป ที่อาศัยรายได้จากกสิกรรมเป็นหลัก และมักได้ผลผลิตน้อยเนื่องจากอยู่ในเขตที่มีอากาศหนาวจัด และประชากรเบาบาง แต่สิ่งที่ทำให้สวีเดนสามารถพัฒนาจนกลายเป็นประเทศที่มีความเจริญก้าวหน้า และเป็นผู้นำที่ทรงอิทธิพลในด้านสิ่งแวดล้อมประเทศหนึ่งของโลก มีอยู่หลายปัจจัย

จุดเด่นของรัฐบาลสวีเดน คือการวางแผนยุทธศาสตร์ด้านสิ่งแวดล้อมได้อย่างชัดเจน และเห็นเป้าหมาย ซึ่งสวีเดนก็เป็นประเทศแรกๆ ในโลก ที่ผ่านร่างกฏหมายด้านสิ่งแวดล้อมระดับประเทศที่ชื่อว่า Environmental Protection Act ตั้งแต่ปี 1967 และยังเป็นเจ้าภาพในการจัดงานประชุมด้านสิ่งแวดล้อมโลกขององค์การสหประชาชาติเป็นครั้งแรกของโลกในปี 1972

และทราบหรือไม่ว่าเมือง Växjö ในสวีเดนเป็นเมืองแรกของโลกที่ประกาศเป้าหมายเป็นเมืองปลอดพลังงานจากคาร์บอนตั้งแต่ปี 1996 ให้บรรลุเป้าหมายภายในปี 2030 ซึ่งเมือง Växjö ยังได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่มีความเขียวขจีที่สุดในยุโรป

ทั้งนี้ รัฐบาลสวีเดนยังได้ตั้งเป้าหมายว่าจะเป็นประเทศปลอดคาร์บอนให้ได้ภายในปี 2045 ซึ่งเป้าหมายนี้ตั้งอยู่บนยุทธศาสตร์ด้านสิ่งแวดล้อมของชาติที่เรียกว่า ‘1 เจนเนอเรชั่น 16 เป้าหมาย 24 หลักชัย’

หมายความว่า สวีเดนตั้งเป้าที่จะส่งมอบประเทศที่มีสิ่งแวดล้อมที่สะอาด ปลอดภัยและยั่งยืน ให้สำเร็จให้ได้ภายใน 1 ช่วงอายุคนที่ครอบคลุม 16 เป้าหมายดังนี้

1. จำกัดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม
2. อากาศบริสุทธิ์
3. รักษาสมดุลย์ของกรดในธรรมชาติ
4. สิ่งแวดล้อมที่ปลอดสารพิษ
5. ปกป้องชั้นบรรยากาศ
6. มีความปลอดภัยจากพิษรังสี
7. ปลอดมลภาวะทางน้ำ
8. แม่น้ำ ลำธารงดงาม
9. น้ำบาดาลที่มีคุณภาพดี
10. รักษาสมดุลย์ของสิ่งแวดล้อมทางทะเล
11. พื้นที่ชุ่มน้ำสมบูรณ์
12. ป่าไม้ยั่งยืน
13. เกษตรกรรมหลากหลาย

14. ป่าเขาอุดมสมบูรณ์
15. สร้างอาคารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
16. พืชพันธุ์ สัตว์ป่าสารพัน

‘16 เป้าหมาย 24 หลักชัย’ จึงเป็นเหมือนเป็นแนวทางที่รัฐบาลตั้งธงไว้ อาทิ ลดผลกระทบด้านภูมิอากาศ การบริหารจัดการขยะ รักษาความหลากหลายทางชีวภาพ กำจัดสารพิษ และมลพิษทางอากาศ เป็นต้น

นอกจากจะมียุทธศาสตร์ด้านสิ่งแวดล้อมที่ชัดเจนแล้ว รัฐบาลสวีเดนยังให้ความสำคัญกับการพัฒนานวัตกรรม และเทคโนโลยีด้านสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา โดยการทุ่มงบประมาณสูงถึง 400 ล้านโครเนอร์ (ประมาณ 1.44 พันล้านบาท) ในแต่ละปีเพื่องานวิจัย และพัฒนาเทคโนโลยีด้านสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ ในประเทศ

โดยเฉพาะโครงการพลังงานสะอาดที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนน้อย ซึ่งปัจจุบันนี้ 80% ของพลังงานที่ใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้าของสวีเดน มาจากแหล่งพลังงานปลอดคาร์บอนแทบทั้งสิ้น เช่นพลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติ พลังงานจากน้ำ คลื่น แสงอาทิตย์ ลม ชีวภาพ  หรือแม้แต่ความร้อนจากร่างกายมนุษย์ก็สามารถนำมาใช้ผลิตพลังงานได้เช่นกัน นับเป็นประเทศที่ใช้พลังงานทางเลือกแทนพลังงานคาร์บอนสูงที่สุดในยุโรป

ส่วนภาคสังคมชาวสวีเดน ก็เป็นส่วนสำคัญอย่างมากที่จะพาประเทศไปสู่เป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม เนื่องจากชาวสวีเดนมีความตระหนักรู้ในด้านสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างมาก นิยมสินค้าออแกนิคส์ มีระเบียบวินัยสูงในการคัดแยกขยะรีไซเคิล ที่สามารถนำกลับมาใช้เป็นพลังงานต่อได้ จนถึงขนาดขยะในประเทศไม่พอใช้ ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ

เรื่องการจัดการขยะอย่างมีประสิทธิภาพนี้ ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น เชื่อหรือไม่ว่าในจำนวนขยะทั้งหมดที่มีในสวีเดน มีเพียงแค่ 1% เท่านั้นที่จำเป็นต้องเหลือทิ้งจริงๆ ส่วน 49% นั้นชาวสวีเดนจะใช้วิธีแปรรูปนำกลับมาใช้ใหม่ และอีก 50% ถูกส่งไปเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตพลังงานในประเทศ ซึ่งในสวีเดนมีโรงงานแปรรูป ขยะ-สู่-พลังงาน ถึง 34 แห่ง 

และชาวสวีเดนมักยอมจ่ายแพง หากค่าใช้จ่ายนั้นจะช่วยในเรื่องการเรื่องการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ซึ่งสวีเดนก็เป็นประเทศแรกๆของโลก ที่เก็บภาษีคาร์บอนตั้งแต่ปี 1991 แถมจ่ายในอัตราที่แพงที่สุดในโลก ที่ 1,190 โครเนอร์ (4,290 บาท) ต่อการปล่อยก๊าซคาร์บอน 1 เมตตริกตัน และตั้งแต่เก็บภาษีคาร์บอนมาได้กว่า 30 ปี การปล่อยก๊าซคาร์บอนในประเทศก็ลดลงเรื่อยๆ ซึ่งสวนทางกับการเติบโตด้านเศรษฐกิจในประเทศ เนื่องจากรัฐบาลนำเงินภาษีที่ได้ไปพัฒนาสวัสดิการด้านพลังงานในประเทศ ชาวสวีเดนส่วนใหญ่จึงจิตสาธารณะในการช่วยกันอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และยังนิยมเลือกพรรคการเมืองที่เน้นนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมที่ดี

นอกจากนี้ยังมีการสำรวจพบว่า มากกว่า 80% ของชาวสวีเดนอาศัยอยู่ไม่ไกลเกินรัศมี 5 กิโลเมตรจากพื้นที่สีเขียว สวนสาธารณะ แหล่งอนุรักษ์ทางธรรมชาติ ที่มีอยู่มากกว่า 4,000 แห่งทั่วประเทศ กิจกรรมสันทนาการอย่างการเดินป่า ปีนเขา นอนแคมป์ จึงเป็นที่นิยมของชาวสวีเดน และยังเป็นหนึ่งในหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องดูแลให้ชาวสวีเดนสามารถเข้าถึงพื้นที่สีเขียวเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจด้วย

สังคมคุณภาพของสวีเดนจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย ถ้าไม่เริ่มต้นตั้งแต่ระบบการศึกษา ที่ปลูกฝังจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อมในทุกระดับชั้น ด้วยการสอนให้รู้ถึงความสำคัญของการคัดแยกขยะ การใช้ของอย่างคุ้มค่า ลดการใช้ขวด แก้วพลาสติก ใช้อุปกรณ์การเรียน การสอนด้วยวัสดุรีไซเคิล

โรงเรียนในสวีเดนไม่ได้สอนวิชาด้านสิ่งแวดล้อมโดยตรง แต่เนื้อหาด้านสิ่งแวดล้อมนั้นจะแทรกอยู่ในทุกวิชาที่เด็กเรียน เพื่อเน้นให้เด็กเห็นถึงปัญหาของสิ่งแวดล้อมในภาพรวมว่าอยู่ใกล้ตัวเรามากแค่ไหน จึงไม่แปลกใจว่า ระบบการศึกษานี้ได้สร้างนักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมคนสำคัญอย่าง เกรต้า ธุนเบิร์ก ที่ออกมารณรงค์เรื่องภาวะโลกร้อนอย่างเข้มแข็งตั้งแต่อายุ 15 ปี

ด้วยปัจจัยเหล่านี้ จึงขับเคลื่อนให้สวีเดนเป็นหนึ่งในประเทศที่เป็นผู้นำของการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนทางด้านสิ่งแวดล้อม พลังงานทางเลือก และการอนุรักษ์จัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างคุ้มค่า ปราศจากมลภาวะ จนเป็นที่อิจฉาของหลายๆประเทศ

แต่การที่จะก้าวขึ้นมายืนอยู่ในระดับเดียวกับสวีเดนได้นั้น ต้องพัฒนาโครงสร้างทางสังคมทั้งระบบ ทั้งภาครัฐ เอกชน สังคม และการศึกษา ให้ตระหนักรู้ถึงความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อม และมองเห็นเป้าหมายในทิศทางเดียวกันนั่นเอง

เขียนโดย: อรุณรัตน์ เปรมสิริอำไพ คอลัมนิสต์อิสระ นามปากกา Jeans Aroonrat


อ้างอิง:
https://sweden.se/nature/7-examples-of-sustainability-in-sweden/
http://www.inquiriesjournal.com/articles/1555/sweden-the-worlds-most-sustainable-country-political-statements-and-goals-for-a-sustainable-society
https://www.thehumble.co/blogs/news/sweden-aka-the-most-sustainable-country-in-the-world-1
https://hoting-tasjodalen.com/how-did-sweden-become-the-most-sustainable-country-in-the-world/
https://www.nbcnews.com/news/world/sweden-s-environmental-education-building-generation-greta-thunbergs-n1106876
https://taxfoundation.org/sweden-carbon-tax-revenue-greenhouse-gas-emissions/

ท่ามกลางวิกฤติ พลังความคิดที่จะช่วยเหลือให้รอดปลอดภัยไปด้วยกัน “ไม่ได้วัดที่ระดับไอคิว” แต่วัดที่ “ระดับจิตสาธารณะ”

ในช่วงภาวะปกติ ชีวิตแต่ละคนดำเนินไปตามจุดมุ่งหมายที่ตั้งเป้าไว้ ยิ่งปกติ ยิ่งทำให้วางแผนไปสู่เป้าหมายได้ไม่ยาก ขอให้ทำตามแผน ต่อให้ไม่ถึงดวงจันทร์ แต่อย่างน้อยก็จะอยู่ท่ามกลางดวงดาวแน่นอน 

วัยเรียน วัยศึกษาค้นคว้า วัยรุ่น วัยโลดโผนโจนทะยาน วัยที่ต้องมีพื้นที่ในการปล่อยของ สายคงแก่เรียนเป้าหมายการทำคะแนนสอบให้ดี เกรดสูง ใฝ่ฝันศึกษาสถาบันในฝัน วาดฝันอนาคตทางวิชาการ ภาพฝันเหล่านั้น เกิดขึ้นไม่ยากจนเกินไป หากอยู่ในสถานการณ์ปกติ โดยที่โฟกัสเฉพาะแค่ตัวเราเองให้ขยันหมั่นเพียรในเรื่องการเรียนก็เพียงพอ 

ณ วันนี้ ความจริง คือ สถานการณ์ไม่ปกติเสียแล้ว ทุกคนบนโลกทรงส้มแป้นนี้ เผชิญกับภาวะที่ยากลำบากครั้งหนึ่งที่เคยเกิดขึ้น การเผชิญกับภาวะโรคระบาดครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลกมนุษย์ ยังไม่พอเชื้อไวรัสกลายพันธุ์อย่างรวดเร็วแตกเป็นหลายสายพันธุ์อีกต่างหาก จุดจบเรื่องนี้เกิดขึ้นแน่ๆ แต่ระหว่างนั้น พวกเราจะอยู่กันอย่างไร? นี่เป็นคำถามที่ทุกช่วงทุกวัยต้องเผชิญ อยู่ด้วยการด่าทอ อยู่ด้วยความสิ้นหวัง หรืออยู่ด้วยพลังที่จะสู้เพื่อความอยู่รอด พลังที่จะช่วยเหลือกัน คิดถึงส่วนรวม ให้รอดปลอดภัยไปด้วยกัน  วิธีคิดเหล่านี้ “ไม่ได้วัดที่ระดับไอคิว” แต่วัดที่ “ระดับจิตสาธารณะ”

“จิตสาธารณะ” ไม่ใช่คำสวยหรูดูดี เมื่อใครทำความดีตามหน้าสื่อ และไม่ได้หมายถึงแค่การบริจาคสิ่งของ สละทรัพย์เท่านั้น แต่แท้จริงแล้ว หมายถึง การมีจิตใจ ความคิด วิธีปฏิบัติที่เห็นแก่ส่วนรวมมากกว่าส่วนตน วิธีคิดแบบจิตสาธารณะนั้น ใช้ได้กับทุกสถาบันทางสังคม ตั้งแต่เพื่อน คนรัก ครอบครัว สังคม ประเทศชาติ และระดับโลก 

“จิตสาธารณะ” จะยิ่งเห็นชัดเมื่อเกิด “วิกฤติ” เสมอ ในสภาพปกติ การจะแยกว่าใคร สังคม สถาบันไหน มีความเป็น “จิตสาธารณะ” นั้น ก็จะดูกันตามชื่อหน่วยงาน มูลนิธิ แต่เมื่อเกิด “วิกฤติ” เราจะเห็นได้อย่างชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะ “คนปกติที่เห็นกันทั่วไป” คนไหนมี “จิตสาธารณะ” อันหมายถึง บุคคลไหน คิดถึงส่วนรวมมากกว่าส่วนตนอย่างแท้จริง และแน่นอนว่าหมายรวมถึงในระดับที่ใหญ่ขึ้นอย่างหน่วยงาน สถาบันต่าง ๆ ในระดับรัฐด้วย 

“จิตสาธารณะ” มีหลายระดับ ระดับดูแลตัวเองไม่ให้เป็นภาระผู้อื่น นี่ก็ถือว่าเป็นจิตสาธารณะ เพราะคิดถึงผู้อื่นจึงดูแลตัวเอง ระดับครอบครัว การหลีกเลี่ยงไม่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อความไม่มั่นคงของครอบครัวเพียงเพราะความสุขสบายของตัวเอง ก็เพราะคิดถึงส่วนรวมคือความมั่นคงภายในครอบครัว เช่นนี้ก็คือจิตสาธารณะ สถาบันการศึกษา หรือแม้แต่สถาบันระดับชาติก็ไม่ต่างกัน หากองค์กรต่างๆ มี “จิตสาธารณะ” ในภาวะวิกฤติจะผ่านไปได้ อย่างน้อยที่สุดก็ไม่เจ็บมากไปกว่าเดิม ทั้งหมดทั้งมวลก็เพราะมีจิตที่คิดถึงประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตน 

ด้วยประการข้างต้น ในภาวะวิกฤติจึงกล่าวได้ว่า ไอคิวไม่เท่าไหร่ แต่ใจต้องมีจิตสาธารณะ นั่นเอง 

เขียนโดย: ปริม กุญชนิตา กุญชร ณ อยุธยา Program Director THE STUDY TIMES 

ทั้งสวยและมากความสามารถสมเป็นตัวอย่างไอดอลที่ใคร ๆ ต่างนับเป็นต้นแบบอย่าง สาว”เฌอปราง BNK48” ที่เรียนจบด้วยเกียรตินิยมอันดับ 2 จากมหาวิทยาลัยมหิดล

การศึกษาของสาว เฌอปราง BNK48 หรือ เฌอปราง อารีย์กุล นั้นจบการศึกษาระดับมัธยมจากโรงเรียนรุ่งอรุณหลังจากนั้นได้ศึกษาต่อใน สาขาวิชาเคมี ภาควิชาวิทยาศาสตร์ วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล 

และในช่วงปีสองและสาม เฌอปรางได้รับหน้าที่เป็นผู้ช่วยวิจัย โดยในปี พ.ศ. 2560 เฌอปรางได้ร่วมงานวิจัยเรื่อง "การทดลองขวดสีน้ำเงิน" จนได้รับการตีพิมพ์ในวารสารวิทยาศาสตร์ Royal Society Open Science ของสหราชอาณาจักร เมื่อเดือนพฤศจิกายน และสาวเฌอปรางได้ศึกษาจนจบในระดับปริญญาตรีด้วยเกียรตินิยมอันดับ 2 ด้วยเกรดเฉลี่ย 3.46

นอกจากการเรียนที่เก่งแล้ว เฌอปรางยังเป็นสมาชิกวงสุดฮอตอย่าง BNK48 มีตำแหน่งเป็นหัวหน้าวงไอดอลหญิง โดยมีฉายาว่า “แคปเฌอ” ซึ่งมาจากคำว่า แคป ของ Captain และชื่อเฌอ จากเฌอปราง และเฌอปรางก็ยังเป็นแรงบันดาลใจให้เหล่าแฟนคลับสร้าง “ห้องสมุดเฌอปราง” โดยการนำเงินที่ได้ มาจากการนำการ์ของ เฌอปราง มาขาย และได้ในราคาสูงถึง 666,000 บาท มาเป็นทุนในการสร้างห้องสมุดและจะตั้งชื่อห้องสมุดว่า “เฌอปราง” ในฐานะที่เฌอปรางเป็นไอดอลด้านการศึกษา อีกด้วย

นอกจากจะสวยและเรียนเก่งขนาดนี้แล้ว ยังถือได้ว่าสาวเฌอปรางเป็นแรงบันดาลใจในการศึกษาให้กับเหล่าแฟนคลับและผู้ที่ติดตามเธออีกด้วย ไม่ใช่แค่เรื่องการเรียนแต่ยังเป็นเรื่องของการทำความดี ตอบแทนสังคมอีกด้วย 


ที่มา 
https://www.sanook.com/campus/1401791/


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top