Wednesday, 21 May 2025
ระยอง

'ก้าวไกล' จวก 'เศรษฐา' เก่งแต่ต่อว่าคนอื่น แต่ทำงานไม่ได้เรื่อง หลังปมเพลิงไหม้โรงงาน 'อยุธยา-ระยอง' หาจุดจบไม่ได้เสียที

(2 พ.ค. 67) นายชุติพงศ์ พิภพภิญโญ สส.ระยอง และนายทวิวงศ์ โตทวิววงศ์ สส.พระนครศรีอยุธยา พรรคก้าวไกล (ก.ก.) แถลงความคืบหน้ากรณีไฟไหม้โรงงานวินโพรเสส รวมถึงเหตุเพลิงไหม้โกดังเก็บสารเคมีใน อ.ภาชี จ.พระนครศรีอยุธยา เมื่อคืนวันที่ 1 พ.ค.

โดยนายชุติพงศ์ กล่าวว่า จากการตรวจสอบพบข้อมูลว่าโรงงานวินโพรเสส ที่ จ.ระยอง และโกดังเก็บสารเคมี ที่ อ.ภาชี จ.พระนครศรีอยุธยา มีเจ้าของกลุ่มเดียวกัน สิ่งที่น่าสนใจ คือก่อนหน้านี้ที่อยุธยาเคยเกิดเหตุเพลิงโรงงานสารเคมี และมีการสั่งย้ายสารเคมีภายในโรงงานออกทั้งหมด จากนั้นมาเกิดเหตุเพลิงไหม้โรงงานที่ระยอง และล่าสุดคือเกิดเหตุเพลิงไหม้ที่โกดังในพระนครศรีอยุธยา ระดับผู้สั่งการทำได้แค่สั่งแต่ไม่มีแผนเผชิญเหตุ จึงฝากไปถึงรัฐบาลในฐานะผู้รับผิดชอบหลัก และนายกรัฐมนตรีที่ลงพื้นที่ เห็นผลกระทบจากกลิ่นสารเคมี ต้องถามว่าทำงานกันเป็นหรือไม่ เพราะในการลงพื้นที่ไฮไลต์เดียวคือการไปต่อว่าอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม จนเมื่อวาน (1 พ.ค.) ต้องประกาศลาออกในที่ประชุม คณะกรรมาธิการ (กมธ.) อุตสาหกรรม สภาผู้แทนราษฎร

“ถ้าท่านอยากทำหน้าที่ใช้ปากทำงานต่อว่าคนอื่น ท่านเป็นฝ่ายค้านก็ได้ ท่านไม่ต้องเป็นรัฐบาลหรอก อำนาจสั่งการอยู่ที่ท่าน ท่านก็สั่งเลยว่าให้ตำรวจทำอะไร ให้แต่ละที่ทำอะไร และต้องฟ้องชดเชยเยียวยาอะไร เพราะอำนาจอยู่ในมือท่าน จึงต้องฝากนายกฯ เพราะท่านไปเห็นหน้างานมาแล้วว่าเหม็นขนาดไหน ถ้าหากท่านจะใช้ปากทำงานต่อว่าคนอื่น ไม่ต้องเป็นรัฐบาลก็ได้ และขอฝากถามไปถึงนายกฯ ว่าจะทำอย่างไรถึงจะจบสักที เพราะดูเหมือนว่าท่านสั่งอะไร ก็ไม่ได้ผลสักอย่าง เพราะแม้ตอนนี้จะยังไม่ทราบชัดเจนว่าสารเคมีในโรงงานมีอะไรบ้าง แต่เบื้องต้นพบว่าเป็นสารประเภทเดียวกันทั้ง 2 ที่” นายชุติพงศ์ กล่าว

เมื่อถามว่า มีความเชื่อมโยงว่ามีการเคลื่อนย้ายสารเคมีจาก จ.ระยอง มายังอ.ภาชี จ.พระนครศรีอยุธยาหรือไม่ นายชุติพงศ์ กล่าวว่า รัฐเป็นผู้ออกใบอนุญาตให้กับโรงงานเหล่านี้ ได้มีการตรวจสอบหรือไม่ว่าเอาสารเคมีอะไรเข้าไปเก็บบ้าง และมาจากที่ใด เพราะไม่มีใครรู้ หากเกิดสารเคมียังหลงเหลืออยู่แต่ไม่มีที่เก็บแล้ว จากนี้จะไปโผล่บ้านใครก็ไม่ทราบ รัฐบาลต้องทำให้ชัดเจน ว่าจะตรวจสอบเรื่องนี้อย่างไร ซึ่งในการตรวจสอบในชั้นกรรมาธิการพบข้อพิรุธหลายอย่างในเรื่องนี้

ต่อข้อถามว่าหากคดีมีความชัดเจนว่าเป็นการลอบวางเพลิง เอื้อประโยชน์นายทุน ฝ่ายค้านจะดำเนินการอย่างไรได้บ้าง นายชุติพงศ์ กล่าวว่า เบื้องต้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีการแจ้งความดำเนินคดี เพื่อนำตัวผู้กระทำผิดมาดำเนินคดี ต้องติดตามว่า คดีเหล่านั้นดำเนินการไปถึงไหนแล้ว และการขนย้ายใช้งบประมาณของกรมโรงงานฯ หรือเอกชนเจ้าของโรงงาน ซึ่งฝ่ายค้านก็จะติดตามอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เป็นบทเรียนว่าการทำแบบนี้จะต้องรับโทษอย่างไรบ้าง

เมื่อถามว่า มองว่ามีความจำเป็นที่โรงงานต้องเกิดเหตุไฟไหม้ในตอนนี้หรือไม่ นายชุติพงศ์ กล่าวว่า ค่าขนย้ายสารเคมีไปกำจัดมีราคาแพง

ด้านนายทวิวงศ์ กล่าวว่า ปัจจุบันทีมผจญเพลิงรับมือ ได้มีการเตรียมแผนรับมือไว้ เนื่องจากพบกรดกัดกร่อนรุนแรงที่พื้นโรงงาน หลังจากไฟไหม้ตลอดทั้งคืน จึงต้องปรับแผนไปดับเพลิงบนหลังคา จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลเตรียมแผนรับมือ ชดเชยเยียวยาให้กับประชาชนที่เดือดร้อน และมาตรการดูแลเจ้าหน้าที่ ทั้งการตรวจสุขภาพ และการรักษาในระยะยาว ทั้งนี้ทราบบว่าเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา พบรอยตัดรั้วลวดหนาม หลังถูกดำเนินคดีที่ใช้กันพื้นที่โรงงานหลังถูกดำเนินคดีฟ้องร้อง จึงต้องไปตรวจสอบว่าเกิดจากสาเหตุใด

อย่างไรก็ตามนายชุติพงศ์ ได้เล่าถึงเหตุการณ์ในการประชุม กมธ.อุตสาหกรรม เมื่อวันที่ 1 พ.ค.ที่ผ่านมาว่า เข้าร่วมประชุมกมธ. ด้วยในฐานะ สส.จ.ระยอง พื้นที่เกิดเหตุ ซึ่งตนได้ถามอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรมเกี่ยวกับ งบประมาณในการขนย้ายสารเคมี ซึ่งอธิบดีกรมโรงงานฯ ที่นั่งอยู่ข้างตนก็ได้ตอบว่า "อ่อผมลาออกแล้วครับ" ตอนนั้นรู้สึกช็อกมาก

เมื่อถามว่าอธิบดีกรมโรงงานฯ ได้แจ้งเหตุผลของการลาออกหรือไม่ นายชุติพงษ์ กล่าวว่า ไม่แน่ใจ น่าจะเป็นเพราะถูกนายกฯ ต่อว่า และทราบว่ากำลังถูกสั่งย้าย ท่านจึงลาออก ซึ่งเรื่องนี้น่าสงสัย เพราะท่านเป็นคนเสนอให้ใช้เงินประกันที่ศาลมาดำเนินการขนย้ายสารเคมี ซึ่งก็ต้องรอผลในวันที่ 7 พ.ค.นี้ จึงต้องติดตามต่อไป เพราะประชาชนเริ่มสงสัยว่าเป็นการวางเพลิงต่อเนื่องหรือไม่

‘รมว.ปุ้ย’ ห่วงสถานการณ์เพลิงไหม้สารเคมีมาบตาพุด สั่งการ ‘ผู้ว่าฯ กนอ.’ ตรวจสอบ-ช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน

(9 พ.ค. 67) น.ส.พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวถึงความคืบหน้าเหตุเพลิงไหม้ถังเก็บวัตถุดิบสารไพโรไลสีส แก๊สโซลีน ของ บริษัท มาบตาพุด แทงค์ เทอร์มินัล จำกัด ในช่วงสายของวันนี้ว่า ขณะนี้ได้สั่งการให้การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เร่งตรวจสอบทุกระบบ และให้การช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน ในการเผชิญสถานการณ์และบัญชาการเหตุการณ์ในภาวะฉุกเฉิน

ขณะนี้มี นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่า กนอ.บัญชาการประจำวอร์รูม ประจำวอร์รูม เพื่อประสานเหตุการณ์และระงับเหตุ และมี นายคณพศ ขุนทอง รองผู้ว่าการ กนอ.สายงานปฏิบัติการ 3 อยู่หน้างาน

ส่วนการแก้ไขควบคุมเพลิงมีการระดมรถดับเพลิง เจ้าหน้าที่จากทุกหน่วยที่เกี่ยวข้องเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังมีทีมงาน EMCC มาบตาพุด และเจ้าหน้าที่ท่าเรือฯ มาบตาพุด นำรถตรวจการณ์ EMCC เข้าตรวจวัดคุณภาพอากาศบริเวณเหนือลม และท้ายลม รวมทั้งตรวจสอบผลการตรวจวัดคุณภาพอากาศบริเวณพื้นที่ชุมชนพบว่าไม่เกินค่ามาตรฐานที่กำหนด นอกจากนี้ ยังได้ประสานกับบริษัท SC เพื่อใช้เรือในการอพยพบุคลากรในพื้นที่

รมว.อุตสาหกรรม กล่าวว่า มีรายงานทางข้อมูลเทคนิคทราบว่าบริษัท มาบตาพุด แทงค์ เทอร์มินัล จำกัด (MTT) ได้รับอนุญาตให้ใช้ที่ดินและประกอบกิจการท่าเทียบเรือและคลังเก็บสินค้าเหลว (สารปิโตรเคมี, คลังเก็บวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์) ระหว่างการเดินระบบปกติ ได้เกิดกลุ่มควันบริเวณถังจัดเก็บสารไพรโรไลสิส แก๊สโซลีน (Pyrolysis Gasoline) หมายเลขถัง TK 1801 ขนาดบรรจุ 9,000 ลบ.ม. การเผชิญเหตุบริษัทฯ ได้ดำเนินการตามแผนตอบโต้สภาวะฉุกเฉิน และ กนอ.ได้จัดส่งรถตรวจสอบคุณภาพอากาศ เพื่อตรวจสอบคุณภาพอากาศบริเวณรอบ พร้อมทั้งแจ้งปิดร่องน้ำทางเดินเรือท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด

อาลัย ‘พนักงานหนุ่ม’ บ.มาบตาพุดแทงค์ฯ ผู้กล้าหาญ พยายามเข้าปิดวาล์วถังแก๊สโซลีน ก่อนถูกแรงระเบิดเสียชีวิต

เมื่อวานนี้ (9 พ.ค.67) จากกรณีเกิดเหตุเพลิงไหม้ ถังเก็บสาร Pyrolysis gasoline (แก๊สโซลีน) ถนนไอ-แปด ทางเรือมาบตาพุด ต.มาบตาพุด อ.เมือง จ.ระยอง ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 1 ราย และบาดเจ็บ 4 ราย โดยเจ้าหน้าที่ใช้เวลาดับเพลิงกว่า 8 ชั่วโมง ส่วนสาเหตุเกิดจาก การปิดซ่อมบำรุงถังสารโซลีน โดยพนักงานทั้ง 4 คน ได้ขึ้นไปตรวจวัดปริมาณสารซีไนพลัส ซึ่งเป็นตัวทำละลาย พบว่ามีความจุของสาร 8,000 คิว แต่ปรากฏว่าได้เกิดกลุ่มควันลอยขึ้นมา แล้วก็เกิดระเบิดขึ้น แรงระเบิดได้ส่งผลให้ทั้ง 4 คนตกลงมาจากถัง 

ต่อมาล่าสุด เฟซบุ๊กเพจ ‘Fire & Rescue Thailand’ ได้โพสต์อาลัยพนักงานของบริษัทดังกล่าว ที่พยายามขึ้นไปปิดวาล์วบนถัง ก่อนเกิดการระเบิด จนเสียชีวิต โดยระบุว่า…

ขอแสดงความเสียใจ และขอแสดงความไว้อาลัยแด่ผู้เสียชีวิต จากกรณีเหตุเพลิงไหม้ถังเก็บสารตั้งต้นผลิตน้ำมัน และผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี บริษัท มาบตาพุดแทงค์เทอร์มินัล จำกัด ภายในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จ.ระยอง เมื่อช่วงบ่ายวันนี้

โดยผู้เสียชีวิตชื่อ นายนพพร เรือนมา เป็นพนักงานประจำของบริษัท ที่พยายามขึ้นไปปิดวาล์วบนถัง ก่อนเกิดการระเบิดขึ้น โดยแรงระเบิดทำให้เสียชีวิต เพจ คนอาสา ดับเพลิง-กู้ภัย ประเทศไทย ขอแสดงความยกย่องผู้เสียชีวิต ในความกล้าหาญและเสียสละ จนทำให้ตนเองต้องเสียชีวิต

หลังโพสต์ดังกล่าวเผยแพร่ไป ชาวเน็ตจำนวนมากเข้ามาแสดงความชื่นชมในความกล้าหาญ และแสดงความเสียใจกับการสูญเสียในครั้งนี้ด้วย

‘รมว.ปุ้ย’ ลงพื้นที่ตรวจสอบ เหตุไฟไหม้ถังสารเคมี มาบตาพุด พร้อมสั่งเยียวยา - ส่งเสียลูกผู้เสียชีวิตจนจบปริญญาตรี

(10 พ.ค. 67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ ผวจ.ระยอง นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ ปูนใหญ่ (SCC) พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เดินทางไปบริเวณจุดเกิดเหตุ บริษัทมาบตาพุด แทงค์ เทอร์มินัล จำกัด ถนนไอ-แปด ทางเรือมาบตาพุด ต.มาบตาพุด อ.เมือง จ.ระยอง เพื่อตรวจสอบและติดตามความคืบหน้าของสถานการณ์

เมื่อเดินทางไปถึงบริเวณโรงงาน แค่ลงจากรถก็ถึงกับผงะกลิ่นฉุนของสารที่ถูกเผาไหม้ สูดดมเข้ารู้สึกแสบจมูกมาก สำหรับจุดเกิดเหตุขณะไฟดับหมดแล้ว แต่ยังคงมีการเฝ้าระวังอยู่

ด้านนางพิมพ์ภัทรา รมว.อุตสาหกรรม ได้สอบถามถึงผู้เสียชีวิต ซึ่งทราบว่า บ้านเกิดอยู่จ.เชียงราย ภรรยาทำงานอยู่ในห้างสรรพสินค้า มีบุตรด้วยกัน 1 คน จึงย้ำให้เยียวยาอย่างเต็มที่กับความสูญเสียที่เกิดขึ้น ซึ่งทางผู้บริหารก็ยืนยันจะช่วยเหลือครอบครัว พร้อมส่งลูกเรียนจนจบระดับปริญญาตรี หลังนั้นก็เดินทางต่อไป เยี่ยมประชาชนข้างโรงงาน ที่ศาลาตากวน-อ่าวประดู่ ต.มาบตาพุด อ.เมือง จ.ระยอง

เมื่อเดินทางไปถึง พบชาวบ้านนับร้อยคน ได้มารอต้อนรับ และรมว.ได้เข้าไปสอบถามพูดคุยกับชาวบ้านอย่างเป็นกันเอง พร้อมขอโทษชาวบ้าน โดยส่วนใหญ่เป็นชาวบ้านที่อาศัยอยู่รอบข้างโรงงานเกิดเหตุ ก่อนจะเดินทางกลับไป

ด้านญาติผู้เสียชีวิต เตรียมรับศพผู้เสียชีวิต จากโรงพยาบาลระยอง ไปบำเพ็ญกุศลที่บ้านเกิดจ.เชียงราย

'รมว.ปุ้ย' สั่ง 'ดีพร้อม' เร่งเยียวยาพี่น้องประชาชนในพื้นที่มาบตาพุด ระดมของใช้จำเป็น มอบให้คนในพื้นที่และชุมชนใกล้เคียง

(12 พ.ค.67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม สั่งการให้ นายภาสกรชัยรัตน์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เร่งเยียวยาและฟื้นฟูให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการและพี่น้องประชาชนในพื้นที่จากเหตุเพลิงไหม้ถังเก็บวัตถุดิบสารไพโรไลสีส แก๊สโซลีนของบริษัท มาบตาพุดแทงค์เทอร์มินัล จำกัด จ.ระยอง โดยเน้นการเคียงข้าง พัฒนา และช่วยเหลือผู้ประกอบการและประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุเพลิงไหม้ดังกล่าวโดยตรง เพื่อให้พี่น้องประชาชนและชุมชนมีขวัญกำลังใจที่ดี พร้อมทั้งเร่งสำรวจความต้องการในพื้นที่เพื่อเป็นการสร้างศักยภาพเกิดการสร้างรายได้ และอาชีพอย่างยั่งยืนในอนาคต

นายภาสกร ชัยรัตน์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวว่า จากเหตุเพลิงไหม้ดังกล่าว ทาง รมว.อุตสาหกรรม มีความกังวลและเป็นห่วงพี่น้องประชาชนที่อยู่รอบๆ บริเวณพื้นที่ที่เกิดเหตุ จึงได้สั่งการให้หน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวงอุตสาหกรรมร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อเยียวยาและให้ความช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าวอย่างเร่งด่วน 

“กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม ขานรับข้อสั่งการดังกล่าว จึงได้มอบหมายให้ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมที่เป็นหน่วยรับผิดชอบในพื้นที่ เร่งลงพื้นที่และบูรณาการความร่วมมือกับอุตสาหกรรมจังหวัด และผู้ประกอบการของดีพร้อม ซึ่งเบื้องต้นจะเร่งระดมของใช้ที่จำเป็น เครื่องอุปโภคบริโภค เครื่องเวชภัณฑ์ มอบให้พี่น้องประชาชนในพื้นที่และชุมชนใกล้เคียงที่ได้รับผลกระทบจากเหตุเพลิงไหม้ดังกล่าวโดยตรง เพื่อให้พี่น้องประชาชนและชุมชนมีขวัญกำลังใจที่ดี พร้อมทั้งเร่งสำรวจความต้องการในพื้นที่เพื่อเป็นการสร้างศักยภาพ เกิดการสร้างรายได้ และอาชีพอย่างยั่งยืนได้ต่อไปในอนาคต” นายภาสกร กล่าว

นายภาสกร กล่าวต่อว่า จากผลการสำรวจ ดีพร้อม ได้เตรียมแผนระยะกลาง และระยะยาว ภายใต้โครงการ/กิจกรรมต่างๆ เพื่อฟื้นฟูผู้ประกอบการ ประชาชน ชุมชนโดยรอบและใกล้เคียงที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าว เพื่อส่งเสริมและพัฒนาองค์ความรู้ ทักษะการประกอบธุรกิจให้พี่น้องประชาชน และชุมชนโดยรอบทั้งในด้านทักษะพื้นฐานการผลิต การบริการ และการใช้ความคิดสร้างสรรค์ 

ทั้งนี้ ดีพร้อม ได้มีการดำเนินการเช่นเดียวกันนี้ ในพื้นที่เทศบาลตำบลภาชี จ.อยุธยา ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุเพลิงไหม้โกดังเก็บสารเคมี เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2567 และในพื้นที่ชุมชนหนองพะวา ต.บางบุตร อ.บ้านค่าย จ.ระยอง ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุไฟไหม้โรงงานวิน โพรเสส เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2567 โดย ดีพร้อมเตรียมแผนสำหรับการเยียวยาและฟื้นฟูพร้อมให้ความช่วยเหลือชุมชนอย่างเต็มที่

‘กมธ.อุตฯ’ เร่งขยายปม-ความคืบหน้าไฟไหม้โรงงาน หลังสงสัยเหตุ ‘ระยอง-อยุธยา’ อาจเป็นการวางเพลิง

(15 พ.ค. 67) ที่รัฐสภา นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ ประธานคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรม (กมธ.) สส.ราชบุรี เขต 4 และโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) เปิดเผยถึงกรณีกากแคดเมียมที่จะมีการพิจารณาในที่ประชุม กมธ. ว่า วันนี้ กมธ.อุตสาหกรรม ได้เชิญปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม, กรมโรงงาน, กรมเหมืองแร่, กรมควบคุมมลพิษ ตลอดจน ปปง., ป.ป.ท. ร่วมหารือว่า มีความคืบหน้าอย่างไรบ้าง ในการดำเนินคดีกับผู้ที่ละเมิดกฎหมาย ทั้งเจ้าหน้าที่ของรัฐและผู้ประกอบการ เนื่องจากการประชุมครั้งที่แล้วเกี่ยวกับการขนย้ายกากแคดเมียม ส่วนวันนี้จะติดตามความคืบหน้าในการขนย้ายกากแคดเมียมว่าแล้วเสร็จกี่จุด จำนวนกี่ตัน

นายอัครเดช กล่าวต่อว่า สำหรับเบื้องต้นในกรุงเทพฯ มีการขนย้ายเสร็จแล้ว จึงจะสอบถามคืบหน้าว่าที่ จ.สมุทรสาคร จ.ระยอง มีการขนย้ายแล้วเสร็จหรือไม่อย่างไร

ส่วนกรณีเรื่องใบอนุญาตของโรงงานนั้น ประธานกมธ.การอุตสาหกรรม? กล่าวว่า เนื่องจากมีใบอนุญาตโรงงานค้างอยู่จำนวนมาก โดยในการประชุมครั้งที่ผ่านมาได้เชิญอธิบดีกรมโรงงานมาชี้แจง พบว่าปัญหาที่พบส่วนใหญ่เกิดจากเอกสารไม่ครบถ้วน จึงต้องมีการส่งกลับไปให้บริษัทยื่นเอกสารมาเพิ่ม แต่คาดว่าจะมีการส่งกลับมาที่กรมแล้ว หากเอกสารครบทางอธิบดีก็จะเริ่มออกใบอนุญาตโรงงาน หรือ รง.4 ให้

อย่างไรก็ตาม ขณะที่ทาง กมธ.การอุตสาหกรรม ก็ได้ให้ความเห็นว่า การออกใบ รง.4 ตามที่ นายกรัฐมนตรี และ รมว.กระทรวงอุตสาหกรรมฯ เร่งรัดไปนั้น เป็นเรื่องจำเป็น เพราะประเทศจะต้องตอบรับการลงทุนจากนักลงทุน

“การที่ใบ รง.4 ออกช้า ก็กระทบต่อสภาพเศรษฐกิจ และการลงทุน แต่สิ่งสำคัญคือ หากให้ใบอนุญาตแล้ว ต้องไปกำกับผู้ประกอบการให้อยู่ในกฎหมายและปฎิบัติตามระเบียบ ไม่ใช่ว่าให้ใบอนุญาตไปแล้ว ขาดการกำกับดูแล ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบการละเมิดกฎหมาย ส่งผลกระทบต่อประชาชน สิ่งแวดล้อม มลภาวะในชุมชน” นายอัครเดช กล่าว

ส่วนกรณีไฟไหม้โรงงานที่ผ่านมานั้น มีการบ่งชี้ว่าอาจจะมาจากการวางเพลิงหรือไม่? นายอัครเดช กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่เกิดจากอุบัติเหตุ เกิดจากสภาวะอากาศที่ร้อนจัด เมื่อมีความร้อนเกิดขึ้นก็อาจเกิดได้บ่อยครั้ง ซึ่งเราไม่สามารถป้องกันได้แต่สิ่งที่สำคัญคือการควบคุมเพลิงให้ได้รวดเร็ว

นายอัครเดช กล่าวต่อว่า ดังนั้นวันนี้ กมธ.การอุตสาหกรรม จึงเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมเพลิง อาทิ ปภ., กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย, กรมการอุตสาหกรรม เข้ามาชี้แจงว่าเมื่อเกิดเพลิงไหม้ มาตรฐานในการประเชิญเหตุหรือแผนในการควบคุมเพลิงเป็นอย่างไรบ้าง เพื่อดูความพร้อมในการควบคุมเพลิง

นายอัครเดช เสริมอีกด้วยว่า ส่วนกรณีที่เป็นเหตุวางเพลิงนั้น ในการเผาทำลายหลักฐาน หรือของเสียจากโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งมีความสงสัยว่าเหตุเพลิงไหม้ที่จังหวัดระยองและจังหวัดพระนครศรีอยุธยา อาจเกิดจากการวางเพลิง ซึ่งต้องเร่งรัดดำเนินคดีกับผู้ที่กระทำความผิดให้ได้ และคิดว่ากระบวนการสืบสวนหาสาเหตุที่แท้จริงมาดำเนินคดีตามกฎหมายมองว่าเป็นสิ่งที่กระทรวงอุตสาหกรรมกำลังเร่งดำเนินการอยู่

จากข้อซักถามที่ว่า จะมีการพัฒนาระบบแจ้งเตือนประชาชนอย่างไรบ้าง? นายอัครเดช กล่าวว่า ในส่วนของการเกิดเหตุเพลิงไม่ว่าจะเป็นกรณีการวางเพลิง หรืออุบัติเหตุ สิ่งที่สำคัญคือแผนในการเผชิญเหตุ จะมีการให้ข้อเสนอในที่ประชุมวันนี้ อย่างน้อยในกรณีที่เกิดเหตุเพลิงไหม้ประชาชนควรจะได้รับข่าวสารและเตรียมตัว รวมถึงการปฎิบัติตัวอย่างไรหากเกิดเหตุเพลิงไหม้ รวมถึงผู้ดำเนินการ จะต้องปฏิบัติอย่างไรระหว่างควบคุมเพลิง

‘ชาวบ้านหนองพะวา’ โต้คารมเดือด ‘สส.ก้าวไกล’ ปมกล่าวหาปล่อยรถขนกากสารเคมีกลับคืนโรงงาน

เมื่อวานนี้ (20 พ.ค.67) ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้ากรณีรถบรรทุกขนกากอะลูมิเนียมดรอสจากบริษัท วินโพรเสส จก. หมู่ 4 ต.บางบุตร อ.บ้านค่าย จ.ระยอง ไปกำจัดที่บริษัทเมทเทิลคอม จก. อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี ถูกชาวบ้านในพื้นที่รวมตัวถือป้ายประท้วงไม่ให้ขนลงจากรถ เรียกร้องให้นำกลับระยองภายในเวลา 2 วันนั้น กระทั่งช่วงเวลา 19.15 น. มีชาวบ้านหนองพะวา ได้นำรถมาปิดทางเข้าโรงงาน จนมั่นใจแล้วว่า รถขนกากอะลูมิเนียมดรอส จะไม่ถูกนำกลับคืนโรงงาน จึงแยกย้ายกันกลับ

กระทั่งเวลา 20.50 น. รถขนกากอะลูมิเนียมดรอส 3 คัน เดินทางมาถึงหน้าโรงงาน ก่อนจะเลี้ยวเข้าประตูโรงงานไป ซึ่งเป็นจังหวะที่นายชุติพงศ์ พิภพภิญโญ สส.ระยอง พรรคก้าวไกล และนายอำนาจ ออมศิริ เลขานุการนายก อบต.บางบุตร เดินทางมาถึงหน้าโรงงานพอดี เมื่อชาวบ้านทราบข่าวว่า มีรถขนกากสารเคมีกลับมาจากโรงงานใน จ.ชลบุรี กลับคืนเข้าไปในโรงงานวินโพรเสส ทางน.ส.ผ่องพรรณ เจริญรมย์ กำนันตำบลบางบุตร จึงนำชาวบ้านไปหน้าโรงงาน ปะทะคารมกับนายชุติพงศ์ กล่าวหาว่าปล่อยให้รถขนกากสารเคมี เข้าไปในโรงงาน ต่างฝ่ายต่างโวยวายเสียงดัง จนหวิดวางมวยกันเกิดขึ้น จนกระทั่งมีการห้ามปรามกันจึงเย็นลง ก่อนที่จะมีการพูดคุยกันทั้ง 2 ฝ่าย เพื่อหาข้อสรุปกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องในพรุ่งนี้ (21 พ.ค.)

‘ตร.ระยอง’ เข้าอายัดตัว ‘เจ้าของโรงงานวินโพรเสส’ จากศาลจังหวัดอยุธยา เร่งดำเนินคดีข้อหา ‘ครอบครองวัตถุอันตราย’ พร้อมเตรียมฝากขัง 2 มิ.ย.นี้

เมื่อวานนี้ (31 พ.ค. 67) เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บ้านค่าย จ.ระยอง ได้อายัดตัวนายโอภาส เจ้าของโรงงานไฟไหม้วินโพรเสส ม.4 ต.บางบุตร อ.บ้านค่าย จ.ระยอง มาจากที่ศาล จ.พระนครศรีอยุธยา โดยนำตัวมาดำเนินคดีข้อหาฐาน ร่วมกันมีไว้ในครอบครอง ซึ่งวัตถุอันตราย ชนิดที่ 3 โดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ กระทำด้วยประการใด ๆ เพื่อให้เกิดข้อขัดข้องแก่การใช้น้ำ ซึ่งเป็นสาธารณูปโภค น่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลอื่นหรือทรัพย์ของผู้อื่น เอาของที่มีพิษ หรือสิ่งอื่นที่น่าจะเป็นอันตรายแก่สุขภาพ เจือลงในอาหาร หรือในน้ำ ซึ่งอยู่ในบ่อ สระ หรือที่ขังน้ำใด ๆ และอาหาร หรือน้ำนั้นได้มีอยู่ หรือ จัดไว้เพื่อประชาชนบริโภค

ย้อนไปเมื่อวันที่ 29 พ.ค.2567 ตร. สภ.มาบตาพุด ได้จับกุมตัวนายโอภาส บุญจันทร์ เจ้าของโรงงานวินพาเสส มาบตาพุด มาดำเนินคดีข้อหาครอบครองวัตถุอันตราย และข้อหาฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงานเกี่ยวกับการครอบครองวัตถุอันตราย โดย ตร.สภ.มาบตาพุด ตามจับกุมตัวได้ที่โรงงานอีกแห่งใน จ.เพชรบูรณ์ นำตัวมาดำเนินคดีที่ สภ.มาบตาพุด ก่อนจะมีการนำตัวนายโอภาส ส่งฟ้องศาลจังหวัดระยอง ต่อมานายโอภาส ได้ให้ทนายความใช้เงิน 20,000 บาท ประกันตัวมา แต่ถูก ตร.สภ.ภาชี จ.พระนครศรีอยุธยา อายัดตัวไปดำเนินคดีในข้อหาปลอมแปลงตราเอกสารต่อ

กระทั่งตำรวจ สภ.บ้านค่ายได้เดินทางไปรับตัว นายโอภาส ที่ จ.พระนครศรีอยุธยา มาถึง สภ.บ้านค่าย ในช่วงหัวค่ำ ซึ่งทันทีที่มาถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บ้านค่าย ได้นำตัวเข้าห้องสอบสวน ลงบันทึกจับกุม และใช้เวลาสอบสวนประมาณ 45 นาที ก่อนจะนำตัวมาควบคุม ยังห้องควบคุมตัวผู้ต้องขัง โดยผู้สื่อข่าวได้พยายามสอบถามนายโอภาส บุญจันทร์ ว่า เหนื่อย และเครียด หรือมีอะไรจะพูดหรือไม่ นายโอภาส ตอบว่า ไม่เหนื่อย ไม่เครียด ส่ายหัวและปิดหน้าตลอดเวลา ก่อนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้นำตัวเข้าไปยังห้องควบคุมผู้ต้องหา โดยนายโอภาส ได้ร้องขอยาที่รักษาโรคประจำตัว และยืนยันกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า ไม่รู้สึกเครียดแต่อย่างใด โดยในวันที่ 2 มิ.ย.67 นี้ เวลาประมาณ 10.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บ้านค่าย จะนำตัวนายโอภาส ไปฝากขังยังศาลจังหวัดระยองต่อไป

ผอ.ศรชล.ภาค 1 เปิดการฝึกทบทวน มว.เรือ ศรชล.ภาค 1 ประจำปี 2567

เมื่อ 11 มิ.ย.67 พล.ร.ท.สุระศักดิ์ สิงขรวัฒน์ ผอ.ศรชล.ภาค 1 เป็นประธานในพิธีเปิดการฝึกทบทวน มว.เรือ ศรชล.ภาค 1 ประจำปีงบประมาณ 2567 ณ ห้องประชุม รร.บ้านฉางพาเลซ อ.บ้านฉาง จ.ระยอง โดยการฝึกทบทวน มว.เรือ ศรชล.ภาค 1 จัดขึ้นระหว่าง 11 -14 มิ.ย.67 แบ่งการฝึกเป็น 3 ขั้นได้แก่ ขั้นการอบรมในห้องเรียน ใน 11-12 มิ.ย.67 ขั้นการฝึกในทะเล ใน 13 มิ.ย.67 และขั้นการสรุปผลการฝึก ใน 14 มิ.ย.67  มีกำลังพลที่เข้าร่วมฝึกประกอบด้วย กำลังพลจาก บก.ศรชล.ภาค 1 ศรชล./ศคท.ตราด และ ชุมพร และกำลังพลจากเรือในบัญชีกำลัง มว.เรือ ศรชล.ภาค 1
สำหรับ กำลังทางเรือที่เข้าร่วมการฝึกในทะเล  ประกอบด้วย เรือ ต.266 เรือตรวจการณ์เจ้าท่า 1303 เรือตรวจประมงทะเล 213 เรือตรวจการณ์ รน.633 เรือ ศรชล.4001 และ เรือ ศรชล.4002 

นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี รายงาน 0909535645

‘ออโตสตอร์’ บริษัทผลิตหุ่นยนต์ สัญชาตินอร์เวย์ ลุยเปิดโรงงานที่ จ.ระยอง ชี้!! มี ‘ความพร้อมด้านแรงงาน-แรงจูงใจจากรัฐบาล’ เป็นสถานที่ในอุดมคติ

(16 มิ.ย.67) มัทส์ โฮฟแลนด์ วิคเซ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือซีอีโอ บริษัท AutoStore (ออโตสตอร์) กล่าวว่าตั้งแต่ปี พ.ศ.2555 หุ่นยนต์ของ AutoStore ได้ผลิตและจัดส่งมาจากประเทศโปแลนด์ แต่จากความต้องการที่เพิ่มขึ้นในตลาดระบบอัตโนมัติทั้งอเมริกาเหนือและทั่วโลก จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ AutoStore จะต้องเปิดโรงงานหุ่นยนต์แห่งที่ 2 เพื่อให้บริการลูกค้าทั้งในปัจจุบันและอนาคตได้ดียิ่งขึ้น

ความพร้อมด้านแรงงาน ความใกล้ชิดกับท่าเรือและสนามบิน ค่าแรงที่เหมาะสม และแรงจูงใจจากรัฐบาลสำหรับบริษัทด้านระบบอัตโนมัติ ทำให้ประเทศไทยเป็นสถานที่ในอุดมคติสำหรับโรงงานหุ่นยนต์แห่งที่ 2 ของเราที่จะขับเคลื่อนการฏิบัติงานส่วนอเมริกาเหนือของ AutoStore

เพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นของโซลูชันอัตโนมัติ AutoStore จึงวางแผนให้โรงงานแห่งใหม่ตั้งอยู่ในประเทศไทย สามารถผลักดันให้ AutoStore เพิ่มกำลังการผลิตอีกเท่าตัวภายในปีแรก ถือเป็นฐานการผลิตใกล้กับตลาดสำคัญ ได้แก่ ญี่ปุ่น เกาหลี ออสเตรเลีย และสิงคโปร์

โรงงานแห่งใหม่นี้ช่วยให้ AutoStore ให้บริการแบรนด์ชั้นนำได้ดียิ่งขึ้น ได้แก่ พูมา (Puma) กุชชี (Gucci) ดีแคทลอน (Decathlon) ดีเอชแอล (DHL) จีแอลเอส (GLS) และยูเซ็น โลจิสติกส์ (Yusen Logistics) ในเอเชียแปซิฟิก ให้รองรับบริการลูกค้ากว่า 1,000 รายทั่วโลก

ความเคลื่อนไหวนี้ทำให้ AutoStore ซึ่งเป็นบริษัทด้านเทคโนโลยีคลังสินค้า ที่เปลี่ยนระบบอัตโนมัติของคลังสินค้าด้วยระบบการจัดเก็บแบบโมดูลาร์ บริษัทเชื่อว่าการเปิดโรงงานประกอบหุ่นยนต์ในจังหวัดระยอง ประเทศไทย เป็นความสำเร็จครั้งสำคัญในการเคลื่อนไหวเชิงยุทธศาสตร์ เพื่อสานต่อความพยายามขยายธุรกิจไปทั่วโลกของบริษัท

ที่ผ่านมา AutoStore เป็นระบบอัตโนมัติที่ถูกนำมาใช้อย่างกว้างขวางมากที่สุดในโลก โดยสถิติล่าสุดคือ 1,450 ระบบที่กระจายอยู่ใน 54 ประเทศ สำหรับผลจากการที่ AutoStore เร่งการขยายธุรกิจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (APAC) โรงงานหุ่นยนต์แห่งใหม่ในประเทศไทยจะช่วยให้ระบบจัดเก็บและเบิกจ่ายอัตโนมัติของบริษัทเข้าสู่คลังสินค้าในเอเชียแปซิฟิกได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

สำหรับในเอเชียแปซิฟิก AutoStore ระบุว่ามีระบบกว่า 140 ระบบ และหุ่นยนต์กว่า 5,300 ตัวที่พร้อมปฏิบัติงานสำหรับแบรนด์ชั้นนำที่ต้องการใช้เทคโนโลยีขั้นสูงของ AutoStore เพื่อตอบสนองความต้องการอีคอมเมิร์ซที่กำลังเพิ่มขึ้น

อิสราเอล โลซาดา ซัลวาดอร์ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานปฏิบัติการ หรือซีโอโอ บริษัท AutoStore กล่าวว่าในช่วง 24 เดือนที่ผ่านมา บริษัทได้เพิ่มกำลังการผลิตที่มีอยู่เป็น 3 เท่า และได้วางโครงสร้างไว้สำหรับเติบโตอีก 10 เท่าในอีก 24 เดือนหากจำเป็น

การขยายธุรกิจสู่ประเทศไทย เราไม่ได้เพียงเพิ่มกำลังการผลิต แต่ยังสร้างฐานซัปพลายเออร์ที่หลากหลายมากขึ้น ทำให้ระยะในการรอสินค้าจาก AutoStore ลดลงจาก 34 สัปดาห์เป็น 20 สัปดาห์

แทนที่การจัดเก็บตามชั้นและดึงออกด้วยมือ AutoStore ใช้ระบบจัดเก็บแบบโมดูลาร์แบบคิวบ์ โดยใช้หุ่นยนต์ล้ำสมัยเพื่อให้ผู้ค้าปลีกได้ใช้โซลูชันที่เติมเต็มคำสั่งซื้อที่เร่งด่วน ให้พื้นที่คลังสินค้าสูงสุด และปรับปรุงประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน

สำหรับโรงงานแห่งใหม่ในประเทศไทยคาดว่า จะสร้างโอกาสการจ้างงานประมาณ 80 ตำแหน่งในปีแรก และมีแผนจะเพิ่มตำแหน่งงานเป็น 200-300 ตำแหน่งภายในปี 2569 ซึ่งภายใน 18 เดือนข้างหน้าได้ตั้งเป้าที่จะผลิตหุ่นยนต์ได้ 15,000 ตัว เป็นการเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 2 เท่าของปัจจุบัน เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้า


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top