Friday, 10 May 2024
ระยอง

'นิพนธ์-ปชป.' ยกทัพหลวง อ้อนชาวระยองกาเบอร์ 2 'หมอบัญญัติ' ย้ำ!! เลือกหนนี้ อย่าเลือกผิด ถ้าเสียหายกว่าจะเปลี่ยนต้องอีก 4 ปี

(3 ก.ย. 66) นายบัญญัติ บรรทัดฐาน สส.ปชป. นายนิพนธ์ บุญญามณี รักษาการรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์, สส.ชัยชนะ เดชเดโช สส.ทรงศักดิ์ มุสิกอง, นายปิยะ ปิตุเตชะ นายก อบจ.ระยอง ลงพื้นที่หาเสียงบริเวณหมู่บ้านชาวประมง ท่าเรืออ่าวมะขามป้อม ตำบลกร่ำ อำเภอแกลง จังหวัดระยอง เพื่อขอคะแนนเสียงให้กับนพ.บัญญัติ เจตนจันทร์ ผู้สมัครหมายเลข 2 จากพรรคประชาธิปัตย์ ในการกลับเข้าไปทำหน้าที่ในสภาผู้แทนราษฎร โดยบรรยากาศการขอคะแนนเสียงเป็นไปอย่างคึกคัก เรียบง่าย 

จากนั้น ได้มีการพบปะแกนนำท้องที่ ท้องถิ่น ผู้นำชุมชน อสม. บริเวณสถานีบริการน้ำมันเชลล์ริมถนนสุขุมวิท ตำบลทางเกวียน อำเภอแกลง พร้อมกับการปราศัยย่อยซึ่งนายนิพนธ์ รองหัวหน้าพรรคฯ ได้กล่าวย้ำถึงผลงานที่พรรคประชาธิปัตย์ได้ทำไว้ในช่วงที่เป็นรัฐบาล ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับจังหวัดระยองผ่านการประสานงานจากผู้แทนราษฏรของพรรคประชาธิปัตย์ จึงทำให้ปัญหาต่างๆ ทั้งปัญหาช้างป่าบุกรุก การออกโฉนดที่ดิน การแก้ไขปัญหาที่ทำกิน ฯลฯ ได้รับการแก้ไขอย่างถูกต้องตามแนวทางที่ควรจะเป็น ทำให้พี่น้องประชาชนได้ประโยชน์ และหลังจากนี้ขอให้คำยืนยันกับพี่น้องประชาชนว่าแม้กระทั่งในการทำหน้าที่ฝ่ายค้าน เมื่อประชาชนเดือดร้อน ประชาธิปัตย์พร้อมทวงถามติดตามรัฐบาลเพื่อให้ปัญหาได้รับการแก้ไขโดยเร็ว

"การเลือกตั้งสส.นั้น พี่น้องประชาชนต้องพิจารณาให้รอบคอบ เลือกคนที่มีความรู้ คนที่มีประสบการณ์ เพราะถ้าหากพี่น้องเลือกผิด กว่าจะแก้ไขเปลี่ยนคนได้ต้องใช้เวลานานถึง 4 ปี เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นความเสียหายจะตามมาอย่างมาก" นายนิพนธ์ กล่าว

‘สรรเพชญ-ร่มธรรม’ ลุย ระยอง อ้อนชาวแกลงเลือกหมอบัญญัติ ลั่น!! ประสานคนทุกรุ่นฟื้นฟูพรรค-แก้ไขจุดบกพร่อง-รักษาสิ่งดีงาม

เมื่อวันที่ 8 ก.ย.66 สส.สรรเพชญ บุญญามณี จังหวัดสงขลา สส.ร่มธรรม ขำนุรักษ์ จังหวัดพัทลุง ร่วมปฏิบัติภารกิจดาวกระจายลงพื้นที่ ตำบลกระแสบน อำเภอแกลง จังหวัดระยอง เพื่อขอคะแนนเสียงให้กับ นพ.บัญญัติ เจตนจันทร์ ผู้สมัครหมายเลข 2 จากพรรคประชาธิปัตย์ “เลือกหมอบัญญัติ คนบ้านเรา”

โดยบรรยากาศการขอคะแนนเสียงเน้นการกระจายตัวไปทุกจุด เข้าถึงพูดคุย ให้เวลาและรบกวนช่วงเวลาทำงาน เวลาทำมาหากินของพี่น้องประชาชนน้อยที่สุด เพื่อนำเสนอที่เป็นประโยชน์ให้เห็นว่า การทำหน้าที่ผู้แทนราษฏร นั้นต้องเลือกคนที่เข้าใจปัญหา ประสานแก้ไขปัญหาได้ทั้งในและนอกสภาฯ

โดย สส.สรรเพชญ กล่าวว่า วันนี้หลังภารกิจในสภาฯ เลือดใต้ใหม่ ปชป.ของสงขลาและพัทลุง ใจเกินร้อยตั้งใจมาช่วยที่หมอบัญญัติ เพราะในช่วงที่ผ่านมานั้น ตนได้ติดตามและชื่นชมการทำหน้าที่ สส.ของคุณหมอบัญญัติมาโดยตลอด ว่าเป็นอีก สส.อีกคนหนึ่งที่ขยัน และรับผิดชอบพื้นที่ เข้าถึงง่าย ทำให้พี่น้องประชาชนชาวระยองได้ประโยชน์จากการที่มีคุณหมอบัญญัติเป็นผู้แทนฯอย่างมาก และสภาฯ เองก็ได้ผู้แทนฯ ที่มีคุณภาพอีกด้วย โดยหากไม่ได้กลับไปทำหน้าที่ สส.ในครั้งนี้ ส่วนตัวก็รู้สึกเสียดาย วันนี้ตั้งใจเต็มที่มาขอคะแนนจากพี่น้องชาวระยอง ได้โปรดเลือกหมอบัญญัติ คนมีความรู้ มีประสบการณ์ กลับเข้าสภาฯ และชาวระยองเองก็จะได้ สส.ที่มีคุณภาพ

นายสรรเพชญ ยังกล่าวอีกว่า หลายเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับพรรคในช่วงที่ผ่านมา ทุกอย่างยังคงดำเนินต่อไปด้วยความเชื่อมั่นที่แสดงให้เห็น ว่าวันนี้พรรคประชาธิปัตย์ ยังคงเป็นประชาธิปัตย์ที่มีเอกลักษณ์ที่ดีงามเฉพาะตัว ทั้งความตั้งใจช่วยเหลือแก้ไขปัญหาให้ประชาชนไม่ว่าจะเป็นฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน เรายังคงทำหน้าที่ที่ควรจะทำอย่างเสมอมา และแม้อดีต สส. อดีตรัฐมนตรี ของพรรคทุกคนก็ยังคงทำหน้าที่ช่วยเหลือสังคมอยู่ตลอด โดยไม่เกี่ยงว่าจะอยู่ในสถานะใด เราต้องการแสดงให้เห็นว่า จิตสาธารณะทางการเมืองยังคงเข้มข้นในเลือดของคนประชาธิปัตย์ การเดินทางมาในวันนี้ก็เช่นเดียวกัน

นอกจากอยากให้คุณหมอบัญญัติได้กลับไปสิ่งดีๆ ในสภาฯ แล้ว การที่คน ปชป.ทุกภาคทุกพื้นที่ อดีตและปัจจุบันมาช่วยกันนั้น ถือเป็นวัฒนธรรมองค์กรที่ดีงามของพรรคฯ ที่ต้องธำรงไว้ วันนี้ตนและ สส.ร่มธรรมในฐานะคนรุ่นใหม่ เห็นตรงกันว่า เราต้องช่วยกันร่วมกับคนทุกรุ่นในพรรคช่วยกันฟื้นฟู โดยเริ่มจากการรักษาสิ่งดีงามที่มีอยู่ แก้ไขจุดบกพร่อง เพื่อนำประชาธิปัตย์ไปสู่ความหวังของประชาชนให้ได้โดยเร็ว และบทบาทหลังจากนี้ สส.ของพรรคทุกคน พร้อมทำหน้าที่ฝ่ายค้านอย่างเข้มข้น ตรวจสอบการทำงานรัฐบาล เริ่มตั้งแต่วันแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรี 11 ก.ย. นี้

‘สาธิต’ ชวน ‘ก้าวไกล’ ไม่สาดโคลน หาเสียงเลือกตั้งซ่อมระยอง หลังพบการปราศรัยบนเวที ‘ด่าเอามัน’ มากกว่า ‘มาหาเสียง’

(9 ก.ย. 66) นายสาธิต ปิตุเตชะ รักษาการรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ‘สาธิต ปิตุเตชะ’ กรณีที่มี สส.พรรคก้าวไกล ปราศรัยบนเวที สาดโคลนใส่พรรคคู่แข่ง ในการหาเสียงเลือกตั้งซ่อม สส.เขต 3 จังหวัดระยอง โดยระบุว่า…

มาหาเสียง หรือมาด่าเอามัน

คือแทนที่จะมานำเสนอคุณสมบัติผู้สมัครของตัวเอง ดี เด่น มีผลงานอะไรมา และมีความพร้อมที่จะมาเป็นผู้แทนคนระยอง เขต 3 อ.แกลง อ.เขาชะเมา และมีนโยบาย พัฒนา แก้ไขปัญหาอะไร อย่างไร ให้กับคนระยองเขต 3

แต่ขึ้นเวทีปราศรัย ด่าเอามันอย่างเดียว แขวะไปที่ท่านอนุทิน มท.1 บ้าง เล่นคำบอกว่าหมอบัญญัติ และร้านกาแฟ โรงเลื่อย ซื้อเสียง โดยพูดลอยๆ ไม่ได้มีหลักฐาน และไม่ยื่น กกต.บ้าง ด่ารัฐบาลที่จัดตั้งมีนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีไปแล้วบ้าง

พฤติกรรมแบบนี้ไม่ใช่คนรุ่นใหม่ครับ เป็นแบบเก่าสุดๆ ครับ ถือว่ายังโชคดี ที่ไม่ได้ไปเป็นรัฐบาล หรือนายกรัฐมนตรีนะครับ ถ้าไปเป็นแล้ว เวลาไปเจรจาความเมืองระหว่างประเทศ กับบรรดามหาอำนาจ ผมไม่รู้ว่าประเทศไทยจะมีความเสี่ยงที่จะเสียหายมากน้อยแค่ไหน

‘ดร.นิว’ ชี้!! 9 ปี ‘ก้าวไกล’ จากลัทธิหลบๆ ซ่อนๆ  ผงาดครองพื้นที่ ‘สื่อ-โซเชียลมีเดีย’ ไว้เกือบหมด 

(11 ก.ย. 66) ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ ดร.นิว นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และ คณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ประเทศสหรัฐอเมริกา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘Suphanat Aphinyan’ ระบุว่า…

“9 ปีก่อน พวกเขาเป็นเพียงแค่ลัทธิที่ต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ แอบสร้างแนวร่วมอยู่ในซอกหลืบของรั้วมหาลัย แต่ทว่าทุกวันนี้พวกเขาได้ครองพื้นที่สื่อและโซเชียลมีเดียไว้เกือบทั้งหมด สามารถชี้นำทางความคิดช่วงชิงฐานเสียงมวลชนไปได้แล้วกว่าสิบล้าน ทั้งหมดนี้เป็นผลงานชิ้นโบแดงของใคร? ใครรู้ช่วยตอบที?”

ทั้งนี้ ข้อความดังกล่าว เกิดขึ้นหลังจาก ดร.นิว ได้โพสต์ถึงการเลือกตั้งซ่อมระยองไว้ว่า “ถ้าก้าวไกลชนะ ก็คงเป็นภาพสะท้อนความสิ้นหวังทางการเมืองของประชาชน ที่ย่ำแย่ถึงขั้นหันไปพึ่งอสูรกายแก้วทางการเมืองกันแล้ว ถ้ายังคิดผิดทำผิด เลือกตั้งรอบหน้าได้ว้าวุ่นเลยทีนี้”

‘กรมสมเด็จพระเทพฯ’ เสด็จฯ ทรงเปิด ‘ศูนย์เลิศพนานุรักษ์’ ศูนย์การเรียนรู้เพื่อการอนุรักษ์ป่าและพันธุ์พืช ใน จ.ระยอง

เมื่อวันที่ 6 พ.ย. 66 สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดศูนย์เลิศพนานุรักษ์ บริษัท พีทีที แอลเอ็นจี จำกัด ตำบลมาบตาพุด อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง โดยมีนายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน), นายวุฒิกร สติฐิต ประธานกรรมการ บริษัท พีทีที แอลเอ็นจี จำกัด, นายรัตติกูล ปิยะวงค์วาณิชย์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีที แอลเอ็นจี จำกัด พร้อมข้าราชการและคณะผู้บริหารเฝ้ารับเสด็จฯ

นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ เปิดเผยว่า ศูนย์เลิศพนานุรักษ์ สร้างขึ้นในพื้นที่สถานีแอลเอ็นจี มาบตาพุด   แห่งที่ 2 โดย บริษัท พีทีที แอลเอ็นจี จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่ม ปตท. เพื่อให้เป็นศูนย์การเรียนรู้ด้านพลังงานและพื้นที่สีเขียวของชุมชนในจังหวัดระยอง โดยสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระราชทานชื่อศูนย์การเรียนรู้เพื่อการอนุรักษ์ป่าและพันธุ์พืชในนาม ‘ศูนย์เลิศพนานุรักษ์’ หมายถึง ศูนย์เรียนรู้อันเป็นเลิศด้านการอนุรักษ์ป่า และทรงพระราชทานชื่ออาคารโดมจัดแสดงพืชเมืองหนาวว่า ‘อาคารนิทรรศน์พรรณพฤกษา’ หมายถึง อาคารจัดแสดงพันธุ์พืชชนิดต่าง ๆ ซึ่งตั้งอยู่ภายในบริเวณศูนย์เลิศพนานุรักษ์แห่งนี้ โดยพระราชทานพระราชานุญาตให้เชิญพระอักษรพระนามาภิไธย ‘ส.ธ.’ ประดับที่ป้ายชื่อทั้งสองอาคาร ณ วันที่ 9 พฤศจิกายน 2563

‘ศูนย์เลิศพนานุรักษ์’ พัฒนาพื้นที่โครงการบนพื้นฐานของการฟื้นฟูสภาพแวดล้อมที่เสื่อมโทรมของภูมิทัศน์โดยรอบ จึงออกแบบให้มีระบบนิเวศที่หลากหลาย มีป่าและพื้นที่ชุ่มน้ำประเภทต่าง ๆ สอดคล้องกับระบบนิเวศดั้งเดิมของจังหวัดระยอง พร้อมสะท้อนแนวคิดหลักของการประสานกันอย่างลงตัวระหว่างอุตสาหกรรม ธรรมชาติ และชุมชน รวมไปถึงการใช้พลังงานทดแทน อาทิ พลังงานลม และพลังงานแสงอาทิตย์ในพื้นที่โครงการ และมี อาคารนิทรรศน์พรรณพฤกษา เป็นพื้นที่จัดแสดงไม้เมืองหนาวที่ปลูกและดูแลรักษาให้เจริญเติบโตจากการนำพลังงานความเย็นเหลือใช้จากกระบวนการแปรสภาพก๊าซธรรมชาติเหลว หรือ LIQUEFIED NATURAL GAS (LNG) มาใช้ในการปลูกไม้เมืองหนาว เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพต่อยอดด้านการเกษตร อาทิ ดอกทิวลิป ดารารัตน์ ไฮเดรนเยีย ได้อย่างมีคุณภาพ มาอย่างต่อเนื่อง พร้อมจัดแสดงผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนตามแต่ละเดือนและเปิดให้ประชาชนเข้าเยี่ยมชมได้ตลอดทั้งปี โดยไม่มีค่าใช้จ่าย เพื่อเป็นการคืนประโยชน์ให้แก่สังคมและเสริมสร้างการท่องเที่ยวแห่งใหม่ของจังหวัดระยอง ปัจจุบันมียอดผู้เข้าเยี่ยมชมสะสม ณ เดือนกันยายน 2566 จำนวน 273,440 ราย (ข้อมูลระหว่างวันที่ 3 มกราคม - 22 กันยายน 2566)

นายจ้างเยียวยาให้ญาติผู้เสียชีวิต 7 ราย กรณีโรงงานหลอมเหล็กเครนถล่ม  ด้าน ตร.เร่งสอบต่อ ปมแอบฝังศพนับร้อย ด้านหลังโรงงานสะพัด

(31 มี.ค.67) จากกรณีโรงงานเครนถล่ม ตำรวจเตรียมตรวจสอบกรณีมีข้อมูลว่า มีการแอบฝังศพแรงงานต่างด้าวที่เสียชีวิตจากการทำงาน บริเวณเนินเขาหลังโรงงาน

แรงงานเมียนมา ลุกฮืออีกรอบ หลังยอมรับข้อเสนอการเยียวยาไปแล้ว แต่ยังไปพังรถนักข่าว ก่อนจะรวมตัวกดดันนายจ้างเพื่อขอความเป็นธรรมเรื่องหักเงินประกันสังคมแต่ไม่เข้ากองทุน โดยมีการปักหลักชุมนุมเรียกร้องกันภายในโรงงาน จนกระทั่ง รองผู้ว่าราชการจังหวัด ต้องเข้ามาร่วมรับฟังด้วย จนได้ข้อยุติ

เหตุการณ์สงบลง โดยแรงงานชาวเมียนมาหลายพันคน ยอมยุติการชุมชน หลังนายกำธร เวหน รองผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง เปิดแถลงที่หน้าสำนักงาน ไซต์ก่อสร้าง โรงหลอมเหล็ก ซินเคอหยวน ต.ตาสิทธิ์ อ.ปลวกแดง จ.ระยอง

ต่อหน้าแรงงานเมียนมาที่ปักหลักชุมนุมมาตั้งแต่เช้า หลังได้ให้ตัวแทน แรงงานเมียนมา ฝ่ายนายจ้าง และภาครัฐที่เกี่ยวข้อง เข้าหารือร่วมกัน เพื่อหาข้อสรุปจากข้อเรียกร้องทั้งหมด โดยใช้เวลากว่า 3 ชั่วโมง

ได้ไปเจรจากับกลุ่มแรงงานชาวเมียนมาโรงงานหลอมเหล็กเครนถล่ม ที่ลุกฮือประท้วงรอบสอง   นานกว่า 3 ชั่วโมง จนได้รับความพอใจตามความประสงค์ ทั้ง 3 ฝ่าย คือ ฝ่ายผู้แทนบริษัท ฝ่ายหน่วยงาน และฝ่ายแรงงานญาติผู้เสียชีวิตโดยผลการหารือได้ข้อสรุป 8 ข้อ ดังนี้

1.เยียวยาให้ญาติผู้เสียชีวิต จำนวน 7 ราย รายละ 1.6 ล้านบาท โดยวันที่ 29 มีนาคม 2567 ได้มอบเงินสดให้กับญาติของผู้เสียชีวิตไปแล้วราย ๆ ละ 5 แสนบาท คงเหลือ 1,100,000 บาท

2.นายจ้าง รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการจัดการศพ ให้กับลูกจ้างผู้เสียชีวิตทั้ง 7 ราย

3. กรณีฝ่ายลูกจ้างมีข้อเรียกร้องว่าเงินสมทบประกันสังคมที่นายจ้างหักจากลูกจ้างแต่ไม่ได้นำส่งเข้ากองทุนประกันสังคมสำนักงานประกันสังคมจะติดตามให้เป็นรายบุคคลใน 2 สัปดาห์ 

4.กรณีฝ่ายลูกจ้างมีข้อเรียกร้องว่าลูกจ้างประสบอันตรายสูญเสียอวัยวะและยังไม่ได้รับการช่วยเหลือสำนักงานประกันสังคมจะติดตามให้นายจ้างนำส่งเอกสารเกี่ยวกับข้อเท็จจริงและรายละเอียดภายใน 2 สัปดาห์

5. กรณีฝ่ายลูกจ้างส่งเอกสารค่ารักษาพยาบาลเบิกกับนายจ้างแต่ยังไม่ได้รับการช่วยเหลือสำนักงานประกันสังคมจะดำเนินการตรวจสอบ ภายใน 2 สัปดาห์ 

6.กรณีหนังสือเดินทางของลูกจ้างทั้งสองฝ่ายประสงค์ตรงกันจะเก็บเอาไว้ที่บริษัทและจะถ่ายเอกสารให้กับลูกจ้าง แต่จะให้คือ เมื่อลาออก 

7. กรณีลูกจ้าง 3 คนซึ่งมีข้อสงสัยว่านายจ้างจะเลิกจ้างสำนักงานสวัสดิการแรงงานและคุ้มครองแรงงานจังหวัดระยองจะตรวจสอบให้ได้รับสิทธิประโยชน์ตามที่กฎหมายกำหนด 

8.นายจ้างรับว่าจะปฏิบัติต่อลูกจ้างชาวเมียนมาให้ได้รับสิทธิตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน

ทั้งนี้ หลังการแถลงข้อสรุป นายทูลิน เจ้าหน้าที่สหภาพแรงงานเมียนมา ได้สื่อสารภาษาเมียนมาในข้อสรุปทั้งหมด ต่อหน้าแรงงานที่ปักหลักชุมนุม หลังจากกล่าวจบ ทุกคนต่างปรบมือ และ พอใจกับข้อสรุป และ เลิกชุมนุม

ด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจ เตรียมตรวจสอบกรณีที่มีข้อมูลว่ามีการแอบฝังศพแรงงานต่างด้าวที่เสียชีวิตจากการทำงาน บริเวณเนินเขาหลังโรงงาน โดยนายชินอ่อง แรงงานเมียนมาที่มาจาก กทม.เพื่อช่วยเพื่อนร่วมชาติ กล่าวถึงกรณีมีศพถูกฝังว่า ก็เคยได้ยินมาเหมือนกัน แต่ก็ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้

ขณะที่นายอัง โก ลิน หนึ่งในตัวแทนแรงงานเมียนมา และเป็นล่าม ได้ยกมือไหว้ขอโทษเจ้าหน้าที่กู้ภัยและนักข่าวที่ถูกพังรถ 

สำหรับพิธีศพของผู้เสียชีวิตทั้ง7ราย เตรียมติดต่อรับศพหลังการชันสูตร ไปบำเพ็ญกุศลตามประเพณีที่วัดภายใน อ.ปลวกแดง ต่อไป

‘อัครเดช’ เอาจริง เตรียมลุยระยอง บุกตรวจสอบ โรงงานจีน หลังพบ ฝ่าฝืนกฎหมาย ‘การก่อสร้าง-ก่อมลภาวะ-ใช้นอมินีสวมสิทธิ์’

(31 มี.ค.67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี พรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ(กมธ.) การอุตสาหกรรม สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยถึงกรณีโรงงานถลุงเหล็กของนักลงทุนจีน ที่จังหวัดระยองถล่มว่า ได้ขอให้ สส.ระยองที่เป็น กมธ.อุตสาหกรรมลงพื้นที่ไปเก็บข้อมูลมาเสนอ กรรมาธิการอุตสาหกรรมพิจารณา เพราะมีข้อมูลว่ามีนักลงทุนจากประเทศจีนมาลงทุนก่อสร้างโรงงานกระทำการผิดกฎหมายจำนวนมาก กมธ.กำลังติดตามพฤติกรรมของนักลงทุนจีนเหล่านี้ที่ฝ่าฝืนกฎหมาย มีข้อมูลว่ามีอยู่หลายราย ไม่ว่าจะเป็นการก่อสร้างโดยไม่ได้รับอนุญาต การประกอบกิจการผิดประเภท การก่อมลภาวะให้ชุมชน และการใช้นอมินีมาสวมสิทธิ์การประกอบกิจการ รวมถึงการทำผิดกฎหมายอื่นๆอีกหลายอย่าง

นายอัครเดช กล่าวว่า ล่าสุดพบว่ามีโรงงานของนักลงทุนจีนแห่งหนึ่งมีการขนย้ายและดำเนินการเรื่องกากแร่ที่เป็นวัตถุอันตรายที่ผิดกฎหมาย อาจส่งผลกระทบรุนแรงต่อสุขภาพของประชาชนอย่างมาก ซึ่งกรรมาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังตรวจสอบอยู่ ซึ่งกมธ.กำลังไล่ตรวจสอบโรงงานลักษณะนี้ทั่วประเทศ โดยตรวจสอบร่วมกับเจ้าหน้าที่กระทรวงอุตสาหกรรม ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมีการจับกุมนักลงทุนจีนรายหนึ่งที่ฝ่าฝืนกฎหมาย ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่จังหวัดชลบุรี และกำลังตรวจสอบอีก 2 แห่งในจังหวัดสมุทรสาคร และจังหวัดฉะเชิงเทรา

“เราพบว่ามีนักลงทุนจากประเทศจีนกระทำผิดกฎหมายอยู่หลายแห่ง ทำธุรกิจที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและประชาชน กรณีที่เกิดขึ้นกมธ.ได้เร่งเก็บข้อมูลเพื่อประชุมพิจารณาดำเนินการโดยประสานเจ้าหน้าที่ภาครัฐ ทั้งกรมโรงงานอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการคดีและดำเนินการจับกุมต่อไป” นายอัครเดชกล่าว

เมื่อถามว่า การทำผิดลักษณะนี้ กมธ.ได้รับแจ้งข้อมูลจำนวนมากหรือไม่ นายอัครเดช กล่าวว่า กมธ.ได้รับแจ้งข้อมูลจำนวนมากมีทั้งอยู่ระหว่างตรวจสอบข้อเท็จจริงของกมธ. อยู่ระหว่างการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ และที่ตำรวจจับกุมไปแล้วก็มี ล่าสุดที่จังหวัดสมุทรสาครทางกรมโรงงานอุตสาหกรรมคำสั่งให้หยุดประกอบกิจการชั่วคราวและมีอยู่อีกหลายรายที่กมธ.ได้ติดตามอยู่ กรณีจังหวัดฉะเชิงเทรา กมธ.อุตสาหกรรมได้ลงไปตรวจสอบอย่างจริงจังแล้ว

เมื่อถามว่า การที่เราเข้มงวดจะทำให้กระทบต่อการลงทุนของนักลงทุนจีนหรือไม่ นายอัครเดช กล่าวว่า ในระยะยาวเราต้องการนักลงทุนที่มีคุณภาพมาลงทุน ประเทศไทยไม่ต้องการนักลงทุนที่มาเอาเปรียบและทำร้ายคนไทยเป็นภัยต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ และเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศในหลายๆด้านกมธ.กำลังตรวจสอบนักลงทุนจากจีนที่ทำผิดกฎหมายมีอยู่จำนวนมาก ที่ดำเนินการอยู่มี 5-6 รายแล้ว

เมื่อถามย้ำว่า คิดว่าทางการจีนเข้าใจการดำเนินการของไทยหรือไม่ ประธานกมธ.อุตสาหกรรม กล่าวว่า ในอนาคตคงต้องหารือกับทางการจีนว่า ต้องคัดเลือกนักลงทุนที่มีคุณภาพ และให้ทางการจีนพิจารณาดำเนินการลงโทษคนที่ทำผิด ล่าสุดกมธ.ได้ประชุมร่วมกับบีโอไอ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า คณะกรรมการแข่งขันทางการค้า ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง และอีกหลายหน่วยงาน โดยได้กำหนดแนวทางเบื้องต้นแก่นักลงทุนที่เข้ามาลงทุนแล้วทำผิดกฎหมายทำร้ายสุขภาพคนไทย ทำลายสิ่งแวดล้อมของไทยไม่ให้เข้ามาประกอบธุรกิจในไทย โดยเสนอให้ภาครัฐยกเลิกวีซ่า และดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

‘รมว.ปุ้ย’ เกาะติดเหตุเพลิงไหม้โรงงานสารเคมีระยอง กำชับ!! กรมโรงงานฯ ช่วยเร่งสืบหาข้อเท็จจริง

(23 เม.ย.67) ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รมว.อุตสาหกรรม กล่าวถึงกรณีเหตุเพลิงไหม้โรงงานเก็บสารเคมี จ.ระยอง ถูกมองว่าเชื่อมโยงกับโรงงานที่เกิดเหตุไฟไหม้ก่อนหน้านี้ที่ อ.ภาชี จ.พระนครศรีอยุธยา ว่า ได้รับรายงานตั้งแต่เมื่อวาน (22 เม.ย.) จากอุตสาหกรรมจังหวัด ซึ่งตนได้สั่งการปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรมเข้าไปดูเรื่องนี้โดยด่วน ซึ่งต้องขอบคุณผู้ว่าราชการจังหวัดระยองและหน่วยงานในพื้นที่ที่ช่วยเข้าไปดับเพลิง โดยเมื่อคืนนี้ (22 เม.ย.) ตนได้รับแจ้งว่าจัดการเปลวเพลิงได้แล้ว

แต่เมื่อเช้าได้รับรายงานอีกครั้งว่ายังมีเปลวเพลิงอยู่ ซึ่งวันนี้ จ.ระยอง จะมีการประชุมอีกครั้ง รวมถึงกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจะเข้าไปดูเรื่องคุณภาพอากาศ และปริมาณสารเคมีที่ตกค้าง

เมื่อถามถึงความเชื่อมโยงเหตุเพลิงไหม้ระหว่าง 2 พื้นที่ ที่มีการตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการทำลายหลักฐานหรือไม่ น.ส.พิมพ์ภัทรา ระบุว่า ที่มีการกล่าวถึงว่าทั้ง 2 พื้นที่มีความเชื่อมโยงกัน เรื่องของเจ้าของโรงงานและการเผาเพื่อทำลายหลักฐาน เรื่องนี้ขอให้รอผลสรุปจากทางตำรวจก่อนดีกว่า

เรื่องนี้เป็นมหากาพย์จริง ๆ ไม่ใช่พื้นที่ใน อ.ภาชี และพื้นที่ จ.ระยอง เท่านั้น รวมไปถึงพื้นที่ จ.ราชบุรี ด้วย ซึ่งได้สั่งให้กรมโรงงานอุตสาหกรรมรับผิดชอบต่อประเด็นนี้ด้วย ต้องนำความจริงมาตอบสังคมให้ได้ มันเป็นจริงตามข้อกล่าวหาหรือไม่ ซึ่งต้องลงไปตรวจสอบที่เกิดเหตุเพื่อหาสารตกค้าง ดูคุณภาพอากาศว่ามีผลกระทบต่อประชาชนหรือไม่ รวมถึงน้ำมีการรั่วไหลลงพื้นที่คลองที่อยู่บริเวณใกล้เคียงหรือไม่ ที่สำคัญที่สุดทราบว่ามีการอพยพผู้ป่วยติดเตียงตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้ว

ส่วนเหตุการณ์นี้ดูมีพิรุธเกิดขึ้นหรือไม่ น.ส.พิมพ์ภัทรา ระบุว่า มีแน่นอน แต่ขอให้ทางตำรวจเป็นผู้สรุปเรื่องของคดี แต่ในส่วนของตัวเองจะดูแลเรื่องของการกำจัดกากสารเคมีที่อยู่ในบริเวณนั้น ซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินคดีอยู่ว่าจากนี้ไปการกำจัดกากที่เหลืออยู่จะทำอย่างไร

ส่วนความคืบหน้าในการกำจัดกากสารเคมีใน อ.ภาชี ได้รับงบกลางที่ ครม.เพิ่งอนุมัติไป ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 45 วันเนื่องจากอยู่ในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง

กมธ.อุตฯ หวั่น!! พฤติกรรมลอกเลียนเผาทำลายกากอุตสาหกรรม จี้!! ‘ก.อุตฯ’ เคลียร์ระบบจัดเก็บกาก-ตรวจสอบใหม่ทั้งประเทศ

(23 เม.ย.67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี พรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การอุตสาหกรรม สภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ถึงเหตุเพลิงไหม้โรงงานเก็บกากอุตสาหกรรมที่จังหวัดระยองว่า ไฟไหม้ลักษณะนี้ถือเป็นปัญหาที่ซ้ำซากมาก สร้างผลกระทบต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อมอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ถ้าเป็นอุบัติเหตุจริง กรมโรงงานอุตสาหกรรมต้องหามาตรการป้องกันให้ได้ผล แต่ที่ผ่านมามักจะมีการเผาทำลายหลักฐานกากอุตสาหกรรม แต่การดูแลควบคุมทำไม่ได้ปล่อยให้เกิดเหตุลักษณะนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกลายเป็นพฤติกรรมเลียนแบบ

นายอัครเดช กล่าวว่า กระทรวงอุตสาหกรรม และกรมโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งมีหน้าที่ในการกำกับดูแล จะต้องเข้าไปตรวจสอบและป้องกันการก่อเหตุให้ได้ผล ที่ผ่านมากลายเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นซ้ำซาก ทั้งที่จังหวัดราชบุรี จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จนกระทั่งมาเกิดที่จังหวัดระยอง ถ้ากระทรวงอุตสาหกรรม ไม่เข้ามาดำเนินการอย่างจริงจัง จะเกิดการเผาทำลายหลักฐานเช่นนี้ขึ้นอีก เหตุการณ์ไฟไหม้โรงเก็บกากอุตสาหกรรมในหลายจังหวัดมีหลักฐานชัดเจน แต่ก็ไม่มีการชี้แจงให้ประชาชนได้รับทราบว่า การดำเนินการของกระทรวงอุตสาหกรรมกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องดำเนินการไปถึงไหน มีการร้องทุกข์กล่าวโทษกับกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) บ้างหรือไม่

“ปัญหานี้กลายเป็นปัญหาระดับชาติ กระทรวงอุตสาหกรรม ต้องจัดการปัญหานี้ใหม่อย่างเป็นรูปธรรมและจริงจัง ต้องมีการสังคายนาระบบการจัดเก็บกากอุตสาหกรรมใหม่ทั่วประเทศ เพราะเหตุไฟไหม้ที่ผ่านมาส่วนมากเกิดจากการเผาทำลายหลักฐาน ในเมื่อกำจัดกากอุตสาหกรรมไม่ได้และใช้งบประมาณดำเนินการมากก็เลยใช้วิธีเผาทำลายโดยความตั้งใจ ไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อม จนกลายเป็นพฤติกรรมเลียนแบบเกิดขึ้นซ้ำซาก ดังนั้นกรณีนี้และหลายกรณีที่ผ่านมา หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องสอบสวนอย่างจริงจังว่าเป็นอุบัติเหตุ หรือจงใจเผาทำลาย ถ้าพบการเผาทำลาย ต้องดำเนินคดีอย่างเด็ดขาด เพื่อไม่ให้เกิดขึ้นอีกเนื่องจากส่งผลกระทบต่อพี่น้องประชาชนและสิ่งแวดล้อมอย่างยิ่งกมธ.อุตสาหกรรมเคยตั้งคำถามไปถึงผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งกระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติติดตามความคืบหน้าการดำเนินคดีแต่ยังเกิดเหตุซ้ำซากขึ้นอีก ดังนั้นหน่วยงานภาครัฐจะต้องดำเนินการอย่างจริงจังเสียทีนิ่งเฉยไม่ได้อีกแล้ว” ประธานกมธ.อุตสาหกรรมกล่าว

นายอัครเดช กล่าวย้ำว่า กมธ.คงจะต้องเรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาติดตามเหตุไฟไหม้โรงงานเก็บกากอุตสาหกรรมอีกครั้ง ทั้งที่ จังหวัดราชบุรี จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และจังหวัดระยองว่า ดำเนินการไปถึงไหนแล้ว และทำไมถึงปล่อยให้เกิดเหตุขึ้นซ้ำซาก ถ้ากระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ดำเนินการอย่างจริงจัง ก็จะกลายเป็นแฟชั่นเผาเพื่อทำลายหลักฐาน

‘อัครเดช’ จี้ ‘เศรษฐา’ เร่งแก้ปัญหา กากสารเคมีอุตสาหกรรม ชี้!! บังคับใช้กฎหมายหย่อนยาน ต้องรีบจัดการ หวั่นก่อปัญหาระยะยาว

(28 เม.ย. 67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี พรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการอุตสาหกรรม (กมธ.) สภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า การที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้ลงพื้นที่ที่เกิดเหตุไฟไหม้โกดังเก็บกากสารเคมีอุตสาหกรรม บริษัท วิน โพรเสส จำกัด ในอำเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง เมื่อวานนี้ ถือว่าเป็นเรื่องดี ที่นายกรัฐมนตรีจะได้ไปเห็นสภาพปัญหาจริงที่เกิดขึ้นว่า เรื่องกากสารเคมีอุตสาหกรรมเป็นปัญหาใหญ่และกระทบกับพี่น้องประชาชนเป็นจำนวนมาก ซึ่งนายกรัฐมนตรี ก็ได้ทราบอยู่แล้วว่าปัญหานี้ไม่ได้เกิดเฉพาะที่จังหวัดระยอง และหากไม่มีการบริหารจัดการที่ดี ก็อาจจะเกิดปัญหาเช่นนี้ซ้ำขึ้นได้อีกในอนาคต ดังนั้นตอนนี้เป็นโอกาสดีที่นายกรัฐมนตรีจะได้กำชับหน่วยงานรัฐได้เร่งสำรวจโรงงานประเภทนี้ทั้งหมดทั่วประเทศ และเข้าไปบริหารจัดการ

“สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการแก้ปัญหาในระยะยาว ที่จะต้องมีการดำเนินการแก้ไขปัญหาเรื่องนี้จริงจัง เพราะที่ผ่านมาพบว่ามีปัญหาเรื่องการกำกับดูแลผู้ประกอบ กรณีการที่ประกอบกิจการรับกำจัดกากของเสียจากอุตสาหกรรมไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ซึ่งเป็นเรื่องที่หน่วยงานของภาครัฐ ต้องดำเนินการจริงจัง ต้องไม่ปล่อยให้เกิดความหย่อนยานในการบังคับใช้กฎหมาย การรับสินบน การทุจริตคอร์รัปชัน ดังนั้นนายกรัฐมนตรีต้องเร่งไปดำเนินการจัดการ เพราะไม่เช่นนั้นจะทำให้เป็นปัญหาในระยะยาวได้” นายอัครเดช กล่าว

ประธาน กมธ.อุตสาหกรรม ยังได้เรียกร้องไปยังนายกรัฐมนตรีอีกว่า ในตอนนี้สิ่งที่สำคัญสำหรับกรณีที่จังหวัดระยอง นายกรัฐมนตรีต้องเร่งให้การเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบจากควันพิษ หรือผลกระทบจากสารพิษ เพราะปัจจุบันเข้าใจว่าการแก้ปัญหาในพื้นที่ยังไม่ดีเท่าที่ควร ซึ่งสะท้อนได้จากการที่ประชาชนยังมีการออกมาร้องเรียนถึงความล่าช้าจากการดำเนินการแก้ไขปัญหาจากเจ้าหน้าที่ ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงอุตสาหกรรม และจังหวัดระยอง ฉะนั้นตอนนี้นายกรัฐมนตรีต้องลงมากวดขันหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ลงมาแก้ปัญหาให้พี่น้องประชาชนเร่งด่วน และที่สำคัญต้องไม่ให้เกิดปัญหาแบบนี้ในพื้นที่อื่นอีก เพราะถือว่าที่จังหวัดระยองเป็นบทเรียนที่สำคัญที่ผู้ประกอบการกำจัดกากสารเคมีอุตสาหกรรมแล้วทำให้เกิดเหตุไฟไหม้ จะด้วยตั้งใจ หรือไม่ตั้งใจก็ดี

“ดังนั้นต้องมีมาตรการการรองรับกรณีแบบนี้ไม่ให้เกิดขึ้นอีก รวมถึงต้องเร่งดำเนินการกับกากสารเคมีที่เหลืออยู่ ตลอดจนต้องดำเนินการสอบสวนหาสาเหตุของการเกิดเหตุไฟไหม้ครั้งนี้อย่างจริงจัง ว่าเกิดเพราะอะไร มีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่” นายอัครเดช กล่าว


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top