Friday, 3 May 2024
ยาเสพติด

ทหารพรานที่ 2110 รวบหนุ่มเดชอุดม เดินทางมารับยาบ้า 160,000 เม็ด ที่บ้านนาตาล ได้ค่าจ้าง 50,000 บาท

เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2566 เวลา 21.40 น. ร้อย.ฉก.ทพ.2110 ฉก.ทพ.21, ชปข.กอ.รมน., ฝ่ายปกครอง อ.ดอนตาล, ชปข.7 กกล.สุรศักดิ์มนตรี, ศขย.ฝขว.ศปก.ทบ. และหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ หลังได้รับแจ้งจากแหล่งข่าวว่า ได้มีชายต้องสงสัยแบกกระสอบอยู่ริมถนนข้างวัดนาตาลศรีลาวาส พื้นที่ บ.นาตาล ม.8 ต.ดอนตาล อ.ดอนตาล จ.มุกดาหาร แล้วนำไปซุกซ่อนไว้ในป่าข้างถนน เจ้าหน้าที่จึงได้บูรณาการจัดกำลังเข้าตรวจสอบตามที่แหล่งข่าวแจ้ง 

จากการตรวจสอบพบว่าเป็นกระสอบสีฟ้า ซึ่งคาดว่าเป็นสิ่งของผิดกฎหมาย จึงได้กำลังซุ่มเฝ้าตรวจและวางกำลังตามเส้นทางที่คาดว่าน่าจะมีคนมาเอาสิ่งของที่ซุกซ่อนอยู่ป่าริมถนน จนกระทั่งเวลา 02.00 จนท.ได้เข้าตรวจสอบวัตถุที่ซุกซ่อนอยู่ในป่าริมถนน เมื่อเปิดดูภายในพบว่าเป็นยาบ้าห่อด้วยกระสอบปุ๋ย จำนวน 2 ก้อน บรรจุอยู่ในกระเป๋าสีน้ำตาล 1 ใบ ในขณะที่ จนท.กำลังตรวจสอบ ได้มีรถปิคอัพ คันหนึ่ง ขับขี่มาตามถนนหมายเลข 2034 จาก อ.ดอนตาล แล้วเลี้ยวขวามุ่งหน้ามายังจุดที่ จนท.กำลังตรวจสอบห่างประมาณ 5 เมตร  จนท.จึงได้แสดงตัวและทำการตรวจค้นภายในร่างกายและยานพาหนะ ผลการตรวจค้น ไม่พบสิ่งผิดกฎหมาย จากนั้น จนท.จึงได้ตรวจสอบพบว่า โทรศัพท์มือถือ จำนวน 2 เครื่อง ภายในโทรศัพท์มีหลักฐานการติดต่อในการรับส่งยาเสพติด(ยาบ้า)

‘เจ้าของบ่อกุ้ง’ แทบช็อก!! ใช้รถแบคโฮหวังเคลียร์พื้นที่รกร้าง ดันเจอ!! ยาบ้า-ยาอี-ยาไอซ์-กัญชา มูลค่ากว่า 12 ล้านบาท ซ่อนไว้

(11 เม.ย.66) เมื่อวันที่ 10 เม.ย.66 ที่หน้า บก.ภ.นครศรีธรรมราช นายอภินันท์ เผือกผ่อง ผวจ.นครศรีธรรมราช และ พล.ต.ต.สมชาย ซื่อต่อตระกูล ผบก.ภ.นครศรีธรรมราช ร่วมแถลงผลงานตำรวจ สภ.หัวไทร พบเจอยาเสพติดชนิดต่างๆ จำนวนมากในพื้นที่ อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช

โดยแถลงข่าวว่า เมื่อเย็น 9 เม.ย.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.หัวไทร ได้รับแจ้งจากพลเมืองดี ซึ่งได้ใช้รถแบคโฮทำการเคลียร์พื้นที่รกบริเวณบ่อเลี้ยงกุ้งร้าง หมู่ 9 ต.หน้าสตน อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งเจ้าของที่ดินได้ปล่อยรถร้างไว้นานหลายปี ว่าระหว่างใช้รถแบคโฮกวาดพื้นที่ ได้พบมีถุงดำจำนวนหลายถุงปิดคลุมด้วยตาข่ายแสลนสีเขียว มีต้นเถาวัลย์สูงปิดคลุมอยู่ โดยไม่ทราบว่าเป็นของผู้ใด ลักษณะเชื่อว่าทิ้งไว้เป็นระยะเวลานาน โดยมีถุงดำ จำนวน 3 ถุง ที่ถูกรถแบคโฮเกี่ยวขาด พบว่าภายในถุงดำเป็นกัญชาอัดแท่ง ยาบ้า และไอซ์ จำนวนหนึ่ง จึงได้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าทำการตรวจสอบ โดยยังมีถุงดำที่พันปิดปากถุงด้วยผ้าเทปสีเขียวอีกจำนวน 18 ถุง ที่ยังไม่ได้ทำการตรวจสอบภายใน รวมถุงดำที่บรรจุยาเสพติดทั้งหมด 21 ถุง จึงได้ประสานเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน จ.นครศรีธรรมราช ร่วมตรวจสอบเก็บหลักฐานและลายนิ้วมือแฝงในที่เกิดเหตุ

จากนั้นได้ทำการตรวจนับยาเสพติดในถุงดำ 21 ถุง พบจำนวนยาเสพติดทั้งหมดดังนี้ ยาไอซ์ 56 ก้อน (56 กก.) , ยาบ้า 301 ถุง (ถุง 200 เม็ด สภาพเปียก) ยาอี 3,996 เม็ด กัญชา 319 ก้อน (319 กก.) จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.หัวไทร ได้ทำการตรวจยึดยาเสพติดดังกล่าว รับคำร้องทุกข์ไว้ดำเนินคดีตามกฎหมาย จะได้ดำเนินการสืบสวนสอบสวนหาตัวเจ้าของยาเสพติดทั้งหมดนี้ว่าเป็นของใคร และผู้กระทำความผิดมาดำเนินการตามกฎหมายต่อไป โดยยาเสพติดที่พบนี้มีมูลค่าประมาณกว่า 12 ล้านบาท


ที่มา : https://www.naewna.com/local/723591

“บิ๊กจ๋อ” นำทีมสืบนครบาล ซ้อนแผนรวบ “ตั้มฟองเบียร์” หนุ่มจิตวิปลาส “ชอบกินเด็ก” เคยต้องคดีพรากผู้เยาว์-ยาเสพติด

วันที่ 12 เมษายน พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น.  สั่งให้พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น.  นำทีม พ.ต.อ.จักราวุธ คล้ายนิล ผกก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สส.บช.น. , พ.ต.อ.วิชิต ถิรขจรวงศ์ ผกก.สส.1 บก.สส.บช.น. , พ.ต.อ.ธนากร อ่อนทองคำ ผกก.สส.4 บก.สส.บช.น. พร้อมกำลังชุดสืบสวนติดตามจับกุม นายศรัณย์ จันทศรี หรือฉายา “ตั้มฟองเบียร์” อายุ 30 ปี อยู่บ้านเลขที่ 27/1 ม.1 ต.ตำแย อ.พยุห์ จ.ศรีษะเกษ ตามหมายจับศาลอาญาธนบุรีที่ จ.228/2566 ลงวันที่ 27 มี.ค. 66 ข้อหา ปราศจากเหตุอันสมควรพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบหาปีไปเสียจากบิดามารดา และแจ้งข้อหาเพิ่ม“ครอบครองสื่อลามกอนาจารเด็กเพื่อแสวงหาประโยชน์ในทางเพศสำหรับตนเองหรือผู้อื่น” จับได้ที่ ริมถนนในซอยเอกชัย 64/5 แขวงบางบอนเหนือ เขตบางบอน จังหวัดกรุงเทพ

พฤติการณ์สืบเนื่องจาก ชุดลาดตระเวนออนไลน์ของสืบนครบาลได้รับแจ้งจากผู้เสียหายรายหนึ่งผ่านเฟสบุ๊คเพจ สืบสวนนครบาล IDMB โดยผู้เสียหายได้แจ้งว่า บุตรสาววัย 11 ปี นักเรียนชั้น ป.6 ได้ถูกคนร้ายซึ่งมีศักดิ์เป็น “อดีตน้าเขย” พาตัวหนีออกไปจากบ้านกว่า 11 วัน และมีการกระทำชำเราจำนวนหลายครั้ง โดยได้แจ้งความไว้ที่ สน.ท่าข้าม 
ซึ่งตำรวจได้มีการออกหมายจับไว้แล้ว แต่ยังลอยนวลเกรงว่าลูกสาวจะไม่ปลอดภัย แล้วอาจจะมีการถ่ายคลิปโป๊เก็บไว้  

จากตรวจสอบประวัติ นายศรัณย์ จันทศรี เคยต้องโทษกว่า 4 คดี พ.ศ. 2553 ถูกดำเนินคดีในข้อหา “พรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล” พ.ศ. 2555 ถูกดำเนินคดีข้อหา “ใช้สารระเหย”  พ.ศ. 2558 ถูกดำเนินคดีในข้อหา “มียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) ไว้ในครอบครอง”  และพ.ศ. 2558 ถูกดำเนินคดีในข้อหา “มียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย”

ภายหลังรับแจ้งและวิเคราะห์ข้อมูล พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ได้สั่งการใก้ชุดสืบสวนตามจับคนร้ายรายนี้ให้ได้โดยเร็ว เพื่อความปลอดภัยและอนาคตของเหยื่อที่เป็นเด็กเพียง 11 ปี โดยเปิดแผนปฏิบัติการใช้ “นางนกต่อ” ติดต่อไปหา นายศรัณย์ฯ เพื่อนัดหมาย บริเวณที่มีเจ้าหน้าที่ดักซุ่ม ก่อนจะเข้าจับกุมตัวได้ในที่สุด 

‘เลขาฯ ป.ป.ส.’ ชื่นชม ‘เมียนมา’ หลังทลายโรงงานผลิตเฮโรอีน สะท้อนการประชุมแม่น้ำโขงปลอดภัย 6 ประเทศ สัมฤทธิผล

เมื่อวันที่ 15 เม.ย. 66 นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (เลขาธิการ ป.ป.ส.) เปิดเผยว่า ผลจากการเข้าร่วมประชุมสรุปผลการดำเนินงานของศูนย์ประสานงานแม่น้ำโขงปลอดภัย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม และหารือเกี่ยวกับการพิจารณารับร่างแผนแม่น้ำโขงปลอดภัย เพื่อการควบคุมยาเสพติด 6 ประเทศ ระยะ 5 ปี (พ.ศ.2566 - 2570) โดยมีผู้แทนจาก 6 ประเทศ ได้แก่ ไทย, กัมพูชา, จีน, ลาว, เมียนมา และเวียดนาม เข้าร่วมประชุม ในระหว่างวันที่ 5 – 7 เม.ย 2566 ที่ผ่านมานั้น

เลขาธิการ ป.ป.ส. กล่าวว่า สำนักงาน ป.ป.ส. โดยศูนย์ประสานงานแม่น้ำโขงปลอดภัย (Safe Mekong Coordination Centre : SMCC)  ได้เสนอแผนความร่วมมือให้ทั้ง 6 ประเทศ ลดปัญหายาเสพติดในภูมิภาคด้วยการผนึกกำลังร่วมกัน โดยมีมาตรการสำคัญ คือ การลดศักยภาพการผลิตยาเสพติดในพื้นที่สามเหลี่ยมทองคำ โดยมุ่งเน้นมาตรการในการสกัดกั้นปราบปราม
ยาเสพติด การควบคุมสารตั้งต้นเคมีภัณฑ์ และอุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิตยาเสพติด รวมถึงการร่วมกันสืบสวนขยายผลจับกุมกลุ่มผู้ค้าสารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ และเครือข่ายการค้ายาเสพติด ไม่ให้กระจายไปยังประเทศต่าง ๆ โดยประสานข้อมูลการข่าว และปฏิบัติการในประเทศตนเองอย่างเคร่งครัด

นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการ ป.ป.ส. เผยว่า ผลจากการประชุมได้ทำให้แต่ละประเทศตื่นตัวเพิ่มมากขึ้น และพร้อมที่จะดำเนินมาตรการตามแผนปฎิบัติการร่วมกัน โดยเมื่อวันที่ 13 เมษายน 2566 ทางการเมียนมาได้รับรายงานว่ามีโรงงานผลิตยาเสพติดในบริเวณหมู่บ้านห่างจากเมืองน้ำคำ รัฐฉาน ไปทางตะวันตกประมาณ 6.7 กม. เจ้าหน้าที่เมียนมาได้เข้าตรวจสอบพบเพิงพักชั่วคราวที่ประกอบขึ้นเป็นโรงงานจำนวน 4 แห่ง ซึ่งเชื่อว่าเป็นแหล่งผลิตเฮโรอีน และสามารถตรวจยึดฝิ่นสกัดจำนวน 60 ลิตร พร้อมสารตั้งต้นเคมีภัณฑ์ ได้แก่ เอทิลอีเทอร์ (Ethyl Ether) จำนวน 80 ลิตร เบนซีน (BenZene) จำนวน 60 ลิตร โซเดียมคาร์บอเนต จำนวน 3 กก. โซเดียมไนเตรท จำนวน 4 กก. และ โพรเทสเซียม 15 กก. พร้อมอุปกรณ์การผลิต

โดยขณะนี้อยู่ระหว่างประสานข้อมูลการข่าวกับประเทศรอบข้างรวมทั้งประเทศไทยเพื่อขยายผลต่อไป เนื่องจากเมืองน้ำคำ ไม่ใช่เมืองท่องเที่ยว อยู่ติดชายแดนประเทศจีน และห้ามคนต่างชาติ

‘ตร.’ ทลายแหล่งพัก-เครือข่ายขนยาเสพติด ก่อนส่งออกทางเรือ พร้อมจับบิ๊กชาวมาเลฯ-ฮ่องกง ยึดเฮโรอีน 94 กก.-ไอซ์ 162 กก.

ตำรวจ ปส. (NSB) ทลายเครือข่ายขนยาเสพติดข้ามชาติ ผ่านระบบขนส่ง Logistics ก่อนส่งออกทางเรือและทลายแหล่งพักยา จับนักค้ามาเลเซีย-ฮ่องกง ระดับสั่งการ ได้พร้อมด้วยของกลางรวมเฮโรอีน 94 กก.ไอซ์ 162 กก. จากการปราบปรามอย่างหนักของตำรวจ (NSB) ในการเดินหน้าทำลายเครือข่ายยาเสพติดรายใหญ่ และรายย่อย ตามนโยบายเร่งด่วนของ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร ซึ่งจะพบว่า สถานการณ์ยาเสพติดขณะนี้ ผู้ค้ายาเสพติดมีความพยายามในการลักลอบลำเลียงยาเสพติดจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ระบบขนส่งในการลักลอบขนยาเสพติด

(18 เม.ย. 66) ที่ กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) พล.ต.อ.ชินภัทร สารสิน รอง ผบ.ตร./ผอ.ศอ.ปส.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร., พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ปส., พล.ต.ต.พรพิทักษ์ รู้ยืนยง รอง ผบช.ปส., พล.ต.ต.บรรพต มุ่งขอบกลาง รอง ผบช.ปส.,พล.ต.ต.สมกิต พุ่มวารี ผบก.ขส.บช.ปส., พล.ต.ต.พลัฏฐ์ วิเศษสิงห์ ผบก.สกส.บช.ปส., พล.ต.ต.ปิยะวัฒน์ บุญยืนอนนต์ ผบก.ปส.1,พล.ต.ต.ธนรัชน์  สอนกล้า ผบก.ปส.2, พล.ต.ต.คมสิทธิ์ รังไสย์ ผบก.ปส.3 แถลงผลการจับกุมเครือข่ายค้าเฮโรอีนรายใหญ่ระดับสั่งการผู้ต้องหา 8 ราย ตรวจยึด เฮโรอีน 94 กก., ไอซ์ 182 กก., ยาบ้า 7 แสนเม็ด, คีตามีน 25 กก.และสารเสพติดไม่ทราบชนิด (อยู่ระหว่างตรวจพิสูจน์) 1,250 ขวด

คดีแรก สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 10-11 เม.ย.ที่ผ่านมา กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (NSB) ร่วมกับ เจ้าหน้าที่หน่วยงานร่วมภายใต้โครงการปราบปรามยาเสพติดระหว่างประเทศ ท่าเรือสากลของอาเซียน หรือ Seaport Interdiction Task Force (SITF) ประกอบด้วย สำนักงาน ป.ป.ส., ศุลกากรและศูนย์รักษาความปลอดภัย เข้าตรวจสอบพัสดุหลังพบว่าจะมีการลักลอบลำเลียงยาเสพติด ที่คลังสินค้าแห่งหนึ่ง เขตบึงกุ่ม พบเฮโรอีนน้ำหนักกว่า 30 กก.ซุกซ่อนไปกับแผ่นเรซิ่นลายแผ่นไม้ เตรียมส่งออกไปประเทศออสเตรเลีย

เจ้าหน้าที่จึงสืบสวนขยายผลจนทราบว่า ผู้ส่งสินค้าคือ น.ส.กานดา (สงวนนามสกุล) อายุ 33 ปี ก่อนจะถูกจับกุมได้ในเวลาต่อมา สารภาพว่า เป็นผู้ส่งเฮโรอีนจริง โดยใช้บัตรประชาชนของผู้อื่นในการจัดส่ง ส่วนยาเสพติดรับมาจากชายรู้จักเพียงว่าชื่อ ‘เถ้าแก่’ พูดภาษาจีน โดยมี ‘นายตี๋’ ช่วยแปลภาษาและจ่ายเงินว่าจ้างถูกจับกุมได้ในเวลาต่อมา ส่วนผู้รับเป็นลูกครึ่งไทย – ออสเตรเลีย

ต่อมา เจ้าหน้าที่พบความเคลื่อนไหวของเครือข่ายนี้ จะส่งยาเสพติดไปต่างประเทศในช่วงใกล้วันสงกรานต์ อีกครั้ง จึงขยายผลจากฐานข้อมูล (Big data) ที่ บช.ปส. (NSB) มีอยู่ กระทั่งวันที่ 12 เม.ย.ที่ผ่านมา สามารถจับกุม Mr.LEUNG หรือเฮีย หรือเถ้าแก่ สัญชาติมาเลเซีย ระดับสั่งการ ได้ที่ปั้มน้ำมัน ย่านถนนพระราม 3 พร้อมไอซ์กว่า 2 กก.ซุกซ่อนในกรอบรูปเตรียมส่งไปยังประเทศญี่ปุ่น

จากนั้นขยายผลจับกุมนายจายหลู่ หรือ ‘ตี๋ ชาวไทใหญ่’ ได้ที่ปั้มน้ำมันในซอยสาธุประดิษฐ์ 15 พร้อมสอบสวนและขยายผลเพิ่มเติมก่อนเข้าตรวจค้นที่พักย่านถนนพระราม 3 เป็นห้องสำหรับจัดเตรียมยาเสพติดเพื่อซุกซ่อนไปกับสินค้าชนิดต่าง ๆ ผลการตรวจค้นพบไอซ์ ซุกซ่อนอยู่ในตู้เสื้อผ้า น้ำหนักกว่า 13 กก., และไอซ์ ลักษณะเป็นเกล็ดผสมกับเนื้อซิลิโคน 2 แผ่น น้ำหนักกว่า 18 กก.ซุกซ่อนในกรอบรูปผ้าใบ 2 กรอบ, ไอซ์ ลักษณะเหลวเหนียวข้น 1 กก. และของเหลวบรรจุอยู่ในขวด แสดงสินค้าเป็น Massage Oil 1,250 ขวด ตรวจทดสอบเบื้องต้นด้วยน้ำยาทดสอบยาเสพติดพบเปลี่ยนสี หลังจากนี้จะส่งไปตรวจกับสถาบันตรวจพิสูจน์ว่าเป็นสารเสพติดชนิดใด

นอกจากนี้ยังจับกุม Mr.Kai สัญชาติฮ่องกง ได้เพิ่มอีก 1 ราย จากนั้นได้เข้าตรวจค้นห้องพัก 2 ห้อง ภายในคอนโด ย่านถนนเลี่ยงวงแหวนอุตสาหกรรม พบเฮโรอีน น้ำหนักกว่า 64 กก. และ ไอซ์กว่า 128 กก.

ทั้งนี้ กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด ได้ตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมจากฐานข้อมูล Big Data พบว่า ผู้ต้องหามีความเกี่ยวข้องกับการจัดส่งพัสดุไปต่างประเทศอื่น ๆ อีกหลายประเทศซึ่งจะต้องสืบสวนขยายผลการจับกุมบุคคลหรือกลุ่มเครือข่ายต่อไป

คดีที่ 2 เมื่อวันที่ 4 เม.ย.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.สกส. และ บก.ขส. ร่วมกันจับกุมนายณัฐวุฒิ (สงวนนามสกุล) อายุ 31 ปี และ น.ส.อรุณี (สงวนนามสกุล) อายุ 36 ปี ก่อนการจับกุมเจ้าหน้าที่พบความเคลื่อนไหวของเครือข่ายดังกล่าว เตรียมนำยาเสพติดจำนวนมากจาก จ.เชียงราย มาส่งให้ลูกค้าในพื้นที่ภาคตะวันออก จึงวางกำลังเจ้าหน้าที่ไว้ตลอดเส้นทางที่คาดจะขับผ่าน ก่อนจะสกัดจับกุมได้ที่ริมถนนหมายเลข 3543 อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา ตรวจค้นรถพบยาบ้า 7 แสนเม็ด ซุกซ่อนในรถยนต์ หมายเลขทะเบียน กท 30xx สุโขทัย

ขุดอีก!! ชาวเน็ตจับโป๊ะ!! ‘พิธา’ พลิกลิ้น จุดยืนเรื่องกัญชา ปี 62 บอกหนุนเต็มอัตรา แต่ล่าสุดบอกยัดเข้าบัญชียาเสพติด

(6 พ.ค. 66) โดนอีกระลอก หลังชาวเน็ตขุดคลิปที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคก้าวไกล เคยใช้ประเด็น ‘กัญชาสันทนาการ’ หาเสียงเมื่อปี 62 โดยระบุว่า…

“ประเทศไทย จะต้องเป็น Medical Hub และเป็น Tourism Hub เกี่ยวกับกัญชา เป็นอันดับ 1 ของเอเชียให้ได้ ผมได้ไปที่ประเทศจาไมก้า บ้านเกิดของ ‘บ็อบ มาเลย์’ ซึ่งเป็นพื้นที่พิเศษ ที่สามารถมีการสูบกัญชาแบบสันทนาการได้ หรือตอนที่ผมอยู่ประเทศสหรัฐอเมริกา การทำให้กัญชาเป็นเรื่องของสันทนาการไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัวเลย และการที่ผมได้ไปเยี่ยมบ้านเกิดของ ‘บ็อบ มาเลย์’ ในครั้งนั้น ทำให้ผมได้ ‘จ๊อย’ (กัญชาแบบพันลำ) มา 1 จ๊อย โดยจ่ายเงินประมาณ 2,000 บาท

“เขานำเงินที่ได้จากกัญชาสันทนาการ มาทำให้กลายเป็นภาษีที่นำไปช่วยในส่วนของภาคการศึกษา โรงเรียนที่เป็นโรงเรียนสาธารณะมีเงินจากตรงนี้ โอกาสมีมากมายมหาศาล เงินที่ได้จากกัญชา ที่เป็นภาษี สามารถนำไปช่วยเหลือคนในสังคมได้อีกมากมายแค่ไหน การที่เราปลดล็อกกัญชา มันมีสิ่งที่สามารถช่วยได้มากมายแค่ไหน”

‘บิ๊กตู่’ สั่งเข้ม!! ป้องกัน-ปราบปราม-แก้ไขปัญหา ‘ยาเสพติด’ ภายใต้วิสัยทัศน์ ‘สังคมไทยปลอดภัยจากยาเสพติดฯ’

(7 พ.ค. 66) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสั่งการ เน้นย้ำ ให้ความสำคัญการป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหายาเสพติด ขจัดยาเสพติดให้หมดสิ้นไปจากสังคมไทย เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยให้มีความมั่นคงปลอดภัย เป็นสังคมปลอดยาเสพติด สู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ภายใต้วิสัยทัศน์ “สังคมไทยปลอดภัยจากยาเสพติด ด้วยมาตรการทางเลือกใหม่ สู่การแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน”

นายอนุชา กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลได้กำหนดและดำเนินการอย่างแข็งขันภายใต้นโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยการป้องกันปราบปรามและแก้ไขปัญหายาเสพติด (พ.ศ.2566 - 2570) ซึ่ง ครม. เห็นชอบเมื่อ 21 กุมภาพันธ์ 2566 มีแนวทางการดำเนินงาน 6 ด้าน ดังนี้

1. การป้องกันยาเสพติด เสริมสร้างความรู้เท่าทันและป้องกันยาเสพติดในเด็กและเยาวชน และสร้างความตระหนักและจิตสำนึกร่วมในการป้องกันปัญหายาเสพติด รวมทั้งพัฒนาระบบเฝ้าระวังและควบคุมปัญหายาเสพติดในพื้นที่สื่อสังคมออนไลน์ 

2. ด้านการปราบปรามยาเสพติดมีเป้าหมาย สกัดกั้นยาเสพติด สารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ ไม่ให้เข้าสู่ประเทศและถูกใช้เป็นเส้นทางนำผ่านไปยังประเทศที่สาม ปราบปรามเครือข่ายการค้ายาเสพติด และเนินการทางวินัยและบังคับใช้กฎหมายลงโทษเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด 

3. ด้านการยึดทรัพย์สินคดียาเสพติด ทำลายเครือข่ายการค้ายาเสพติดด้วยมาตรการทางทรัพย์สิน 

4. ด้านการบำบัดรักษายาเสพติด การบำบัดรักษาและฟื้นฟูสภาพทางสังคมของผู้เสพยาเสพติดและผู้เสพยาเสพติดมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น 

5. ด้านความร่วมมือระหว่างประเทศ ไทยมีบทบาทในการเสริมสร้างความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน และพัฒนาสู่การเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้และส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพให้กับบุคลากรด้านยาเสพติดระหว่างประเทศ 

6. ด้านการบริหารจัดการ นำนโยบายไปสู่การปฏิบัติอย่างบูรณาการในทุกระดับ บุคลากรภาครัฐที่ปฏิบัติงานด้านยาเสพติดมีทักษะและสมรรถนะสูงพร้อมรับมือกับภัยคุกคามของปัญหายาเสพติดในยุคดิจิทัล พัฒนากลไกอำนวยการ ระเบียบ กฎหมาย เสริมสร้างสมรรถนะของบุคลากรภาครัฐที่ปฏิบัติงานด้านยาเสพติด และการควบคุมและใช้ประโยชน์จากพืชเสพติด และพืชในการกำกับควบคุมดูแลพิเศษของรัฐ

นายอนุชา กล่าวว่า ขอยกตัวอย่างถึง ชุมชน “สินไหโมเดล” จ.ระนอง ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวอย่างชุมชนที่ดำเนินการแก้ไขปัญหายาเสพติดแบบครบวงจรตามยุทธศาสตร์ชาติ ซึ่งเป็นการบูรณาการการทำงานอย่างใกล้ชิด ทั้งในระดับส่วนกลางและในพื้นที่ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชนและรัฐวิสาหกิจ รวมทั้งภาคประชาชน ทุกภาคส่วนร่วมกันป้องกัน แก้ไข และหยุดยั้งการแพร่ระบาดของยาเสพติด อาทิ การให้ความรู้ การบำบัดรักษาผู้เสพยาเสพติด และการสร้างอาชีพ ตามนโยบายและเจตนารมณ์มุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาผู้ติดยาเสพติดของรัฐบาล 

ผบ.ตร.ลงพื้นที่ภูเก็ต วางมาตรการดูแลประชาชน นักท่องเที่ยวทุกมิติ คุมเข้มอาชญากรรม ยาเสพติด คดีออนไลน์ การเอารัดเอาเปรียบ ย้ำต้องทำงานเอาปัญหาชุมชนเป็นที่ตั้ง มีตำรวจคอยประสานงานแก้ไข พร้อมกำชับสร้างภาพลักษณ์ที่ดี

วันนี้ (11 พ.ค.66) พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ลงพื้นที่จังหวัดภูเก็ต เพื่อวางมาตรการดูแลนักท่องเที่ยวและบริหารจัดการนักท่องเที่ยว และบุคคลต่างด้าวทั้งระบบตามนโยบายรัฐบาลร่วมหน่วยงานเกี่ยวข้อง สำหรับจังหวัดภูเก็ตถือเป็นจังหวัดยุทธศาสตร์ด้านการท่องเที่ยวของประเทศ รัฐบาลได้จัดทำโครงการ “ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์” กระตุ้นและฟื้นฟูการท่องเที่ยวในภูเก็ตหลังโควิด ซึ่งได้รับผลการตอบรับที่ดีจากนักท่องเที่ยวทั่วโลก นำรายได้เข้าสู่ประเทศจำนวนมาก อย่างไรก็ตามยังมีปัญหาอาชญากรรม การเอารัดเอาเปรียบนักท่องเที่ยว การให้บริการ แท็กซี่ป้ายดำ รวมทั้งปัญหากลุ่มชาวต่างชาติ คนต่างด้าวเข้ามาทำผิดแฝงในคราบนักท่องเที่ยว ที่ต้องดำเนินการ

โดยในช่วงเช้า ผบ.ตร.พร้อมด้วย พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม. , พล.ต.ต.เสริมพันธุ์ ศิริคง ผบก.ภ.จว.ภูเก็ต , นายอานุภาพ รอดขวัญ ยอดระบำ รอง ผวจ.ภูเก็ต พร้อมด้วยตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ตำรวจท่องเที่ยว ตำรวจท้องที่ และส่วนราชการเข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุม ตม.จว.ภูเก็ต เพื่อนำเสนอภาพรวมการทำงาน และสภาพปัญหาที่เกิดขึ้น 

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ ได้สั่งการเน้นย้ำการบูรณาการ ทำงานเป็นเนื้อเดียวกันในทุกภารกิจ ทุกมิติ มีการประสานงานกันต่อเนื่องในการดูแลนักท่องเที่ยวตั้งแต่เข้ามาผ่านสนามบิน การเดินทางสัญจร การท่องเที่ยวในพื้นที่ มีการควบคุมการเข้าออกประเทศให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ , ให้ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง และตำรวจท่องเที่ยว สุ่มตรวจที่พักอาศัย โรงแรมตามมาตรา 38 พ.ร.บ.คนเข้าเมืองฯ , ให้ตำรวจร่วมหน่วยงานเกี่ยวข้องควบคุมการให้บริการ ไม่ให้มีการเอารัดเอาเปรียบนักท่องเที่ยว อาทิ เช่น รถแท็กซี่ป้ายดำ การเช่าเรือ ที่พักโรงแรมร้านอาหารต่างๆ ร้านขายของที่ระลึก และสั่งการให้ศูนย์ข้อมูลสายด่วนตำรวจท่องเที่ยว 1155 เชื่อมต่อกับศูนย์ 191 ของตำรวจพื้นที่ ส่งต่อข้อมูล เพื่อให้บริการ ช่วยเหลือดูแลนักท่องเที่ยวได้อย่างทันท่วงที ทั้งเรื่องความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ตลอดจนอุบัติเหตุจราจร  ส่วนในพื้นที่ที่มีนักท่องเที่ยวจำนวนมาก ต้องมีมาตรการดูแลเป็นพิเศษ ทั้งการคัดกรอง จุดให้บริการ การติดตั้งกล้อง CCTV ดูแลความปลอดภัย และการ Show of Force เพื่อสร้างความเชื่อมั่นกับนักท่องเที่ยว 

พร้อมย้ำข้าราชการตำรวจทุกฝ่าย สร้างภาพลักษณ์ที่ดี ทั้งการแต่งกาย การพูดจา การสวมใส่หมวกนิรภัย หรือปฏิบัติตามกฎหมาย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่นักท่องเที่ยว ที่สำคัญห้ามมีการเรียกรับสินบน ผลประโยชน์ หรือกระทำการใดๆ ที่ส่งผลต่อภาพลักษณ์การท่องเที่ยวโดยเด็ดขาด 

ต่อมาในช่วงบ่าย ผบ.ตร.ได้เดินทางไปประชุมตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต โดยมี พล.ต.ท.วันไชย เอกพรพิชญ์ จตร.ปฏิบัติราชการ ภ.8  ,รอง ผบช.ภ.8 ทุกท่าน, พล.ต.ต.เสริมพันธุ์ ศิริคง ผบก.ภ.จว.ภูเก็ต , ผกก.หัวหน้าสถานี และข้าราชการตำรวจเข้าร่วม  ทั้งนี้ ผบ.ตร.ได้กำชับมาตรการดูแลประชาชน และนักท่องเที่ยวของจังหวัดภูเก็ต เน้นการบูรณาการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ยกระดับการให้บริการประชาชน มีการซักซ้อมแผนเผชิญเหตุ โดยให้ ผกก.หรือหัวหน้าสถานี ลงพื้นที่ และรายงานผลการปฏิบัติในจุดสำคัญ เพื่อแก้ปัญหาด้วยตนเอง

- นโยบายด้านยาเสพติด กำชับโครงการชุมชนยั่งยืนที่ภูเก็ตดำเนินการ 11 หมู่บ้าน มีการตรวจสารเสพติด 19,669 ราย เป็นผู้เสพที่เข้าสู่กระบวนการบำบัด 179 ราย 
- อาชญากรรมออนไลน์ เน้นย้ำมิติการป้องกันควบคู่การสืบสวนปราบปราม ทั้งการเตือนภัยรูปแบบต่างๆ พร้อมการแจ้งความออนไลน์ การรับแจ้ง สอบปากคำ หมายเรียกต่างๆ ให้ดำเนินการให้ถูกต้อง ทำเป็น SOP ให้เป็นมาตรฐาน 

- ส่วนการเลือกตั้งที่ใกล้จะถึงนี้ ตำรวจต้องวางตัวเป็นกลาง ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความสุจริต เป็นธรรม อย่างเต็มที่ ป้องกันการซื้อสิทธิ์ขายเสียง พร้อมกับระดมกวาดล้าง ตั้งจุดตรวจ จุดสกัดรักษาความสงบเรียบร้อย ไม่ให้มีการกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง ให้การเลือกตั้งเป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรม 
- ที่สำคัญต้องเอาปัญหาของประชาชน คนในพื้นที่เป็นที่ตั้ง จัดตำรวจประสานงานระหว่างชุมชน เพื่อรับทราบปัญหา แล้วนำไปสู่การแก้ไข ไม่ให้เกิดบานปลายลุกลาม 
    
ทั้งนี้ ผบ.ตร.กล่าวว่า “ วันนี้ได้เดินทางมาจังหวัดภูเก็ต ซึ่งถือเป็นจังหวัดยุทธศาสตร์ด้านการท่องเที่ยว เพื่อวางมาตรการดูแลความปลอดภัยประชาชน และนักท่องเที่ยว ของตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง และตำรวจท่องเที่ยว ได้สั่งการเน้นย้ำอยากเห็นภาพการบูรณาการทำงานร่วมกันของตำรวจและหน่วยงานเกี่ยวข้อง ในการดูแลประชาชนและนักท่องเที่ยวทุกมิติ และได้เน้นย้ำสิ่งที่สำคัญที่สุดในการทำงานของตำรวจ คือ การนำปัญหาของสังคม ประชาชนในพื้นที่เป็นที่ตั้ง อยากเห็นการมอบหมายตำรวจไว้คอยประสานงานในหมู่บ้าน ชุมชน เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาต่างๆไม่ให้ลุกลาม และเกิดความยั่งยืน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน นักท่องเที่ยวในทุกๆมิติ”

‘ดร.หิมาลัย’ เตือน 'พนันออนไลน์' อันตรายไม่ต่างจาก 'ยาเสพติด' เยาวชนเข้าถึงได้ง่าย เพราะเล่นได้ ทุกที่ทุกเวลา

เมื่อวันที่ 1 ก.ค. 66 ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ผู้ประสานงานพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ได้เล่าถึงประเด็น การพนันออนไลน์ ผ่านรายการ ‘คุยกับ ดร. หิมาลัย’ โดยระบุว่า…

พนันออนไลน์ร้ายกว่าเสพยา ทำไมหลายคนชอบเล่นการพนัน ถ้ามนุษย์เรามีความตื่นเต้นมีการลุ้น มันก็จะมีสารตัวนึงที่หลั่งออกมา สารนี้ชื่อว่าโดฟามีน

สารชนิดนี้ เป็นสารชนิดเดียว กับสารที่มาจากยาเสพติด มาเล่นการพนันสารชนิดนี้ก็จะหลั่งออกมาจากสมองผู้เล่นการพนันก็จะมีความรู้สึกว่าตัวเองมีความสุข ผู้เล่นการพนันจึงติดการเล่นพนัน

การเปิดบ่อนเสรีนั้น มีการถกเถียงกันมาโดยตลอดมีการหยิบยกข้อดีและข้อเสียมาพูดคุยกัน ข้อดีก็อย่างเช่นเป็นการหาเงินเข้าประเทศ เงินทองไม่รั่วไหลออกนอกประเทศ ข้อเสียก็อย่างเช่นอาจจะกระทบกับสถาบันครอบครัวซึ่งสุดท้ายแล้ว ตอนนี้ในประเทศไทยก็ยังไม่มีการเปิดก่อนเสรีกัน

การเปิดบ่อนการพนันนั้น อย่างน้อยก็จะต้องมีสถานที่ ในการเปิดบ่อน การพนัน การจะเข้าไปเล่นในบ่อนได้ก็จะมีผู้คัดกรอง ซึ่งเด็กๆไม่สามารถเข้าไปเล่นได้อย่างแน่นอน

แต่เมื่อพูดถึงการพนันออนไลน์ มันไม่จำกัดสถานที่ นี่คือสิ่งที่น่ากลัว นั่งอยู่ในห้องเรียน อาจารย์ กำลังสอนอยู่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ก็สามารถเล่นการพนันได้แล้ว การพนันออนไลน์สามารถเล่นได้ทุกที่ทุกเวลา เด็กและเยาวชนก็สามารถเข้าไปเล่นได้ เพราะมันไม่มีการคัดกรอง ใช้เว็บเป็นก็สามารถเล่นได้หมด การพนันออนไลน์จึงเกิดการหาลูกค้าหน้าใหม่ขึ้นมา จากงานวิจัยนั้นผู้เล่นอายุ 15-25 ปี มีจำนวนอยู่ประมาณ 3 ล้านกว่าคน ซึ่งเป็นผู้เล่นหน้าใหม่ ซึ่งอายุขนาดนี้ ก็ย่อมจะเป็นผู้เล่นกลุ่มนักเรียนนักศึกษา เมื่อมันเล่นออนไลน์แล้วก็ไม่มีเงินกินข้าวไม่มีเงินไปโรงเรียน แล้วก็ไม่กล้าที่จะบอกพ่อแม่ สิ่งที่ตามมาก็คือการไม่เข้าห้องเรียน ขาดเรียน ปัญหาสังคมก็เกิดตามมา เมื่อไม่ไปโรงเรียนก็ไปรวมกันที่แหล่ง มั่วสุม แล้วก็เจอคนชักจูงไปในทางที่ผิดเด็กที่หน้าตาดีก็จะถูกชักจูงไปขายบริการทางเพศ ถ้าใจถึงหน่อยก็ชวนไปรับเล็กขโมยน้อยไปเป็นเด็กเดินยาเสพติดหรือไปก่ออาชญากรรมอื่นๆ ซึ่งก็จะเกิดปัญหาตามมา

เด็กวัยรุ่น ที่เดินเข้าสู่การพนันออนไลน์ก็จะมีค่านิยมอยากจะกินหรู อยู่สบาย งานเบา อยากจะหาเงินได้เงินแบบง่ายๆ แล้วเมื่อเด็กวัยรุ่นกลุ่มนี้อายุมากขึ้นเขาจะไปทำอะไรต่อ ในเมื่อเขาไม่เคยอดทนไม่เคยทำงานที่ลำบาก ก็อาจจะพัฒนาตัวเองขึ้นมาเป็นเจ้าของเว็บไซต์การพนันขนาดเล็ก จนเติบโตไปสู่เว็บพนันขนาดใหญ่เป็นวัฏจักร

ประเทศชาติ ไม่ได้อะไรจากการพนันออนไลน์เลย ภาษีก็ไม่ได้ เศรษฐกิจก็ไม่มีการพัฒนา แต่มีผลเสียก็คือไปดูดเงินของคนในสังคม ออกมาสู่เงินนอกระบบ

เจ้าของเว็บพนันออนไลน์ เมื่อมีเงินแล้วก็เริ่มจะเข้าสู่ สังคมด้วยการใช้เงินนั้นสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้ตัวเองดูดี เริ่มใช้เงินนั้นเข้าไปหาผู้มีอำนาจ เพื่อให้ผู้มีอำนาจนั้นการันตีตัวเองว่าตัวเองนั้นเป็นคนดี และต่อมา ก็อาจจะเข้าสู่การเป็นผู้มีอำนาจเสียเอง ก็จะเดินเข้ามาสู่การเมือง ซึ่งตรงนี้เป็นสิ่งที่อันตรายต่อประเทศชาติ

สื่อมวลชน เป็นอาชีพที่การพนันออนไลน์นั้นซื้อไม่ได้ เราจะเห็นได้ว่าเรื่องการพนันออนไลน์เรื่องนอกระบบนั้น ถูกเปิดเผยให้สังคมได้รับรู้ผ่านทางสื่อมวลชนที่มีจรรยาบรรณ ไม่ว่าคุณจะอยู่ตรงไหนสื่อมวลชนก็จะตามไปหาข้อมูลมานำเสนอต่อสังคม เพื่อเอามาตีแผ่

ผบ.ตร.พร้อม พระธรรมวชิรเมธี ร่วมภาคีเครือข่าย เปิดศูนย์ 'มินิธัญญารักษ์' สถานฟื้นฟูฯ ผู้ติดยาเสพติด ผุดโครงการนำร่องตั้งศูนย์บำบัดฟื้นฟูตามแนวทางแพทย์สมัยใหม่ คืนคนดีสู่สังคม ผู้ประกอบการรับไม้ต่อสร้างอาชีพเพื่อความยั่งยืน

วันนี้ (4 ก.ค.66) พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. พร้อมด้วย  พระธรรมวชิรเมธี เจ้าคณะภาค 1 เจ้าอาวาสวัดหงส์รัตนารามราชวรวิหาร , พระราชธรรมเมธี เจ้าคณะจังหวัดจันทบุรี  เจ้าอาวาสวัดโค้งสนามเป้า, นายพรพจน์ เพ็ญพาส รองปลัดกระทรวงมหาดไทย , นายแพทย์ยงยศ  ธรรมวุฒิ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข , นายปิยะศิริ วัฒนวรางกูร  รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด, นายมนต์สิทธิ์ ไพศาลธนวัฒน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี ,พล.ต.ท. ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร. , พล.ต.ท.ณัฐ สิงห์อุดม ผบช.ตชด., พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.ภ.2 , พล.ต.ต.ผดุงศักดิ์ รักษาสุข ผบก.ภ.จว.จันทบุรี พร้อมส่วนราชการ ผู้นำชุมชน แขกผู้มีเกียรติร่วมพิธี และเปิดโครงการจัดตั้งสถานฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดระยะยาว “มินิธัญญารักษ์” ณ ศูนย์จันทารักษ์ กองร้อยตำรวจตระเวนชายแดน 115 ต.โป่งน้ำร้อน อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี

การจัดตั้งสถานฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดระยะยาว “มินิธัญญารักษ์” เป็นไปตามนโยบายรัฐบาล ที่กำหนดให้ปัญหายาเสพติด เป็นนโยบายเร่งด่วนที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมกันแก้ไข ซึ่งโครงการนี้สามารถสนับสนุนงานของกระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงมหาดไทยในด้านการบำบัด ฟื้นฟูผู้ป่วยยาเสพติด ที่ผ่านการบำบัดจากสถานพยาบาลยาเสพติด เข้าสู่การฟื้นฟูสมรรถภาพและฟื้นฟูสภาพทางสังคม โดยใช้สถานที่และกำลังพลของ ตชด.และภาคีเครือข่ายร่วมกันในการขับเคลื่อนโครงการภายใต้การดูแลของจังหวัด ซึ่งเมื่อดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว ผู้ประกอบการ โรงงานจะเข้ามารับผู้เข้าร่วมโครงการฯ เข้าทำงานให้สามารถมีอาชีพเลี้ยงดูครอบครัวได้ต่อไป

ซึ่งโครงการดังกล่าวสอดคล้องกับโครงการชุมชนยั่งยืน และโครงการค้นหาผู้ใช้ ผู้เสพและผู้ติดยาเสพติด ผู้มีอาการทางจิตและผู้ป่วยจิตเวช นำเข้าบำบัดรักษาตามประมวลกฎหมายยาเสพติด และ พ.ร.บ.สุขภาพจิตฯ โดยบูรณาการทุกภาคส่วนในพื้นที่ ซึ่งดำเนินการทั่วประเทศประสบความสำเร็จ สามารถส่งคืนผู้เสพเป็นคนดีสู่สังคม ทั้งนี้ ในพื้นที่จังหวัดจันทบุรี ได้ดำเนินโครงการชุมชนยั่งยืน 15 หมู่บ้าน/ชุมชน เป้าหมายประชากรที่ต้อง X-RAY 7,913 คน ดำเนินการครบ 100 เปอร์เซ็นต์ พบสารเสพติด 196 คน นำเข้าสู่กระบวนการบำบัดในชุมชนตนเองฯ และค้นหาอีก 749 หมู่บ้าน/ชุมชน พบว่า มีผู้ใช้ ผู้เสพ ผู้ติดยาเสพติด และผู้ป่วยจิตเวชที่มีสาเหตุจากการใช้ยาเสพติด รวมกว่า 1,973 คน เพื่อเข้าโครงการฯ ต่อไป

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ฯ กล่าวว่า “ขอชื่นชมโครงการจัดตั้งสถานฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดระยะยาว “มินิธัญญารักษ์” จ.จันทบุรี ซึ่งเกิดขึ้นจากดำริของ พระธรรมวชิรเมธี เจ้าคณะภาค 1 เจ้าอาวาสวัดหงส์รัตนารามราชวรวิหาร นำคณะสงฆ์ในพื้นที่ ร่วมกับ ตำรวจ ฝ่ายปกครอง สาธารณสุข ผู้นำชุมชน ภาคีเครือข่ายร่วมกัน ทำให้เกิดโครงการนี้ขึ้นมา แสดงให้เห็นถึงความร่วมมือและให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหายาเสพติด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การนำผู้ติดยาเสพติดเข้ารับการบำบัดฟื้นฟู  ตามกระบวนการทางการแพทย์แบบใหม่ โดยมุ่งเน้นที่จะฟื้นฟูผู้ป่วยแบบบูรณาการหลายมิติ ทำให้ผู้ป่วยสามารถกลับไปใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างปกติสุข ดังนั้น การลงนามความร่วมมือและเปิด สถานฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดระยะยาว “มินิธัญญารักษ์” ในครั้งนี้ จะเป็นการวางระบบการทำงานแบบบูรณาการให้เกิดผลสัมฤทธิ์อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นรูปธรรม ทำให้ผู้เข้ารับการบำบัดฟื้นฟู ได้ปรับสภาพร่างกาย จิตใจ และมีทัศนคติที่ดี สามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีความสุข ซึ่งจะได้นำโมเดลความสำเร็จนี้ ขยายไปใช้ในพื้นที่อื่นๆต่อไป เพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติดให้เกิดความยั่งยืนตามนโยบายรัฐบาลต่อไป”


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top