Tuesday, 21 May 2024
ยาบ้า

ตำรวจสอบสวนกลาง CIB โดยกองบังคับการตำรวจน้ำ เปิดยุทธการ 'ฟ้าสางที่ฝั่งโขง' 957 กม. 85 คดี จับคนร้าย 104 ราย ยาบ้า 913,723 เม็ด

ตำรวจสอบสวนกลาง CIB โดยกองบังคับการตำรวจน้ำ ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก, พล.ต.ต.ภูมินทร์ พุ่มพันธุ์ม่วง รอง ผบช.ก., พล.ต.ต.พฤทธิพงศ์ นุชนารถ, พ.ต.อ.อดิศักดิ์ มีศิลป์ ผกก.10 บก.รน., พ.ต.อ.ศษณวรรศ รัตนเสวตรวงศ์ ผกก.11 บก.รน., พ.ต.อ.อนรรฆ ประสงค์สุข ผกก. 12 บก.รน. ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดยกองบังคับการตำรวจน้ำ (บก.รน.) ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก., พล.ต.ต.ภูมินทร์ ทุ่มพันธุ์ม่วง รอง ผบช.ก., พล.ต.ต.พฤทธิพงศ์ นุชนารถ ผบก.รน., พ.ต.อ.ธรากร เลิศพรเจริญ รอง ผบก.รน., พ.ต.อ.ราม รสหอม รอง ผบก.รน., พ.ต.อ.อดิศักดิ์ มีศิลปั ผกก.10 บก.รน., พ.ต.อ.ศษณวรรฐ รัตนเศวตรวงศ์ ผกก.11 บก.รน., พ.ต.อ.อนรรฆ ประสงค์สุข ผกก.12 บก.รน. 

ด้วยการแพร่ระบาดของยาเสพติดในประเทศ ส่งผลกระทบทำให้เกิดเหตุอาชญากรรมต่างๆ ในประเทศเป็นอย่างมาก กองบังคับการตำรวจสอบสวนกลางเล็งเห็นปัญหาที่เกิดจากยาเสพติดมากมาย ทั้งในครอบครัวและเยาวชนอันเกิดจากยาเสพติด การลักลอบขนสินค้าหนีภาษี, การหลบหนีเข้าเมือง ในด้านของยาเสพติดหรือการกระทำความผิดต่างๆ คนร้ายมักจะใช้ช่องทางจากประเทศเพื่อนบ้านนำเข้าสู่ประเทศไทย และอาจนำส่งประเทศที่สาม 

พล.ต.ต. พฤทธิพงศ์ นุชนารถ ผู้บังคับการตำรวจน้ำ พร้อมด้วย พันตำรวจเอก ธรากร เลิศพรเจริญ รองผู้บังคับการตำรวจน้ำ พันตำรวจเอก ราม รสหอม รองผู้บังคับการตำรวจน้ำ พันตำรวจเอก อดิศักดิ์ มีศิลป์ ผู้กำกับการ 10 กองบังคับการตำรวจน้ำ พ.ต.ต.พงษ์พิพัฒน์ บูรณะบัญญัติ สว.ส.รน.3กก.10 บก.รน.(ตำรวจน้ำมุกดาหาร) ร่วมแถลงผลการปฏิบัติงาน ณ ห้องประชุมกองกำกับการ 10 กองบังคับการตำรวจน้ำ ตามแผนป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ กองกำกับการ 10-12 กองบังคับการตำรวจน้ำ 

ตั้งแต่อำเภอเชียงแสน จังหวัดเลย จังหวัดหนองคาย จังหวัดบึงกาฬ จังหวัดนครพนม จังหวัดมุกดาหาร อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี ตามแนวแม่น้ำโขง รวมระยะทางประมาณ 957 กิโลเมตร ภายใต้ชื่อ "ยุทธการฟ้าสางที่ฝั่งโขง" ตั้งแต่วันที่ 13-20 กุมภาพันธ์ 2567 ประมาณ 1 สัปดาห์ เป้าหมายทางบก 76 เป้าหมาย ทางน้ำ 23 เป้าหมาย สามารถจับกุม ยาเสพติด จำนวน 43 ราย จำนวน 913,723 เม็ด อาวุธปืน จำนวน 6 ราย ต่างด้าว 30 ราย จับตามหมายจับ 22 ราย และจับกุมตามความผิดอื่น 3 ราย รวมผู้ต้องหา 104 ราย

พล.ต.ต.พฤทธิพงศ์ นุชนารถ ผู้บังคับการตำรวจน้ำ กล่าวว่า ภูมิประเทศพื้นที่ตามลำน้ำโขงในเขตรับผิดชอบล้วนเอื้อต่อการลักลอบกระทำสิ่งของผิดกฎหมายโดยเฉพาะการลักลอบนำเข้ายาเสพติด เพราะมีเกาะแก่งดินดอนตามลำน้ำโขงให้พักคอยมากมาย ทำให้มีปัญหาการลักลอบนำเข้ายาเสพติดจากนักค้ายาทั้งในและนอกพื้นที่ ในการลักลอบนำเข้าแต่ละครั้งมักจะเพิ่มมากขึ้นตลอดมา ไม่ว่าจะเป็นยาบ้า ยาไอซ์ และกัญชา ซึ่งส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศชาติ การแก้ไขปัญหายาเสพติดเป็นภารกิจสำคัญ ที่จะต้องดำเนินการให้เสร็จสิ้นโดยเร็วตามนโยบายของรัฐบาลที่กำหนดไว้ เพื่อลดระดับความรุนแรงให้เกิดผลเป็นรูปธรรม โดยการบูรณาการหน่วยงานความมั่นคงทั้ง ทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง และหน่วยงานข้างเคียงที่เกี่ยวข้อง ปฏิบัติการระดมกวาดล้างยาเสพติด รวมถึงอาชญากรรม ตามแผน “ยุทธการฟ้าสางที่ฝังโขง” เพราะปัญหายาเสพติดเป็นปัญหาที่สร้างความเดือดร้อนให้กับพี่น้องประชาชนมายาวนาน

เครือข่ายผู้ใช้ฯ เข้าให้ข้อมูลคณะกรรมาธิการวิสามัญบุหรี่ไฟฟ้า เผยบทลงโทษรุนแรงกว่าเสพยาบ้า

หนุนรัฐมนตรี 'พวงเพ็ชร' ปกป้องเด็กและเยาวชน เสนอแนวทางบุหรี่ไฟฟ้าถูกกฎหมาย เพจผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้า “มนุษย์ควัน” เข้าให้ข้อมูลต่อคณะกรรมาธิการวิสามัญบุหรี่ไฟฟ้า พร้อมยกกรณี อย.สหรัฐฯอนุญาตให้ผลิตภัณฑ์ยาสูบแบบใช้ความร้อนและบุหรี่ไฟฟ้าขายได้อย่างถูกกฎหมาย เผยบทลงโทษจากการครอบครองบุหรี่ไฟฟ้าและผลิตภัณฑ์ยาสูบแบบใช้ความร้อนรุนแรงกว่าการเสพยาบ้า ทั้งที่ในกว่า 87 ประเทศทั่วโลกให้บุหรี่ไฟฟ้าถูกกฎหมาย

นายสาริษฏ์ สิทธิเสรีชน เจ้าของเฟซบุ๊กเพจ 'มนุษย์ควัน' ที่มีผู้ติดตามกว่า 20,000 ราย รวมทั้งเครือข่ายผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าได้เข้าให้ข้อมูลต่อคณะกรรมาธิการวิสามัญบุหรี่ไฟฟ้า สภาผู้แทนราษฎร พร้อมเสนอข้อมูลผลวิจัยและการศึกษาจากหน่วยงานสาธารณสุขชั้นนำ เช่น องค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ กระทรวงสาธารณสุขอังกฤษ กระทรวงสาธารณสุขนิวซีแลนด์ ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์อังกฤษ ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกา “หน่วยงานสาธารณสุขของหลายประเทศทั่วโลกต่างชี้ว่าบุหรี่ไฟฟ้าและผลิตภัณฑ์ยาสูบแบบใช้ความร้อนมีระดับสารพิษที่เป็นอันตรายน้อยกว่าบุหรี่ และศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกายังได้ระบุว่า บุหรี่ไฟฟ้านั้นมีศักยภาพที่จะเป็นประโยชน์ต่อผู้สูบบุหรี่หากนำมาทดแทนบุหรี่มวน ข้อมูลเหล่านี้คนไทยไม่เคยได้ทราบเลย แถมมีโทษรุนแรงกว่าเสพยาบ้า” นายสาริษฏ์กล่าว

“องค์การอนามัยโลกไม่ได้บังคับให้ทุกประเทศแบนบุหรี่ไฟฟ้า แต่ให้แต่ละประเทศเลือกแนวทางที่เหมาะสมกับบริบทของประเทศนั้นๆ ขณะนี้กว่า 87 ประเทศทั่วโลก เช่น สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป สหราชอาณาจักร และนิวซีแลนด์ ล้วนอนุญาตให้บุหรี่ไฟฟ้าและผลิตภัณฑ์ยาสูบแบบใช้ความร้อนถูกกฎหมาย ส่งผลให้ปัญหาในเรื่องของตลาดใต้ดินลดลง และตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือกรณีอัตราการใช้บุหรี่ไฟฟ้าของเยาวชนที่ลดลงในสหรัฐอเมริกา เนื่องจากอย.สหรัฐนั้นเข้มงวดเรื่องการใช้บุหรี่ไฟฟ้าในเด็กและเยาวชนมากยิ่งขึ้น แต่ไม่ได้แบนเบ็ดเสร็จ เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ใหญ่ได้เข้าถึงและสามารถปกป้องเด็กและเยาวชนไปพร้อมๆ กัน ในขณะที่ผลิตภัณฑ์ยาสูบแบบใช้ความร้อน ไม่ค่อยได้รับความสนใจจากเด็กและเยาวชนเท่าใดนัก”

“ผมเห็นด้วยกับท่านรัฐมนตรีพวงเพ็ชรฯ ที่ประสานกับกระทรวงดีอีเอสเพื่อปกป้องเด็กและเยาวชนให้ห่างไกลจากบุหรี่ไฟฟ้า แต่การแบนนั้นไม่สามารถทำได้จริง หากจะปิดร้านออนไลน์ 1,300 ร้านค้า วันรุ่งขึ้นก็จะมีการเปิดเพจออนไลน์ใหม่วนไปไม่รู้จบ ผมจึงขอเสนอให้ศึกษาแนวทางของอีก 87 ประเทศทั่วโลกที่บุหรี่ไฟฟ้าถูกกฎหมาย ขณะที่ 30 กว่าประเทศ เช่น สิงคโปร์ อินเดีย ออสเตรเลีย รวมถึงไทยที่แบนบุหรี่ไฟฟ้ามายาวนานกว่า 10 ปีนั้นล้วนเจอกับประเด็นปัญหามากมาย เช่นการลักลอบซื้อขายและนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้า การเข้าถึงบุหรี่ไฟฟ้าในเยาวชนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว หรือการสูญเสียรายได้ภาษีของรัฐบาล หากจะแบนต่อไปก็คงไม่ช่วยแก้ปัญหาอะไรให้ดีขึ้นอีกแล้วเพราะมีผู้ใช้เกือบ 1 ล้านคนในปัจจุบัน”

นายสาริษฏ์ได้ให้ความเห็นทิ้งท้ายว่า “ผู้สูบบุหรี่ไทยกว่า 10 ล้านคนกำลังคาดหวังกับคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ที่กำลังดำเนินการศึกษาเรื่องการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าและผลิตภัณฑ์ยาสูบแบบใช้ความร้อน เราหวังว่าจะได้เห็นกฎหมายการควบคุมยาสูบของไทยที่ใช้ผลวิทยาศาสตร์เป็นตัวตั้ง มีความเป็นสากล และหาจุดสมดุลให้ได้บนความเป็นจริงในสังคมปัจจุบัน”

ตำรวจภาค 4 เด็ดปีกผู้ค้าต่อเนื่อง สืบจังหวัดร้อยเอ็ด สกัดจับแก๊งค้ายาบ้า ยึดคารถ 1.6 แสนเม็ด

ตามนโยบายของ พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ภ.4 ให้ทุกท้องที่กวาดล้างจับกุมผู้ค้ายาเสพติดให้หมดสิ้นไปจากพื้นที่อีสานเหนือ

โดยก่อนการจับกุม พ.ต.อ.วีระ หางนาค ผกก.สส.ภ.จว.ร้อยเอ็ด ได้สืบสวนทราบว่า จะมีขบวนการค้ายาเสพติดลักลอบขนยาบ้าผ่าน จ.ร้อยเอ็ด เพื่อไปส่งที่ลูกค้าที่ จ.มหาสารคาม จึงวางแผนจับกุมและนำกำลังเฝ้าระวังตามเส้นทาง ต่อมาเมื่อวันที่ 22 มี.ค.67  เวลาประมาณ 22.30 น. พ.ต.ท.สมนึก ปัญญารมย์ สว.กก.สส.ภ.จว.ร้อยเอ็ด พร้อมด้วยชุดปราบปรามยาเสพติด ตำรวจภูธรจังหวัดร้อยเอ็ด ร่วมกับชุดสืบสวน สภ.พนมไพร เข้าจับกุมเครือข่ายยาเสพติด ได้บริเวณถนนบ้านกุดน้ำใส ต.กุดน้ำใส อ.พนมไพร จ.ร้อยเอ็ด ขณะร่วมกันลำเลียงยาบ้าไปส่งให้กับลูกค้าในพื้นที่ อ.พยัคฆภูมิพิสัย จ.มหาสารคาม จำนวน 2 ราย คือ นายณัฐพล ทำหน้าที่สำรวจเส้นทาง พร้อมรถกระบะ สีขาวหมายเลขทะเบียน ขง 74xx อุบลราชธานี  และ นายนัฐกรณ์ ทำหน้าที่ขับรถกระบะ สีดำ หมายเลขทะเบียน 1ขก 55xx กทม. ที่มีการซุกซ่อนยาเสพติด จากการตรวจสอบภายในรถพบยาบ้าถูกวางอยู่เบาะด้านหลังคนขับจำนวน 80 มัด รวม 160,000 เม็ด จึงจับกุมผู้ต้องหาพร้อมของกลางส่ง พงส.สภ.พนมไพร ดำเนินคดี

เบื้องต้นผู้ต้องหารับว่า ยาเสพติดดังกล่าวจะนำไปส่งลูกค้าใน จ.มหาสารคาม และมีผู้ร่วมขนยาเสพติดครั้งนี้อีก 2 คน ได้หลบหนีไป ขณะนี้อยู่ระหว่างการติดตามจับกุม นอกจากนี้ตำรวจชุดจับกุมได้ขยายผลไปตรวจยึดทรัพย์สินของผู้ร่วมขบวนการ รวมทั้งสิ้น 6 รายการ ได้แก่ รถยนต์ จำนวน 4 คัน รถ จยย. 2 คัน รวมมูลค่าประมาณ 2 ล้านบาท โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้สืบสวนขยายผล เพื่อดำเนินคดีกับผู้ร่วมขบวนการทั้งหมดต่อไป

นครบาลโชว์ผลงาน ทลายเครือข่ายยานรก ลาดหลุมแก้ว ยึดยาบ้ากว่า 5 ล้านเม็ด

เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 26 มีนาคม ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร.รรท.ผบ.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร., พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น.,พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ พล.ต.ต.ทินกร รังมาตย์ รอง ผบช.น. พล.ต.ต.ภานพ วรธนัชชากุล ผบก.น.8, พ.ต.อ.บุญส่งวิทย์ ห้องแซง รอง ผบก.ฯ และหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวนนครบาล 8 ร่วมแถลงข่าวจับกุมเครือข่ายยาเสพติด

กรณี จับกุมผู้ต้องหาชาย 6 ราย ย่านพุทธมณฑลสาย 1 และขยายผลจับกุมเครือข่ายยาเสพติดที่ซุกซ่อนยาเสพติด ในพื้นที่อำเภอ ลาดหลุมแก้ว จังหวัดปทุมธานี พร้อมด้วยของกลาง ยาบ้าจำนวน 5,600,000 เม็ด คีตามีนจำนวน 200 กิโลกรัม และรถยนต์ 4 คัน

‘กองกำลังผาเมือง’ สกัดจับ 2 จุด ‘เชียงใหม่-เชียงราย’ คืนเดียวยึดยาบ้าของกลางได้ 13 ล้านเม็ด 

(4 เม.ย. 67) ตามที่รัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับยาเสพติดและกำหนดเป็นวาระแห่งชาติ พลเอก เจริญชัย หินเธาว์ ผู้บัญชาการทหารบก ได้ขานรับนโยบายรัฐบาล มอบหน่วยทหารทุกพื้นที่โดยเฉพาะกองกำลังป้องกันชายแดน ดำเนินการสกัดกั้นสิ่งผิดกฎหมายทุกรูปแบบเข้าสู่ประเทศ 

โดยจากยุทธการในการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติดในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย ของกองทัพภาคที่ 3 โดยหน่วยบัญชาการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด สารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ ชายแดนภาคเหนือ กองกำลังผาเมืองสามารถจับกุมยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) ในพื้นที่ได้ 2 เหตุการณ์ รวม 13,000,000 เม็ด 

โดยเหตุการณ์แรกในเวลา 01.30 น. หมวดเคลื่อนที่เร็ว กองกำลังผาเมืองได้จัดกำลังพลลาดตระเวนเฝ้าตรวจในพื้นที่ที่ได้รับแจ้งเบาะแสจากประชาชน และตรวจพบกลุ่มบุคคลต้องสงสัยกำลังลำเลียงสัมภาระลงจากเรือในบริเวณริมฝั่งแม่น้ำโขง บ้านสวนดอก ต.บ้านแซว อ.เชียงแสน จ.เชียงราย จึงแสดงตัวเพื่อขอตรวจค้น แต่กลุ่มบุคคลดังกล่าวได้หลบหนีไปได้ โดยในพื้นที่พบกระสอบบรรจุยาบ้าจำนวน 33 กระสอบ รวมจำนวน 6,600,000 เม็ด 

ต่อมาในเวลา 03.00 น. กองร้อยทหารม้าที่ 1 หน่วยเฉพาะกิจไชยานุภาพ กองกำลังผาเมือง ตรวจพบรถยนต์ต้องสงสัย ระหว่างตั้งจุดตรวจบริเวณเส้นทางระหว่างบ้านเปียงหลวงและบ้านแปกแซม อ.เวียงแหง จ.เชียงใหม่ จึงแสดงตัวขอตรวจค้น แต่กลุ่มบุคคลได้จอดรถทิ้งไว้และหลบหนีไป ซึ่งภายในรถพบกระสอบดัดแปลงเป็นเป้สะพายบรรจุยาบ้า จำนวน 32 เป้ รวม 6,400,000 เม็ด 

ทั้งนี้ จาก 2 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นับเป็นผลจากการคุมเข้มป้องกันสิ่งผิดกฎหมายทุกรูปแบบของกองกำลังผาเมือง 1 ใน 7 กองกำลังป้องกันชายแดนกองทัพบก และทางหน่วยได้ประสานร่วมกับฝ่ายความมั่นคงและส่วนที่เกี่ยวข้องในพื้นที่เข้าตรวจสอบหลักฐาน พร้อมนำของกลางทั้งหมดส่งให้เจ้าพนักงานเพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

โดยกองทัพบกได้เน้นย้ำและกำชับการปฏิบัติของหน่วยและกำลังพลในทุกพื้นที่ เพื่อสนับสนุนรัฐบาลเดินหน้าแก้ไขปัญหายาเสพติด หยุดขบวนการนำเข้าตั้งแต่พื้นที่ชายแดนรวมทั้งขยายผลจับกุมพื้นที่ตอนใน และเพื่อลดผลกระทบที่เกิดขึ้นจากปัญหายาเสพติดภายในประเทศ สร้างความสงบสุขและปลอดภัยให้กับประชาชน 

ตำรวจนครพนม ภาค 4 รวบนักค้าได้พร้อมด้วยยาบ้า 1 ล้าน 2 แสนเม็ด และปูพรม ตรวจค้น 87 จุด ได้ยาบ้าและอาวุธปืนเพียบที่ ภ.จว.นครพนม

เมื่อวันที่ 4 เม.ย.67 พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย  ผบช.ภ.4 , นายวันชัย ผวจ.นครพนม,   นายภิญโญ โฆสิต ผอ.ป.ป.ส.ภาค 4, พล.ต.ต.ธนชาติ รอดคลองตัน รอง ผบช.ภ.4, พล.ต.สถาพร บุญชู ผบ.มทบ.210 , น.อ.วรรณะ เกื้อทิพย์ ผบ.นรข.เขตนครพนม พร้อมผู้ที่เกี่ยวข้อง ร่วมแถลงข่าวผลการปฏิบัติการปิดล้อมตรวจค้นจับกุมยาเสพติดตามยุทธการการไล่ล่า (เด็ดปีก) นักค้าอีสานเหนือ 252 "No place for Drug" ระยะที่ 2  ทำลายโครงสร้าง ชำระสะสาง ปลุกพลังชุมชนเข็มแข็ง โดยปราบปรามนักค้ารายย่อย และเครือข่ายยาเสพติดในพื้นที่ ด้วยปฏิบัติการเชิงรุกทั้ง 19 สภ.ในสังกัดพร้อมกัน 87 จุด  มีการปิดล้อมตรวจค้นจับกลุ่มบุคคลตามหมายจับคดียาเสพติด, ค้นหาพยานหลักฐานเพิ่มเติมเพื่อดำเนินคดีกับผู้ต้องหา, ตรวจค้นจับกุมบุคคลเป้าหมายตามเบาะแสข้อร้องเรียนภาคประชาชน, จับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับค้างเก่า, รวมถึงการยึดทรัพย์นักค้ายาเสพติดทุกราย  มีผลการปฏิบัติตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2567 – 3 เม.ย.2567 ดังนี้

1.จับกุมผู้ต้องหา  986   ราย
2.ตรวจยึดของกลางยาเสพติด ได้แก่ ยาบ้า 1.5 ล้านเม็ด, ไอซ์  2,500 กรัม, เฮโรอีน 9,800 กรัม 
3.ตรวจยึดทรัพย์สินตาม พรบ.มาตราการฯ  ได้แก่ เงินสด 561,547.-บาท, อาวุธปืน  16  กระบอก, บ้าน 1 หลัง, ที่ดินตามโฉนด 2 แปลง เนื้อที่ 7 ไร่ 3 งาน, ทองรูปพรรณ น้ำหนักรวม 12 บาท, รถยนต์ 16 คัน, รถจักรยานยนต์ 21 คัน, ทรัพย์สินอื่นๆ 18 รายการ  มูลค่าประมาณ 103,400.-บาท รวมมูลค่าทรัพย์สินที่ตรวจยึด/อายัด 8,673,947 บาท และต่อมาในวันที่ 4 เม.ย.67 จับกุมขบวนการค้ายาเสพติด คือ นายรัชชานนท์ และนายชานนท์  พร้อมยาบ้า 1.2 ล้านเม็ด ได้ที่ ต.โนนตาล อ.ท่าอุเทน จ.หนองคาย

 พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ภ.4 เปิดเผยว่า ปฏิบัติการ ไล่ล่า (เด็ดปีก) นักค้าอีสานเหนือ 252 “No place for Drug” ระยะที่ 2  เป็นการกวาดล้างจับกุมนักค้ายาเสพติดในพื้นที่ตามแนวชายแดน และเป็นพื้นที่มีปัญหา ซึ่งเป็นไปตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี และ พล.ต.อ.กิตติรัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร.รรท.ผบ.ตร.  โดยตนได้สั่งการให้ทุกหน่วยในสังกัดตำรวจภาค 4 เพิ่มความเข้มในการกวาดล้างจับกุมยาเสพติด โดยเฉพาะผู้ค้ายาเสพติดรายย่อย จะต้องไม่มีที่ยืนในพื้นที่อีกต่อไป 

สำหรับผลการปราบปรามยาเสพติดของตำรวจภาค 4 ตั้งแต่ 1 ต.ค.66 - 31 มี.ค.67 ได้กวาดล้างจับกุมผู้ต้องหา ยาเสพติด 22,287 คดี ผู้ต้องหา 22,387 คน ตรวจยึดยาบ้ากว่า 17 ล้านเม็ด เฮโรอีนกว่า 59 กก. ไอซ์ กว่า 6.8 กิโลกรัม  ตรวจยึด/อายัดทรัพย์สินฯ 4,199 รายการ มูลค่าประมาณ 339,750,071 บาท  โดยตำรวจภาค 4 จะกวาดล้างจับกุมอย่างเด็ดขาดต่อไป ผบช.ภ.4 กล่าวในที่สุด

'มโหฬาร' ตำรวจ ปส. แถลงผลจับกุมและปูพรมปิดล้อมตรวจค้นเครือข่ายรายสำคัญ ยึดยาบ้ากว่า 33 ล้านเม็ด

ตามนโยบายการปราบปรามยาเสพติดของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เน้นใช้มาตรการทางกฎหมาย เพื่อทำลายเครือข่ายยาเสพติดอย่างจริงจังทั้งระบบ ประกอบกับนโยบายของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. รรท.ผบ.ตร. ในฐานะ ผอ.ศอ.ปส.ตร. และ พล.ต.ท.สำราญ นวลมา, พล.ต.ท.นิรันดร เหลื่อมศรี, พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร. รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร. มุ่งปราบปรามจับกุมผู้ค้ายาเสพติดในพื้นที่ และขยายผลเครือข่ายที่จับกุมได้ทุกระดับอย่างจริงจังทุกพื้นที่รวมทั้งการขยายผลเพื่อยึดอายัดทรัพย์สินที่ได้มาจากการค้ายาเสพติด ทั้งของผู้ค้า ผู้ช่วยเหลือและสนับสนุนเครือข่ายทั้งหมดมาตรวจสอบ                          

วันนี้ 3 พ.ค.67 เวลา 10.00 น. พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.ท.คีรีศักดิ์ ตันตินวะชัย ผบช.ปส., พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการ ป.ป.ส. พล.ต.ต.สมเกียรติ วัฒนพรมงคล, พล.ต.ต.สมบูรณ์ เทียนขาว, พล.ต.ต.ออมสิน ตรารุ่งเรือง ,พล.ต.ต.พลัฎฐ์ วิเศษสิงห์ รอง ผบช.ปส., พล.ต.ต.พรพิทักษ์ รู้ยืนยง รอง ผบช.ฯ, พล.ต.ต.นพสิทธิ์ มิตรภักดี ผบก.ปส.1, พล.ต.ต.ธนรัชน์ สอนกล้า ผบก.ปส.2, พล.ต.ต.อดิศ เจริญสวัสดิ์ ผบก.ปส.3, พล.ต.ต.พรศักดิ์ สุรสิทธิ์ ผบก.ปส.4, พล.ต.ต.อิทธิพล จันทร์ศรีบุตร ผบก.ขส. และพล.ต.ต.วิทัศน์ บริรักษ์ ผบก.สกส. ร่วมแถลงผลการสกัดกั้นเครือข่าย ยาเสพติดรายใหญ่ (นักบินตายแทน) ในห้วงเทศกาลสงกรานต์ได้จำนวน 8 เครือข่าย ผู้ต้องหา 22 คน ตรวจยึดยาบ้า 32,386,000 เม็ด และ ไอซ์ 4.5 กก. ตรวจยึดรถยนต์ที่ใช้ก่อเหตุได้ 15 คัน และ รถจักรยานยนต์ 2 คัน ยึดทรัพย์รวม 5,620,000 บาท โดยจะเรียงลำดับจากหน่วยที่มีการตรวจยึดปริมาณยาเสพติดจำนวนมากที่สุด ตามลำดับดังนี้

1. บก.ปส.3 
คดีแรก ตำรวจ กก.2. บก.ปส.๓ สืบสวนทราบว่าจะมีกลุ่มเครือข่ายลักลอบลำเลียงยาเสพติดจำนวนมากจากพื้นที่ อ.เชียงดาว จว.เชียงใหม่  เพื่อส่งต่อให้กับกลุ่มเครือข่ายในพื้นที่ อ.แม่แตง จว.เชียงใหม่ โดยใช้รถพิกอัพ กระทั่งกลางดึกวันที่ 19 เม.ย.67 พบรถพิกอัปเป้าหมาย 3 คัน บรรทุกสิ่งของลักษณะเป็นกระสอบจำนวนมาก บริเวณกระบะท้ายรถพิกอัป 2 คัน และขับติดตามกันเป็นขบวนมุ่งหน้า ต.แม่นะ อ.เชียงดาว จว.เชียงใหม่ โดยมีรถจักรยานยนต์หลายคันขับนำทาง ในทิศทางหลบเลี่ยงด่านตรวจยาเสพติดแก่งปันเต๊า ต.แม่นะ อ.เชียงดาว กระทั่งเวลา 01.40 น. ของวันที่ 20 เม.ย.67 สามารถจับกุม นายวิจิตร ได้ที่ริมถนนโยธาธิการเชียงใหม่ ต.อินทขิล อ.แม่แตง จว.เชียงใหม่ ตรวจค้นรถพิกอัปพบยาบ้ารวมจำนวน 14,648,000 เม็ด ส่วนผู้ต้องหา 1 คน ที่อาศัยความมืดหลบหนีไปได้ สามารถรถติดตามจับกุมที่บริเวณภายในเทศบาลตำบลอินทขิล ต.อินทขิล อ.แม่แตง จว.เชียงใหม่ คือ นายโกเอ๋อ

คดีที่ 2 ตำรวจ กก.2 บก.ปส.3 สืบสวนทราบว่า นายหน่อคำ พร้อมพวก จะลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่ อ.แม่แตง จว.เชียงใหม่ ไปส่งต่อให้กับกลุ่มลูกค้าในพื้นที่ภาคกลาง โดยการอำพรางด้วยพืชผลทางการเกษตร ตำรวจจึงจัดชุดเฝ้าติดตาม กระทั่งวันที่ 7 เม.ย.67 เวลา 22.50 น. พบ บริเวณกระบะท้ายของรถยนต์ที่เฝ้าระวังมีการบรรทุกกล้วยน้ำว้าดิบมาเต็มคันรถ ขับมุ่งหน้าไปทาง จว.ลำพูน ต่อมาวันที่ 8 เมษายน 2567 เวลาประมาณ 00.15 น. ก่อนถึงด่านตรวจแม่ทา ต.ทาสบเส้า อ.แม่ทา จว.ลำพูน ประมาณ 300 เมตร เจ้าหน้าที่พบรถต้องสงสัยชะลอความเร็วและจอดชิดข้างถนน จากนั้นนายหน่อคำ ได้ลงมาจากรถและมีรถยนต์ขับมารับตัวแล้วขับออกไปอย่างรวดเร็ว กระทั่งเวลา 01.30 ของวันเดียวกัน ตำรวจสกัดจับรถเก๋งได้ที่ด่านตรวจแม่ทา ถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ เชียงใหม่ - ลำปาง ต.ทาสบเส้า อ.แม่ทา ตรวจค้นรถพิกอัป พบยาบ้ารวม 5,800,000 เม็ด  

คดีที่ 3 ตำรวจ กก.2 บก.ปส.๓ สืบสวนจนทราบว่า นายสมศักดิ์ พร้อมพวก จะลำเลียงยาเสพติดจำนวนมากจากพื้นที่ชายแดน จว.เชียงใหม่ ไปส่งต่อให้กับกลุ่มเครือข่ายในพื้นที่ตอนในของประเทศ โดยใช้รถยนต์ ตำรวจจึงเฝ้าระวังความเคลื่อนไหว กระทั่งช่วงบ่ายของวันที่ 19 เม.ย.67 พบรถยนต์ที่เฝ้าระวัง 2 คัน ขับนำกันไปตามถนนหมายเลข 11 (ซุปเปอร์ไฮเวย์ เชียงใหม่ – ลำปาง) มุ่งหน้า จว.ลำพูน และตำรวจสกัดจับรถยนต์ 1 คัน ได้บริเวณด่านตรวจแม่ทา ต.ทาสบเส้า อ.แม่ทา จว.ลำพูน ภายในรถพบ นายสมศักดิ์ เป็นผู้ขับขี่ รับสารภาพว่าในรถมียาเสพติดจริง จึงนำตำรวจไปตรวจค้นพบยาบ้าซุกซ่อนอยู่ในช่องลับภายในรถจำนวน 95 แพค รวม 558,000 เม็ด และเวลาประมาณ 17.30 น. ของวันเดียวกัน ตำรวจติดตามรถยนต์อีก 1 คัน และได้จับกุมนายสมรักษ์ ซึ่งเป็นผู้ขับขี่ จากตำรวจได้ขยายผลไปตรวจยึดยาเสพติด คือยาบ้า 2,442,000 เม็ด และไอซ์ น้ำหนัก 4.5 กิโลกรัม ได้ที่บ้านเลขที่ 7/2 หมู่ 7 ต.ขี้เหล็ก อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ ต่อมาวันที่ 21 เม.ย.67  เวลา 14.00 น. ขยายผลจับกุม นายเอื้อน และ น.ส.ณชนก ซึ่งเป็นบุคคลในกลุ่มเครือข่ายได้อีก 2 คน บริเวณถนนกระดานป้าย - ดงจังหัน หมู่ 2 ต.เนินขี้เหล็ก อ.ลาดยาว จว.นครสวรรค์ รวมยาบ้า 3,000,000 เม็ด ไอซ์ 4.5 กิโลกรัม

คดีที่ 4 ตำรวจ กก.2 บก.ปส.3 สืบสวนจนพบว่าได้มีเครือข่ายลักลอบลำเลียงยาเสพติด นำของมาพักคอยในพื้นที่ อ.ฝาง จว.เชียงใหม่ เพื่อส่งต่อให้กับกลุ่มเครือข่ายในพื้นที่ตอนของประเทศ ตำรวจจึงเฝ้าดู กระทั่ง วันที่ 29 มี.ค.67 ทราบว่าจะส่งมอบยาเสพติดช่วงดึกของวันเดียวกัน จนพบนายเหยา ขับรถยนต์ต้องสงสัยออกมาจากบ้านหนองเต่า ต.ม่อนปิ่น อ.ฝาง จว.เชียงใหม่ ลักษณะบรรทุกสิ่งของมีน้ำหนัก โดยมีนายจะหา ขับขี่รถจักรยานยนต์ ตามหลังออกมาด้วย ก่อนไปจอดบริเวณแยกตลาดน้ำใจ ถนนเลี่ยงเมืองฝาง หมู่ 7 ต.เวียง อ.ฝาง จว.เชียงใหม่ ตำรวจจึงแสดงตัวขอตรวจค้นทันที ขณะนั้น นายเหยา ได้เปิดประตูรถวิ่งหลบหนีไปได้ ขณะเดียวกันตำรวจอีกส่วนหนึ่งได้เข้าสกัดรถจักรยานยนต์ ของนายจะหา และนำตัวมาตรวจค้นรถยนต์พบยาเสพติด 20 กระสอบ เป็นยาบ้ารวม 2,000,000 เม็ด   

คดีที่ 5 ตำรวจ กก.3 บก.ปส.๓ พบความเคลื่อนไหมของ นายณรงค์ศักดิ์ และพวก จะลำเลียงยาเสพติดจำนวนมากจากพื้นที่ จว.เชียงใหม่ ไปส่งในพื้นที่ อ.บ้านตาก จว.ตาก โดยใช้รถตู้ กระทั่งวันที่ 31 มี.ค.67 พบรถต้องสงสัยขับอยู่บนถนนพหลโยธินบริเวณหน้าโรงพยาบาลบ้านตาก เลี้ยวขับไปตามเส้น อ.บ้านตาก - อ.แม่ระมาด  ไปจอดอยู่ภายในบริเวณวัด พระบรมธาตุตาก วัดหลวงพ่อทันใจ) จากการเฝ้าดูของตำรวจ พบนายณรงค์ศักดิ์ ลงมาจากรถฝั่งคนขับเดินมาเปิดประตูด้านข้างห้องผู้โดยสาร จากนั้นรื้อผนังรถตู้ภายในห้องโดยสาร แล้วหยิบสิ่งของออกจากจุดที่รื้อลักษณะเป็นก้อนห่อหุ้มด้วย ฟรอยสีเงิน ส่งให้ น.ส.นิตยา ใส่ลงลังกระดาษสี่เหลี่ยมภายในห้องโดยสารรถตู้ ตำรวจจึงแสดงตัวเข้าตรวจสอบ พบยาบ้ารวม 698,000 เม็ด  

คดีที่ 6 จากการเฝ้าระวังบุคคลเป้าหมายของ ตำรวจ กก.2 บก.ปส.3 คือ นายจักรพันธ์ กับพวกพบว่าจะใช้รถกระบะตู้ทึบลำเลียงยาเสพติดจาก จ.เชียงราย ลงไปพื้นที่ภาคกลาง จนวันที่ 25 เม.ย.67 พบความเคลื่อนไหวของ นายจักรพันธ์ ขับรถยนต์เข้าพักที่รีสอร์ท ในพื้นที่ อ.แม่จัน จ.เชียงราย และพบรถกระบะตู้ทึบ 3 คัน เข้าพักที่เดียวกัน จากนั้นวันที่ 27 เม.ย.67 ผู้ต้องสงสัยทั้งหมดได้มาเข้าพักในพื้นที่ อ.เมืองเชียงราย กระทั่งออกเดินทาง ในเช้าวันที่ 28 เม.ย.2567       ชุดจับกุม จึงประสานกำลังตำรวจประจำด่านตรวจปูแกง สภ.พาน ทำการหยุดรถเพื่อตรวจสอบและจับกุมผู้ต้องหาได้ 5 คน ตรวจค้นรถ พบยาบ้า 300,000 เม็ด ที่ ระหว่างนั้นได้ประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวง อ.งาว เข้าจับกุม นายจันทวาส ซึ่งทำหน้าที่ขับรถยนต์สำรวจเส้นทางล่วงหน้า ได้บริเวณปั๊มน้ำมัน ปตท.งาว  

2. บก.ปส.2 

คดีที่ 7 ตำรวจ กก.1 บก.ปส.2 ได้ขยายผลเครือข่าย Vuitton และพบว่ายังมีรถในเครือข่ายที่ใช้ลำเลียงยาเสพติด ตำรวจจึงเฝ้าติดตามเครือข่ายดังกล่าว จนวันที่ 28 มี.ค.67 พบรถกระบะ หมายเลขทะเบียน ฒษ-35xx กทม. ซึ่งจะเดินทางจากพื้นที่กรุงเทพมหานคร ขึ้นไปยังพื้นที่ภาคอีสาน ด้าน จว.บึงกาฬ จึงสะกดรอยติดตาม ต่อมา วันที่ 29 มี.ค.67 พบรถเป้าหมายวิ่งบน ถ.ชยางกูร ในพื้นที่ ต.ชัยพร อ.เมืองบึงกาฬ  จว.บึงกาฬ แล้วใช้เส้นทางมุ่งหน้ากลับเข้าพื้นที่ตอนในโดยใช้เส้นทางรองผ่าน จว.บึงกาฬ - จว.สกลนคร - จว.อุดรธานี - จว.กาฬสินธุ์ - จว.มหาสารคาม โดยระหว่างการติดตามพบว่ารถคันดังกล่าวมีการใช้ถนนเส้นทางรองเพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ตำรวจ กระทั่งเวลา 01.20 น. ของวันที่ 30 มี.ค.67 ขณะที่ติดตามรถเป้าหมายจนถึงบริเวณสี่แยกสัญญาณไฟจราจร บ้านวังยาว ถ. ถีนานนท์ ต.เกิ้ง อ.เมืองมหาสารคาม จว.มหาสารคาม ตำรวจจึงแสดงตัวเพื่อจับกุมพบ นายหัสดี คนขับ และ นายพอเจตน์ นั่งข้างคนขับ ตรวจค้นด้านหลังกระบะ พบยาบ้า 5,250,000 เม็ด วางอยู่ท้ายรถ สอบถามผู้ต้องหา สารภาพว่าถูกว่าจ้างให้ขับรถยนต์ไปลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่ จว.บึงกาฬ ไปส่งยังพื้นที่ภาคกลาง จว.สมุทรปราการ 

3. บก.สกส.
คดีที่ 8 ตำรวจ บก.สกส. ร่วมกับ ตำรวจ บก.ขส. สืบทราบว่า นายปานวิไชย ซึ่งมีประวัติเกี่ยวกับยาเสพติด และนายอำพล จะร่วมกันลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่ชายแดนไทย-ลาว ด้าน จว.หนองคาย นำมาส่งให้ลูกค้าในพื้นที่ภาคกลางและปริมณฑล กระทั่งช่วงดึกของวันที่ 26 เม.ย.67 ตำรวจได้จับกุม นายปานวิไชย ได้ที่บริเวณริมถนนสายเอเชียฝั่งขาเข้า  

'สมศักดิ์' จ่อรื้อประกาศโทษครอบครอง 'ยาบ้า' ชี้!! ครอบครอง 1 เม็ดก็มีความผิด เสพก็มีความผิด

(8 พ.ค.67) ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ถึงประเด็นยาเสพติดที่เป็นหนึ่งในนโยบายของรัฐบาล ว่า การบำบัดยาเสพติดซึ่งเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ.2564 ที่ต้องบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ เพราะเรื่องแก้ไขปัญหายาเสพติดจะมี 6 ด้าน คือ ป้องกัน ปราบปราม ฟื้นฟู บูรณาการ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และยึดทรัพย์ เพื่อไม่ให้การดำเนินการเกิดความเหลื่อมล้ำในหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง เพราะถ้าหากเครื่องจักรทั้งหมดทำงานไม่ไปด้วยกัน ก็จะทำให้เสียเปล่าในงบประมาณ ทั้งนี้ ต้องมีตัวชี้วัดว่าเมื่อมีการเข้ารับบำบัดแล้ว หายเท่าไหร่อย่างไร ถ้าสมัครใจมาบำบัดแล้วหายก็ต้องมีใบรับรอง ส่วนผู้ที่หนีการบำบัดที่มีประมาณร้อยละ 20 นั้นก็จะต้องประสานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีตามกฎหมาย เพราะถือว่ายังเป็นคดี ยังมีความผิดอยู่ ยังต้องรับโทษ เพราะในอดีตยังอาจปฏิบัติตามเงื่อนไขไม่ครบ จึงยังมีการลักลั่นอยู่ แต่ถ้าเราดำเนินการแล้วก็ต้องขอให้หน่วยงานอื่น ๆ ได้ขับเคลื่อนไปอย่างเต็มที่ด้วยกัน ก็จะแก้ไขได้ตามกำหนดเวลาของรัฐบาล ส่วนการกำหนดเวลาต่าง ๆ ขอให้มีการพูดคุยกันในระดับสูงก่อน จึงจะมีความชัดเจนขึ้น

เมื่อถามถึงประกาศกฎกระทรวงสาธารณสุข กำหนดปริมาณยาเสพติดให้โทษและวัตถุออกฤทธิ์ที่สันนิษฐานว่า มีไว้ในครอบครองเพื่อเสพ พ.ศ.2567 กรณีแอมเฟตามีนมีปริมาณไม่เกิน 5 หน่วยการใช้ ซึ่งตามเจตนารมณ์ของกฎหมายคือให้ถือเป็นผู้ป่วยที่สามารถสมัครเข้ารับการบำบัดแทนการรับโทษจำคุกได้ แต่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก จะมีการพิจารณาใหม่อีกครั้งหรือไม่ นายสมศักดิ์กล่าวว่า แน่นอน ต้องมีการพิจารณาแน่นอน ตนขอย้ำถึงเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ.ให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติดฯ ที่มีการเขียนมาก่อนที่ตนจะรับตำแหน่ง รมว.ยุติธรรม มีการเสนอไม่สำเร็จ ตนจึงนำมาปรับและเสนอใหม่และจบมาเป็นกฎหมาย

“ถ้าผมมีโอกาสเสนอผู้บังคับบัญชา ผมจะพูดถึงเจตนารมณ์ของกฎหมาย แล้วจะทำให้เกิดเป็นงานที่ชัดเจนขึ้นมา เพราะการนำเสนอที่ผิดพลาด ทำให้เกิดความยุ่งยาก คนครอบครองยาบ้า 1 เม็ดก็มีความผิด เสพยาบ้าก็มีความผิด แต่โทษต่างกัน ดังนั้น ต้องดำเนินการตามแนวทางของกฎหมายที่ชัดเจน ต้องมีการเปลี่ยนแปลง แต่เท่าไหร่นั้นขอให้ฟังต่อไป” นายสมศักดิ์กล่าว

ถามย้ำว่าจะต้องปรับให้น้อยกว่า 5 เม็ดหรือไม่ แล้วมีไทม์ไลน์การดำเนินการอย่างไร นายสมศักดิ์กล่าวว่า ถูกต้อง ส่วนไทม์ไลน์การดำเนินงานนั้น คาดว่าภาครัฐบาลจะออกมาพูด

ถามถึงการแนวทางในกฎหมายควบคุมกัญชา กัญชง ที่ยังรอการออกร่างพระราชบัญญัติอยู่ นายสมศักดิ์กล่าวว่า ก็ต้องมีการปรับปรุงทั้งนั้น แต่ขั้นตอนการดำเนินการต้องครบ 6 ด้านที่กล่าวมา ส่วนเรื่องการบำบัดในกลุ่มโซนสีแดง สีส้ม จะรักษาแบบเดิมไม่ได้ ต้องเพิ่มขั้นตอน ซึ่งเรากำลังทำงานอยู่ ส่วนเรื่อง ร่างพ.ร.บ.ก็ต้องคุยกัน

“เรื่องของกัญชานั้นแนวทางต้องเปลี่ยนไป แต่จะเปลี่ยนอย่างไร เราทำโดยลำพังไม่ได้ ต้องเกี่ยวกับหน่วยงานหลายกระทรวง ต้องมาพูดคุย อย่างเรื่องโรงงานพลุระเบิดจะประกาศกระทรวงเดียวไม่ได้ ต้องประกาศ 5 กระทรวง ต้องพูดพร้อมกัน ถ้าพูดกระทรวงใดกระทรวงหนึ่งแล้ว มันตีกัน” นายสมศักดิ์กล่าว

ถามย้ำว่าจะนำกัญชากลับสู่ยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5 หรือไม่ นายสมศักดิ์กล่าวว่า อันนี้เดี๋ยวรอฟัง ตนอยากฟังความเห็นของประชาชนด้วย และต้องฟังแนวทางจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้วย

เมื่อถามว่าเรื่องกัญชาจะมีความชัดเจนเมื่อไหร่ นายสมศักดิ์กล่าวว่า ไม่นาน ภายในเดือนนี้ต้องจบแล้ว 


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top