Tuesday, 21 May 2024
ยาบ้า

ตำรวจ ปส. รุกหนักเด็ดปีกนักบิน 3 เครือข่าย สกัดยาบ้ากว่า 15 ล้านเม็ด

เมื่อวานนี้ (17 ม.ค. 66) ที่ กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด แถลงข่าวจับกุม 3 เครือข่ายกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง โดยภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.อ.ชินภัทร สารสิน รอง ผบ.ตร.(กม)/ผอ.ศอ.ปส.ตร., พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผช.ผบ.ตร./รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร., พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ปส., พล.ต.ต.คมสิทธิ์ รังไสย์ ผบก.ปส.3, พล.ต.ต.พลัฏฐ์ วิเศษสิงห์ ผบก.สกส. พ.ต.อ.กฤษดา ศรีอิสาณ ผกก.2 บก.ปส.3, พ.ต.อ.ไพฑูรย์ งามลาภ ผกก.1 บก.สกส. และ พ.ต.อ.บุญส่ง สนธยานนท์ ผกก.3 บก.สกส.  ตำรวจ ปส. เร่งเดินหน้ากวาดล้าง จับกุม และขยายผลเครือข่ายค้ายาเสพติด รวมทั้งการสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติดจากประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ให้เข้าสู่พื้นที่ชั้นในและในชุมชน และการทำลายเครือข่ายค้ายาเสพติดให้ครอบคลุมในทุกมิติการทำงาน เน้นย้ำ ในการสืบสวนหาข่าวเครือข่ายหน้าใหม่ รวมทั้งกลุ่มเครือข่ายเก่า ตามนโยบายเร่งด่วนของ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร.  

คดีแรก เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.ปส.3 บูรณาการร่วมกับหน่วยที่เกี่ยวข้อง จับกุมนายใจ (สงวนนามสกุล) อายุ 45 ปี ได้บริเวณริมถนนทางหลวงชนบท หลักกิโลเมตรที่ 20 ต.เวียง อ.เทิง จว.เชียงราย ซึ่งก่อนจับกุมเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.ปส.3 ได้รับแจ้งว่าเครือข่ายยาเสพติดกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง กับพวก มีพฤติการณ์ลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่ อ.เมืองเชียงราย  เพื่อนำไปพักคอยในพื้นที่ อ.เทิง จว.เชียงราย ก่อนที่จะส่งต่อให้กับกลุ่มลำเลียงยาเสพติดเข้าสู่พื้นที่ตอนในของประเทศ โดยใช้รถยนต์เก๋ง ยี่ห้อ ฮอนด้า ทะเบียน กพ 71X เชียงราย ซึ่งช่วงเช้าวันที่ 11 ม.ค.66 เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนจึงได้เฝ้าติดตามจนได้พบรถยนต์ที่ได้รับแจ้งจริง และพบรถยนต์กระบะ ยี่ห้อ โตโยต้า ทะเบียน บธ 78XX พะเยา ขับนำ รถยนต์กระบะ ยี่ห้อ โตโยต้า รุ่นวีโก้ สีเทา หมายเลขทะเบียน บน 98XX พะเยา (คนขับหลบหนี) และ รถยนต์กระบะยี่ห้ออีซูซุ ทะเบียน บน 31XX พะเยา (หลบหนี)  

สอบสวน ผู้ต้องหา อ้างว่า รู้จักกับ นายอ้าย อาศัยอยู่ในหมู่บ้านห้วยหาญ ม.9 ต.ปอ อ.เวียงแก่น จว.เชียงราย ว่าจ้างตน 20,000 บาท  ขับรถยนต์เก๋ง ยี่ห้อฮอนด้า ทะเบียน กพ-71X เชียงราย เพื่อดูต้นทางสำหรับลักลอบลำเลียงยาบ้า โดยจะมีชายไม่ทราบชื่อโดยสารรถคันดังกล่าวไปด้วย ก่อนจะเดินทางเข้าไปเปิดห้องพักที่รีสอร์ตแห่งหนึ่ง ห้อง A110 เพื่อรอกลุ่มลักลอบลำเลียงยาเสพติดอีกกลุ่มเดินทางมาถึง และขับรถดังกล่าวลำเลียงยาเสพติดไปตามเส้นทาง กระทั่ง นายใจฯ ถูกจับกุม เบื้องต้นตรวจยึดรถยนต์กระบะ หมายเลขทะเบียน บน 98XX พะเยา (ใช้ในการลำเลียงยาเสพติด), รถยนต์เก๋ง หมายเลขทะเบียน กพ 71X เชียงราย (ขับนำคุ้มกัน สำรวจเส้นทาง), โทรศัพท์มือถือ 3 เครื่อง และอื่น ๆ อีกหลายรายการ  พร้อมตรวจยึดยาบ้าห่อหุ้มด้วยกระดาษสาสีขาว ประทับตราใบกัญชาและตัวหนังสือ ภาษาอังกฤษ DON’T WORRY BE HAPPY สีน้ำเงิน และ ยาบ้าห่อหุ้มด้วยกระดาษสาสีขาว ประทับตราเลข 999 สีน้ำเงิน เคลือบเทียนไขสีเหลืองอีกชั้นหนึ่ง ถูกซุกซ่อนในรถกระบะ รวมยาบ้าทั้งหมด 3,500 มัด จำนวน 7,000,000 เม็ด ทั้งนี้ได้แจ้งข้อหา “ร่วมกันกับพวกที่หลบหนีมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) ไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตอันเป็นการก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชนและทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความปลอดภัยของประชาชนทั่วไป” 

คดีที่ 2 เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.สกส.และ บก.ขส. ได้ร่วมกันทำการจับกุมตัว นายมานพ (สงวนนามสกุล) ภูมิลำเนา ต.รวมไทยพัฒนา อ.พบพระ จว.ตาก ได้บริเวณป่าข้างทางริมถนนหมายเลข 33 หลัก กม.ที่ 52-53 ต.บางระกำ อ.นครหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา สืบเนื่องจากได้รับแจ้งจากสายลับว่านายมานพฯ กับพวก มีพฤติการณ์ ร่วมกันลำเลียงยาเสพติด จากพื้นที่ทางภาคเหนือ ไปส่งมอบให้กับลูกค้า ในพื้นที่ภาคกลางและปริมณฑล และพื้นที่ใกล้เคียง ซึ่งในวันที่ 10-13 ม.ค.66 จะใช้รถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล ยี่ห้อ ISUZU รุ่น D-MAX สีเทา หมายเลขทะเบียน ผข 76XX พิษณุโลก และรถยนต์บรรทุก TOYOTA  สีเขียว หมายเลขทะเบียน 1ฒท 82XX  กรุงเทพมหานคร และรถยนต์ TOYOTA  สีดำ หมายเลขทะเบียน ขร 92XX เชียงใหม่ เป็นยานพาหนะที่จะใช้ในการนำทาง, สำรวจด่านตรวจ และลำเลียงยาเสพติดจำนวนมากจากพื้นที่ทางภาคเหนือ ไปส่งมอบให้กับลูกค้าในพื้นที่ภาคกลางและปริมณฑล และพื้นที่ใกล้เคียง เจ้าหน้าที่จึงระดมกำลังสกัดกั้นตลอดเส้นทาง ถนนสายหลัก ถนนสายรอง และเส้นทางเชื่อมต่อที่คาดว่ากลุ่มบุคคลดังกล่าวจะใช้เป็นเส้นทางในการลำเลียงยาเสพติด ในเขตพื้นที่ จว.นครสวรรค์, ชัยนาท, สิงห์บุรี, อ่างทอง, ลพบุรี, สระบุรี, พระนครศรีอยุธยา กระทั่งเวลา 21.30 น. ของวันที่ 12 ม.ค.66 สามารถสกัดกั้นรถยนต์เป้าหมายทั้ง 3 คัน ไว้ได้ หลังพบวิ่งตามถนนเลียบคลองชลประทาน ทิศทางมุ่งหน้า อ.บางปะหัน จว.พระนครศรีอยุธยา แต่ระหว่างตรวจค้นจับกุม ผู้ขับขี่ รถยนต์ TOYOTA  สีดำ หมายเลขทะเบียน ขร 92XX เชียงใหม่ ได้อาศัยจังหวะเร่งเครื่องยนต์ขับหลบหนีไปได้ เบื้องต้น ตรวจยึดยาบ้า 604 มัด รวมจำนวน  1,208,000 เม็ด  และ ยึดรถกระบะ หมายเลขทะเบียน ผข 76XX พิษณุโลก (ใช้ขับนำทาง/สำรวจด่านตรวจ), รถบรรทุก หมายเลขทะเบียน 1ฒท 8296 กรุงเทพมหานคร (ยึดได้ที่หน้าร้านหน้าสะดวกซื้อ ต.หัวไผ่ อ.มหาราช จว.พระนครศรีอยุธยา ผู้ต้องหาหลบหนี),โทรศัพท์มือถือ 2 เครื่อง พร้อมแจ้งข้อหา “จำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีนหรือยาบ้า) โดยผิดกฎหมาย อันเป็นการกระทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ หรือความปลอดภัยของประชาชนทั่วไป และก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน”

ตำรวจ ปส.(NSB) รวบเครือข่ายยาเสพติดภาคเหนือ ยึดยาบ้ากว่า 6.7 ล้านเม็ด คีตามีน 400 กก. ก่อนกระจายช่วงเทศกาลสงกรานต์

(28 มี.ค. 66) เวลาประมาณ 10.00 น. พล.ต.อ.ชินภัทร สารสิน รอง ผบ.ตร./ผอ.ศอ.ปส.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร., พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ปส., พล.ต.ต.ธนรัชน์ สอนกล้า ผบก.ปส.2, พล.ต.ต.คมสิทธิ์ รังไสย์ ผบก.ปส.3 เจ้าหน้าที่ ป.ป.ส. และ กอ.รมน. ร่วมแถลงผลการจับกุมเครือข่ายยาเสพติด ภายใต้การสั่งการอย่างเข้มข้นให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ (NSB) เดินหน้าทำลายเครือข่ายยาเสพติดรายใหญ่ และรายย่อย ตามนโยบายเร่งด่วนของ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร ซึ่งจะพบว่าสถานการณ์ยาเสพติดขณะนี้เครือข่ายมีความพยายามอย่างหนักในการลักลอบลำเลียงยาเสพติดจำนวนมาก ล่าสุดตำรวจ ปส.(NSB) สามารถจับกุมได้ 3 เครือข่าย พร้อมของกลาง ยาบ้า 6.7 ล้านเม็ด และคีตามีน 400 กก.

โดยเครือข่ายแรก เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.1 บก.ปส.2 และเจ้าหน้าที่ศูนย์วิเคราะห์ข่าว ปส.2 สืบสวนทราบว่า นายสนธยา(สงวนนามสกุล) ซึ่งเป็นเครือข่ายค้ายาเสพติด จะลักลอบลำเลียงยาเสพติดจากภาคเหนือ ด้าน จ.เชียงราย มาส่งให้กับลูกค้าในภาคกลางและพื้นที่ใกล้เคียง ด้วยการส่งทางพัสดุผ่านทางบริษัทขนส่ง ในวันที่ 25 มี.ค.66 เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงเดินทางไปตรวจสอบที่บริษัทขนส่งดังกล่าว พบว่ามีพัสดุถูกสำแดงว่าเป็นน้ำผลไม้ 15 กล่อง ระบุชื่อผู้รับคือ 'เปี๊ยก' ถูกส่งมาจาก จ.เชียงราย จากการสแกนตรวจสอบกล่องพัสดุดังกล่าว พบวัตถุรูปทรงสี่เหลี่ยมวางเรียงกันภายในกล่อง ซึ่งเชื่อว่าเป็นยาเสพติด หลังจากนั้นจึงได้นำส่งพัสดุดังกล่าวไปตามที่อยู่ปลายทาง โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ติดตามไปตลอดเส้นทาง เมื่อส่งพัสดุถึงปลายทาง พบนายสุริยา แจ้งว่าตนพักอาศัยและมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านหลังดังกล่าว ให้ข้อมูลว่า นายเปี๊ยก ที่มีชื่อระบุบนกล่องพัสดุ เป็นญาติของตนที่เสียชีวิตเมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่จึงนำภาพถ่ายของนายสนธยา ให้ตรวจสอบ นายสุริยา ยืนยันว่าบุคคลในภาพถ่ายคือ นายสนธยา ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องกับตน เจ้าหน้าที่ตำรวจและบริษัทขนส่ง จึงร่วมกันเปิดกล่องพัสดุทั้งหมด 15 กล่อง เพื่อตรวจสอบ พบว่าเป็นคีตามีน บรรจุในลังไม้สีน้ำตาล น้ำหนักรวม 300 กก.      

ต่อมา เมื่อวันที่ 27 มี.ค.66 เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ปส.2 ได้ขยายผลจากการจับกุมคีตามีน 300 กก. จนนำไปสู่การจับกุมผู้ต้องหา 2 ราย พร้อมยาบ้า จำนวน 4 ล้านเม็ด โดยมีการนำยาบ้าดังกล่าว บรรจุในกล่องใส่น้ำผลไม้ เพี่อตบตาบริษัทขนส่งไปรษณีย์ว่าส่งน้ำผลไม้ไม่ใช่ยาเสพติด นำส่งพัสดุไปรษณีย์ ปลายทาง อ.เมือง จ.พิษณุโลก ตำรวจ ปส.2 พร้อมด้วยตัวแทนบริษัทขนส่ง ได้ติดตามไปยังปลายทางพัสดุ และจับกุมผู้ต้องหาพร้อมของกลางยาบ้า 4 ล้านเม็ด ขณะนี้อยู่ระหว่างการขยายผลเพิ่มเติม เพื่อติดตามจับกุมผู้สั่งการรายใหญ่ต่อไป

เครือข่ายที่ 2 เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.3 บก.ปส.2 ตรวจสอบพบว่านายวัฒนา(สงวนนามสกุล) มีพฤติการณ์นำยาเสพติดจากพื้นที่ จ.เลย ไปส่งให้กับผู้ค้ายาเสพติดในพื้นที่ภาคกลาง ต่อมาวันที่ 23 มี.ค.66 ตำรวจ ปส.2 ได้ติดตามรถกระบะยี่ห้อนิสสัน สีขาว ซึ่งสืบสวนทราบว่าเป็นรถที่ใช้ขนยาเสพติด ไปถึง อ.หนองหาน จ.อุดรธานี ก่อนพบเข้าไปจอดอยู่บริเวณหน้าธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาหนองหาน ตำรวจ ปส.2 จึงได้แสดงตัวตรวจค้นรถยนต์พบยาเสพติด คีตามีน วางอยู่บริเวณตอนท้ายกระบะบรรจุอยู่ในถุงชาจีนสีเขียวซุกซ่อนอยู่ในกระสอบพลาสติกสีรุ้ง 4 กระสอบ รวม 100 กก. และตำรวจ ปส.2 อีกชุดได้ติดตามรถยนต์กระบะยี่ห้อโตโยต้ารีโว่ สีขาว และรถยนตยี่ห้อฮอนด้า ซิตี้สีเทา ซึ่งเป็นรถสำรวจเส้นทาง และจับกุม นายวัฒนา (สงวนนามสกุล) อายุ 40 ปี, นายสุภชีพ (สงวนนามสกุล) อายุ 45 ปี,นายวีรธรรม(สงวนนามสกุล) อายุ 36 ปี และนายทิวทอง(สงวนนามสกุล) อายุ 24 ปี ได้ที่ปั๊มน้ำมัน ปตท. หรือบริษัท หนองทานออยส์ จึงแจ้งข้อหา “จำหน่ายวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 (คีตามีน) โดยการมีไว้เพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต อันเป็นการกระทำเพื่อการค้า และการก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน”

กาฬสินธุ์เตรียมส่งปปช.เชือดคดีตำรวจสืบเมืองกาฬสินธุ์รีดเงินยาบ้า

พนักงานสอบสวนเตรียมสรุปสำนวนคดีชุดสืบสวนสภ.เมืองกาฬสินธุ์เรียกรับเงิน 5 แสนบาทแลกปล่อยตัวคดียาเสพติดให้กับปปช.ลงดาบ เนื่องจากเป็นคดีที่เกี่ยวกับการทุจริตต่อหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐ
จากกรณีตำรวจชุดสืบสวนสภ.เมืองกาฬสินธุ์ 3 นาย ถูกตำรวจชุดสืบสวนตำรวจภูธร จ.กาฬสินธุ์จับกุมคาห้องสืบสวนภายในโรงพัก สภ.เมืองกาฬสินธุ์

หลังร่วมกันเรียกรับเงินจากญาติผู้ต้องหาคดียาเสพติด 5 แสนบาท แลกกับการไม่ดำเนินคดี ซึ่งหลังเกิดเหตุ พล.ต.ต.สุวรรณ์ เชี่ยวนาวินธวัช ผบก.ภ.จว.กาฬสินธุ์ สั่งการให้ดำเนินการขั้นเด็ดขาด และเบื้องต้นได้มีคำสั่งให้ออกราชการไว้ก่อน 3 ราย และแจ้งข้อกล่าวหาตามกฎหมาย ส่วนอีก 8 นายที่ถูกกล่าวหาซัดทอดอยู่ระหว่างการสอบสวนว่ามีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่นั้น

ล่าสุดเมื่อเวลา 14.30 น.วันที่ 29 มีนาคม 2566 ที่ห้องประชุม สภ.เมืองกาฬสินธุ์ พ.ต.อ.อิทธเดช สุนทร ผกก.สภ.เมืองกาฬสินธุ์ ประชุมร่วมกับ พ.ต.ท.สุเทพ ภูกัณหา รองผกก.(สอบสวน) สภ.เมืองกาฬสินธุ์ และพนักงานสอบสวนเจ้าของคดี เพื่อติดตามความคืบหน้าของคดี

โดยพ.ต.อ.อิทธเดช สุนทร ผกก.สภ.เมืองกาฬสินธุ์ ระบุว่า คดีดังกล่าวเป็นคดีเดียวกัน แต่ขั้นตอนต้องแบ่งการสอบสวนเป็น 2 ส่วน ซึ่งส่วนแรกเป็นการจับกุมตำรวจชุดสืบสวน 3 นาย ประกอบด้วย ยศ ด.ต. อายุ 27 ปี, ยศ ส.ต.อ. อายุ 30 ปี และ ยศ ส.ต.อ. อายุ 27 ปี  3 ราย พร้อมของกลางเงินสดจำนวน 364,000 บาทในห้องสืบสวน ซึ่งเป็นการจับกุมตัว พร้อมของกลาง หลังเกิดเหตุพนักงานสอบสวนได้สอบปาก 3 นายแล้ว และทั้งหมดให้การปฏิเสธ ขอไม่ให้การในชั้นสอบสวน และขอให้การในชั้นศาล รวมทั้งได้ตำแหน่งประกันตัวออกไป 

‘สภ.พลูตาหลวง’ ได้รับแจ้งเหตุ สุนัขคาบ ‘ยาบ้า’ มาแทะเล่น  นับพันเม็ด! คาด กลุ่มผู้ค้ายาเอามาซ่อนตามถนนไว้ให้ลูกค้า 

(31 มี.ค.66) เมื่อวันที่ 30 มี.ค.66 พ.ต.ท.ชัยมงคล จันทพรม รอง ผกก.สส.สภ.พลูตาหลวง , ว่าที่ พ.ต.ต.ภานุภณ ชีวธารานนท์ สว.สส.สภ.พลูตาหลวง พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน ลงพื้นที่ตรวจสอบหน้าห้องเช่าไม่มีเลขที่ ม.6 ต.พลูตาหลวง อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี

‘สมศักดิ์’ ร่วมถก ‘ป.ป.ส.-ตร.’ หาแนวทางขจัดยาเสพติด เล็งใช้มาตรการยึด-อายัดทรัพย์ควบคู่แผนปราบปราม

(8 ส.ค. 66) ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายสมศักดิ์ เทพสุทิน สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และอดีตรมว.ยุติธรรม พร้อมด้วยนายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อ และประธานยุทธศาสตร์การเกษตร พรรคเพื่อไทย นายปิยะศิริ วัฒนวรางกูร รองเลขาธิการ ป.ป.ส. พล.ต.ต.บรรพต มุ่งขอบกลาง รองผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด และ พล.ต.ต.ธนรัชน์ สอนกล้า ผู้บังคับการตำรวจปราบปรามยาเสพติด 2 ได้หารือกับ สส.พรรคเพื่อไทย เพื่อรับฟังความคิดเห็นถึงแนวทางการปราบปรามยาเสพติดภายใน 1 ปีของพรรคเพื่อไทย

นายสมศักดิ์ กล่าวว่า จากที่พรรคเพื่อไทยได้หาเสียงนโยบายการปราบปรามยาเสพติดให้หมดไปภายใน 1 ปีนั้น วันนี้ตนจึงเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการปราบปรามยาเสพติด มาอธิบายถึงแนวทางการปราบปรามยาเสพติดที่ผ่านมา เพื่อให้สส.พรรคเพื่อไทยได้ช่วยกันแสดงความคิดเห็น ก่อนจะนำไปปรับเป็นนโยบายที่จะใช้ปราบปรามยาเสพติดภายใน 1 ปี 

ทั้งนี้ สส.พรรคเพื่อไทยส่วนใหญ่ได้สะท้อนว่าอยากให้พรรคเพื่อไทยมีมาตรการที่เด็ดขาดแบบในสมัยรัฐบาลอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ที่สามารถปราบปรามยาเสพติดได้อย่างเป็นรูปธรรม รวมถึงอยากให้ช่วยแก้ปัญหาที่ต้นตอ อย่างผู้มีอิทธิพลในแต่ละพื้นที่ด้วย ขณะเดียวกันก็เห็นด้วยที่จะเดินหน้ามาตรการยึด อายัดทรัพย์เครือข่ายผู้ค้ายาเสพติด แต่อยากให้ทำควบคู่กับมาตรการปราบปรามด้วย 

ด้านนายปิยะศิริ กล่าวว่า การยึดอายัดทรัพย์เครือข่ายผู้ค้ายาเสพติด ถือเป็นเครื่องมือที่สำคัญมาก เพราะจะช่วยแก้ปัญหายาเสพติดได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยไม่ต้องใช้ความรุนแรง แต่เราใช้มาตรการยึดทรัพย์ไปกดดันเครือข่ายผู้ค้ายาเสพติด อย่างปี 2562 ยึดอายัดทรัพย์ได้เพียง 956 ล้านบาท แต่หลังมีกฎหมายยาเสพติดใหม่ เพิ่มมาตรการยึดทรัพย์ ทำให้ปี 2564 ยึดอายัดได้ 7,346 ล้าน ปี 2565 ยึดอายัดได้ 11,003 ล้านบาท และปี 2566 ยึดอายัดได้มากกว่า 20,000 ล้านบาทแล้ว จะเห็นได้ว่าแนวทางการยึดอายัดทรัพย์ เห็นผลอย่างชัดเจน จึงควรส่งเสริมแนวทางนี้ ในการปราบปรามยาเสพติดต่อไป 

พล.ต.ต.ธนรัชน์ กล่าวว่า ปัจจุบันขบวนการค้ายาเสพติด ได้หันมาใช้ระบบขนส่งเป็นจำนวนมากขึ้นแล้ว เพราะมีความสะดวก และมีหลากหลายวิธี แต่หลังมีกฎหมายยาเสพติดใหม่ ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้ทำการจับกุมพร้อมขยายผลไปสู่การยึดทรัพย์ได้เป็นจำนวนมาก โดยจะไม่ใช่ยึดทรัพย์ซึ่งหน้าเท่านั้น แต่จะคำนวณมูลค่าของยาเสพติด ที่ขนส่งในอดีตมาคำนวณยึดทรัพย์ย้อนหลังด้วย ทำให้มาตรการยึดทรัพย์น่ากลัวสำหรับผู้ค้ายาเสพติดเป็นอย่างมาก 

‘ป.ป.ส.’ บุกยึดยาบ้ากว่า 2 ล้านเม็ด ที่ถูกซุกอยู่บ้านเช่า จ.อยุธยา ส่วนผู้ต้องหาขับรถแหกวงล้อมหนีไปได้ จ่อแถลงใหญ่ 13 ก.ย.นี้

(10 ก.ย. 66) ภาพจากกล้องวงจรปิด บันทึกเสียง และภาพเจ้าหน้าที่ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) และกำลังจะเข้าจับกุมกลุ่มเครือข่ายยาเสพติด ไหวตัวทัน ขับรถยนต์ พุ่งชนรั้วบ้าน และรถยนต์ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้รับความเสียหาย 2 คัน จากนั้นขับหลบหนี ซึ่งกล้องบริเวณหน้าปากทางสามารถจับภาพได้ขณะที่ต้องสงสัย รายที่ 1 วิ่งหลบหนีออกไปทางด้านหน้าปากซอย จากนั้นก็จะเห็นภาพรถยนต์นั่งส่วนบุคคล อีซูซุ มิวเอ็ก สีขาววิ่งตามมา อย่างรวดเร็ว ตามด้วยเสียงปืนดังขึ้นหลายนัด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงเช้าวันนี้ เจ้าหน้าที่ ป.ป.ส. พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นำกำลังเข้าตรวจค้นจับกุมเครือข่ายค้ายาเสพติดข้ามชาติรายใหญ่ ที่บ้านหลังหนึ่ง ภายในหมู่บ้านจัดสรร ริมถนนโรจนะ ม.5 ต.บ้านสร้าง อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา

ในขณะที่กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้ปิดล้อมบ้าน และกำลังจะเข้าจับกุมกลุ่มเครือข่ายยาเสพติด เกิดไหวตัวทัน ขับรถยนต์พุ่งชนรั้วบ้านหลบหนีออกมาจากบ้าน จนชนรถของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทำให้ได้รับความเสียหายจำนวน 2 คัน เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ยิงสกัดรถของเครือข่ายยาเสพติด พร้อมกับขับรถรถติดตามไปแต่ไม่สามารถจับกุมตัวได้ ท่ามกลางความตกใจของชาวบ้านที่อาศัยอยู่ภายในหมู่บ้าน

ในเบื้องต้น ทราบข้อมูลว่า เจ้าหน้า ป.ป.ส. พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ทหารเรือ ให้ข้อมูลว่า ได้ติดตามเครือข่ายยาเสพติดมาจากจังหวัดทางภาคอีสาน ที่ขนยาบ้ามาจากประเทศเพื่อนบ้าน ข้ามแม่น้ำโขงมา มีการนำยาบ้ามาซุกซ่อนพักเอาไว้ภายในบ้านหลังดังกล่าว เพื่อเตรียมกระจายจำหน่ายในพื้นที่ภาคกลาง และปริมณฑล ขณะที่เจ้าหน้าที่กำลังจะเข้าจับกุม กลุ่มเครือข่ายยาเสพติด ได้เปิดประตูรั้วบ้านออกมาพอดี เตรียมจะเดินทางออกจากบ้าน จึงเห็นกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ วิ่งหลบหนี และอีก 2 คนได้ขับรถยนต์อีซูซุ สีขาว หลบหนีพุ่งชนรั้วบ้าน และรถเจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่ตำรวจติดตามไปแล้วไม่ทัน หลบหนีไปได้จำนวน 3 คน

จากการตรวจค้นภายในบ้านเช่า พบจำนวนยาบ้าประมาณ 2 ล้านเม็ด ถูกพันด้วยผ้าเทปสีน้ำตาล ตั้งเรียงไว้อยู่บริเวณมุมบ้านพร้อมกับขวดสเปรย์น้ำหอม ที่ใช้ฉีดกลบกลิ่นยาบ้าไม่ให้เพื่อนบ้านได้กลิ่น จากนั้นเจ้าหน้าที่ ป.ป.ส.ขนย้ายยาเสพติดทั้งหมด เข้าสำนักงาน ป.ป.ส. แล้วจะมีการแถลงใหญ่ในวันที่ 13 กันยายน ที่จะถึงนี้อย่างละเอียดอีกครั้ง

ผู้สื่อข่าวได้ สอบถามเพื่อนบ้านเล่าว่า บ้านหลังดังกล่าว พบว่ามีคนมาเช่าบ้านอยู่ได้ประมาณ 5-6 เดือน เคยพูดคุยกันทราบว่าเป็นผู้รับเหมา มักจะกลับเข้ามาบ้านช่วงดึกๆ มาอยู่ประมาณ 2-3 ชั่วโมงแล้วออกไปไม่เคยมีการพักค้างคืน

จนเมื่อเช้า เห็นมีกำลังเจ้าหน้าที่มาจอดหน้าบ้าน คนในบ้านเปิดประตูมาพอดี แล้ววิ่งหนี เจ้าหน้าที่ตำรวจจะพยามจับกุมตัวแต่ไม่ทัน รถที่จอดในบ้านขับชนรั้วออกมาชนรถตำรวจขับหลบหนี ได้ยินเสียงปืนดังหลายนัด ตนเองตกใจกระโดดหลบจนล้มได้รับบาดเจ็บ

‘เศรษฐา’ ลั่น!! ยาบ้าต้องหมดในรัฐบาลนี้ ตั้งเป้าลดลงใน 1 ปี ยกเป็นวาระแห่งชาติ พร้อมผนึกกำลังถกแผนปราบปรามเร่งด่วน

นายกฯ ประกาศขจัดวงจรยาเสพติดเป็น ‘วาระแห่งชาติ’ ผนึกกำลังถกแผนเร่งด่วน พร้อมเป็นประธานเผาทำลายยาเสพติดของกลางกว่า 25 ตัน ลั่น!! ยาบ้าต้องหมดในรัฐบาลนี้ ตั้งเป้า 1 ปี ต้องลดลง ชี้!! ผู้ค้าต้องถูกจัดการอย่างเด็ดขาด คนเหล่านี้เป็นอาชญากร ไม่กลัวคุก จี้เร่งยึดทรัพย์ ก่อนถ่ายโอน ตัดวงจรค้าซ้ำ

(17 ก.ย. 66) ที่นิคมอุตสาหกรรมบางปู จังหวัดสมุทรปราการ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานการประชุมขับเคลื่อนการป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหายาเสพติด โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย, พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม, นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข, นายพรหมมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี, นางพงษ์สวาท กายอรุณสุทธิ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม, นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.), พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และหัวหน้าหน่วยราชการจากกระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมประชุม

โดย นายกรัฐมนตรี กล่าวตอนหนึ่งระหว่างการประชุมว่า เป็นที่ทราบกันดีว่านอกจากปัญหาเรื่องปากท้อง ปัญหายาเสพติดแพร่กระจายไปทั่วทุกหย่อมหญ้าทั่วประเทศไทย ช่วงที่พรรคร่วมรัฐบาลได้ลงพื้นที่หาเสียง เป็นที่ประจักษ์ดีว่านอกจากปัญหาปากท้อง ปัญหายาเสพติดถือเป็นปัญหาใหญ่ ซึ่งตนคิดว่าทุกพรรคการเมืองทั้งฝ่ายรัฐบาล และฝ่ายค้าน ที่ออกไปหาเสียงก็เห็นด้วยว่าเป็นเรื่องใหญ่เช่นเดียวกัน เรื่องนี้เป็นเรื่องที่พรรคร่วมรัฐบาลให้คำมั่นว่าจะเป็นวาระแห่งชาติ โดยมีตนในฐานะนายกรัฐมนตรี นั่งหัวโต๊ะ และเป็นประธาน ในการทำให้ปัญหาเหล่านี้ในระยะอันใกล้ลดน้อยลง และหมดไปในที่สุด ไม่ว่าจะเป็นปัญหาผู้เสพให้เป็นผู้ป่วย ที่ต้องรักษา และดูแลส่งคืนคนเหล่านี้กลับคืนอ้อมกอดของพ่อแม่ ให้มีอาชีพที่เหมาะสม รวมถึงการป้องกันที่ต้นน้ำด้วยว่าไม่ให้เขาไปเสพ เราจะมีมาตรการทำกันอย่างไร

ส่วนระยะสุดท้าย เมื่อมีการยึดยาเสพติดของกลางมาแล้ว จะต้องมีการกระชับเวลาในการทำลายให้สั้นลง รวมถึงเรื่องของระยะเวลาการยึดทรัพย์ เพราะหากใช้เวลานานจะทำให้ผู้ผลิตมีต้นทุนที่แข็งแกร่งสามารถกลับมาผลิตยาเสพติดได้อีก ตลอดจนจะต้องมีมาตรการในการป้องกัน การลักลอบนำเข้ายาเสพติดเข้ามาในประเทศ ทั้งหมดทั้งมวลนี้ถึงอย่างไรก็ต้องมีจุดเริ่มต้น และขอให้วันนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ในการขจัดปัญหาออกจากสังคมไทย

จากนั้น ที่บริษัท อัคคีปราการ จำกัด นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ และรมว.คลัง ได้เป็นประธาน ในพิธีเผาทำลายยาเสพติดของกลาง โดยมีคณะรัฐมนตรี (ครม.) หัวหน้าส่วนราชการ จากการประชุมขับเคลื่อนการป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหายาเสพติด ร่วมในพิธี พร้อมด้วยนายศุภมิตร ชิณศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ ผู้แทนจากกระทรวงอุตสาหกรรม ประชาชน จากหมู่บ้าน/ชุมชนกองทุนแม่ของแผ่นดิน เข้าร่วมกว่า 200 ราย ร่วมเป็นสักขีพยานในการเผาทำลายยาเสพติดครั้งนี้ โดยเป็นการทำลายของกลางยาเสพติดของกลางจากคดียาเสพติดจำนวน 100 คดี เป็น ยาบ้า 12,522 กก. ไอซ์ 11,656 กก. เฮโรอีน 418 กก. ฝิ่น 179 กก. คีตามีน 704 กก. และสารเสพติดอื่นๆ น้ำหนักรวม 25,517 กก.

ซึ่งทำลายโดยการเผาไหม้ด้วยระบบเตาเผาอุณหภูมิสูง 2 ชุด เผาไหม้ที่ 800 - 1,200 องศาเซลเซียส ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง พร้อมระบบควบคุมมลพิษอากาศที่มีประสิทธิภาพสูง สามารถทำลายได้หมดสิ้น และไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และประชาชน

โดย นายกฯ ระบุ ปัญหายาเสพติดเป็นปัญหาเรื้อรัง ทุกครั้งที่ตกลงคุณพี่ใจรับข้อร้องเรียนจากประชาชนตลอด ทำให้สถาบันครอบครัวอ่อนแอ รัฐบาลมีนโยบาย ทั้งปราบปรามและบำบัด  ผู้ที่ติดยาเสพติดไม่ใช่คนร้าย แต่เป็นผู้ป่วย ฉะนั้นต้องช่วยรักษา พากลับมาเป็นพลเมือง และลูกที่ดีของครอบครัวอีกครั้ง และจะต้องให้ชุมชนมีส่วนร่วม ขอให้หน่วยงานทำงานใกล้ชิดกับประชาชน

“ผู้ค้าต้องถูกจัดการอย่างเด็ดขาด คนเหล่านี้เป็นอาชญากร ที่ไม่ควรติดคุกติดตะราง แต่พวกเขากลัวที่สุดคือการถูกยึดทรัพย์ที่ได้มา ขอให้หน่วยงาน เร่งดำเนินการยึดทรัพย์ให้เร็วที่สุด อย่าให้เกิดการโอนถ่ายได้ง่าย ในฐานะนายกรัฐมนตรี ตนขอเป็นประธาน ในการผนึกกำลังทุกหน่วยงาน และประชาชน แก้ไขปัญหา และจะติดตามอย่างต่อเนื่อง โดยจะปฏิบัติงานอย่างมีนิติธรรมนิติรัฐ ให้ประชาชนอยากทำงานร่วมกับรัฐฯ และรู้สึกปลอดภัยที่จะแจ้งเบาะแสกับเจ้าหน้าที่

รัฐบาลนี้เอาจริง ผมตั้งเป้าที่ชัดเจนให้กับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ปัญหาจะต้องลดลงให้ได้ภายใน 1 ปี ในรัฐบาลนี้จะต้องทำยาบ้าหมดไปให้ได้ ตนจะนำมาทำลายให้หมด เหมือนที่ทุกคนจะได้เห็นในวันนี้” นายกฯ กล่าวทิ้งท้าย

‘บิ๊กต่าย’ แถลงจับกุม 2 ขบวนค้ายาเสพติดรายใหญ่ เครือข่ายโคราช-นครสวรรค์ ยึดยาบ้ารวม 11 ล้านเม็ด

(11 ต.ค.66) ที่กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บก.ปส.) เเถลงผล ปฏิบัติการทลายเครือข่ายยาเสพติดยึดยาบ้ารวมแล้ว 11,634,000 เม็ด โดย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. เดินทางมาเป็นประธานการแถลงผลการจับกุมครั้งนี้ตามนโยบายการแก้ปัญหายาเสพติดของรัฐบาล และนโยบายของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ที่มุ่งเน้นการแก้ไขปัญหายาเสพติดในทุกมิติ ทั้งการปราบปรามผู้ผลิตและผู้ค้ายาเสพติด โดยใช้มาตรการทาง กฎหมายอย่างจริงจังและเด็ดขาด รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพในการสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติดตามแนวชายแดน หรือใช้ ประเทศไทยเป็นเส้นทางผ่าน และใช้มาตรการยึดทรัพย์เพื่อตัดวงจรการค้ายาเสพติด ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ปส., พล.ต.ต.จิระวัฒน์ พยุงธรรม พล.ต.ต.พรพิทักษ์ รู้ยืนยงพล.ต.ต.บรรพต มุ่งขอบกลาง รอง ผบช.ปส., พล.ต.ต.พลัฏฐ วิเศษสิงห์ ผบก.สกส. พล.ต.ต.สมกิต พุ่มวารี ผบก.ขส. และพ.ต.อ.นพสิทธิ์ มิตรภักดี รอง ผบก.1 รรท. ผบก.ปส.๑ ได้เดินหน้าปราบปรามขบวนการค้ายาเสพติดอย่างต่อเนื่องและสามารถจับกุม 2 เครือข่ายใหญ่ ได้ของกลางเป็นยาบ้าจำนวน 11,634,000 เม็ด

โดยสืบเนื่องจากในเครือข่ายแรกนั้น ตำรวจ บก.ปส.1 และ บก.ข่าวกรองยาเสพติด บช.ปส. ได้ขยายผลการจับกุมขบวนการ ค้ายาเสพติดที่ จ.นครราชสีมา ทำให้ทราบว่าขบวนการค้ายาเสพติดกลุ่มของนายธีรยุทธ ซึ่งถูกดำเนินคดี จะลำเลียงยาเสพติด จำนวนมากอีกครั้ง จึงเฝ้าติดตามพฤติการณ์ กระทั่งวันที่ 8 ต.ค.66 พบว่านายธีรยุทธ พร้อมพวกใช้รถยนต์ติดแผ่นป้ายทะเบียน xx 1689 กทม และ รถยนต์ติดแผ่นป้ายทะเบียน xx 4580 กำแพงเพชร เดินทางมุ่งหน้าชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือขอ จ.นครพนม จึงวางกำลังติดตามกลุ่มเป้าหมายไว้ตามจุดที่คาดว่ากลุ่มเป้าหมายเดินทางผ่าน ต่อเนื่องช่วงเช้ามืดของวันที่ 9 ต.ค.66 พบรถยนต์เป้าหมายทั้ง 2 คัน จึงติดตามไป จนกระทั่งรถทั้ง 2 คัน ไปหยุดจอดในปั๊มปตท. อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา ตำรวจ ปส.1 และ บก.ข่าวกรองยาเสพติด จึงได้แสดงตัวและขอตรวจค้นรถ ซึ่งมีนายวิ เป็นผู้ขับขี่รถยนต์ทะเบียน xx 1689 กทม. พบยาบ้าซุกซ่อนอยู่บริเวณเบาะหลัง และท้ายกระโปรงรถ รวม 4,884,000 เม็ด ขณะที่ รถยนต์ติดแผ่นป้ายทะเบียน xx 4580 กำแพงเพชร มีนายธีรยุทธ เป็นผู้ขับขี่ และ น.ส.บุญเรือง ทำหน้าที่สำรวจเส้นทางถูกจับกุมเช่นกัน

โดยผู้ต้องหารับสารภาพว่ารับยาเสพติดจากพื้นที่ จ.นครพนม เพื่อจะมาส่งให้ลูกค้าในพื้นที่ อ.เมือง จ.สระบุรี และนำตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวน บช.ปส. ดำเนินคดี และขยายผลติดตามออกหมายจับบุคคลในเครือข่ายและยึดทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ.2564 ต่อไป

ในส่วนของเครือข่ายที่ 2 ตำรวจ บก.สกส. และ บก.ข่าวกรองยาเสพติด บช.ปส. ได้ขยายผลจากการจับกุมเครือข่ายยาเสพติด จ.นครสวรรค์ ทราบว่าจะมีการขนยาเสพติดล็อตใหญ่เพื่อส่งให้กับลูกค้าในพื้นที่ปริมณฑลและพื้นที่ใกล้เคียงจึงวางแผนจับกุม ต่อมาเมื่อวันที่ 4 ต.ค.66 เวลาประมาณ 23.50 น. ตำรวจ บก.สกส. และ บก.ข่าวกรองยาเสพติดร่วมกันติดตามรถกระบะอีซูซุ หมายเลขทะเบียน xx 9536 กรุงเทพมหานคร ไปตามถนนหมายเลข 111 ต.ในเมือง อ.เมือง จ.พิจิตร โดยเมื่อไปถึงบริเวณบึงบัว ซึ่งอยู่ภายในบึงสีไฟ ต.เมืองเก่า อ.เมือง จ.พิจิตร ผู้ขับขี่ทราบชื่อภายหลังว่า นายณัฐชนน อายุ 25 ปี ได้จอดรถแล้ววิ่งหลบหนีไปซ่อนตัวอยู่ในบึงบัวอยู่นานหลายชั่วโมง ต่อมาตำรวจ ปส. และเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองพิจิตร ได้ร่วมกันจับกุมตัวได้ และจากการตรวจค้นรถที่นายณัฐชนน ขับขี่พบยาบ้า 6,750,000 เม็ด ชุกซ่อนอยู่บริเวณท้ายกระบะซึ่งมีลักษณะเป็นตู้ที่บ จึงยึดเป็นของกลางและแจ้งข้อกล่าวหาให้ผู้ต้องหาทราบ จากนั้นจึงจับกุมตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวน บช.ปส. ดำเนินคดี และขยายผลติดตามออกหมายจับ บุคคลในเครือข่าย และยึดทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564 ต่อไป

การกระทำของผู้ต้องหาทั้ง 2 เครือข่าย เป็นความผิดฐาน “ร่วมกันกับพวกที่หลบหนี จำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีนหรือยาบ้า โดยมีไว้เพื่อจำหน่าย อันเป็นการกระทำเพื่อการค้า ก่อให้เกิดการแพร่กระจายในหมู่ประชาชน และทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความปลอดภัยของประชาชนทั่วไป” อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564 มาตรา 1,29(1)90, 134, 145 วรรคหนี่ง,145 วรรค 2(1), (2), 145 วรรคสาม (2) , 152 ประกาศ กระทรวงสาธารณสุขเรื่องระบุชื่อยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 พ.ศ. 2565 ลง 4 ต.ค. 2564 บัญชีท้ายประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุชื่อ ยาเสพติดให้โทษในประเภท 2 ลำดับที่ 53 พ.ร.บ.ให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ.2564 มาตรา 8 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83

โดยหลังจากการนำเสนอผลการหลังจากแถลงผลปฏิบัติการในครั้งนี้เสร็จสิ้นแล้วนั้น พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. ได้ตอบคำถามผู้สื่อข่าวถามว่าจุดหมายปลายทางของยาบ้าล็อตนี้นั้นคือที่ใด พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า จุดหมายปลายทางของยาบ้าล็อตนี้นั้นคือพื้นที่ตอนกลางและไปยังตอนใต้ของประเทศ

ผู้สื่อข่าวถามว่าในแต่ละครั้งนั้นกลุ่มเครือข่ายเหล่านี้นั้นมีการค้นยาบ้าในจำนวนที่เยอะมากในครั้งนี้ก็นับว่าเยอะมากเป็นจำนวนกว่า 11,634,000 เม็ด เหตุใดยังไม่ลดลงเลยในเมื่อมีการจับกรณีในลักษณะนี้อยู่ตลอด พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า ปัญหายาเสพติดนั้นเป็นปัญหาเรื้อรังมานาน แท้จริงเเล้วในการปฏิบัติการเรื่องยาเสพติดนั้นมีการทำงานร่วมกันของทุกภาคส่วนและทำงานกันอย่างสุดความสามารถในเรื่องของเก็บข้อมูล สกัดกั้นและทำลายโครงสร้างของกลุ่มผู้ค้าหลายกลุ่มมาแล้ว ดังนั้นแล้วก็จะมีบางกลุ่มที่อยู่ในระหว่างการสืบสวน

ผู้สื่อข่าวถามว่าทางตำรวจเองจะมียุทธวิธีในการต่อกรกับกลุ่มเครือข่ายเหล่านี้อย่างไร พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า ทางตำรวจมีการฝึกฝนในการต่อกรกับกลุ่มเครือข่ายเหล่านี้ร่วมทั้งการเสริมสร้างเขี้ยวเล็บและอุปกรณ์เครื่องมือต่างๆ ซึ่งทางสำนักงานตำรวจเเห่งชาติเองนั้นมีการตั้งงบประมาณให้กับผู้ปฏิบัติงานด้านนี้ทุกๆ ปี เพื่อนำไปปฏิบัติหน้าที่ให้เกิดผลประโยชน์สำเร็จ

ในส่วนของอาวุธปืนที่พบว่าคนร้ายได้มีการจัดหามีใช้งานนั้นทางตำรวจกำลังดำเนินการการตรวจสอบและขยายผลต่อไป ตอนนี้ขอให้เป็นเรื่องของการสืบสวนสอบสวนต่อไป

หลังจากให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนเสร็จสิ้นนั้นทางพล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ได้มอบเงินรางวัลเป็นขวัญกำลังให้เเก่เจ้าหน้าที่ ที่เกี่ยวข้องในการปฏิบัติหน้าที่ในครั้งนี้ เพราะเดินทักทายเเละกล่าวขอบคุณเจ้าหน้าที่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยเช่นเดียวกัน 

‘พระพยอม’ จวกยับ!! ‘ไม่รู้จักที่สูงที่ต่ำ’ หลังมีคนปั๊มยาบ้าเป็น ‘เศียรพระ’ ลั่น!! 'คนคิดคนทำชีวิตคงไม่สูงส่งอะไร-หากินแบบหาเวรหากรรม'

จากกรณีที่ เพจหลวงพี่มาแล้ว โพสต์ภาพยาบ้าอัดเม็ดในรูปแบบใหม่ เป็นเศียรพระพุทธรูป จนมีคนเข้ามาคอมเมนต์จำนวนมาก

(2 พ.ย. 66) ผู้สื่อข่าวเดินทางไปที่วัดสวนแก้ว ต.บางเลน อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี เพื่อสอบถาม พระราชธรรมนิเทศ หรือ พระพยอม กัลยาโณ เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว โดยพระพยอมมองว่า อัปยศที่สุดของความชั่วของความเลว เอายาบ้ามาทำเป็นเศียรพระพุทธรูปโดยไม่รู้จักที่สูงที่ต่ำ ไม่รู้จักบาปบุญคุณโทษอะไรเลย สังคมสมัยนี้ศีลธรรมตกต่ำถึงสุดขีด ถึงกับเอายาบ้ามาปั๊มเป็นเศียรพระพุทธรูปได้ ทั้งๆ ที่เป็นสิ่งที่เคารพบูชาสูงสุด คนส่วนใหญ่กราบไหว้ แต่นี่เอามาทำแบบไร้ค่า ด้อยค่าพระพุทธศาสนา คนคิดคนทำชีวิตคงไม่สูงส่งอะไร

พระพยอมกล่าวว่า การนำยาบ้ามาปั๊มแบบนี้น่าจะเป็นวิธีการจูงใจลูกค้า หรือคนเสพให้หันมาสนใจมากขึ้น ด้วยรูปลักษณะที่แปลกหูแปลกตา กระตุ้นให้คนอยากเสพ เพราะเห็นเป็นรูปลักษณ์ที่ไม่น่าเกลียด ถ้าไปทำรูปน่าเกลียดคนก็คงไม่ซื้อ ไม่สนใจ พอมาทำเป็นเศียรพระพุทธรูปก็เหมือนเพิ่มแรงโน้มน้าว เอาศาสนาไปเป็นเครื่องมือทำมาหากินกัน หากินแบบหาเวรหากรรม

ทหารกองกำลังสุรศักดิ์มนตรีตรวจยึดยาบ้าล็อตใหญ่ 1,380,000เม็ด ผู้ต้องหา 6 คน พร้อมรถยนต์ 1 คัน

กองกำลังสุรศักดิ์มนตรี แถลงข่าวตรวจยึดยาบ้าล๊อตใหญ่ จำนวน 4 กระสอบ จำนวน 1,380,000 เม็ด และขยายผล จับกุมผู้ต้องหาขบวนการค้ายาเสพติดข้ามชาติ จำนวน 6 คน พร้อมรถยนต์กระบะ ที่ใช้ขนยาบ้าจากขบวนการค้ายาข้ามชาติ จำนวน 1 คัน พร้อมรถจักรยานยนต์ ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน จำนวน 1 คัน บริเวณถนนทางเข้าหมู่บ้านท่าสีไค ตำบลดงบัง อำเภอบึงโขงหลง จังหวัดบึงกาฬ

กองกำลังสุรศักดิ์มนตรี โดย พันเอก สุริวัชร์  อัครพรเดชาพงษ์ ผู้บังคับการกรมทหารพรานที่ 21/ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 21 เป็นผู้แทน พลตรี นรธิป โพยนอก ผู้บัญชาการกองกำลังสุรศักดิ์มนตรี/ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 2 ส่วนแยก 1 พร้อมด้วยหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ อำเภอบึงโขงหลง จังหวัดบึงกาฬ แถลงข่าวการตรวจยึดยาบ้า จำนวน 4 กระสอบ จำนวน  1,380,000 เม็ด และขยายผลจับกุมผู้ต้องหาขบวนการค้ายาเสพติดข้ามชาติ จำนวน 6 คน พร้อมรถยนต์กระบะ ที่ใช้ขนยาบ้าจากขบวนการค้ายาข้ามชาติ จำนวน 1 คัน และรถจักรยานยนต์ ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน จำนวน 1 คัน บริเวณถนนทางเข้าหมู่บ้านท่าสีไค ตำบลดงบัง อำเภอบึงโขงหลง จังหวัดบึงกาฬ 

โดยในห้วงที่ผ่านมาพันเอก สุริวัชร์  อัครพรเดชาพงษ์ ผู้บังคับการกรมทหารพรานที่ 21/ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 21ได้รับแจ้งจากแหล่งข่าวว่าจะมีการลักลอบนำเข้ายาเสพติดให้โทษประเภทที่ 1 (ยาบ้า) ไม่ทราบจำนวน จากขบวนการค้ายาเสพติดข้ามชาติล๊อตใหญ่จากฝั่ง สปป.ลาว เข้ามายังฝั่งประเทศไทย บริเวณ ริมฝั่งแม่น้ำโขง พื้นที่บ้านท่าสีไค ตำบลดงบัง อำเภอบึงโขงหลง จังหวัดบึงกาฬ เพื่อลำเลียงขนส่งเข้าสู่พื้นที่ตอนในให้กับกลุ่มขบวนการค้ายาเสพติดภายในประเทศ จึงสั่งการให้ร้อยโท โกวิทย์ วงษ์แสง ผู้บังคับกองร้อยเฉพาะกิจทหารพรานที่ 2108 หน่วยเฉพาะกิจทหารพรานที่ 21 ทำการบรูณากำลังวางแผนร่วมกับหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ อำเภอบึงโขงหลง จังหวัดบึงกาฬ ทำการลาดตระเวนซุ่มเฝ้าตรวจตามภาพข่าวที่ได้รับแจ้ง เจ้าหน้าที่ตรวจพบรถยนต์กระบะสีดำขับออกจาก บริเวณที่ได้รับแจ้ง เจ้าหน้าที่จึงแสดงตัวเป็นเพื่อขอเข้าตรวจสอบรถต้องสงสัย แต่รถยนต์คันดังกล่าว ได้เร่งเครื่องหลบหนี เจ้าหน้าที่จึงไล่ติดตามเส้นทางบ้านท่าสีไค้ ตำบลดงบัง แต่คนขับรถยนต์ได้หักรถยนต์ต้องสงสัยลงข้างทาง และวิ่งหลบหนีไป หน่วยจึงประสานหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ 

เพื่อเข้าร่วมตรวจสอบรถคันดังกล่าว ตรวจพบสิ่งของต้องสงสัย จำนวน 4 กระสอบ จึงได้ทำการตรวจสอบสิ่งของต้องสงสัย ผลการตรวจสอบ พบเป็นยาเสพติดประเภทที่ 1(ยาบ้า) บรรจุอยู่ภายใน จึงได้ทำการตรวจยึดยาเสพติดดังกล่าว มายังกองร้อยเฉพาะกิจทหารพรานที่ 2108 เพื่อทำการตรวจนับอย่างละเอียด จากขยายผลในครั้งนี้หน่วยพร้อมหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ได้ร่วมจับกุมผู้ต้องหาขบวนการค้ายาเสพติดข้ามชาติเป็นชายไทย จำนวน 6 คน พร้อมของกลางยาบ้า จำนวน 4 กระสอบ จำนวน 1,380,000 เม็ด รถยนต์กระบะ ยี่ห้อ มิตซูบิชิ รุ่น ไตรตัน สีดำ ทะเบียน บล 3098 กาฬสินธุ์ จำนวน 1 คัน และรถจักรยานยนต์ ยี่ห้อ เวฟ 100 ไอ ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน จำนวน 1 คัน หน่วยพร้อมหน่วยงานความมั่นคงจึงร่วมกันจับกุมผู้ต้องหาพร้อมตรวจยึดของกลางทั้งหมดส่งให้ สภ.เหล่าหลวงจังหวัดบึงกาฬ เพื่อดำเนินการตามกกหมายต่อไป


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top