Friday, 3 May 2024
มวยไทย

‘มวยไทย’ ยกทัพเยือน ‘ฮ่องกง’ หนุนซอฟต์พาวเวอร์ไทยสู่ระดับโลก พร้อมโชว์ลีลาเด็ดในงานดวลหมัด ‘อีสต์ เอเชียน มวยไทย แชมเปียนชิป’

(24 พ.ย. 66) การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.), กองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ (NSDF), คณะกรรมการกีฬามวย, สมาคมกีฬามวยไทยสมัครเล่นแห่งประเทศไทยฯ, สมาคมกีฬามวยอาชีพแห่งประเทศไทย และสหพันธ์สมาคมมวยไทยนานาชาติ (IFMA) ร่วมกันจัดโครงการประชาสัมพันธ์ และเผยแพร่ศิลปะมวยไทยสู่ต่างประเทศ พร้อมกับจัดการแข่งขันรายการ ‘อีสต์ เอเชียน มวยไทย แชมเปียนชิป 2023’ โดยมีนักมวยไทยจาก 9 ชาติ จากภูมิภาคเอเชียตะวันออก ร่วมขึ้นสังเวียนชิงชัย ที่ควีน อลิซาเบธ สเตเดียม เขตปกครองพิเศษฮ่องกง สาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างวันที่ 23-26 พฤศจิกายน 2566 ซึ่งเป็นซอฟต์พาวเวอร์ของประเทศไทยให้เผยแพร่ไปสู่ระดับนานาชาติ และกำหนดมาตรฐานมวยไทย ‘One Standard Muaythai’ (OSM) นำโดย ดร.ปัญญา หาญลำยวง คณะกรรมการติดตามการใช้จ่ายงบประมาณของกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ รวมทั้ง ดร.เช้า วาทโยธา ครูมวยไทยนานาชาติชื่อดัง และ ‘กัปปิตัน เพชรยินดีอะคาเดมี’ อนึ่ง คัฒมารศรี ยอดนักมวยไทยชื่อดัง และคณะ ร่วมเปิดคลินิกสอนทักษะมวยไทยให้กับผู้เข้ารับการอบรมทั้งภาคทฤษฎี และภาคปฏิบัติ ซึ่งได้รับการตอบรับจากชมรม และสมาคมกีฬามวยไทยแห่งฮ่องกง ส่งนักกีฬามวยไทยเข้าร่วมอย่างคึกคัก

โครงการเผยแพร่ศิลปะมวยไทยสู่ต่างประเทศ จัดขึ้นเพื่อประชาสัมพันธ์กีฬามวยไทย ซอฟต์พาวเวอร์ของประเทศไทย ส่งเสริมให้เป็นที่รู้จักแพร่หลายยิ่งขึ้นในฮ่องกง โดยจะเป็นการส่งเสริมอุตสาหกรรมมวยไทยสู่นานาชาติอย่างครบวงจร และสามารถต่อยอดสินค้ามวยไทยสู่ต่างประเทศได้อย่างแพร่หลาย ทั้งในรูปแบบสินค้า และบริการด้านมวยไทยได้อย่างเป็นรูปธรรม รวมทั้งส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม อันเป็นอัตลักษณ์ของความเป็นไทยสู่ฮ่องกง ส่งเสริมความนิยมไทย และความเป็นไทยให้เป็นที่รู้จักทุกภูมิภาคของโลก โดยสามารถต่อยอดไปสู่การท่องเที่ยว การค้าการลงทุนในประเทศไทย และอาหารไทย

โครงการดังกล่าวจัดขึ้นตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ซึ่งได้ให้ความสำคัญกับการกีฬา และนันทนาการบนพื้นฐานวิทยาศาสตร์การกีฬา เพื่อเป็นเครื่องมือในการส่งเสริมพัฒนากีฬา พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ พัฒนาคุณภาพชีวิต สร้างชื่อเสียง และเกียรติภูมิของประเทศ รวมถึงการส่งเสริมอุตสาหกรรมกีฬา การท่องเที่ยวเชิงกีฬาเพื่อสร้างคุณค่า และมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับประเทศไทย

ดังนั้น สมาคมกีฬามวยอาชีพแห่งประเทศไทยที่มีบทบาทหน้าที่ในการดำเนินกิจกรรมกีฬามวยอาชีพในการส่งเสริม และเผยแพร่กีฬามวยไทยอาชีพให้เป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติ รวมทั้งการส่งเสริมอุตสาหกรรมมวยไทยทั้งในรูปแบบสินค้า และบริการเพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจด้วยธุรกิจอุตสาหกรรมมวยไทย สร้างรายได้ให้บุคลากรมวยไทย จึงจัดโครงการเผยแพร่ศิลปะมวยไทยในประเทศฮ่องกง ขึ้นเพื่อนำกีฬามวยไทยไปเผยแพร่ และยังเป็นการเชื่อมความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น

กิจกรรมที่เขตปกครองพิเศษฮ่องกง แบ่งออกเป็น กิจกรรมในช่วงเช้าเป็นการจัดเวิร์กชอปเปิดคลินิกสอนทักษะมวยไทยให้กับผู้เข้ารับการอบรมทั้งภาคทฤษฎี และภาคปฏิบัติ โดย ดร.เช้า วาทโยธา ครูมวยไทยนานาชาติชื่อดัง และ ‘กัปปิตัน เพชรยินดีอะคาเดมี’ อนึ่ง คัฒมารศรี นักมวยไทยชื่อดัง ร่วมติวเข้มทักษะแม่ไม้มวยไทยให้กับผู้เข้ารับการอบรม จากนั้นในช่วงเย็นเป็นพิธีเปิดการแข่งขัน ‘อีสต์ เอเชียน มวยไทย แชมเปียนชิป 2023’ อย่างเป็นทางการ โดยมี ‘สเตฟาน ฟ็อกซ์’ เลขาธิการสหพันธ์สมาคมมวยไทยนานาชาติ (IFMA) พร้อมด้วย ปุย ควาน เกย์ ประธานกิตติมศักดิ์ สมาคมกีฬามวยไทยแห่งฮ่องกง, ซิน ลัม ยุก ประธานสมาคมกีฬามวยไทยแห่งฮ่องกง, ตัวแทนหน่วยงานที่เกี่ยวกับกีฬาของฮ่องกง และนักกีฬามวยไทย 9 จากชาติที่เข้าร่วมชิงชัย ประกอบด้วย บังกลาเทศ, อินเดีย, เกาหลีใต้, มองโกเลีย, มาเก๊า, ญี่ปุ่น, ไต้หวัน, จีน และฮ่องกง เจ้าภาพ เข้าร่วมในพิธีเปิด

พิธีเปิดการแข่งขันได้มีการแสดงศิลปะแม้ไม้มวยไทยโบราณ จากคณะลานนาไฟท์ติ้งมวยไทย นำโดย ‘ครูดิน’ นายวิทวัส ค้าสม นำคณะนักมวยไทยไปโชว์อัตลักษณ์มวยไทยที่เป็นศิลปะการต่อสู้ประจำชาติไทย รวมทั้งการแสดงคีตะมวยไทย จากทีมมหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ วิทยาเขตเพชรบูรณ์ ทีมชนะเลิศจากการแข่งขันมวยไทยสมัครเล่นเยาวชนชิงแชมป์ประเทศไทย ประจำปี 2566 ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้เข้าร่วมงานสุดตื่นตาตื่นใจ

สำหรับ ฮ่องกง ถือเป็นหนึ่งในมหาอำนาจมวยไทยของเอเชีย และเป็นหนึ่งในสมาชิกผู้ก่อตั้งสหพันธ์สมาคมมวยไทยนานาชาติ (IFMA) ได้จัดการแข่งขันรายการ ‘อีสต์ เอเชียน มวยไทย แชมเปียนชิป 2023’ ที่ควีน อลิซาเบธ สเตเดียม ซึ่งถือเป็นการแข่งขันมวยไทยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในมวยไทยสมัยใหม่ และยิ่งใหญ่ที่สุดที่จัดขึ้น ณ ฮ่องกง หลังจากรอคอยมา 3 ปี โดยจะเป็นการช่วยส่งเสริมมวยไทยให้ได้รับความนิยมมากยิ่งขึ้นในภูมิภาคเอเชียตะวันออก รวมถึงการต่อสู้ และองค์ประกอบดั้งเดิม และการไหว้ครูมวยไทย

สรุปผลการแข่งขันรายการ ‘อีสต์ เอเชี่ยน มวยไทย แชมเปียนชิป 2023’ รอบแรก ดังนี้

รุ่นน้ำหนักไม่เกิน 45 กก.หญิง ‘นามูอูนา อาร์เดเนบายาร์’ (มองโกเลีย) ชนะอาร์เอสซียก 2 ‘ทิเคสชวารี ซาฮู’ (อินเดีย)

รุ่นน้ำหนักไม่เกิน 48 กก.หญิง ‘เพียว ลิง อึน’ (ฮ่องกง) ชนะคะแนน ‘อูรานกู โอดอนทูยา’ (มองโกเลีย)

รุ่นน้ำหนักไม่เกิน 51 กก.หญิง ‘ยูริกะ จิมโป’ (ญี่ปุ่น) ชนะคะแนน ‘หลิว ซินเหอ’ (ไต้หวัน)

รุ่นน้ำหนักไม่เกิน 54 กก.ชาย ‘จางฮุน ออน’ (เกาหลีใต้) ชนะคะแนน ‘ฝ่าน กวงเจ้อ’ (จีน) และ ‘บาตดอร์จ ซูมิยาซูเรน’ (มองโกเลีย) ชนะคะแนน ‘ฟาฮัด อนัคคายี่’ (อินเดีย)

รุ่นน้ำหนักไม่เกิน 57 กก.ชาย ‘หลี่ หยูหง’ (ไต้หวัน) ชนะคะแนน ‘ดีพานคาร์ โบรา’ (อินเดีย)

รุ่นน้ำหนักไม่เกิน 60 กก.ชาย ‘บาตโบลด์ กานซูร์คห์’ (มองโกเลีย) ชนะคะแนน ‘บิดยาชานดรา ซิงห์ ไลชาห์ม’ และ ‘กวน เว่ยเฮ’ (มาเก๊า) ชนะอาร์เอสซียก 1 ‘เฉิน เบาจอง’ (ไต้หวัน)

รุ่นน้ำหนักไม่เกิน 63.5 กก.ชาย ‘อาเชม ทอนดอนบา ซิงห์’ (อินเดีย) ชนะอาร์เอสซียก 1 ‘ซู่ ยองจู’ (ไต้หวัน)

รุ่นน้ำหนักไม่เกิน 67 กก.ชาย ‘ชุง เป่ยรง’ (ฮ่องกง) ชนะอาร์เอสซียก 1 ‘หวง เจิ้งฉี’ (จีน), ‘อี ซังมิน’ (เกาหลีใต้) ชนะคะแนน ‘โมรัมบ้า ซาโกลเซ็ม’ (อินเดีย) ‘หวง เหาหยวน’ (มาเก๊า) ชนะคะแนน ‘บาต-อิตเกลต์ ชิจีร์บาตาร์’ (มองโกเลีย)

รุ่นน้ำหนักไม่เกิน 70 กก.ชาย ‘ลี่ จวนเซียน’ (ฮ่องกง) ชนะอาร์เอสซียก 2 ‘เป่ง เวิ่นเบา’ (ไต้หวัน)

‘นายกฯ’ ดัน ‘มวยไทย’ ซอฟต์พาวเวอร์เบอร์ 1 ของไทย เล็งต่อยอดอาชีพนักมวย - สร้างรายได้จากทุกมิติ

(8 ธ.ค. 66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง แถลงภายหลัง นายพิมล ศรีวิกรม์ กรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์ด้านกีฬา นำผู้บริหาร One Championship พร้อม ร.ท.สมบัติ บัญชาเมฆ หรือ ‘บัวขาว บัญชาเมฆ’ และคณะ เข้าเยี่ยมคารวะนายกฯ ว่า 

“ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่ามวยไทยเป็นซอฟต์พาวเวอร์อันดับต้นของประเทศไทย เป็นกิจกรรมที่มีคำว่าไทยอยู่ด้วย และมวยไทยให้คุณค่าซอฟต์พาวเวอร์ความเป็นไทยเยอะ ตัวอย่าง ค่ายมวยไทยในประเทศอังกฤษมีประมาณ 5 - 6 พันแห่ง จึงเป็นซอฟต์พาวเวอร์อันดับ 1 ที่ถูกส่งไปทั่วโลก มีมูลค่าทางเศรษฐกิจมหาศาล มีการถ่ายทอดสดเป็น live Streaming รวมไปถึงการขายสินค้าและอุปกรณ์ เช่น กางเกงมวย นวม ที่ทำประโยชน์ให้ประเทศไทย กีฬามวยไทยถึงแม้นักมวยจะอายุมากถึง 41 ปี เหมือนนายบัวขาว ถ้ารักษาตัวดี ก็ยังสามารถเป็นความหวังและแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นใหม่ ที่อยากเข้ามามีส่วนร่วมกับกิจกรรมมวยไทย 

นอกจากนั้น คนไทยอยากมีอาชีพที่มั่นคง เพราะหากย้อนไป 30 - 40 ปีที่แล้ว อาชีพนักมวยมีระยะสั้น อายุนักมวยที่ขึ้นชกก็สั้นบางคนแค่ 3 - 4 ปี แต่หากดูแลตัวเองดีอายุ 40 - 50 ปี ก็ยังขึ้นชกได้ หากไม่อยากชกต่อก็สามารถเอามวยไทยไปบรรจุในกิจกรรมอื่น เช่น ในวิชาพลศึกษา หรือตั้งค่ายมวยในต่างประเทศ และจะเป็นช่องทางขยายอาชีพให้กับนักมวยไทย เช่นเดียวกับนักฟุตบอล ที่ไปเป็นโค้ด หรือผู้ฝึกสอนให้กับหลายสโมสร เป็นการต่อยอดอาชีพที่มั่นคงสร้างรายได้ต่อไป จากนี้จะเป็นการคิกออฟซอฟต์พาวเวอร์อันดับ 1 ของประเทศได้”

นายเศรษฐา กล่าวว่า “รายการ One Championship มีการถ่ายทอดสดและมีผู้ชมหลายร้อยล้านคน ทำให้แปลกใจ เหตุใดมีผู้ชมจำนวนมาก ทำให้คิดว่ามวยไทยเป็นซอฟต์พาวเวอร์ที่มีศักยภาพสามารถไปได้อีกไกลมาก และทำรายได้ให้ประเทศ โดยเชื่อมโยงไปกับการท่องเที่ยว เช่น เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี และ จ.ภูเก็ต มีการเข้าแคมป์เรียนมวยไทย ขณะที่เวทีมวยราชดำเนิน เวทีมวยลุมพินี เป็นศูนย์รวมขนาดใหญ่ใครอยากเรียนชกมวยก็มาเยี่ยม จึงต้องมีการส่งเสริม ทั้งนี้ ในวันที่ 22 ธ.ค.จะมีการแข่งขันศึกชิงแชมป์โลกมวยไทย ที่เวทีมวยลุมพินี และถ่ายทอดสดไปทั่วโลก ตนจะถือโอกาสเดินทางไปเยี่ยมชมการแข่งขัน”

ผู้สื่อข่าวถามว่า รัฐบาลมีแนวทางจะผลิตนักมวยอย่างไร เพื่อส่งเสริมให้เป็นซอฟต์พาวเวอร์ นายเศรษฐา กล่าวว่า “ต้องมีหลายด้าน ทั้งการดูเรื่องตรวจคนเข้าเมือง ที่ต้องประสานกระทรวงการต่างประเทศ เพราะมีนักมวยไทยหลายคนอยากไปสอน และตั้งค่ายมวยในต่างประเทศ แต่ใช้วีซ่านักท่องเที่ยวทำให้ผิดกฎการเข้าเมือง ขณะที่คนที่สนใจกิจกรรมมวยไทย และอยากเข้ามาเรียนมวยไทย ทางกระทรวงการต่างประเทศ และสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองของไทย ต้องอำนวยความสะดวกให้คนที่เข้ามาคนที่เข้ามา”

เมื่อถามว่า อยากเห็นปลายทางของมวยไทยอย่างไร อยากให้มวยไทยไปทั่วโลก หรือให้นักท่องเที่ยวและนักมวยต่างชาติเดินทางเข้ามาในประเทศไทย นายเศรษฐา กล่าวว่า “ที่ถามมาเป็นเพียงส่วนหนึ่ง แต่เราอยากสร้างรายได้เสริมให้คนที่ต้องการมาทำกิจกรรมมวยไทย ตั้งแต่ผู้ผลิตกางเกงเจ้าของสนามมวย การท่องเที่ยว สำคัญที่สุดคือต่อยอดอาชีพให้นักมวยไทย”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในระหว่างการให้สัมภาษณ์ นายกฯ ได้โชว์เข็มขัดแชมป์เปี้ยนโลก WBC ขนาดย่อ ที่สวมข้อมือด้านขวาให้ผู้สื่อข่าวบันทึกภาพ ส่วนเข็มขัดของจริง ประธานสภามวยโลกจะเป็นผู้นำมาโชว์ในงานอะเมซซิ่งมวยไทย ที่จัดระหว่างวันที่ 2 - 5 ก.พ. 2567

‘THAI FIGHT’ บุกจีน ลุยส่งเสริมอุตสาหกรรมมวยไทย เตรียมเปิดยิมสอนทักษะ 10,000 แห่ง ภายในเวลา 5 ปี

(9 ธ.ค.66) นายนพพร วาทิน ผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยไฟท์ จำกัด เจ้าของแบรนด์ THAI FIGHT บริษัทจัดการแข่งขันมวยไทยอาชีพระดับโลก กล่าวว่า บริษัทฯ ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ (เอ็มโอยู) กับ บริษัท ยูไนเต็ด แวนเซน สปอร์ต แมเนจเมนท์ จำกัด โดยนายวิลเลียม หวู ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เป็นผู้ลงนาม มีนางจิราพร สุดานิช กงสุลใหญ่ไทย ณ นครกว่างโจว สาธารณรัฐประชาชนจีน ร่วมเป็นสักขีพยาน เมื่อวันที่ 4 ธันวาคมที่ผ่านมา โดยข้อตกลงความร่วมมือดังกล่าว THAI FIGHT และ United Vansen จะร่วมกันส่งเสริมอุตสาหกรรมมวยไทยเข้าสู่จีนแผ่นดินใหญ่ ได้แก่ การจัดการแข่งขันมวยไทยระดับโลกในประเทศจีน ดำเนินการเปิดยิมมวยไทยทั่วประเทศจีนเพื่อฝึกอบรมตลอดจนปลูกฝังและคัดเลือกนักมวยไทยมืออาชีพที่เป็นชาวจีน รวมทั้งบุคคลทั่วไปที่สนใจออกกำลังกายด้วยวิชามวยไทยเพื่อสุขภาพที่ดีและรวมถึงเป็นศิลปะการป้องกันตัวด้วย ตั้งเป้าจะเปิดยิมมวยไทย 10,000 ยิม ภายในเวลา 5 ปี

นายนพพร กล่าวว่า บริษัท ยูไนเต็ด แวนเซน สปอร์ต แมเนจเมนท์ จำกัด บริหารจัดการกีฬาชั้นนำอันดับต้นๆ ของจีน มีสำนักงานใหญ่ที่กรุงปักกิ่ง ความร่วมมือครั้งนี้ได้รับการประสานงานจากนายเชาว์ชัย เจียมวิจิตร และนายฉัตรชัย เล่งอี้ ประธานและรองประธานคณะอนุกรรมการหอการค้าแห่งประเทศไทยด้านค้าชายแดนด้านจีนตอนใต้ ซึ่งตรงกับนโยบายหลักของบริษัทฯ คือความเป็น ‘THAI SPIRIT’ ที่บ่งบอกความเป็นไทยและคนไทยเท่านั้นที่จะทำได้ดีที่สุด

นายวิลเลี่ยม กล่าวว่า ความร่วมมือของทั้งสองบริษัทครั้งนี้ถือเป็นการเปิดตัวโครงการแลกเปลี่ยนการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมของจีน-ไทย ซึ่งจะช่วยส่งเสริมพัฒนาในเชิงลึกของทั้ง 2 ประเทศไม่ว่าจะเป็นในด้านวัฒนธรรม กีฬา การท่องเที่ยว และด้านอื่นๆ หลังจากพิธีลงนามทั้งสองฝ่ายยังได้หารือและวางแผนในเชิงลึกเกี่ยวกับความร่วมมือในด้านการจัดการแข่งขัน พัฒนาการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมกีฬา และกีฬาเพื่อสุขภาพอย่างละเอียด รวมถึงมีแผนจะผลักดันด้านลิขสิทธิ์กีฬา สื่อบันเทิงกีฬา รวมถึงอุปกรณ์และผลิตภัณฑ์กีฬาต่างๆ ที่มีคุณภาพของประเทศไทย รวมถึงเครื่องดื่มชูกำลังด้วย

‘นายกฯ’ ลั่น!! รัฐบาลพร้อมหนุนซอฟต์พาวเวอร์ทุกประเภท เล็งนำร่องวีซ่าพิเศษให้ นทท.ที่มาฝึกมวยไทย อยู่ยาว 90 วัน!!

(14 ม.ค.67) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์ข้อความ ถึงการสนับสนุนซอฟต์พาวเวอร์ของประเทศไทย โดยเฉพาะมวยไทย หลังรัฐบาลมีแผนเปิดตัววีซ่าพิเศษ สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ต้องการเดินทางมาประเทศไทย เพื่อฝึกมวยไทย โดยจะอนุญาตให้อยู่ได้นานถึง 90 วัน เพื่อจบหลักสูตร ว่า…

“ผม และรัฐบาลไทยพร้อมสนับสนุน Soft Power ของไทยครับ การให้วีซ่าพิเศษ 90 วัน (จากวีซ่าปกติ 60 วัน) แก่คนที่สนใจจะเข้ามาเรียนมวยไทยเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเล็กๆ ของการดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจไทย ด้วยการใช้ความเป็นไทยส่งออกไกลไปทั่วโลกครับ

เราไม่ได้คิดให้วีซ่าพิเศษเฉพาะเพียงมวยไทยเท่านั้นนะครับ แต่ Soft Power อื่นๆ อย่าง รำไทย ดนตรีไทย การเรียนทำอาหารไทย ฯลฯ เราก็พร้อมสนับสนุน และกำลังเตรียมพิจารณาให้วีซ่าพิเศษเป็นลำดับต่อไปด้วยครับ” นายเศรษฐา กล่าว

‘เศรษฐา-อุ๊งอิ๊ง’ ชู ‘มวยไทย’ เป็นซอฟต์พาวเวอร์ เล็งดันสู่โอลิมปิก เผย รัฐบาลเตรียมออกวีซ่าพิเศษให้ต่างชาติเข้ามาเรียนได้ 90 วัน

เมื่อวันที่ 20 ม.ค. 67 ที่สนามกีฬาสมโภชเชียงใหม่ 700 ปี ตำบลดอนแก้ว อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ พร้อม น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะรองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ และผู้เรียนหลักสูตรรวมมิตร รวมทั้ง สส.ของพรรค พท. เยี่ยมชมกิจกรรมการแสดงมวยไทย และชมการไหว้ครูของเยาวชนมวยไทย รวมถึงชมการแสดงศิลปะการไหว้ครูของ ร.ท.สมบัติ บัญชาเมฆ หรือ ‘บัวขาว บัญชาเมฆ’ และโชว์การชกมวยกับนักมวยชาวต่างประเทศด้วย ซึ่งถือเป็นซอฟต์พาวเวอร์อย่างหนึ่งของประเทศไทย

โดยนายกฯ ได้ชมการแสดงอย่างตื่นเต้นและสนุกสนาน ท่ามกลางเสียงเชียร์จากผู้เข้าร่วมชม โดยเฉพาะช่วงการโชว์อาวุธแม่ไม้มวยไทยของ บัวขาว บัญชาเมฆ และ ‘พญาหงส์ บัญชาเมฆ’ นักมวยหญิง แชมป์ K1 ที่โชว์แม่ไม้มวยไทยได้อย่างถึงใจ

น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า วันนี้รู้สึกดีใจและเป็นเกียรติที่ได้มาอยู่ที่แห่งนี้ ขออนุญาตเป็นตัวแทนคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ บอกเล่าให้ฟังว่า ตอนนี้รัฐบาลกำลังทำซึ่งเกี่ยวกับมวยไทยโดยตรง มวยไทยจะต้องไปโอลิมปิกโลกให้ได้ หลายๆ ท่านที่อยู่ในที่นี้ เชื่อว่าอยากเห็นภาพของตัวเองไปยืนอยู่บนเวทีโลก คงไม่ใช่ความฝันแค่ของตัวเอง แต่เป็นความฝันของคนที่ท่านรักด้วย และแน่นอนเป็นความฝันของคนไทยทุกๆ คน การดำเนินงานด้านกีฬาทั้งหมดจะนำโดย ผศ.พิมล ศรีวิกรม์ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ประธานอนุกรรมการด้านกีฬาในคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ซึ่งจะรู้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้ของมวยไทย

น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า การที่จะบอกว่ามวยไทยเป็นโอลิมปิกนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่รัฐบาลเชื่อว่าไม่ใช่เรื่องที่ยากเกินไปอย่างแน่นอน จะต้องสร้างรากฐานมาตรฐานต่างๆ ให้มวยไทยมีรากฐานที่มีการยอมรับที่ชัดเจนขึ้น เราจะตั้งสถาบันมวยไทยแห่งชาติ เพื่อเป็นศูนย์กลางของการสร้างมาตรฐานมีหลักสูตรมวยไทยที่ชัดเจนเป็นระบบ และมีความรู้ที่ให้ชาวต่างชาติเข้ามาดูมวยไทย จะได้ความรู้ต่างๆ ที่เกี่ยวกับมวยไทยไปด้วย

น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า นอกจากนั้น ก็จะยกระดับอาชีพครูมวยไทยให้มีใบประกอบวิชาชีพ และพัฒนาองค์ความรู้ทั้งระบบทั้งเรื่องของการสอนมวย และค่ายมวย รวมไปถึงการจัดแข่งขันมวยให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น ถือเป็นการสื่อสารจากหนึ่งกีฬาของไทยสู่สายตาโลก ตนและนายกฯ ได้มีโอกาสไปดูเวทีมวยวันแชมเปียนชิปที่สนามมวยลุมพินี ได้เห็นฝีมือคนไทยมาแล้วถือว่าเก่งมาก

“เราจะทำค่ายมวยไทยในต่างประเทศให้มากขึ้น ปัจจุบันมีกว่า 40,000 ค่ายมวยแล้ว จึงอยากให้มีมากกว่านี้ โดยมีระบบจัดสรรให้ดียิ่งขึ้นและที่สำคัญรัฐบาลได้ มองเห็นว่ามวยเป็นการกีฬาของไทยที่โดดเด่น จึงอยากจะให้เป็นศูนย์กลางของการกีฬาที่จะได้เผยแพร่วัฒนธรรมไทยของเรา ไม่ว่าจะเป็นการไหว้ครู รวมถึงเสื้อผ้าให้เป็นการส่งออกวัฒนธรรมได้ มวยถือเป็นอาวุธสำคัญทำให้ต่างชาติรักเมืองไทยได้ง่ายขึ้น ทั้งหมดนี้เป็นยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์ ที่รัฐบาลได้มองเห็น จะพัฒนาทั้งระบบให้มากขึ้นและเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น” น.ส.แพทองธารกล่าว

ต่อมา นายเศรษฐา ได้โพสต์ข้อความผ่าน X ถึงการเดินหน้าผลักดันมวยไทยเพิ่มเติม ระบุว่า…

“ศิลปะแม่ไม้มวยไทยเป็นที่รู้จัก และนิยมของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ซึ่งคุณบัวขาว บัญชาเมฆ ร่วมกับสมาคมมวยต่างๆ รวบรวมน้องๆ เยาวชนจากค่ายมวยไทยในจังหวัดเชียงใหม่ รวมถึงชาวต่างชาติที่เข้ามาเรียนมวยไทย มาจัดแสดงการไหว้ครูมวย ทั้งสวยงาม เต็มไปด้วยความเป็นไทย มวยไทย คือ Soft Power หนึ่งที่รัฐบาลให้การสนับสนุน เรากำลังพิจารณาให้วีซ่าพิเศษ 90 วันสำหรับคนที่เข้ามาเรียนหลักสูตรมวยซึ่งต้องใช้เวลาฝึกฝน ดังนั้น วีซ่าต้องเอื้ออำนวยให้ทำกิจกรรมได้นานพอจนเรียนจบครับ”

รู้จัก ‘ตะวันฉาย’ ยอดมวยดาวรุ่งแห่งยุค ที่ครั้งหนึ่ง 'เสียคน-เสียศูนย์' เพราะหลงระเริงกับชัยชนะ ขี้เกียจซ้อม เล่นพนัน จนหมดตัว

(24 ม.ค. 67) เพจ 'มวยไทยสุดยอด' ได้โพสต์เรื่องราวบทเรียนของชีวิต ตะวันฉาย พี.เค.แสนชัยมวยไทยยิม หรือ นายณรงค์ศักดิ์ แก้วมาลา ในช่วงชีวิตหนึ่งที่ 'เสียคน-เสียศูนย์-หลงระเริง' ว่า...

บทเรียนชีวิต ตะวันฉาย ช่วงที่ชนะบ่อยแล้วก็หลงระเริงแบบว่าไม่ต้องซ้อมหรอก ได้ต่อยกับคนจีนอะไรอย่างเนี่ย ไม่เท่าไหร่หรอก ไม่เท่าคนไทย

ขี้เกียจซ้อม มั่นใจว่าชนะ ไฟต์สุดท้ายชิงแชมป์ค่อยซ้อมจริงจัง แต่สุดท้ายก็สู้ไม่ไหว จึงเกิดมาเป็นบทเรียน ที่ทำให้หลังจากนั้น ตะวันฉาย ไม่ว่าจะต่อยกับใคร ก็ต้องซ้อมให้เต็ม 100 ประเมินคู่ต่อสู้ให้เก่งเข้าไว้ เก่งกว่าเรา

ตะวันฉาย เล่าว่า ช่วงเริงค่าใช้จ่าย มันเป็นช่วงที่เขาต่อยแทบทุกเดือน ต่อเดือนได้เงินต่อไฟต์ ราว 1-2 แสน อู้ฟู่มาก

ไปไหนต่อไหน ก็จะบอกคนใกล้ๆ ตัวว่า ไม่ต้องออก สปอร์ต ใจใหญ่ แถมยังเล่นพนันมวยด้วย เล่นหวยด้วย เวลาคนไหนที่ถูกหวยเป็นแสนๆ 3-4 งวด แล้วมาให้หวย ตะวันฉาย ก็จะทุ่มแบบ 75,000x75,000 กันเลยทีเดียว 

แต่พอหวยออกก็มือสั่น มือชากันเลยทีเดียว เพราะไม่ถูก เช่น แทง 98, 89 หมดไป 2 แสนกว่าบาท แต่หวยออกมา 58 หมดตัวกันเลย

บทเรียนในช่วงที่หมด ไม่เหลือตังสักบาทสำคัญมาก เพราะหลังจากนั้น พอได้ต่อยมวยแล้วได้รับค่าตัวมา 180,000 บาท ก็ต้องใช้หนี้หมดเลย และกลับมาบ้านพ่อพาซื้อปูซื้ออะไรมากิน ตะวันฉายบอกกับพ่อว่าให้ออกตังไปก่อนนะ (พ่อก็ถามว่า เอ้า!! ตังไปไหนหมดอ่ะ พึ่งต่อยมวยมา) สะกิดใจตนอย่างมาก

วันนั้น ตะวันฉาย คิดว่า เจ็บตัวก็เจ็บตัว ตังไม่มีสักกะบาท แค่จะซื้อของให้พ่อยังต้องเอาตังพ่อเลย จึงทำให้คิดใหม่ว่า ต้องเปลี่ยนตัวเอง ไม่เล่นการพนันก็ไม่เดือดร้อน ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เอาตังที่เล่นไปซื้อเสื้อผ้าซื้ออะไรดีกว่า ยังเหลือด้วย ซึ่งโชคดีที่เขาคิดได้แล้วเลิกเล่น และตั้งใจใช้ชีวิตอย่างมุ่งมั่นบนเส้นทางมวยอย่างมืออาชีพ จนโด่งดังได้ดั่งทุกวันนี้

'กุมารดอย' แจง!! ปมชาวเน็ตดรามาก้มกราบ 'เสี่ยโบ๊ท' ไม่เหมาะ ชี้!! "เป็นการเคารพขั้นสูงสุดของผม" ลั่น!! ถ้าไม่มีแรงหนุน ก็ไม่มีวันนี้

(25 ม.ค. 67) จากเฟซบุ๊ก 'กุมารดอย เพชรยินดีอะคาเดมี่' แชมป์รุ่นแบนตั้มเวต เวทีมวยราชดำเนิน โพสต์เปิดใจ หลังมีชาวเน็ตรายหนึ่ง บอกไม่เห็นด้วย กับวัฒนธรรมมวยไทย เรื่องการก้มไหว้คู่ต่อสู้ หรือผู้มีพระคุณ ระบุว่า...

"ผมรู้สึกดีใจและอยากกราบขอบคุณผู้มีพระคุณที่ทำให้ผมมีวันนี้ ถ้าไม่มีเสี่ยโบ๊ทคอยสนับสนุนส่งเสริมคอยซัปพอร์ตคงไม่มีผมในวันนี้ การกราบไหว้ผู้มีพระคุณ คือ การเคารพขั้นสูงสุดของผมซึ่งประเพณีไทยก็ทำกันแบบนี้โดยไม่มีใครบังคับ ใครข้องใจก็จงไปศึกษาวัฒนธรรมให้ดีๆ ก่อน"

‘บอสชาตรีแห่ง ONE’ มุ่งปั้น ‘มวยไทย’ ให้ก้องโลก สำนึกคุณ-สานต่อเจตนารมณ์ ‘ครูยอดธง เสนานันท์’

(14 ก.พ.67) ภาพนายใหญ่ขององค์กรศิลปะการต่อสู้ระดับโลก วัน แชมเปียนชิพ ‘ชาตรี ศิษย์ยอดธง’ หรือที่นักมวยไทยเรียกติดปากว่า ‘บอสชาตรี’ สวมชุดครูมวยไทยร่วมงาน ‘มหัศจรรย์ วันมวยไทย ดังไกลสู่ชาวโลก’ ที่ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ เมื่อวันมวยไทย 6 ก.พ.ที่ผ่านมา ในฐานะตัวแทนครูมวยไทยผู้ทรงคุณวุฒิและปูชนียบุคคลแห่งวงการมวยไทย เป็นภาพที่มีมนต์ขลังสมกับความศักดิ์สิทธิ์ของพิธีการในวันนั้น

หลังจบงาน ‘ชาตรี’ ได้เขียนโพสต์ซึ่งมีใจความตอนหนึ่งว่า “ผมประหลาดใจที่ท่านนายกฯ มอบรางวัลพิเศษแก่ผมในฐานะผู้มีคุณูปการต่อกีฬามวยไทย และรัฐบาลไทยให้เกียรติผมเป็น 1 ใน 20 ครูมวยผู้ทรงอิทธิพลที่สุดของวงการมวยไทย ความจริงคือผมเพียงสานต่อสิ่งที่คนรุ่นก่อนปูทางไว้ ผมเป็นหนี้บุญคุณ ครูยอดธง เสนานันท์ และเพื่อนสมัยเด็กในค่ายศิษย์ยอดธงสำหรับความสำเร็จของผม”

ชื่อของ ‘ครูยอดธง เสนานันท์’ มักถูกเอ่ยถึงบ่อยครั้งโดย ‘ชาตรี’ ผู้ฝากตัวเป็นศิษย์ตั้งแต่สมัยเริ่มหัดเรียนวิชามวยไทยใหม่ ๆ ‘ครูยอดธง’ จึงถือเป็นครูมวยไทยคนแรกของ ‘ชาตรี’ และท่านยังเป็นปูชนียบุคคลแห่งวงการมวยไทยผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาแด่นักมวยระดับแชมป์โลกมากมาย ทั้งได้สร้างคุณงามความดีอันเป็นที่ประจักษ์กลายเป็นที่รักและเคารพไปทั่วสารทิศ

จากศิษย์ก้นกุฎิของ ‘ครูยอดธง’ หลายปีผ่านไป ‘ชาตรี’ ได้ใช้ความรู้ความสามารถ ประกอบกับคุณธรรมที่ได้รับการอบรมสั่งสอนมา ก่อตั้งยิมศิลปะการต่อสู้ Evolve MMA ที่สิงคโปร์ ซึ่งเปรียบเสมือนสาขาหนึ่งของค่ายมวยศิษย์ยอดธง ครั้งนั้น ‘ครูยอดธง’ ได้กล่าวถึงความสำเร็จของลูกศิษย์ด้วยความชื่นชมยินดี 

“(ครูมวย) เขาบอกว่าเขามีความภูมิใจได้มาอยู่ศิษย์ยอดธงที่สิงคโปร์​ ยิ่งมาเห็นครูเขาก็ดีใจ ครูก็บอกต้องรวมถึง ‘ชาตรี’ ด้วย คือไม่เอาเปรียบนักมวย ครูคิดว่าทั่วโลกไม่มีใครเขาจ้างแบบนี้หรอก ครูก็ฝากขอบคุณ ‘ชาตรี’ ที่เป็นลูกศิษย์ครูคนหนึ่ง แล้วมาสร้างชื่อเสียงศิษย์ยอดธงให้ทั่วโลกได้รู้ได้เรียน และเงินรางวัลมากที่สุดในโลก”

“หลาย ๆ คนเขาก็อยากมาอยู่ ‘ศิษย์ยอดธง’ ทั้งนั้น เอ่ยชื่อมาก็รู้จัก เขาก็อยากมาอยู่ เพราะ ‘ศิษย์ยอดธง’ สิงคโปร์ ทาง​ ‘ชาตรี’ ไม่เคยเอาเปรียบลูกน้อง มีแต่ให้กับให้ ถ้าอยู่ในระเบียบของ ‘ชาตรี’” 

นอกจากเป็นผู้ก่อตั้ง Evolve MMA ซึ่งปัจจุบันได้รับการยกย่องว่าเป็นสถานที่ฝึกสอนศิลปะการต่อสู้ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียแล้ว ‘ชาตรี ศิษย์ยอดธง’ ยังได้ก่อตั้ง ‘วัน แชมเปียนชิพ’ องค์กรศิลปะการต่อสู้ระดับโลก รวมถึง ‘วัน ลุมพินี’ ซึ่งเป็นรายการศิลปะการต่อสู้ที่นักมวยไทยใฝ่ฝันอยากร่วมแข่งขันมากที่สุด ด้วยค่าตัวที่จ่ายสูงสุดในประเทศไทย รวมถึงโบนัส และโอกาสที่จะยกระดับอาชีพไปสู่การเป็นซูเปอร์สตาร์ระดับโลก 

ทั้งหมดนี้เป็นหนึ่งในจุดประสงค์ของ ‘ชาตรี’ ที่ตั้งใจจะสานต่อเจตนารมณ์ของ ‘ครูยอดธง’ ผู้ล่วงลับ เพื่อที่จะสืบทอด ส่งเสริม และสานต่อให้กีฬาประจำชาติมวยไทย และนักกีฬาไทยสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศชาติสืบไป

‘WAKO’ ร่อนจดหมายค้านแนวคิด ‘เสธ.ยอด’ ปมยกเลิก ‘คิกบอกซิง’ แล้วหนุน ‘มวยไทย’ แทน

(26 ก.พ. 67) จากการที่ พล.ต.อินทรัตน์ ยอดบางเตย หรือ ‘เสธ.ยอด’ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ในหัวข้อ“ต้องการให้ยกเลิกคิกบอกซิงและส่งเสริมมวยไทย ใครเห็นด้วยบ้าง” เมื่อวันที่ 17 ก.พ.ที่ผ่านมา โดยมีข้อความดังนี้

“มวยไทยเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับคนไทยมานาน อยากให้ช่วยกันส่งเสริมมวยไทย เพราะเป็นศิลปะการต่อสู้ที่เก่าแก่และทรงพลัง ที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่า 700 ปี และเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศไทย และได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นทั่วโลกในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา”

- มวยไทยเป็นกีฬาที่ส่งเสริมความแข็งแกร่ง ความคล่องตัว และความยืดหยุ่น

- มวยไทยเป็นกีฬาที่เหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัยและทุกระดับความสามารถ

- มวยไทยเป็นกีฬาที่สนุกและน่าตื่นเต้นที่จะดูและฝึกฝน

- มวยไทยเป็นกีฬาที่มีคุณค่าทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ที่สำคัญ

“Kickboxing เป็นกีฬาการต่อสู้ในลักษณะการปะทะ ที่มีรูปแบบการต่อยและเตะเป็นหลัก จัดการแข่งขันบนสังเวียนโดยมีอุปกรณ์ทั่วไป เช่น นวม ฟันยาง กางเกง ไม่ใส่รองเท้าเพื่อการเตะ การเล่นกีฬาคิกบอกซิง มีจุดประสงค์เพื่อการป้องกันตัวเอง เพื่อสมรรถภาพทางกาย หรือเพื่อการแข่งขัน โดย รูปแบบที่ถือว่าเป็นกีฬาคิกบอกซิงเช่น คาราเต้มวยไทย คิกบอกซิงญี่ปุ่น ซ่านโฉ่ว และซาวัต”

“โดยกีฬา Kickboxing ถือว่าเป็นคู่แข่งของมวยไทย จึงอยากให้รัฐบาลช่วยส่งเสริมมวยไทย และยกเลิก Kickboxing ในประเทศไทย เพื่อรักษาเสน่ห์ของมวยไทย ซึ่งถือมรดกทางวัฒนธรรมไทยที่สำคัญ ได้รับการยอมรับและเป็นที่นิยมทั้งในประเทศและต่างประเทศ ใครเห็นด้วยบ้าง?”

จนมีชาวเน็ตเข้าไปแสดงความคิดเห็นกันเป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกันคือ ไม่สนับสนุนแนวคิดดังกล่าวของ ‘เสธ.ยอด’ อาทิ

- “ใจแคบไปหน่อยครับ ทำใจกว้างๆ ยอมรับศิลปะการต่อสู้ของต่างชาติ ดูให้สนุกครับ”

- “มวยไทยเป็นศิลปะการต่อสู้เป็นมรดกของชาติ แต่คิกบอกซิงเป็นการต่อสู้ที่ไม่ต้องใช้ศิลปะแน่น การต่อสู้อย่างดุดันและเข้มแข็ง เขาควรอยู่คนละส่วนกันน่าดีกว่า”

- “ส่งเสริมศิลปะมวยไทยครับ… ส่วน KickBoxing ก็เป็นการต่อสู้ที่ได้รับความนิยมมาก… ต่างมีวิถีทางเติบโต และส่งเสริมกันและกันทางอ้อม”

ล่าสุดทาง ‘รอย เบเกอร์’ ประธานสหพันธ์คิกบอกซิงโลก (WAKO) ออกแถลงการณ์ไม่สบายใจกับกรณีดังกล่าว โดยมีข้อความว่า สมาคมคิกบอกซิงโลก (WAKO) เป็นสมาชิกคณะกรรมการโอลิมปิกสากล (IOC) เมื่อทบทวนการเรียกร้องของ พล.ต.อินทรัตน์ ยอดบางเตย แล้วจะเห็นได้ว่ามีความรู้เกี่ยวกับกีฬาคิกบอกซิง สาขาวิชาต่างๆ และความสัมพันธ์อันใกล้ชิดระหว่าง WAKO และสมาคมมวยไทยนานาชาติ (IFMA) ที่ IOC ให้การรับรองด้วยเช่นกัน

ต้องสังเกตว่า ‘มวยไทย’ ภายใต้ IFMA และ ‘คิกบอกซิง’ ภายใต้ WAKO ได้รับการพิจารณาบรรจุเข้าแข่งขันในมหกรรมกีฬาหลักอย่างเวิลด์เกมส์, เวิลด์คอมแบทเกมส์, เอเชียนอินดอร์ และมาร์เชียลอาร์ตเกมส์ อีกทั้ง WAKO และIFMA ยังเป็นสมาชิกของ Sport Accord คิกบอกซิงได้รับการยกย่องอย่างมากในประเทศไทย ในฐานะถิ่นกำเนิดของมวยไทย

ทาง WAKO ไม่เชื่อว่านายกรัฐมนตรีของประเทศไทยจะเห็นด้วยกับความคิดเห็นของ พล.ต.อินทรัตน์ ยอดบางเตย ในขณะที่ตนสามารถเจาะลึกความแตกต่างพื้นฐานระหว่างคิกบอกซิง และ มวยไทย เช่น เทคนิคในการต่อสู้ที่แตกต่างกันขอแนะนำว่า หากมีข้อสงสัยหรือต้องการศึกษาค้นคว้าข้อมูลใดๆ เกี่ยวกับคิกบอกซิงให้เข้าไปที่ www.wako.sport/

แถลงการณ์ของ WAKO ยังระบุต่อไปว่า กีฬาที่ IOC ให้การรับรองทุกชนิด มีสิทธิพื้นฐานในการเข้าร่วมการแข่งขันระดับโลกและระดับชาติ และในความเป็นจริงข้อเรียกร้องของ พล.ต.อินทรัตน์ ทำให้สังคมกีฬาเข้าใจประเทศไทยผิดด้วยความตั้งใจที่จะสร้างความไม่สามัคคี และความขัดแย้ง เรียกได้ว่าไม่เป็นมืออาชีพ WAKO อยากส่งสัญญาณไปยัง พล.ต.อินทรัตน์ ว่า ค่านิยมของกีฬาโอลิมปิกคือ การเล่นอย่างยุติธรรม ควรป้องกัน และสร้างนักกีฬาให้ปลอดจากสารกระตุ้น เพื่อชื่อเสียงของประเทศไทย


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top