Saturday, 7 June 2025
พีระพันธุ์_สาลีรัฐวิภาค

10 นโยบายเร่งด่วน ‘รัฐบาลแพทองธาร’ ทำทันที พบ!! ‘SPR’ ของ ‘พีระพันธุ์’ ถูกบรรจุวาระเร่งด่วน

(9 ก.ย. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันที่ 12-13 กันยายน 2567 รัฐบาลชุดใหม่ภายใต้การนำของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะนำคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง และเข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณเป็นที่เรียบร้อย แถลงนโยบายคณะรัฐมนตรีต่อที่ประชุมรัฐสภา โดยมีการเปิดเผยนโยบายเร่งด่วนที่รัฐบาลจะดำเนินการทันที ซึ่งมีการเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์รัฐสภา ดังนี้…

นโยบายที่ 1 รัฐบาลจะผลักดันให้เกิดการปรับโครงสร้างหนี้ทั้งระบบ โดยเฉพาะกลุ่มสินเชื่อบ้านและรถ ช่วยเหลือลูกหนี้ทั้งในระบบและนอกระบบ ภายใต้ปรัชญาที่จะไม่ขัดต่อวินัยทางการเงินและไม่ทำให้เกิดภาวะภัยทางจริยธรรม (Moral Hazard) ของผู้มีภาระหนี้สิน ควบคู่กับการเพิ่มความรู้ทางการเงินและส่งเสริมการออมในรูปแบบใหม่ ๆ ที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตของคนไทย โดยจะดำเนินนโยบายผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ธนาคารพาณิชย์ และบริษัทบริหารสินทรัพย์

นโยบายที่ 2 รัฐบาลจะดูแลและส่งเสริมพร้อมกับปกป้องผลประโยชน์ของผู้ประกอบการไทยโดยเฉพาะ SMEs จากการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมของคู่แข่งทางการค้าต่างชาติ โดยเฉพาะผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ และการแก้ไขปัญหาหนี้ของ SMEs เช่น การพักหนี้ การจัดทำ Matching Fund ซึ่งเป็นการลงทุนร่วมกันระหว่างรัฐบาลและเอกชน เพื่อประคับประคองให้กลับมาเป็นกลไกที่แข็งแรงในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ 

นโยบายที่ 3 รัฐบาลจะเร่งออกมาตรการเพื่อลดราคาค่าพลังงานและสาธารณูปโภค ปรับโครงสร้างราคาพลังงาน ควบคู่กับการเร่งรัดจัดทำปรับปรุงกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง เช่น ข้อกำหนดเกี่ยวกับการทำสัญญาซื้อขายพลังงานได้โดยตรง (Direct PPA) รวมทั้งการพัฒนาระบบสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อความมั่นคงทางยุทธศาสตร์ของประเทศ (Strategic Petroleum Reserve: SPR) สำรวจหาแหล่งพลังงานเพิ่มเติม และการเจรจาประเด็นพื้นที่ทับซ้อนกับกัมพูชา (OCA) เพื่อลดต้นทุนด้านพลังงาน พร้อมทั้งผลักดันการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนสาธารณะ (Mass Transit) และการกำหนดโครงสร้างอัตราค่าโดยสารร่วมในเขตกรุงเทพมหานคร เพื่อรองรับนโยบาย ‘ค่าโดยสารราคาเดียว’ ตลอดสาย เพื่อลดภาระค่าเดินทาง

นโยบายที่ 4 รัฐบาลจะสร้างรายได้ใหม่ของรัฐด้วยการนำเศรษฐกิจนอกระบบภาษี (Informal Economy) และเศรษฐกิจใต้ดิน (Underground Economy) เข้าสู่ระบบภาษี ที่คาดว่าจะมีมูลค่าสูงกว่าร้อยละ 50 ของ GDP เพื่อนำไปจัดสรรสวัสดิการด้านการศึกษา สาธารณสุข และสาธารณูปโภค รวมทั้งอุดหนุนค่าใช้จ่ายขั้นพื้นฐานของประชาชน พร้อมทั้งจะปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้ทันสมัย สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน

นโยบายที่ 5 รัฐบาลจะเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างความเชื่อมั่นและกระตุ้นให้เกิดการจับจ่ายใช้สอย ควบคู่กับการบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายและเพิ่มโอกาสในการประกอบอาชีพ โดยให้ความสำคัญกับกลุ่มเปราะบางเป็นลำดับแรก และผลักดันโครงการดิจิทัลวอลเล็ต (Digital Wallet) ซึ่งจะเป็นการวางรากฐานเศรษฐกิจดิจิทัล และพัฒนาศูนย์ข้อมูลภาครัฐ ที่มุ่งการพัฒนานโยบายที่ตอบสนองความต้องการของประชาชน พร้อมเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแหล่งทุนเพื่อการพัฒนาหมู่บ้านและชุมชน และการประกอบอาชีพ

นโยบายที่ 6 รัฐบาลจะยกระดับการทำเกษตรแบบดั้งเดิมให้เป็นเกษตรทันสมัย โดยใช้แนวคิด ‘ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้’ นำเทคโนโลยีด้านการเกษตร (Agri-Tech) เช่น เกษตรแม่นยำ (Precision Agriculture) และเทคโนโลยีด้านอาหาร (Food Tech) มาใช้พัฒนาอาชีพด้านการเกษตร ประมง ปศุสัตว์ และอาชีพที่เกี่ยวเนื่อง เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหาร รวมถึงการคว้าโอกาสในตลาดใหม่ ๆ รวมทั้งอาหารฮาลาล และฟื้นนโยบาย ‘ครัวไทยสู่ครัวโลก’ ซึ่งเป็นจุดเด่นของประเทศไทยเพื่อตอบสนองความต้องการของโลกด้านความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) และเร่งเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรและราคาพืชผลการเกษตร รวมทั้งเพื่อยกระดับรายได้ของเกษตรก

นโยบายที่ 7 รัฐบาลจะเร่งส่งเสริมการท่องเที่ยว ด้วยการสานต่อความสำเร็จในการปรับโครงสร้างการตรวจลงตราทั้งหมดของประเทศเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ขอวีซ่า เช่น กลุ่มผู้เข้าร่วมงานแสดงสินค้านานาชาติ (MICE) และกลุ่มชาวต่างชาติที่ทำงานทางไกล (Digital Nomad) ซึ่งสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวถึง 1.892 ล้านล้านบาท ในปี 2566 โดยส่งเสริมอุตสาหกรรมท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ เพิ่มแหล่งท่องเที่ยวที่มนุษย์สร้างขึ้น (Man-made Destinations) เช่น สวนน้ำ สวนสนุก ศูนย์การค้า สถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment Complex) นำคอนเสิร์ต เทศกาล และการแข่งขันกีฬาระดับโลกมาจัดในประเทศไทย รวมถึงส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองน่าเที่ยว เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวและเม็ดเงินมหาศาลที่จะกระจายลงสู่ผู้ประกอบการภายในประเทศได้อย่างรวดเร็ว 

นโยบายที่ 8 รัฐบาลจะแก้ปัญหายาเสพติดอย่างเด็ดขาดและครบวงจร เริ่มตั้งแต่การตัดต้นตอการผลิตและจำหน่ายด้วยการร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน การสกัดกั้น ควบคุมการลักลอบนำเข้าและตัดเส้นทางการลำเลียงยาเสพติด การปราบปรามและการยึดทรัพย์ผู้ค้าอย่างเด็ดขาด การค้นหาผู้เสพในชุมชนเพื่อเข้าสู่กระบวนการรักษา ตลอดจนการบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติด การฝึกอาชีพ การศึกษา และการฟื้นฟูสภาพทางสังคม รวมทั้งมีระบบติดตามดูแลช่วยเหลือเพื่อไม่ให้กลับไปสู่วงจรยาเสพติดอีก เพื่อคืนคนคุณภาพกลับสู่สังคม 

นโยบายที่ 9 รัฐบาลจะเร่งแก้ปัญหาอาชญากรรม อาชญากรรมออนไลน์/มิจฉาชีพ และอาชญากรรมข้ามชาติเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน โดยการเพิ่มศักยภาพและประสิทธิภาพในการป้องกันและปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และรับมือกับอาชญากรรมออนไลน์อย่างรวดเร็ว ช่วยเหลือเหยื่อของมิจฉาชีพอย่างทันท่วงที โดยผนึกกำลังกับประเทศเพื่อนบ้าน และสร้างกลไกการร่วมรับผิดชอบของบริษัทผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคมและธนาคารพาณิชย์

นโยบายที่ 10 รัฐบาลจะส่งเสริมพัฒนาศักยภาพ และจัดสวัสดิการสังคมให้สอดคล้องกับสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป สร้างความเท่าเทียมทางโอกาสและเศรษฐกิจ โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางที่สำคัญ ได้แก่ คนพิการ ผู้สูงอายุ กลุ่มชาติพันธุ์ บุคคลไร้รัฐไร้สัญชาติ เพื่อให้สามารถเข้าถึงสิทธิและสวัสดิการของรัฐได้โดยสะดวกตามที่กฎหมายบัญญัติ

📌เปลี่ยน ปรับ เปิด ในกฎหมายปฏิรูปโครงสร้างราคาพลังงาน ฉบับ 'พีระพันธุ์'

🔴เปลี่ยน ให้ราคาน้ำมันปรับได้เพียงเดือนละ 1 ครั้ง 

🔴ปรับ จากราคาน้ำมันที่อิงตลาดต่างประเทศเป็นระบบ Cost Plus แทนการอ้างอิงราคาน้ำมันต่างประเทศ 

🔴เปิด โอกาสให้ผู้ประกอบการขนส่ง ผู้ให้บริการสาธารณะกุศล รวมไปถึงสหกรณ์การเกษตร การประมง สามารถจัดหาน้ำมันมาใช้ได้เอง 

จับตา!! ร่างกฎหมายกำกับดูแลราคาน้ำมัน สกัดผู้ค้าปรับราคาตามอำเภอใจ การปฏิรูปโครงสร้างพลังงานไทยครั้งใหญ่เพื่อคนไทยจาก 'พีระพันธุ์'

(12 ก.ย. 67) เชื่อว่าหลาย ๆ คน คงจดจำโมเมนต์การเติมน้ำมันผิดวันได้เป็นอย่างดี ในวันที่เราเพิ่งเติมเต็มถัง กลับมีข่าวประกาศว่า “พรุ่งนี้น้ำมันลดราคา 30 สตางค์” หรือในวันที่เลิกงานช้าถึงบ้านดึก แล้วมาพบข่าวว่า “พรุ่งนี้น้ำมันขึ้น 60 สตางค์” 

แม้จะไม่ใช่มูลค่ามากมาย แต่ถ้าเลือกได้คงไม่มีใครอยากจ่ายแพงกว่าเดิมแน่ ๆ นี่ยังไม่รวมโมเมนต์หงุดหงิดกับราคาน้ำมันที่ถูกอ้างว่าขึ้นตามตลาดโลก แต่เวลาตลาดโลกลดลง ทำไมราคาน้ำมันในบ้านเรากลับยังเท่าเดิม จนทำให้คิดไปได้ว่า ผู้ค้าน้ำมันนึกอยากจะขึ้นก็ขึ้นใช่หรือไม่?

ประเด็นที่เกิดขึ้นนี้ จึงเป็นหนึ่งในภารกิจสำคัญที่นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ต้องการเร่งออกกฎหมายเพื่อมากำกับดูแลราคาน้ำมัน

แหล่งข่าวในกระทรวงพลังงาน มองว่า นับตั้งแต่ที่นายพีระพันธุ์ เข้ามาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานได้ 1 ปี เขาได้กลายเป็นรัฐมนตรีที่สร้างความแตกต่างไปจากอดีตรัฐมนตรีพลังงานในอดีตอย่างสิ้นเชิง 

แม้นายพีระพันธุ์จะมาจากสายกฎหมาย มิใช่ผู้บริหารระดับสูงจากบริษัทน้ำมัน และไม่มีประสบการณ์ด้านพลังงานมาก่อน แต่นายพีระพันธุ์สามารถใช้องค์ความรู้และความเชี่ยวชาญด้านกฎหมายเข้ามาจัดการแก้ไขปัญหาพลังงานที่หมักหมมมาตลอดหลายสิบปี โดยปัญหาราคาน้ำมันที่หมักหมมมาตลอดหลายสิบปี เป็นเพราะไม่มีใครสามารถรู้ราคาต้นทุนของน้ำมันเชื้อเพลิงมาก่อน ซึ่งเมื่อไม่รู้ต้นทุนที่แท้จริงก็ไม่สามารถกำหนดราคาที่เป็นธรรมได้ แต่กระทรวงพลังงานในยุคของนายพีระพันธุ์สามารถออกประกาศกระทรวงพลังงานที่กําหนดให้ผู้ค้าน้ำมันต้องแจ้งต้นทุน และมีผลบังคับใช้ในเดือนเมษายน 2567 ที่ผ่านมาแล้ว  

นอกจากประเทศไทยจะไม่เคยมีกฎหมายให้ผู้ค้าแจ้งต้นทุนราคาน้ำมันแล้ว เราก็ไม่เคยมีกฎหมายในการควบคุมการขึ้นลงของราคาน้ำมัน ซึ่งเรื่องนี้พี่น้องประชาชนเคยสงสัยกันมาตลอด สงสัยกันมานานแล้วว่า ทำไมกระทรวงพลังงานไม่ดูแลเลย นั่นเป็นเพราะกระทรวงพลังงานไม่มีกฎหมายอยู่ในมือจึงไม่มีอำนาจจะไปกำกับควบคุมการปรับราคาน้ำมันขึ้นหรือลงได้

ที่ผ่านมา ประเทศไทยมีแต่กฎหมายในการอนุญาตให้ค้าน้ำมัน แต่ไม่มีกฎหมายในการกํากับดูแลราคาน้ำมัน ซึ่งเป็นเรื่องเหลือเชื่อมาก ๆ เพราะขนาดราคาค่าไฟฟ้า ยังมีคณะกรรมการกํากับกิจการพลังงาน เป็นผู้กํากับดูแลการปรับขึ้นราคาที่ต้องสมเหตุผล ขนาดการกํากับดูแลกิจการสื่อก็ยังมี กสทช. แต่ราคาน้ำมันไม่มีการกำกับดูแล และเป็นอย่างนี้มาหลายสิบปีแล้ว จึงทำให้กระทรวงพลังงานในยุคของนายพีระพันธุ์ ลุกขึ้นมาจัดทำร่างกฎหมายเพื่อกํากับดูแลการประกอบธุรกิจการค้าน้ำมันจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว เพื่อให้กระทรวงมีอำนาจในการดูแลราคาน้ำมัน สกัดกั้นบรรดาผู้ค้าน้ำมันที่ปรับราคาขึ้นลงตามอำเภอใจ หรืออ้างขึ้นราคาตามตลาดโลก แต่เวลาราคาตลาดโลกลดกลับไม่ลดราคาตาม

แหล่งข่าวมองว่า ภารกิจที่ท้าทายในเรื่องน้ำมันนั้น ก็คือ การผลักดันกฎหมายเรื่องสํารองน้ำมันของประเทศ เพราะที่ผ่านมาหลายสิบปี ประเทศไทยไม่เคยมีการสํารองน้ำมันของประเทศเลย ที่อ้างอิงหรือระบุว่ามีนั้นมิใช่สํารองน้ำมันของประเทศ แต่เป็นสํารองน้ำมันของผู้ค้าน้ำมัน ซึ่งนั่นเท่ากับว่า เราปล่อยให้คนทั้งประเทศและเสถียรภาพทางพลังงานทั้งหมดตกอยู่ในมือของบรรดาผู้ค้าน้ำมัน 

ดังนั้นการจัดทำระบบสำรองน้ำมันทางยุทธศาสตร์เพื่อความมั่นคงของประเทศ หรือ SPR (Strategic Petroleum Reserve) จึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันให้อยู่ในระดับที่รัฐบาลสามารถควบคุมราคาได้เอง และหากสามารถผลักดันการสำรองน้ำมันของประเทศได้ นายพีระพันธุ์ก็ยังมีแผนที่จะนำน้ำมันสำรองมาดูแลแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันแทนการใช้กลไกของกองทุนน้ำมันฯ เพื่อให้ประเทศไทยมีน้ำมันสำรอง และให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเปลี่ยนน้ำมันสำรองนี้มาเป็นสินทรัพย์ของกองทุน เพื่อให้การบริหารจัดการราคาน้ำมันของกองทุนน้ำมันกลายเป็นการสร้างทรัพย์สินของประเทศให้เพิ่มพูน กองทุนน้ำมันจะไม่ต้องแบกหนี้สินจากการตรึงราคาน้ำมัน และมิใช่ภาระหนี้สินของประเทศอีกต่อไป

สำหรับเรื่องพลังงานไฟฟ้า นายพีระพันธุ์ ก็กำลังผลักดันกฎหมายกำกับดูแลการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคา เพื่อให้ประชาชนสามารถผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ได้ง่ายขึ้น เพราะการติดตั้งในปัจจุบันมีความยุ่งยากทั้งเรื่องขออนุญาตและการติดตั้ง ซึ่งสาเหตุก็มาจากการที่ไม่มีกฎหมาย ซึ่งพอไม่มีกฎหมาย บรรดากระทรวงและ หน่วยงานต่าง ๆ ก็บอกว่าเป็นอํานาจของหน่วยงานตนเองหมดเลย ประชาชนก็ต้องวิ่งไปขออนุญาตทุกที่ เสียเวลาเสียค่าใช้จ่าย และสร้างความยุ่งยากกว่าจะได้ติดตั้ง แต่หากกฎหมายของกระทรวงพลังงานเสร็จเรียบร้อย จะเปรียบเสมือนการปลดล็อกให้ประชาชนสามารถติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์บนหลังคา หรือในพื้นที่บ้านได้สะดวกและง่ายขึ้น

และนอกจากการออกกฎหมายให้เข้าถึงพลังงานแสงอาทิตย์ได้ง่ายขึ้นแล้ว กระทรวงพลังงานก็กำลังหาทางช่วยให้ประชาชนเข้าถึงการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในราคาที่ถูกลง ด้วยการพัฒนาระบบต่าง ๆ ให้มีคุณภาพสูงแต่มีราคาถูกลง ได้แก่ ระบบแบตเตอรี่สำรอง เพราะการใช้ไฟฟ้าในตอนกลางคืนที่ไม่มีแสงแดด จะต้องใช้แบตเตอรีเก็บสํารองที่มีราคาแพงมาก กระทรวงพลังงานจึงได้มีการตั้งคณะกรรมการโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อประชาชน ซึ่งมีการประชุมมาอย่างต่อเนื่อง โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการทดสอบแผงโซลาร์เซลล์ระบบอินเวอร์เตอร์ และระบบแบตเตอรี่สำรอง ซึ่งทั้งหมดต้องผ่านการตรวจสอบจากหน่วยงานผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้ได้ชุดผลิตและสำรองไฟฟ้าที่มีมาตรฐานและความปลอดภัย โดยโจทย์สำคัญที่สุดคือจะต้องทำให้มีราคาที่ประชาชนสามารถเข้าถึงได้

‘พีระพันธุ์’ ถก ‘เอกนัฏ’ ประสานความร่วมมือ ‘พลังงาน-อุตสาหกรรม’ แก้ช่องโหว่กฎหมายเอื้อโซลาร์ทั่วถึง-ดันนิคมฯ SME ช่วยรายย่อย

(17 ก.ย. 67) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยหลังการหารือกับนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน วานนี้ (16 ก.ย.67) ว่า รองนายกรัฐมนตรี ได้แสดงความยินดีในโอกาสเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมหารือการดำเนินงานของกระทรวงอุตสาหกรรม ทำอย่างไรให้ประชาชนได้รับบริการที่รวดเร็วมากยิ่งขึ้น ลดขั้นตอน สร้างความสะดวก คล่องตัวให้กับประชาชน 

ทั้งนี้ ภาคอุตสาหกรรมเป็นกำลังหลักที่สำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ซึ่งเป็นเศรษฐกิจฐานรากที่เราต้องส่งเสริม สร้างโอกาส ให้ความสะดวก เติมทุนหนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เพื่อยกระดับธุรกิจให้เติบโต สร้างงานสร้างรายได้ เพื่อให้สามารถเดินต่อและแข่งขันได้อย่างมั่นคง ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการสร้างความมั่นคงและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในภาพรวมอีกด้วย 

รัฐมนตรีฯ เอกนัฏ ยังกล่าวต่อว่า ยังมีแนวคิดที่จะทำนิคมอุตสาหกรรมเพื่อธุรกิจขนาดเล็กขึ้น (นิคมฯ SME) เพื่อช่วยลดต้นทุน สามารถส่งต่อวัตถุดิบหรือผลิตภัณฑ์ให้ผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรมได้ ทำให้การสนับสนุนเอสเอ็มอีทำได้สะดวกขึ้น รวมทั้งการเร่งแก้กฎระเบียบ กฎหมาย เพื่อให้สอดรับกับการดำเนินงานในปัจจุบัน ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญในการปฏิรูปอุตสาหกรรมไทย 

นอกจากนี้ กระทรวงอุตสาหกรรม ให้ความสำคัญในการผลักดันการใช้พลังงานทดแทนหรือพลังงานสีเขียว โดยได้มีการแก้กฎหมายในการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ชนิดติดตั้งบนหลังคา (Solar Rooftop) ไม่เข้าข่ายโรงงานที่ต้องขอรับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน จากเดิมที่กำหนดว่าหากมีกำลังผลิตเกินกว่า 1 เมกะวัตต์ เข้าข่ายเป็นโรงงานต้องขอรับใบอนุญาต โดยการแก้กฎหมายดังกล่าวเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลที่จะผลักดันให้ทุกภาคส่วนใช้ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพื่อยกระดับพลังงานไทยให้มีความเสถียร ยั่งยืน เป็นพลังงานสะอาด และราคาถูก ตอบสนองกติกาสากล ทั้งนี้ คาดว่าการปลดล็อกกฎหมายดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ภายในปี พ.ศ. 2567 

รมว.เอกนัฏ กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงอุตสาหกรรม จะดำเนินการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายให้ทันสมัย ตอบโจทย์การประกอบการและเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมของไทย โดยการปรับการบริหารจัดการกากอุตสาหกรรมทั้งระบบ ซึ่งจะมีการแก้ไขกฎหมายเพื่อส่งเสริมให้เกิดความยั่งยืน การเพิ่มโทษอาญา พร้อมวางแนวทางในการปรับกฎหมายและภารกิจเข้าสู่ภาครัฐดิจิทัล สร้าง Ease of Doing Business (ความยากง่ายในการประกอบธุรกิจ) โดยเฉพาะการปรับปรุงกฎหมายแก้ช่องโหว่ในการส่งเสริมการประกอบการที่ดี การมีระบบ Digital แบบ One Stop Service เพื่ออำนวยความสะดวกและลดขั้นตอนให้กับผู้ประกอบการ และการจัดตั้งกองทุนเพื่อการปฏิรูปอุตสาหกรรม ส่งเสริมให้เกิดการปรับเปลี่ยนอุตสาหกรรมสู่อนาคต สร้างความยั่งยืนและฟื้นฟูเยียวยาผลกระทบที่อาจเกิดจากการประกอบการ ให้สามารถทำได้อย่างรวดเร็ว ถือเป็นการเพิ่มเครื่องมือหนึ่งในการทำงานเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนา เพื่อการปฏิรูปอุตสาหกรรม

'วรพล เพชรขุ้ม' โพสต์ขอบคุณ 'พีระพันธุ์-บิ๊กเล็ก-ผู้ใหญ่ใจดี' ช่วยตามติดจนสมหวัง ได้ประดับยศร้อยตรีที่รอคอย

หากย้อนไปเมื่อปีก่อน กรณี พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ออกมากล่าวถึงประเด็นร้อน เรื่องการบรรจุและดำรงตำแหน่งของ ร.ต.อ.หญิง แคท อาทิติยา เบ็ญจะปัก อายุ 27 ปี ฝ่ายเลขานุการด้านประชาสัมพันธ์ สำนักงานเลขานุการตำรวจแห่งชาติ ที่ผ่านหลักสูตร กอส. สามารถเลื่อนตำแหน่งจากชั้นประทวน ถึง ร.ต.อ.หญิง โดยใช้เวลาแค่ 4 ปี โดยระบุว่า ร.ต.อ.หญิง ดังกล่าว ผ่านการรับสมัครและคัดเลือกบุคคลภายนอกผู้มีวุฒิ ใช้วิธีการคัดเลือกตามกฎ ก.ตร. อีกทั้งการเลื่อนยศเป็น ร.ต.อ.หญิง เป็นไปตามกฎ ก.ตร. ทุกประการนั้น

กลับกันในส่วนของอดีตฮีโร่กำปั้นทีมชาติไทย อย่าง ‘วรพจน์ เพชรขุ้ม’ เจ้าของเหรียญเงินจากโอลิมปิก ได้ออกมาพูดถึงกรณีดังกล่าว หลังจากตนได้เข้ารับราชการและทำชื่อเสียงให้กับประเทศชาติ แต่แทบไม่ค่อยได้รับโอกาสเลื่อนยศเลย โดยในส่วนของ วรพจน์ ที่ตามประวัติแล้ว จบถึงปริญญาโท แต่ 25 ปีเต็ม ๆ ยศยังอยู่แค่ จ.ส.ต. ทั้งที่น่าจะเข้าข่ายตามกฎ ก.ตร. แต่ก็ไม่ได้รับการเหลียวแลอะไร

อย่างไรก็ตาม ล่าสุดที่พรรครวมไทยสร้างชาติ (25 ก.ย. 67) นายวรพจน์ เพชรขุ้ม ก็ได้รับการประดับยศเป็น 'ร้อยตรี' เป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากที่ได้รับการติดตามและใส่ใจในเรื่องนี้จากผู้ใหญ่ใจดีของบ้านเมือง โดยงานนี้เจ้าตัวได้โพสต์ลงเฟซบุ๊กขอบคุณทุกท่านด้วยว่า...

"ขอขอบคุณท่านรองนายกรัฐมนตรี ท่านพีระพันธ์ุ สาลีรัฐวิภาค และท่านรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ (บิ๊กเล็ก) ได้ประดับยศให้, ท่านสามารถ มะลูลีม ที่ช่วยผลักดันให้ผมได้ติดดาว และ #เสธหิ หิมาลัย ผิวพรรณ ที่ช่วยติดตามเรื่อง ขอขอบคุณผู้หลักผู้ใหญ่ทุก ๆ ท่านที่เป็นกำลังใจให้ผมครับ"

ปัจจุบัน ร.ต.วรพจน์ เพชรขุ้ม เป็นครูฝึกกองการพลศึกษา โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า/ผู้หมวด วรพจน์ ฮีโร่เหรียญเงิน โอลิมปิก เอเธนส์ 2004 สอนวิชามวยไทยให้กับนักเรียนนายร้อย โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า เพื่อเป็นการสร้างแรงบันดาลใจในการเรียนการสอนศิลปะแม่ไม้มวยไทย

‘พีระพันธุ์’ ร่วมการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงาน ครั้งที่ 42 ชูแนวทาง ‘รื้อ ลด ปลด สร้าง’ หนุน ‘พลังงานไทย’ มั่นคง-ยั่งยืน

(26 ก.ย. 67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พร้อมด้วยนายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน คณะผู้บริหารกระทรวงพลังงาน และหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้อง ได้เข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงาน ครั้งที่ 42 และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง (The 42nd ASEAN Ministers on Energy Meeting and Associated Meetings: The 42nd AMEM) ณ เวียงจันทน์ สปป.ลาว 

โดยรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานได้ร่วมรับรองถ้อยแถลงร่วมทั้งหมด 3 ฉบับซึ่งระบุผลการดำเนินงานที่ผ่านมา และแนวทางการดำเนินงานในอนาคตของอาเซียนได้แก่ ถ้อยแถลงร่วมสำหรับการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงาน ครั้งที่ 42 ถ้อยแถลงร่วมสำหรับการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนบวกสามด้านพลังงาน (จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้) ครั้งที่ 21 และถ้อยแถลงร่วมสำหรับโครงการบูรณาการด้านไฟฟ้าระหว่าง สปป.ลาว ไทย มาเลเซีย และสิงคโปร์ ฉบับที่ 5

ในโอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้กล่าวแสดงวิสัยทัศน์เพื่อแสดงถึงแนวทางการพัฒนาพลังงานของไทยซึ่งสอดคล้องกับสถานการณ์พลังงานในอาเซียน โดยเน้นย้ำแนวทาง ‘รื้อ ลด ปลด สร้าง’ เพื่อปฏิรูประบบพลังงาน การผลักดันการสำรองน้ำมันและก๊าซเชิงยุทธศาสตร์ เพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงานและรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมัน และการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน ควบคู่กับการลดการใช้ถ่านหิน รวมทั้งกล่าวสนับสนุนให้อาเซียนร่วมมือกันอย่างเข้มแข็ง เพื่อการพัฒนาพลังงานอย่างยั่งยืนในภูมิภาค

ที่ประชุมได้รายงานถึงทิศทางอนาคตพลังงานของอาเซียน ที่คาดว่าจะมีความต้องการใช้พลังงานมากขึ้นประมาณสามเท่าเมื่อเทียบกับปี พ.ศ. 2565 โดยภาคอุตสาหกรรมและคมนาคมมีแนวโน้มใช้พลังงานมากที่สุด ในขณะที่ ภาคครัวเรือนจะเปลี่ยนผ่านจากการใช้พลังงานแบบดั้งเดิม สู่การใช้ LPG และไฟฟ้าในการประกอบอาหารมากขึ้นในปี พ.ศ. 2050 

ทั้งนี้ ที่ประชุมได้หารือถึงความก้าวหน้าใน 7 สาขาพลังงานของอาเซียน ได้แก่ ไฟฟ้า น้ำมันและก๊าซธรรมชาติ การจัดการถ่านหินและคาร์บอนประสิทธิภาพและการอนุรักษ์พลังงาน พลังงานหมุนเวียน นโยบายและแผนพลังงาน และพลังงานนิวเคลียร์เพื่อประชาชน และเครือข่ายความร่วมมือด้านการกำกับกิจการพลังงานโดยที่ประเทศไทยมีบทบาทนำในภูมิภาคในการดำเนินงานทางด้านพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานซึ่งได้มีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง และได้ทำหน้าที่เป็นประธานสาขาประสิทธิภาพและการอนุรักษ์พลังงานซึ่งมีการดำเนินการสำคัญที่รายงานในปี 2567 คือการผลักดันการเพิ่มประสิทธิภาพของการใช้พลังงานของอาเซียน ได้ร้อยละ 24.5

นอกจากนี้ ไทยได้มีการหารือทวิภาคีกับ สปป.ลาว และมาเลเซีย ถึงแนวทางการกระชับความร่วมมือด้านพลังงานไฟฟ้าและก๊าซธรรมชาติ และได้ร่วมแสดงความยินดีกับคณะผู้ประกอบการจากประเทศไทยที่เข้ารับรางวัล ASEAN Energy Awards ประจำปี 2567 ซึ่งในปีนี้ไทยเป็นผู้ได้รับรางวัลมากที่สุด ด้านการอนุรักษ์พลังงาน 9 รางวัล ด้านพลังงานหมุนเวียน 10 รางวัล และได้รับรางวัลบุคคลดีเด่นด้านการบริหารจัดการพลังงานอีก 5 รางวัลอีกด้วย

‘พีระพันธุ์’ ให้การต้อนรับพร้อมรายงานต่อ ‘องคมนตรี’ โครงการสนับสนุนการดำเนินงาน รพ.สมเด็จพระยุพราช

รองนายกฯ ‘พีระพันธุ์’ รายงานความก้าวหน้าโครงการสนับสนุนการดำเนินงานโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช เฉลิมพระเกียรติฯ ภายใต้การดำเนินงานของ ก.พลังงาน และ กฟผ. ต่อ องคมนตรี ในโอกาสเยี่ยมชมโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสายบุรี จ.ปัตตานี

(3 ต.ค.67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้กล่าวรายงานความก้าวหน้าของโครงการสนับสนุนการดำเนินงานโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 ภายใต้การดำเนินงานของกระทรวงพลังงานและการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ต่อ ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์เกษม วัฒนชัย องคมนตรี ประธานกรรมการมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช และ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา องคมนตรี รองประธานกรรมการมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช คนที่ 2 ในโอกาสเยี่ยมชมโครงการดังกล่าว ณ โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสายบุรี จังหวัดปัตตานี โดยมี นายเดชอิศม์ ขาวทอง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ดร.ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน นายแพทย์ศักดา อัลภาชน์ รองปลัด กระทรวงสาธารณสุข น.ส.อรพินทร์ เพชรทัต เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นางพาตีเมาะ สะดียามู ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ ผู้ว่าการ กฟผ. พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร หน่วยงานราชการ ในพื้นที่ ผู้ปฏิบัติงาน และประชาชนทั่วไป เข้าร่วมงาน

ทั้งนี้ นายพีระพันธุ์ได้รายงานถึงความก้าวหน้าของการดำเนินโครงการนี้ว่า โครงการสนับสนุนการดำเนินงานโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช จำนวน 21 แห่ง ทั่วประเทศ เป็น 1 ใน 10 โครงการสืบสานพระราชปณิธานองค์ราชัน ที่กระทรวงพลังงานและ กฟผ. จัดทำขึ้นในโอกาสเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 โดยเริ่มดำเนินการและส่งมอบโครงการฯ เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2567 ที่ผ่านมา

ปัจจุบัน การดำเนินโครงการได้มีความคืบหน้าภายใต้กิจกรรมส่งเสริมเพิ่มประสิทธิภาพพลังงานและคุณภาพอากาศ กิจกรรมส่งเสริมงานด้านสาธารณสุข และกิจกรรมส่งเสริมด้านทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม โดยมีการล้างเครื่องปรับอากาศไปแล้ว 3,357 เครื่อง มีการติดตั้งนวัตกรรมระบบหมุนเวียนและบำบัดอากาศ หรือ City Tree ครบจำนวน 21 เครื่อง มีการสนับสนุนเลนส์เทียมสำหรับผู้ป่วยต้อกระจกและผู้สูงอายุ ไปแล้ว 1,200 คู่  และออกหน่วยให้บริการแว่นตาในโรงพยาบาล ไปแล้ว 11 แห่ง จำนวน 16,500 แว่นตา รวมทั้งการปลูกต้นรวงผึ้งในโรงพยาบาล ซึ่งจากการดำเนินโครงการฯ คาดว่าจะสามารถลดการใช้พลังงานได้ 2.75 ล้านหน่วยต่อปี ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 1,420 ตันต่อปี รวมถึงก่อให้เกิดคุณภาพอากาศที่ดีภายในโรงพยาบาล และเพิ่มคุณภาพชีวิตด้านการมองเห็นให้กับผู้สูงอายุและผู้เข้ารับบริการด้วย

ในโอกาสนี้ องคมนตรีและคณะได้เยี่ยมชมหน่วยให้บริการตรวจวัดสายตา แก้ปัญหาสุขภาพตา และประกอบแว่นโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายแก่ประชาชน  ร่วมปลูกต้นรวงผึ้ง พรรณไม้ประจำสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมเยี่ยมชมการสาธิตล้างเครื่องปรับอากาศ และ นวัตกรรม City Tree ซึ่งนำไปติดตั้งที่โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช 21 แห่ง เป็นนวัตกรรมลดฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 และกำจัดเชื้อโรค ไวรัส แบคทีเรีย สามารถกรองฝุ่นได้ถึง 2,000 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง ช่วยสร้างอากาศให้มีความสดชื่นเหมือนอยู่ในธรรมชาติ อีกทั้งเป็นที่พักผ่อนให้แก่ผู้ใช้บริการโรงพยาบาล

นอกจากนี้ องคมนตรียังได้มอบถุงของขวัญพระราชทานแก่ผู้ป่วย ประกอบด้วยเครื่องบริโภค จำนวน 100 ชุด และมอบโล่เกียรติยศให้แก่กระทรวงพลังงานในการสนับสนุนการดำเนินงานแก่โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเป็นผู้รับมอบ

ก.พลังงานเผย ปริมาณน้ำมันในสต็อกพอใช้นานกว่า 60 วัน ใช้กองทุนน้ำมันลดความผันผวนราคาน้ำมัน พร้อมหากจำเป็นต้องใช้แผนฉุกเฉิน

(7 ต.ค. 67) กระทรวงพลังงานเผยปริมาณสำรองน้ำมันในสต็อกยังมีเพียงพอใช้นานกว่า 60 วัน ขอคนไทยไม่ต้องกังวล กระทรวงพลังงานจะเฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เตรียมพร้อมหากจำเป็นต้องใช้แผนบริหารจัดการรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินด้านพลังงาน เพื่อช่วยลดผลกระทบในทุกมิติหากสถานการณ์รุนแรงมากขึ้น 

นายวีรพัฒน์ เกียรติเฟื่องฟู รองปลัดกระทรวงพลังงาน ในฐานะโฆษกกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า สถานการณ์สงครามในตะวันออกกลางที่ขยายวงกว้าง โดยเฉพาะสถานการณ์สู้รบระหว่างประเทศอิสราเอลและอิหร่าน ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อการผลิตและส่งออกน้ำมันจากพื้นที่ตะวันออกกลาง ทางกระทรวงพลังงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินและเตรียมความพร้อมหากสถานการณ์ทวีความรุนแรงมากขึ้น 

โดยขณะนี้ในด้านปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงยังมีเพียงพอใช้ในประเทศอย่างแน่นอน ปัจจุบัน มีน้ำมันดิบคงเหลือประมาณ 3,365 ล้านลิตร เพียงพอต่อความต้องการใช้ได้ 26 วัน น้ำมันดิบที่อยู่ระหว่างขนส่ง 2,055 ล้านลิตร เพียงพอต่อความต้องการใช้ 16 วัน และน้ำมันสำเร็จรูป 2,414 ล้านลิตร เพียงพอต่อความต้องการใช้ 20 วัน รวมจำนวนมีปริมาณน้ำมันคงเหลือและปริมาณสำรองที่สามารถใช้ได้ 62 วัน 

นอกจากนี้ ในด้านราคา กระทรวงพลังงานจะบริหารดูแลราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศไม่ให้เกิดความผันผวนมากนัก โดยใช้กลไกของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นหลัก ซึ่งสถานภาพกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเริ่มมีสภาพคล่องมากขึ้น มีการติดลบลดลง จึงขอให้ประชาชนอย่าวิตกต่อสถานการณ์ และสามารถมั่นใจได้ว่าประเทศไทยจะไม่ขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงและราคาก็จะรักษาเสถียรภาพไม่ให้ผันผวนมากนัก

“จากข่าวสงครามในตะวันออกกลางที่เริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้น และสร้างความกังวลให้นานาประเทศ จนส่งผลให้ราคาพลังงานโดยเฉพาะราคาน้ำมันดิบผันผวนและปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างเช่นราคาน้ำมันดิบ WTI ณ วันที่ 30 กันยายน 2567 อยู่ที่ 68 ดอลล่าร์ต่อบาร์เรล ในขณะที่วันนี้ (7 ตุลาคม 2567) หลังสถานการณ์เริ่มรุนแรงขึ้น ราคาน้ำมันดิบอยู่ที่ 74 ดอลล่าร์ต่อบาร์เรล หรือเพิ่มขึ้นกว่า 8% ใน 1 สัปดาห์ 

กระทรวงพลังงานได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ซึ่งในด้านความมั่นคง กระทรวงพลังงานมีปริมาณน้ำมันสำรองสำหรับใช้ภายในประเทศมากกว่า 60 วัน ส่วนในด้านราคา กระทรวงพลังงานก็จะติดตามและใช้กลไกที่มีเพื่อให้เกิดผลกระทบด้านราคากับประชาชนให้น้อยที่สุด 

อย่างไรก็ดี ก่อนหน้านี้กระทรวงพลังงานได้มีการซ้อมแผนการบริหารจัดการรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินด้านพลังงาน ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน ได้แก่ กรมธุรกิจพลังงาน กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน สำนักงานคณะกรรมการกํากับกิจการพลังงาน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อวางมาตรการต่างๆ และบรรเทาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากสถานการณ์วิกฤตพลังงาน อาทิ การปรับเปลี่ยนการใช้เชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า การบริหารจัดหาก๊าซในประเทศให้ได้มากที่สุด  การลดความต้องการใช้ เป็นต้น 

ขอให้ประชาชนอย่าวิตกกังวล และขอให้ติดตามข่าวสารที่เป็นทางการของทางราชการ กระทรวงพลังงานจะบริหารจัดการอย่างเต็มความสามารถให้ประชาชนได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์สงครามที่เกิดขึ้นให้น้อยที่สุด” นายวีรพัฒน์ กล่าว

‘รองนายกฯพีระพันธุ์’ ผลักดันนวัตกรรมด้านพลังงาน หนุนใช้ ‘ยางพารา – พลาสติก’ สกัดเป็น ‘เบนซิน – ดีเซล’

นวัตกรรมด้านเชื้อเพลิงพลังงานเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมาต่อเนื่องยาวนานหลายสิบปี หลังจากโลกต้องประสบกับวิกฤตการณ์น้ำมันเชื้อเพลิงในทศวรรษ 1970 ในบ้านเราเอง ด้วยพระวิสัยทัศน์และพระปรีชาญาณของล้นเกล้าในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงมีพระราชดำริให้ทำการศึกษาพลังงานทดแทน การศึกษาวิจัยเกี่ยวกับเชื้อเพลิงชีวภาพโดยโครงการส่วนพระองค์จิตรลดา เริ่มต้นในปี พ.ศ. 2528 จากพระราชดำริว่า ในอนาคตอาจเกิดการขาดแคลนน้ำมัน จึงมีพระราชประสงค์ให้นำอ้อยมาผลิตแอลกอฮอล์เพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิง 

โครงการฯ ได้ทำการศึกษาวิจัยการผลิตและกลั่นแอลกอฮอล์จากพืชผลทางเกษตรหลายอย่าง เช่น ข้าวโพด ข้าวฟ่าง มันสำปะหลัง อ้อย มีการปรับปรุงการกลั่นเรื่อยมา จนสามารถผลิตแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ 95%หรือที่เรียกว่า 'เอทานอล' ไปกลั่นแยกน้ำ และใช้เป็นวัตถุดิบผสมน้ำมันเบนซินผลิตแก๊สโซฮอล์ โดยศึกษาทดลองสูตรการผสม และผลิตน้ำมันแก๊สโซฮอล์ใช้กับรถยนต์ทุกคันของโครงการส่วนพระองค์ฯ

ต่อมา บริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) ได้นำผลการศึกษาของโครงการส่วนพระองค์จิตรลดามาต่อยอด ผลิตน้ำมันแก๊สโซฮอล์ เริ่มจำหน่ายในเชิงพาณิชย์ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2545 ปัจจุบันประชาชนชาวไทยได้มีน้ำมันแก๊สโซฮอล์ที่ผสม 'เอทานอล' ซึ่งสามารถผลิตได้เองในประเทศ ช่วยลดปริมาณการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงได้เป็นจำนวนมาก

การค้นคว้า ศึกษา วิจัย และพัฒนา นวัตกรรมด้านพลังงานในส่วนของหน่วยราชการ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา และประชาชนทั่วไปนั้นมีมาโดยตลอดเช่นกัน หากแต่ผลการศึกษาส่วนใหญ่มักจะถูกนำ ‘ขึ้นหิ้ง’ เก็บเอาไว้อันเนื่องมาจาก ต้นทุนสูง มีความยุ่งยาก และไม่คุ้มค่า ฯลฯ ทำให้นวัตกรรมด้านพลังงานเหล่านั้นไม่ถูกนำมาพัฒนาต่อยอดเพื่อให้เกิดประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ ทั้ง ๆ ที่ปัญหาด้านพลังงานยังคงเป็นปัญหาใหญ่ไม่ใช่เฉพาะประเทศไทย แต่เป็นของทั้งโลกใบนี้ด้วย

จากวิธีคิด วิสัยทัศน์ ของรัฐบาลที่ผ่านมา ยังคงจมปลักอยู่กับการใช้เชื้อเพลิงพลังงานแบบเก่า ซึ่งต้องนำเข้าเกือบทั้งหมด ผลการศึกษานวัตกรรมด้านพลังงานส่วนใหญ่ที่ปรากฏเหมือนกับไฟไหม้ฟางเป็นส่วนใหญ่ เพราะเป็นข่าวเพียงไม่นานแล้วก็เงียบหายไป แต่สำหรับ ‘รองพีร์’ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานคนปัจจุบัน ได้ให้ความสำคัญและ ติดตามผลการดำเนินงานนวัตกรรมด้านพลังงานซึ่งจะนำมาซึ่งประโยชน์โภคผลอันมากมายและมีความยั่งยืนมาสู้พี่น้องประชาชนคนไทย อยู่เสมอ

ดังเช่น นวัตกรรมด้านพลังงาน ‘ครูน้อย’ นายทวีชัย ไกรดวง (เอ็ม) อายุ 32 ปี ชาวบ้านทุ่งสวรรค์ หมู่ 13 ตำบลท่าศิลา อำเภอส่องดาว จังหวัดสกลนคร ซึ่งได้ทำการพัฒนานวัตกรรมด้านพลังงานขึ้นมาจำนวน 3 ชิ้นงาน ได้แก่ เครื่องกลั่นยางพารา และกลั่นพลาสติกเป็นน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซลได้ในเครื่องเดียว ระบบสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์จำนวน 2 กิโลวัตต์ แบบระบบหมุนตามแสงอาทิตย์อัตโนมัติ และรถไถนาเดินตามบังคับวิทยุควบคุมระยะไกล ผ่านระบบ GPS 

‘ครูน้อย’ ได้เล่าว่า ตนเรียนมาทางด้านนวัตกรรมคอมพิวเตอร์ อีกทั้งครอบครัวประกอบอาชีพทำไร่นาและสวนยาง แต่ตนเล็งเห็นว่า สามารถต่อยอดการเพิ่มมูลค่ายางให้สูงขึ้นด้วยการแปรรูป ประดิษฐ์เครื่องกลั่นยางพาราและกลั่นพลาสติกเป็นน้ำมันขนาดเล็ก และปัจจุบันสามารถกลั่นเป็นน้ำมันเบนซินและดีเซลได้ในเครื่องเดียว โดยใช้งบประมาณ 370,000 บาท สามารถกลั่นได้ 40 ลิตร/ชั่วโมง โดยได้ทดสอบการใช้น้ำมันกับเครื่องสูบน้ำรถไถนา และเครื่องมือทำการเกษตรอื่น ๆ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการทดสอบมาตรฐานเครื่องและประสิทธิภาพของน้ำมันด้วยตนเอง โดยส่วนตัว อยากให้ภาครัฐเข้ามาสนับสนุน เพื่อให้เป็นนวัตกรรมของคนไทย ขยายผล สร้างประโยชน์ให้เกิดขึ้นในชุมชนและจังหวัดอื่น ๆ ต่อไป

เมื่อ ‘รองพีร์’ นำคณะลงพื้นที่ตรวจราชการ ที่ จังหวัดสกลนคร ได้เดินทางไปยังบ้านของ ‘ครูน้อย’ เพื่อเยี่ยมชมผลงานนวัตกรรมด้านพลังงานดังกล่าว ซึ่ง ‘ครูน้อย’ ได้นำเสนอแบบการสร้างหอกลั่นน้ำมันที่สามารถผลิตน้ำมันจากยางพาราและขยะพลาสติกได้ถึงชั่วโมงละ 500 ลิตร และอยากจะให้เป็นเครื่องมืออุปกรณ์ประจำแต่ละอำเภอเพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านน้ำมันให้แก่ประชาชนและเกษตรกร ซึ่ง ‘รองพีร์’ ได้ให้การสนับสนุนและมอบให้ดร.ณอคุณ สิทธิพงษ์ ประธานที่ปรึกษารัฐมนตรีพลังงานเป็นผู้สนับสนุนการพัฒนาในเรื่องความปลอดภัยของอุปกรณ์ และคุณภาพน้ำมันให้ดียิ่งขึ้น พร้อมยังมอบหมายให้นางสาวอรพินทร์ เพชรทัต ที่ปรึกษารัฐมนตรีพลังงานทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานให้เกิดความคล่องตัวและความรวดเร็วในการดำเนินการ

นอกจากนี้ ‘รองพีร์’ ได้มอบให้ ‘ครูน้อย’ ไปคิดประดิษฐ์แผงโซลาร์เซลล์และแบตเตอรี่ที่จะผลิตขึ้นเองในประเทศ เพื่อทำให้ราคาระบบผลิตไฟฟ้าโซลาร์เซลล์มีราคาถูกลงอีกด้วย โดย ‘รองพีร์’ เห็นว่าคนไทยจำนวนมากที่มีความสามารถด้านนวัตกรรม แต่ขาดโอกาสและการสนับสนุน หากคนเหล่านี้ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐอย่างจริงจัง จะสามารถมีสิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆ ที่เป็นประโยชน์และเป็นฝีมือของคนไทยที่น่าภาคภูมิใจ และสามารถช่วยเหลือประชาชนได้ทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นชาวนา เกษตรกร ชาวประมง หรือประชาชนทั่วไปให้มีทางเลือกในการลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน โดย ‘รองพีร์’ ได้กล่าวชื่นชมนวัตกรรมด้านพลังงานของ ‘ครูน้อย’ พร้อมให้การสนับสนุนต่อยอดขยายผลนวัตกรรมไปยังชุมชนอื่น ตลอดจน การจัดทำและทดสอบมาตรฐานเครื่องและผลิตภัณฑ์ เพื่อให้มีประสิทธิภาพ นำไปพัฒนาและต่อยอดด้านอื่น ๆ ได้ รวมไปถึงผลงานนวัตกรรม ระบบสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์แบบระบบหมุนตามแสงอัตโนมัติ เพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนสำหรับพื้นที่ห่างไกลที่ไม่มีไฟฟ้าใช้หรือไม่ทั่วถึงต่อไป

ความสนใจ ใส่ใจ และสนับสนุนผลงานนวัตกรรมด้านพลังงานเช่นนี้ของ ‘รองพีร์’ ในฐานะรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน จะมีส่วนอย่างสำคัญที่จะทำให้นวัตกรชาวไทยมีความหวังและเกิดพลังใจในการพัฒนานวัตกรรมในด้านต่าง ๆ เพื่อสร้างประโยชน์สูงสุดทั้งในด้านเทคโนโลยีและเศรษฐกิจที่มีความมั่นคงและยั่งยืนให้กับประเทศชาติและพี่น้องประชาชนคนไทยโดยรวมทั้งหมดทั้งมวลตลอดไป

‘พีระพันธุ์’ ย้อนรำลึกเหตุการณ์ วันที่คนไทย ร้องไห้กันทั้งประเทศ ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ของพ่อหลวงรัชกาลที่ 9

(13 ต.ค. 67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้โพสต์ข้อความ ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ของในหลวงรัชกาลที่ 9 พ่อหลวงของคนไทยทั้งประเทศ โดยมีใจความว่า ... 

พระองค์เป็นยิ่งกว่าพระมหากษัตริย์ เป็นยิ่งกว่าพ่อของแผ่นดิน

สำหรับผม พระองค์เป็นเทพที่จุติมาเพื่อชาวไทยและประเทศไทยโดยแท้ 
ผมเห็นการปฏิบัติพระราชกรณียกิจของพระองค์มาตั้งแต่จำความได้จนเติบใหญ่ ไม่เคยเห็นพระองค์หยุดคิดถึงประชาชนแม้ในยามประชวร 
พระองค์ไม่เคยหยุดปฏิบัติพระราชกรณียกิจเพื่อประชาชนของพระองค์เลย

ผมยังจำเหตุการณ์เมื่อ 8 ปีที่แล้วได้ดี ความรู้สึกนั้น ในวันที่พระองค์จากพวกเราไป

ผมรู้สึกใจคอไม่ดี ตั้งแต่คืนวันอาทิตย์ที่ 9 ตุลาคม เมื่อผมได้ทราบข่าวพระอาการของพระเจ้าอยู่หัว ผมรู้สึกใจหายวูบ เป็นอาการในลักษณะเดียวกันกับที่ผมเคยรู้สึกเมื่อครั้งที่ผมได้สูญเสียคุณแม่

ในขณะนั้น ผมได้แต่ภาวนาให้พระองค์ท่านทรงหายพระประชวรโดยเร็ว 

โดยในวันที่ 12 ตุลาคม ผมรีบเดินทางไปลงนามถวายพระพร ซึ่งในเย็นวันนั้น ก็มี
แถลงการณ์สำนักพระราชวังบอกว่าพระอาการ ยังไม่ดีขี้น และมีอาการติดเชื้อในกระแสพระโลหิตมากขึ้น ผมทนไม่ได้น้ำตาไหล และรีบเดินทางไปยังโรงพยาบาลศิริราชอีกครั้ง เพราะอยากอยู่ให้ใกล้พระองค์ท่านให้มากที่สุด

เมื่อไปถึงก็พบว่ามีพสกนิกรของพระองค์จำนวนมากต่างเดินทางมาร่วมสวดมนต์ภาวนาให้ทรงหายจากอาการพระประชวร สายตาทุกคู่มุ่งตรงไปที่ชั้น 16 ของอาคารเฉลิมพระเกียรติที่พระองค์ประทับอยู่ด้วยความหวังอย่างเปี่ยมล้นหัวใจ

และในวันแห่งความสูญเสียครั้งใหญ่ของคนไทยทั้งประเทศ วันนี้เมื่อ 8 ปีที่แล้ว ผมจำได้อย่างแม่นยำ มีข่าวที่ไม่สู้ดีแพร่ออกมาตั้งแต่ช่วงสาย และเมื่อถึงตอนบ่ายข่าวลือยิ่งโหมสะพัด

ผมไม่รอช้า รีบเดินทางไปโรงพยาบาลศิริราช ทันที!! 

เพื่อขอให้ได้อยู่ใกล้พระองค์ท่านให้มากที่สุด รถติดมาก เส้นทางเดิมที่ควรใช้เวลาไม่เกินชั่วโมง กลายเป็นสามชั่วโมง ก็ยังไม่เข้าใกล้ที่หมายเลย

จนกระทั่งรถของผมได้มาถึงบริเวณลานพระรูปทรงม้า หน้ากองทัพภาคที่ ๑ เหมือนสายฟ้าฟาดลงกลางใจ ‘สำนักพระราชวังออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการ’ ว่าเจ้าชีวิตของชาวไทยทั้งชาติ ได้ทรง ‘เสด็จสวรรคต’ แล้ว 

ผมรู้สึกตกใจมาก ทุกข์ใจ เศร้าใจ สมองตื้อ ทำอะไรไม่ถูก นั่งน้ำตาไหลพรากอยู่ในรถยนต์

นาทีนั้น ผมนึกแต่เพียงอย่างเดียวว่า จะต้องไปอยู่ใกล้พระองค์ท่านให้ได้ เมื่อรถเคลื่อนมาถึงทางแยกไปโรงพยาบาลศิริราช บนสะพานพระราม 8 ตำรวจกั้นถนน ผมก็ต้องให้รถวิ่งอ้อมไปทางพุทธมลฑล แล้วหาทางกลับรถวิ่งมาใหม่ทางถนนข้างล่าง ถึงแยกถนนจรัญสนิทวงศ์รถก็ติดมาก ผมจึงตัดสินใจลงจากรถ แล้วเดินเท้ามุ่งหน้าไปหาพระองค์ท่าน ที่โรงพยาบาลศิริราช 

เดินไปน้ำตาไหลไป 

เมื่อถึงโรงพยาบาลศิริราช ผมก็ได้เข้าไปที่ลานหน้าพระบรมรูปสมเด็จพระบิดา เพื่อกราบบังคมถึงพระองค์ท่านด้วยน้ำตานองหน้า

ไม่เพียงผมเท่านั้น ประชาชนอยู่เป็นจำนวนมากก็เช่นเดียวกัน ร้องไห้กันไม่หยุด เสียงตะโกนว่า “เรารักในหลวง....ทรงพระเจริญ...เราจะอยู่รอปาฏิหาริย์” ดังขึ้นเป็นระยะๆ 
แต่ที่บาดใจที่สุดก็ตรงที่ประชาชนร่วมกันร้องตะโกนว่า “เอาในหลวงของเราคืนมา” 

ผมรู้สึก ‘เหมือนใจจะขาด’ เคว้งคว้างล่องลอย เหมือนทุกสิ่งทุกอย่างดับสูญไปหมด นึกถึงแต่คำว่า ‘พระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้น’ ที่พระองค์ท่านมีต่อประเทศชาติและประชาชน 

พระองค์จากพวกเราไปแล้ว เหมือนโลกหยุดหมุน เสียงร่ำไห้ดังทั่วแผ่นดิน น้ำตาผมไหลออกมาเองแบบหยุดไม่ได้

แม้เหตุการณ์ในวันนั้น จะผ่านมาถึง 8 ปีแล้ว แต่มันก็ยังคงฝังลึกในความทรงจำอย่างไม่รู้ตัว แค่นึกถึงก็น้ำตาไหลอีกแล้ว…

ในเช้าวันนี้ (13 ต.ค. 67) ผมได้ไปวางพวงมาลา เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่อุทยานเฉลิมพระเกียรติฯ ร่วมกับคณะรัฐมนตรี 

สำหรับผม ไม่ใช่เพียงการปฏิบัติหน้าที่ แต่เป็นการรำลึกถึงพระผู้มีพระคุณใหญ่หลวงกับปวงชนชาวไทยและประเทศไทยมายาวนานกว่า 70 ปี

ผมรักและเทิดทูนพระองค์มากจริงๆ มากที่สุดในชีวิต

ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ

พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top