Monday, 7 April 2025
พรรคประชาชน

'นักเขียนซีไรต์' ชำแหละฐานเสียงส้ม เชื่อ!! สุดท้ายก็คงแพ้ทั้งขบวนการ

(3 ก.ย. 67) วิมล ไทรนิ่มนวล นักเขียนรางวัลซีไรต์ โพสต์ข้อความหัวข้อ ‘ฐานเสียงฟองสบู่’ มีรายละเอียดดังนี้

ฐานเสียงของพรรคส้มนั้นส่วนมากเป็นคนหนุ่มสาวและวัยรุ่น ชอบสิ่งแปลกใหม่ เป็นกระแสอย่างเดียวกับกระแสแฟชั่น ชอบวาทะเท่ ๆ แม้บางทีก็ทึ่ม ชอบคนสวยคนหล่อ ชอบนโยบายที่จะทำให้ตัวเองสุขสบาย อย่างรัฐสวัสดิการ การแจกเงินตามนโยบายต่าง ๆ

ส่วนคนวัยกลางคน…ส่วนหนึ่งเคยเป็นสลิ่ม อีกส่วนไม่เคยใส่ใจการเมืองจริงจังมาก่อน แต่ส่วนมากเคยเป็นเสื้อแดง ตอนยังไม่มีเสื้อส้มก็แห่แหนรวมหัวกันอย่างบ้าคลั่ง ‘สู้เพื่อทักษิณ’ เพราะท่าน ‘ดี เก่ง ฉลาด ทันโลก ต่อสู้เพื่อคนยากคนจน’ ใครแตะไม่ได้

พอมีเสื้อส้มก็ไหลไปปลาบปลื้มกับเสื้อส้ม ‘พิธาเก่ง หล่อ ฉลาด ทันสมัย’ ‘พรรคส้มสู้เพื่อประชาธิปไตย เพื่อความเป็นธรรม และความเท่าเทียม’ ใครแตะไม่ได้อีกแหละ ไม่รู้ว่าลืมทักษิณที่เคยอวยหรือไม่?

ส่วนท่านผู้อาวุโส ที่อายุ 70 + – แทบทั้งหมดก็เคยเชียร์เสื้อแดงมาก่อน ตอนนี้ย้ายมาเชียร์เสื้อส้ม เพราะสดใหม่กระแสแรงกว่า พวกผู้อาวุโสเหล่านี้คือพวกฝ่ายซ้าย ที่ส่วนมากออกจากป่ามาได้เพราะในหลวงรัชกาลที่ 9 แต่ลัทธิคอมมิวนิสต์ยังฝังหัวอยู่ และตัวเองก็ชราเกินกว่าจะทำอะไรได้แล้ว นอกจากเชียร์ฝ่ายล้มเจ้า หลายปีมานี้จึงเห็นพวกท่านชู 3 นิ้ว คอยลุ้น คอยแก้ต่างให้ม็อบส้ม คอยให้กำลังใจพรรคส้มชนะทุกเวทีประกวด

มีคนบอกว่าผู้อาวุโสเหล่านี้น่าจะปล่อยวางได้แล้ว แต่ผมเข้าใจพวกท่านว่าความยึดมั่นถือมั่นต่ออุดมการณ์ยังแรงกล้าอยู่

พวกท่านเก็บกดมานาน ไม่เคยถึง ‘จุดกระสันสุดยอดของอุดมการณ์’ จึงอยากจะถึงจุดกระสันสุดยอดสักครั้ง ก่อนตายคาอุดมการณ์ไปอย่างเดียวดาย

สุดท้ายก็แพ้ทั้งขบวนการ!

'เชฟชุมพล' วอน!! 'พรรคประชาชน' โปรดพูดความจริงในสภาฯ อย่าบิดเบือนข้อมูลงบประมาณ Soft Power อาหารไทย

(5 ก.ย. 67) ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 วงเงิน 3.75 ล้านล้านบาท ปรับลด 7,824,398,500 บาท วาระที่ 2 เป็นวันที่ 3 มีช่วงหนึ่งที่ นายณัฐพล โตวิจักษณ์ชัยกุล สส.เชียงใหม่ พรรคประชาชน (ปชน.) ได้อภิปรายตั้งข้อสังเกตขอตัดงบประมาณโครงการซอฟต์พาวเวอร์ของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม จำนวน 6 โครงการ วงเงิน 762,386,000 บาท ที่แบ่งออกเป็นโครงการด้านอาหาร 4 โครงการ และแฟชัน 2 โครงการ สามารถรีดไขมัน เพื่อประหยัดงบประมาณได้

อย่างไรก็ตาม ประเด็นในการตั้งข้อสงสัยที่ดูจะไม่ถูกต้องสักเท่าไร คือ โครงการ 1 หมู่บ้าน 1 เชฟ วงเงิน 468 ล้านบาท ที่ สส.คนดังกล่าว อ้างว่า มีค่าจัดเลี้ยงอาหาร อาหารว่างและเครื่องดื่ม 289 ล้านบาท หรือ 60% ของโครงการนั้น...

ด้าน เชฟชุมพล แจ้งไพร ประธานอนุกรรมการในโครงการดังกล่าว ในฐานะเชฟดีกรีมิชลินสตาร์ 2 ดาว และเป็นหนึ่งในทีมทำอาหารเลี้ยงผู้นำเอเปค 2022 ก็ได้ออกมาตอบโต้ผ่านจากประเทศแคนาดาทันที ว่า...

เมื่อสักครู่ได้ดูการถ่ายทอดการประชุมงบประมาณ ผมมีความไม่สบายใจหนึ่งนะครับ เพราะว่ามี สส.ท่านหนึ่งจากพรรคฝ่ายค้าน ที่อภิปรายโครงการ 'หนึ่งหมู่บ้าน หนึ่งเชฟ' ซอฟต์พาวเวอร์อาหารไทยงบ 468 บาท โดยนำข้อมูลที่มีความผิดพลาดมาอภิปราย ซึ่งอาจจะกลายเป็นความเข้าใจผิดที่สร้างความเสียหายต่อคนทำงานได้

ในฐานะที่ผมเป็นประธานอนุกรรมการ แล้วก็มีอนุกรรมการฯ ที่ทํางานด้วยกันร่วม 30 ท่าน จึงอยากขอชี้แจงผ่านจากประเทศแคนาดา เพราะว่าบางอย่างที่มันไม่ถูกนำเสนอเป็นเรื่องไม่จริง ไม่ควร และจะทําให้ผู้ที่ต้องการทํางานจริง ๆ เสียกําลังใจ

ทั้งนี้ ผมอยากจะให้มาดูข้อเท็จจริงนะครับว่า ค่าใช้จ่ายจริงในส่วนของปี 68 ที่เราขอจากคณะอนุกรรมการฯ และทางกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรมนั้น ที่ขอไปกว่า 500 ล้านบาทนั้น ได้ถูกปรับลดจากสํานักงบประมาณไปกว่า 120 ล้านบาทแล้ว จนเหลือ 468 ล้านบาท ซึ่งตัวเลขนี้เป็นเรื่องจริง

แต่ผมอยากให้ดูตรงรายละเอียดค่าใช้จ่าย 289 ล้านบาท ที่ สส.คนดังกล่าวอ้างว่า เป็นค่าอาหารจัดเลี้ยง ค่าอาหารว่างและเครื่องดื่ม ... ตรงนี้ไม่ใช่เลยนะครับ!!

ท่านไปนำค่าใช้จ่ายนี้มาจากที่ไหน?

เพราะความเป็นจริง ตัวเลข 289 ล้านบาทนี้ เป็นงบที่ใช้ไปกับบุคลากร 17,000 คน ตกคนละ 15,000 บาท ซึ่งรายการนี้จะต้องจ่ายไปที่มหาวิทยาลัย / วิทยาลัยต่าง ๆ แล้วก็อาชีวะทั่วประเทศ ที่ทํางานร่วมกับคณะกรรมการซอฟต์พาวเวอร์ ซึ่งจะมีหน้าที่ไปทำการอบรมพี่น้องประชาชนทั้งหมดทั่วประเทศครับ

ย้ำว่าเป็นการให้งบแก่สถาบันต่าง ๆ ไม่ว่าอาชีวะหรือมหาวิทยาลัย สังกัดอว. ที่เราจับมือเป็นพันธมิตรร่วมกันทั้งประเทศ ร่ววม 160 แห่ง โดยใครที่รับผิดชอบในการจะเทรนด์ให้กับพี่น้องประชาชน ... งบประมาณตรงนี้ ก็จะต้องจ่ายเป็นค่าหัวไปให้กับสถาบันต่าง ๆ ฉะนั้น ไม่ใช่ค่าอาหารจัดเลี้ยงและค่าอาหารว่างเครื่องดื่ม ตามที่ สส.ฝ่ายค้านคนดังกล่าวนำเสนอ!!

การนําเสนอแบบนี้มันสร้างความสับสนและการเสียหาย ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องที่น่าจะควรระวัง เพราะความตั้งใจของโครงการนี้ เกิดขึ้นเพื่อต้องการให้พี่น้องนั้นได้มีโอกาสเพิ่มรายได้ สร้างโอกาสให้กับชีวิทุก ๆ คน และเอาจริง ๆ งบรวมก้อนนี้ก็เหลือ 420 กว่าล้านไม่ใช่ 468 ล้านแล้วด้วย เพราะสํานักงานสํานักงบประมาณปรับลดลงไปอีก จึงอยากรบกวนและขอร้องให้เอาเรื่องจริงมาพูดครับ

'หมอพรรคส้ม' ห้าว!! ลุกตัดงบกลาโหม ปมขยายโรงงานยาทหาร ด้าน 'จิรายุ' สวน!! เพราะบางยาให้เอกชนผลิตไม่ได้ ต้องควบคุมไง

เมื่อวานนี้ (5 ก.ย. 67) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกกระทรวงกลาโหมฝ่ายการเมือง กล่าวถึงกรณีที่ น.ส.กัลยพัชร รจิตโรจน์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน อภิปรายตัดงบกระทรวงกลาโหม ในส่วนของการสร้างโรงงานเภสัชกรรมทหารแห่งใหม่ 938 ล้านบาท โดยยกข้อมูลที่สับสน ไม่เป็นความจริง นำพาสังคม ไปสู่ความเข้าใจผิดในหลายประเด็น เช่น การตั้งคำถามเกี่ยวกับยาซูโดเอฟีดรีน (pseudoephedrine) หรือยาที่เรียกกันว่า ยาเสียตัว โดยกล่าวว่า ‘หลัง ๆ ยาชนิดนี้ไม่มีขายเท่าไรเพราะเป็นสารตั้งต้นยาบ้า ยาไอซ์‘ พร้อมนำมาอภิปรายผูกติดกับข้อมูลที่ว่า ‘ไทยส่งออกยาไอซ์สูงสุดอันดับ 1’ นับเป็นการกล่าวร้ายประเทศไทยบ้านเกิดของคนไทยอย่างน่าตกใจ จงใจนำข้อมูลที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกัน มาอภิปรายเชื่อมโยงกันให้ประชาชนเข้าใจผิด จนทำให้คนไทยทั้งประเทศไทยเสียหาย

จึงขอเรียกร้องให้ สส.คนดังกล่าว อภิปรายด้วย ‘ความทรงภูมิใหม่’ เพื่อชี้แจงความจริงต่อสังคมว่า ผู้ที่สามารถจำหน่ายซูโดอีฟีดรีนสูตรเดี่ยวนั้น ความจริงคือผลิตได้เฉพาะผู้รับอนุญาตให้มีไว้ในครอบครองหรือใช้ประโยชน์ฯ กระทรวง ทบวง กรม สภากาชาดไทย องค์การเภสัชกรรม หรือ ‘สถาบันอื่นของทางราชการตามที่รัฐมนตรีประกาศในราชกิจจานุเบกษา’ เท่านั้น ดังนั้น โรงงานเภสัชกรรมทหาร เป็นหน่วยงานในกระทรวงกลาโหม จำเป็นต้องผลิตทางการแพทย์ตามกฎหมาย และยานี้ห้ามขายในร้านขายยาทั่วไปตามกฎหมายอยู่แล้ว

นายจิรายุ กล่าวอีกว่า การอภิปรายในสภา โดยไม่มีฐานข้อมูลรองรับที่ว่า ‘แทบทั้งโลกเลิกผลิตซูโดอีฟีดรีนแล้ว ไปใช้ยาตัวอื่น’ ไม่เป็นความจริง ณ วันนี้ยังมีการผลิตยาดังกล่าวเพื่อใช้ในการรักษาพยาบาล เป็นยาที่มีประสิทธิภาพในการรักษาสูง ซึ่งเรื่องนี้ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ ‘หน่วยงานใดเป็นผู้ผลิต’ แต่ที่ผ่านมาคือ ‘การควบคุมการใช้ยา‘ โดยปัจจุบัน ยาชนิดนี้ถูกจัดให้อยู่กลุ่มวัตถุออกฤทธิ์ประเภท 2 (วจ.2) การใช้ต้องขออนุญาตทุกครั้งและจำกัดการใช้ ในทางการแพทย์ ยาทั้ง 2 ตัว เป็นยาที่อยู่ในกลุ่มที่ใช้รักษาภาวะอาการเดียวกัน ทั้งหมดจึงเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วย

ส่วนวาทกรรมที่ว่า ‘การผลิตยาไม่ใช่ภารกิจของกองทัพ’ และ ‘กองทัพทำงานที่ไม่ใช่ธุระ’ พร้อมไล่เรียงเนื้อหาเพื่อเข้าสู่ปลายทางการตัดงบสร้างโรงงานเภสัชกรรมทหารแห่งใหม่ที่จังหวัดราชบุรีนั้น ข้อเท็จจริงคือ โรงงานเภสัชกรรมทหาร เกิดขึ้น พ.ศ. 2484 - 2488 ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ในช่วงที่การผลิตยาเพื่อช่วยเหลือประชาชน และ ทหารในภาวะสงคราม จนปัจจุบันยังอยู่ในสังกัดปลัดกระทรวงกลาโหม ผลิตยาเพื่อใช้ในกองทัพ และที่ผ่านมาโรงงานเภสัชกรรมทหาร ช่วย GPO องค์การเภสัชกรรม ภายใต้กำกับของกระทรวงสาธารณสุข ผลิตยาใช้ในยามวิกฤต เช่น ช่วงสถานการณ์น้ำท่วมปี 2554 ที่องค์การเภสัชกรรม ผลิตยาไม่ทัน เช่นกัน

ส่วนการอภิปรายเชิงประชดประชันว่า ‘ทหารเป็นหวัดคัดจมูกกันเยอะขนาดนั้นเลยเหรอคะ’ ทั้งที่โรงงานเภสัชกรรมทหาร ผลิตยาป้อนเข้าโรงพยาบาลอื่นๆ เพื่อให้ประชาชนทั่วไปใช้ยานี้ได้ เนื่องจากเป็นยาที่ควบคุมการผลิต และจำเป็นที่จะต้องควบคุมการผลิต และส่งให้กับโรงพยาบาลเพื่อรักษาคนไข้ การยกเอาฤทธิ์ของยาที่ถูกจำกัดการใช้ และนำเหตุผลว่ายานั้นเป็นสารตั้งต้นของยาเสพติดขึ้นมาอภิปราย เพื่อ ‘สร้างความกลัว’ ให้กับสังคม ทำให้เข้าใจผิดคิดว่า ยานี้ให้โทษมากกว่าให้คุณ เป็นสิ่งที่ผู้ที่เป็นแพทย์ ไม่สมควรทำ และพรรคการเมืองเองก็ไม่สมควรที่จะเผยแพร่ข้อมูลด้านเดียวให้ประชาชนเข้าใจผิด

ขณะที่ผู้ใช้เฟซบุ๊ก 'Passakorn Ton Kongsakorn' ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า... "ห้ามทหารผลิตยา แต่สนับสนุนสุราเสรี ไม่เลวจริงทำไม่ได้นะครับ"

‘ปราชญ์ สามสี’ ฟาดใส่!! ฝ่ายค้าน กรณีอภิปรายเบี้ยเลี้ยงทหาร ในสภาผู้แทนราษฎร ชี้!! เป็นเรื่องเล็กภายในองค์กร ควรใช้เวลาพิจารณานโยบาย ที่กระทบต่อคนทั้งประเทศ

(7 ก.ย.67)  เพจเฟซบุ๊ก 'ปราชญ์ สามสี' ได้โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กระบุว่า...

อันนี้จริง....การนำเรื่องอาหารและเบี้ยเลี้ยงของทหารเกณฑ์มาอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎรเป็นการแสดงออกถึงความไร้ประสิทธิภาพอย่างร้ายแรงของการใช้เวลาในสภา การที่ผู้แทนเลือกใช้เวลามาพูดถึงปัญหาภายในกรมทหารที่ควรได้รับการแก้ไขในระดับองค์กรทหารเอง มันสะท้อนถึงการละเลยหน้าที่ที่แท้จริงของสภา ซึ่งควรจะเป็นเวทีสำหรับการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลและการพิจารณานโยบายที่ส่งผลกระทบต่อคนทั้งประเทศ

นี่คือการกระทำที่แสดงถึงการใช้สภาอย่างเสียเปล่าและไม่เกิดประโยชน์ สภาไม่ใช่ที่สำหรับการมาวิพากษ์เรื่องเล็กน้อยหรือปัญหาภายในองค์กรเล็ก ๆ การนำประเด็นเช่นเรื่องอาหารและเบี้ยเลี้ยงของทหารเกณฑ์มาเป็นหัวข้ออภิปราย แทนที่จะพูดถึงนโยบายที่มีผลกระทบต่อประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม มันทำให้สภากลายเป็นเวทีสำหรับปัญหาที่ไม่สมควรได้รับการอภิปรายในระดับชาติ

หากผู้แทนยังคงดึงประเด็นเล็กน้อยเช่นนี้มาถกเถียงในสภา นั่นไม่เพียงแต่เป็นการทำให้เวลาของสภาหมดเปลืองไปอย่างไม่คุ้มค่า แต่ยังเป็นการหลีกเลี่ยงการตรวจสอบที่แท้จริง ซึ่งควรจะมุ่งเน้นไปที่การทำงานของรัฐบาล ความอ่อนแอในการจัดลำดับความสำคัญของผู้แทนเหล่านี้ จะเป็นบ่อนทำลายสภาและเสื่อมเสียต่อประชาธิปไตยอย่างเห็นได้ชัด

โดยมีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็นดังนี้

- มันแสดงให้เห็นว่าผู้แทนพวกนี้ พุ่งเป้าดิสเครดิตหน่วยงานด้านความมั่นคงอย่างทหารเท่านั้น มันรับงานขององค์กรต่างประเทศมาเล่นงานเฉพาะหน่วยงานดูจากการกระทำหลาย ๆ ครั้งของพวกเขา ทำให้เราคิดแบบนี้ได้

จะอภิปรายเรื่องราคาถาดหลุมที่แพงเกินจริง ก็อภิปรายไป แล้วก็ไปตามจับตามเล่นงานถ้ามีการทุจริตเรื่องอาหารไม่ได้คุณภาพ ถ้ามีการทุจริตก็ไปควานหาคนทำผิดมาให้ได้แบบที่ฝ่ายค้านควรทำ

แต่การแตกประเด็นยิบย่อยเรื่องคุณภาพอาหาร ออกไปในโลกโซเชียลแบบนี้ ที่ไม่รู้จริงเท็จแค่ไหนมันคือการดิสเครดิตเพราะไม่เคยจัดการกับคนทุจริตได้ อย่างโรงเรียนที่ทุจริตเรื่องค่าอาหารเด็กก็ยังตามจับคนทุจริตอย่างผอ.โรงเรียนได้

- เป้าหมายของมันก็คือ เปิดประเด็น ‘ทำลาย’ ไม่ว่าเรื่องเล็กหรือใหญ่ แล้ว ‘สื่อ’ จะนำไปขยายต่อเอง มันไม่ได้สนใจอะไรมากไปกว่านี้ เหมาะ หรือไม่เหมาะ ถูกต้อง หรือไม่ถูกต้อง ไม่สน! เพราะเรื่องมันไปอยู่ในพื้นที่สื่อสามกีบหมดแล้ว พวกกองเชียร์สมองตื้น ๆ ก็พร้อมจะเชื่อและด่า สร้างเป็นกระแสต่อไป

- เอาจริงนะ ที่ทำไปนั่นน่ะ ก็แค่ไม่อยากถูกประชาชนมองว่า ทำงานไม่สมกับตำแหน่งที่เป็น เพราะไม่ยอมไปตรวจสอบรัฐบาล ทั้ง ๆ ที่มีเรื่องให้ต้องตรวจสอบเยอะแยะ แต่จะมานั่งตากแอร์เย็น ๆ ในสภาเฉย ๆ ก็กลัวถูกตำหนิจากประชาชน จึงหาเรื่องไร้สาระมาอภิปรายเพื่อจะบอกประชาชนว่า นี่ไงทำงานแล้วนะ

-สภาทุกวันนี้เหมือนโรงถ่ายละครกันไปทุกวันผมเลยไม่เห็นประโยชน์ที่จะดู

- มีอะไร ที่เกี่ยวกับ ปชช. บ้างหรือยัง สองวันกับเรื่องของทหารเนี่ย อะไรนักหนา

- ข้าว สส. มื้อละพัน..... ทำงานคุ้มค่าข้าวมาก

- เล่นเรื่องถาดหลุม บอกว่าแพงไป พอไปรู้ราคาต้นทุนจริง ก็วนไปเล่นว่าใช้ถาดใหญ่และดีขนาดนี้ทำไม พอพลาธิการทหารบกชี้แจง ก็ไปเล่นว่าอาหารไม่มีคุณภาพต่ออีก.....ฝ่ายค้านคุณภาพตรงไหนเนี่ย...!!!

นอกจากนี้ เพจ 'ปราชญ์ สามสี' ยังได้โพสต์เฟซบุ๊กอีกว่า พรรคประชาชน (ปชน.) วิจารณ์กองทัพจัดซื้อถาดหลุมทหาร ราคาห้าร้อยทำเป็นบ่น แต่กลับขายเข็มหมุดปักอก ชิ้นละพัน ทำเงียบ สส.เล่นบท จเร เสียเวลาสภามาก ๆ

‘ดร.อานนท์’ เย้ย!! ‘ด้อมส้ม’ เลือกคนโง่ ได้ ‘ผู้แทน’ ที่อ่านตัวเลขไม่เป็น ชี้!! คนที่เลือกมาโง่ยิ่งกว่า เป็นประชาชนชาวไทย ที่มีปัญหาด้านคุณภาพ

(7 ก.ย.67) ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำคณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า ... 

ผมรู้สึกว่า คุณภาพประชาชนชาวไทย มีปัญหาอย่างยิ่ง เพราะเลือกสส. พรรคประชาชนมามากที่สุด

แต่สส. พรรคประชาชน แค่อ่านตัวเลข ยังอ่านผิดอ่านถูก ไม่ว่าจะเป็นธิษะณา ชุณหะวัณ และ บุญเลิศ แสงพันธุ์ ถ้าดูคนไม่ออกเลือกคนอ่านตัวเลข อ่านหนังสือไม่แตกฉานขนาดนี้ แปลได้ชัดเจนว่า คนเลือกมา โง่ยิ่งกว่า สส.ที่พวกเขาเลือกมาเสียอีก

ทั้งธิษะณา ชุณหะวัณ และ บุญเลิศ แสงพันธุ์ จากพรรคส้ม อ่านตัวเลข ยังไม่แตกฉานทั้งคู่ จะตลกไปถึงไหน ทำแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ นะ ประชาชนชาวไทยเสียงข้างมาก เลือก สส. ไว้แสดงตลกให้ดู คลายเครียด

เปิดเหตุผล!! ทำไมเลือกตั้งท้องถิ่น 'ส้ม' มักปราชัย สวนทางเลือกตั้งใหญ่ เพราะท้องถิ่นต้องวัดกันตัวต่อตัว ส่วนเวทีใหญ่พรรคอื่นตัดแต้มกันเอง

(9 ก.ย. 67) นายนิธิพัฒน์ พันธุ์ธุมจินดา นักธุรกิจ ฟาร์มปลาสวยงาม โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ‘Nitipat Bhandhumachinda’ ระบุว่า...

มีเพื่อนถามผมว่าทำไม พรรคสีส้มถึงชนะการเลือกตั้งใหญ่ แต่เลือกตั้งย่อย ๆ ที่ไหน ก็มักจะไม่ชนะ

ผมก็เล่าให้ฟังว่า สมัยผมเรียนที่เกาหลีนั้น มีการเลือกตั้งผู้นำประเทศครั้งหนึ่ง ซึ่งเบอร์ ๑ นั้น เป็นผู้สืบทอดอำนาจจากผู้นำคนเก่าที่ใครต่อใครก็ไม่ชอบหน้า

เรียกว่างานนี้ดูยังไง ๆ ฝ่ายค้านที่มีตัวหลัก ๆ สองคนนั้น ส่งคนไหนมาแข่งก็ชนะแบเบอร์แน่ ๆ

แต่ก็ไม่รู้ฝ่ายค้านสองคนนั้นเอาความมั่นใจมาจากไหน ที่ดันแย่งกันลงแข่งทั้งคู่ เป็นผู้สมัคร เบอร์ ๒ กับเบอร์ ๓ โดยต่างก็มั่นใจว่าตนจะได้ชัยชนะแน่นอน

ผลก็ออกมาอย่างที่ผมคาดเอาไว้ คือคะแนนเบอร์ ๒ กับเบอร์ ๓ นั้น ถ้าเอามารวมกันก็ชนะเบอร์ ๑ แบบไม่ต้องลุ้น

แต่ผลสรุปแล้ว เบอร์ ๑ ได้เป็นผู้นำประเทศ เพราะคะแนนแยกของทั้งเบอร์ ๒ และเบอร์ ๓ ที่ดันแข่งกันเองนั้น สู้คะแนนที่ไม่ต้องแข่งกับใครของเบอร์ ๑ ไม่ได้ทั้งคู่

การเลือกตั้งใหญ่ครั้งที่ผ่านมาของประเทศเรานั้น ขณะที่พรรคการเมืองทั้งหลาย ยังเล่นการเมืองแบบเดิม ๆ ส่งผู้แข่งขันไปแย่งคะแนนกันเหมือนเดิม ๆ และ เห็นหน้าก็รู้ว่า คงไม่มีเกมการเมืองใหม่ ๆ อะไรให้เล่นเลยนั้น

พรรคสีส้มเขามีฐานเสียงหลักของเขาที่อยากลองพรรคการเมืองใหม่ที่ไม่เหมือนการเมืองเดิม ๆ ไม่เคยต้องแย่งกับใคร และก็ไม่ได้มีพรรคไหนลงไปเเข่งขันแย่งฐานเสียงดังกล่าวนั้นตรง ๆ เลย

นั้นก็คือเหตุผลหลัก ๆ ที่ พรรคสีส้มได้คะแนนมากกกว่าพรรคการเมืองอื่น ๆ ที่ มัวแต่ตัดคะแนนกันเอง จนไปไม่เป็นกันสักพรรค

ส่วนในการแข่งขันการเมืองย่อยไม่ว่าจะเลือกตั้งซ่อม เลือกตั้ง อบจ. อะไรต่อมิอะไรนั้น

พรรคส้มมักเจอคู่แข่งแบบตัวต่อตัว ซึ่งคะแนนของส้มนั้น จริง ๆ ก็ไม่ใช่เสียงส่วนใหญ่ เมื่อไม่มีการตัดคะแนนกันให้วุ่นวาย

พรรคส้มก็มักจะปราชัยด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้

ผมไม่ได้เชี่ยวทางการเมืองขนาดจะสอนใครว่า  พรรคการเมืองควรจะรวมพลังกันในการเลือกตั้งใหญ่ หรือ ควรจะมีพรรคการเมืองใหม่มาเบียดแย่งคะแนนจากฐานเสียงของพรรคส้ม

แต่ถ้าถามว่า ทำไม พรรคน้อยใหญ่ไม่ชนะพรรคส้มในการเลือกตั้งใหญ่คราวที่แล้ว

ก็จะหาเหตุผลได้ประมาณนี้นะครับ

'ปิยบุตร' อบรม 'พรรคส้ม' ทำการเมืองแบบโดดเดี่ยวตัวเอง หากปี 2570 ได้เสียงไม่ถึงครึ่งสภาอีก จะเป็นรัฐบาลได้อย่างไร

(10 ก.ย. 67) ขณะนี้กลุ่มชาวเน็ต ได้แชร์คลิปความเห็นทางการเมืองของ นายปิยบุตร แสงกนกกุล อดีตสส.บัญชีรายชื่อ อดีตเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ที่พูดในช่องสื่อออนไลน์แห่งหนึ่ง ถึงการเมืองในระบบรัฐสภา และวิพากษ์วิจารณ์พรรคก้าวไกล (ปัจจุบันชื่อพรรคประชาชน) กรณีการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งมีความยาว 2 นาที

โดยในคลิปมีเนื้อหาดังนี้ "...เราก็ต้องยอมรับ นี่ผมเตือน เดี๋ยวคนจะบอกว่าผมพูดเหมือนนางแบก ต้องยืนยันว่าระบบรัฐสภาทั่วโลก ไม่ได้หมายความว่าพรรคที่ได้ที่ 1 จะต้องเป็นรัฐบาลเสมอไป มันอยู่ที่คุณตั้งได้หรือตั้งไม่ได้ อย่างนายกฯ นิวซีแลนด์ ผมเข้าใจว่าเขาก็ไม่ได้ที่ 1 แต่เขาตั้งได้ เพราะระบบรัฐสภา คือการรวมเสียงข้างมากในสภา…

“ก้าวไกลมีความชอบธรรมสูงที่สุดในการตั้งรัฐบาลก่อน เพราะคุณได้ที่ 1 ตามธรรมเนียม แต่พอตั้งไม่ได้ หาไม่ได้ แล้วอีกข้างหนึ่งหาได้ แม้จะมี สว.พิเรนทร์โผล่มาด้วย ก็ว่ากันไป แต่สุดท้ายก็ต้องเข้าสู่ระบบรัฐสภา ต้องยึดว่า พรรคที่ได้ที่ 1 อาจจะไม่ได้เป็นรัฐบาลก็ได้ ถ้าคุณรวมเสียงไม่ได้…

“ดังนั้น เวลาเราบอกว่า ก้าวไกลชนะแล้วไม่ได้เป็นรัฐบาล ก็มันรวมไม่ได้ แม้จะมีรัฐธรรมนูญที่พิการ เพราะมี สว. แต่ก็เหมือนกัน ผมพูดถึงการเลือกตั้ง 2570 ที่ไม่มี สว. มาโหวตนายกฯ แล้ว เกิดวันนั้นก้าวไกล (ปัจจุบันชื่อพรรคประชาชน) ได้ 200 กว่า แล้วคุณตั้งไม่ได้อีกจะทำยังไง…

“คุณมั่นใจได้ยังไงว่าครั้งหน้าคุณจะเกิน 250 ถ้ามันไม่ถึง คุณจะเดินการเมืองเพื่อมัดตัวเองตั้งแต่วันนี้ทำไม พูดในมุมของคนที่ชอบการปฏิวัติ ไม่ชอบระบบพ่อปกครองลูกในระบบรัฐสภา แต่ชวนให้คิดว่า ถ้าคุณอยากเป็นรัฐบาลภายใต้รัฐธรรมนูญแบบนี้ โครงสร้างแบบนี้ ที่คุณยังไปไม่ถึงครึ่งหนึ่ง คุณจะทำยังไง…

“ถ้าคุณล่อตั้งแต่วันนี้ ผมนึกไม่ออกเลยว่างวดหน้าจะเป็นยังไง จะคุยกับใครได้ มันคือเล่นการเมืองแบบโดดเดี่ยวตัวเองออกมา ถ้าคุณเล่นแบบนี้ คุณต้องเลิกคิดเรื่องนี้แล้ว พูดง่าย ๆ คุณเป็นรบทุกสนาม เพื่อการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ แต่ถ้ายังเชื่อว่า 2570 กำลังยังไม่พอ เราได้แค่นี้ ต้องคิดอีกมุมหนึ่ง ถ้าอยากเป็นรัฐบาล"

'สส.พรรคส้ม-แม่สาย' โพสต์สร้างความเกลียดชังเจ้าหน้าที่ ทั้งที่รู้ความยากจากกระแสน้ำแรง จนท.ต้องเตรียมการให้พร้อม

(11 ก.ย. 67) จากกรณี 'หญิง-จุฬาลักษณ์ ขันสุธรรม' สส.เชียงราย พรรคประชาชน ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า "น้ำท่วมแม่สายอ่วม พี่น้องติดอยู่ในอาคาร เจ้าหน้าที่พร้อมช่วย แต่รอคำสั่งจากผู้บัญชาการ จะสั่งการกี่โมง?"

ทั้ง ๆ ที่ต่อมา สส.คนดังกล่าว ก็ยังกล่าวเองว่า "การทำงานครั้งนี้ค่อนข้างยากลำบาก เนื่องจากกระแสน้ำแรง การเข้าถึงจุดต่าง ๆ ต้องถูกประเมินจากทางเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญอย่างเข้มงวด มีระบบเชือกอย่างเดียวที่สามารถทำงานได้ หลายหน่วยงานกำลังระดมกำลังและยุทโธปกรณ์เข้าพื้นที่กันอยู่"

จากโพสต์ดังกล่าวทำให้เกิดเสียงวิจารณ์ในโลกโซเชียล โดยส่วนใหญ่มองว่า ทำไม สส.ไม่ลงพื้นที่เข้าไปช่วยเองเสียเลย ถ้าเจ้าหน้าที่เขารอคำสั่งไม่รู้เมื่อไหร่ สส.ของประชาชนก็ลงไปช่วยเองเลย ไม่ใช่ลงไปมองตาตอนน้ำลดแล้วบอกไปร่วมทุกข์ร่วมสุข

ด้านเพจ 'วันนี้พรรคส้มโกหกอะไร' ก็ได้โพสต์วิจารณ์เช่นกัน โดยระบุว่า...

#ทุกคนคะ สส.พรรคส้ม โพสต์ทำร้ายน้ำใจคนทำงานมาก ทุกหน่วยงานมีผู้บัญชาเหตุการณ์ในพื้นที่ที่ทำงานได้ทันที ไม่ต้องรอคำสั่งจากส่วนกลาง เพราะเป็นเหตุฉุกเฉิน 

เจ้าหน้าที่ช่วยเหลือเขาถูกฝึกมา ต้องคำนึงถึงความปลอดภัย ต้องประเมินสถานการณ์ กระแสน้ำ การลำเลียงคน ไม่ใช่เข้าพื้นที่มั่ว

สส. พรรคส้ม แต่ละคน ยิ่งกว่าลุ้นกล่องสุ่มอีก เฮ้อ 

#น้ำท่วม #น้ำท่วมเชียงราย

‘ช่อ’ แก้เกี้ยว!! ความพ่ายแพ้ ‘พรรคประชาชน’ ที่พิษณุโลก เพราะไม่มีการเลือกตั้งล่วงหน้า คนจึงมาใช้สิทธิน้อยกว่าเดิม

(16 ก.ย. 67) น.ส.พรรณิการ์ วานิช แกนนำคณะก้าวหน้า โพสต์ข้อความผ่านทวิตเตอร์ หรือ X เกี่ยวกับการเลือกตั้งซ่อม สส.พิษณุโลก เขต 1 ซึ่งนายจเด็ศ จันทรา หรือบู้ จากพรรคเพื่อไทย (พท.) คว้าชัยชนะเหนือ นายณฐชนน ชนะบูรณาศักดิ์ หรือโฟล์ค จากพรรคประชาชน (ปชน.) ระบุว่า...

“สำหรับท่านที่สงสัยว่าทำไมพรรคประชาชนแพ้ คะแนนหายไปไหน 10,000 เพราะ หมออ๋อง เมื่อปี 2566 ได้ถึง 40,000 คะแนน…

“ข้อเท็จจริง คือ เมื่อเทียบเป็น % กับผู้มาใช้สิทธิ์ โดยคิดเป็นสัดส่วนคะแนนที่ได้ เทียบกับคะแนนบัตรดีทั้งหมด…

“หมออ๋องได้ 41.3%
คุณโฟล์คได้ 40.25%
คุณบู้ได้ 48.71%...

“เพราะฉะนั้น ปัจจัยของความพ่ายแพ้ มาจาก 2 สาเหตุหลัก..

“1. เนื่องจากไม่มีการเลือกตั้งล่วงหน้า คนมาใช้สิทธิน้อยกว่าเดิม (เลือกตั้ง 66 คนใช้สิทธิ 70% ครั้งนี้ 54%) หมายความว่าเราล้มเหลวในการรณรงค์ให้คนกลับบ้านไปเลือกตั้ง…

“2. พรรคเพื่อไทยได้คะแนนเพิ่มขึ้นจาก 18% เป็น 48% (ไม่ใช่ 2 เท่าตามที่เห็นจากคะแนนดิบ)”

'ไอซ์' อึ้ง!! พม่าครองตลาดบางบอน จี้!! บังคับใช้กฎหมาย-เก็บภาษีให้คุ้ม

(18 ก.ย. 67) ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาฯ คนที่หนึ่ง เป็นประธานการประชุม โดยก่อนเข้าสู่วาระได้เปิดให้สมาชิกการหารือปัญหาต่าง ๆ น.ส.รักชนก ศรีนอก สส.กทม. พรรคประชาชน (ปชน.) หารือปัญหาชาวเมียนมาในพื้นที่ ว่า ในเขตของตน มีตลาดพม่า-บางบอน ซึ่งมีคนไทยและเมียนมาตั้งแผงขายของ

มีแรงงานเมียนมา มาใช้บริการจำนวนมาก ถึงขนาดเรียกลูกค้ากันเป็นภาษาพม่าทั้งตลาด มีป้ายโฆษณาเป็นภาษาพม่าทั้งหมด ซึ่งตนได้รับการร้องเรียนของคนในพื้นที่ ว่า มีแรงงานพม่าเป็นเจ้าของแผง ซึ่งเป็นอาชีพต้องห้ามสำหรับแรงงานต่างด้าว

“เมื่อไปลงพื้นที่ ดิฉันถามแม่ค้าคนไทยที่ขายของว่า แผงที่แหกปากตะโกนเป็นภาษาพม่าเป็นเจ้าของแผงหรือลูกจ้าง คนไทยบอกว่าไม่กล้าตอบ เพราะตอบแล้วกลัวจะเดือดร้อน นี่มันตลาดหรือแหล่งซ่องสุมอะไร ทำไมคนไทยจะตอบคำถามแค่นี้ยังต้องกลัว” น.ส.รักชนก กล่าว

น.ส.รักชนก กล่าวต่อว่า นอกจากนี้เมื่อเดินไปยังพบว่ามีป้ายห้ามถ่ายรูป ทำไมต้องขออนุญาตก่อน เพราะตลาดทั่วไปก็ต้องอยากที่จะโปรโมต ตนโทรศัพท์ไปสอบถามเพราะจะถ่าย Vlog ยังไม่ได้รับการติดต่อกลับ และแจ้งเจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจสอบแล้ว ก็พบการกระทำผิดอยู่เนือง ๆ แต่กลายเป็นว่าแทนที่จะบังคับใช้กฎหมาย กลับมารีดไถเก็บส่วย

“ประชาชนเล่าให้ดิฉันฟังว่า เจ้าหน้าที่รัฐเหล่านี้เข้ามาส่วนใหญ่จะเข้ามารีดไถ เก็บส่วย มาไถทองคนพม่า มาไถแหวน ไถตุ้มหู ไถสร้อย ถ้าไม่ถอดให้ก็จะเดือดร้อน มีการข่มขู่สารพัด การกระทำที่อุกอาจทั้งหมดนี้ เป็นจุดตรวจสอบ สน.บางขุนเทียน ดิฉันอยากให้เจ้าหน้าที่มาตรวจสอบ…

“ดิฉันไม่อยากทำให้ใครเดือดร้อน แต่ถ้าผิดกฎหมายก็ต้องจัดการ การที่ภาครัฐปล่อยปละละเลย คนไทยต้องอยู่แบบตั้งคำถามว่าจะจัดการกี่โมง จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลเข้ามาบังคับใช้กฎหมายด้วย อยากให้จัดเก็บภาษีให้ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ให้คุ้มกับการมาใช้ทรัพยากรบ้านเรา” น.ส.รักชนก กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top