Saturday, 19 April 2025
ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

ผบ.ตร. สั่งทุกหน่วยและจเรตำรวจ ตรวจสอบการแสวงหาความร่วมมือภาคประชาชน ต้องอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมาย กำชับต้องไม่มีผลประโยชน์อื่นใดแอบแฝง และห้ามมิให้มีลักษณะช่วยเหลือ อำนวยความสะดวก เอื้อประโยชน์ในทางที่มิชอบให้กับผู้ใดโดยเด็ดขาด

 

วันนี้ (4 ม.ค. 68) พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ตามที่ปรากฏข้อมูลในสื่อโซเชียลต่าง ๆ ว่ามีการจัดฝึกการอบรมหรือการแต่งตั้งที่ปรึกษา โดยอาจมีลักษณะที่เอื้อประโยชน์ หรือไม่เป็นไปตามกฎหมายนั้น ได้สั่งการให้ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล , ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 และจเรตำรวจ ตรวจสอบรายละเอียดข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ความเป็นมาของโครงการ การดำเนินการ ผู้มีอำนาจในการดำเนินการ และมีลักษณะที่แอบแฝงใดหรือไม่ เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ คำสั่งที่เกี่ยวข้องหรือไม่ ทั้งนี้ หากพบว่ามีมูลที่เข้าไปเกี่ยวข้อง พัวพันในทางที่น่าจะมิชอบด้วยกฎหมาย ในเบื้องต้นให้ใช้มาตรการทางปกครองโดยทันที และพิจารณาตามข้อกฎหมาย ระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป เพื่อให้เกิดความชัดเจนและโปร่งใสในการทำงาน แล้วรายงานให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติทราบทันที

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติย้ำชัดว่า แม้ว่าการแสวงหาความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ได้กำหนดไว้เป็นแนวทางตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 และในระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าด้วยการส่งเสริมให้ประชาชน ชุมชน ท้องถิ่นและองค์กรมีส่วนร่วมในกิจการตำรวจ พ.ศ.2551 โดยกำหนดรูปแบบ ลักษณะความร่วมมือด้านต่าง ๆ และการติดตามและประเมินผลในระดับสถานีตำรวจ ประกอบกับกรณีคนต่างด้าว ต้องเป็นไปตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 ซึ่งได้กำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไข ข้อห้าม และการปฏิบัติตนสำหรับคนต่างด้าวไว้อย่างชัดเจนแล้ว

อย่างไรก็ตาม ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้สั่งให้ทุกหน่วยตรวจสอบการดำเนินการในลักษณะดังกล่าว จะต้องดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ คำสั่ง ไม่มีผลประโยชน์หรือเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ใด เป็นการแอบแฝง และกำชับการใช้เครื่องหมายราชการ ตราสัญลักษณ์ต่าง ๆ จะต้องเป็นไปตามระเบียบ กฎหมาย หากพบบุคคลใดแสดงตน แอบอ้างการเป็นเจ้าหน้าที่หรืออาสาสมัครที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือนำเครื่องแบบหรือเครื่องหมายราชการไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ให้ทุกหน่วยตรวจสอบและดำเนินคดีทุกราย ทั้งนี้ ให้ผู้บังคับการตำรวจนครบาล และผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด ทุกหน่วย ลงพื้นที่ตรวจสอบหน่วยในสังกัด หากพบว่าหน่วยใดปล่อยปละละเลย จะพิจารณาข้อบกพร่องทั้งทางวินัย อาญา และทางปกครองโดยทันที

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติตรวจเยี่ยม สภ.สามพราน จ.นครปฐม และเยี่ยมตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่ ก่อนไปบรรยายพิเศษ รร.นรต. ถ่ายทอดประสบการณ์การทำงานจากรุ่นพี่สู่รุ่นน้อง

(17 ม.ค.68) เวลา 11.45 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เดินทางไปตรวจเยี่ยมการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ สถานีตำรวจภูธรสามพราน จังหวัดนครปฐม โดยมี พ.ต.อ.ไพบูลย์ แพรสีนวล ผกก.สภ.สามพราน และข้าราชการตำรวจในสังกัดให้การต้อนรับ และรายงานเหตุคดีที่น่าสนใจ ทั้งนี้ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้มอบหมายให้ ผกก.สภ.สามพราน เดินทางไปยังโรงพยาบาลสามพราน เพื่อเยี่ยม ส.ต.ต.ชายแดน เอี่ยมละออ และ ส.ต.ต.นิติพล พลเสน ผบ.หมู่ กองร้อยควบคุมฝูงชน ช่วยราชการ สภ. สามพราน ที่ได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่ จากกรณีเกิดอุบัติเหตุขณะขับขี่รถจักรยานยนต์สายตรวจติดตามรถจักรยานยนต์ต้องสงสัย ที่ขับขี่หลบหนีจุดตรวจป้องกันอาชญากรรม บริเวณถนนพุทธมณฑล สาย 7 เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2568 ซึ่งหลังเกิดอุบัติเหตุได้ประสานขอสนับสนุนกำลังสายตรวจรถจักรยานยนต์เพิ่มเติม จนสามารถติดตามจับกุมผู้ก่อเหตุไว้ได้ โดย ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้มอบเงินช่วยเหลือ เพื่อเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่กับเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้ง 2 นาย

จากนั้น เวลา 13.00 น. ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้เดินทางไปที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจ เพื่อบรรยายพิเศษ ถ่ายทอดประสบการณ์การทำงานจากรุ่นพี่ นรต. 41สู่รุ่นน้อง โดยมีนักเรียนนายร้อยตำรวจชั้นปีที่ 4 รุ่นที่ 78 เข้ารับฟังการบรรยาย โดยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้เน้นย้ำการทำงานภายใต้ พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 , , เน้นการทำงานสอบสวน วางแผนการทำงานทางคดี กำหนดกรอบเวลา และบริหารคดีให้ทันต่อเวลา ซึ่งถือเป็นหัวใจที่สำคัญของการปฏิบัติงานของสถานีตำรวจและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พร้อมเน้นย้ำให้นักเรียนนายร้อยตำรวจและข้าราชการตำรวจทุกนาย ให้ตั้งใจประพฤติดี เข้าถึงประชาชน ให้สมกับการเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ โดยการปรับแนวคิด mind set เพื่อการทำงานในหน้าที่ตำรวจไปสู่การสร้างความเชื่อถือและศรัทธาของพี่น้องประชาชน

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี โปรดเกล้า ฯ พระราชทานดินฝังศพ  2 ครู ตชด. จากเหตุลอบวางระเบิดรถยนต์ 

(20 ม.ค. 68) เวลา 09.30 น. ที่บ้านเลขที่ 293 หมู่ 3 ตำบลคลองทรายขาว  อำเภอกงหรา  จังหวัดพัทลุง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ  ( ผบ.ตร. ) เป็นผู้แทนพระองค์เชิญดินฝังศพพระราชทานวางบนหลุมฝังศพของ พ.ต.ท.สุวิทย์ ช่วยเทวฤทธิ์ ครูใหญ่ รร.ตชด.บ้านตืองอฯ และ ด.ต.โดม ช่วยเทวฤทธิ์ ครู รร.ตชด.บ้านตืองอฯ (บุตรชาย) ที่เสียชีวิตจากเหตุคนร้ายลอบวางระเบิด ในพื้นที่ อำเภอศรีสาคร จังหวัดนราธิวาส เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2568 ที่ผ่านมา 

ในการนี้ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า ฯ กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นายรัฐศาสตร์ ชิดชู  ผู้ว่าราชการจังหวัดพัทลุง เป็นผู้แทนพระองค์เชิญดินฝังศพพระราชทานวางบนหลุมฝังศพของครู ตชด. ทั้ง 2 นายด้วย  โดยมี พล.ต.ท.สำราญ  นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร.,  พล.ต.ท. นิตินัย  หลังยาหน่าย ผู้บัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน ( ผบช.ตชด.) ผู้บังคับบัญชาการ ข้าราชการตำรวจตระเวนชายแดน ทหาร ฝ่ายปกครอง ครอบครัวและประชาชนในพื้นที่ ร่วมในพิธีเป็นจำนวนมาก 

การได้รับพระมหากรุณาธิคุณในครั้งนี้ยังความซาบซึ้งแก่ครอบครัวผู้เสียชีวิตอย่างหาที่สุดมิได้ 

ในพิธีญาติของ พ.ต.ท.สุวิทย์ และ ด.ต.โดม ช่วยเทวฤทธิ์ และข้าราชการตำรวจตระเวนชายแดน ร่วมตั้งแถวรับดินพระราชทาน เจ้าหน้าที่อัญเชิญดินพระราชทานวางบนหลุมฝังศพ ผู้วายชนม์ ผู้นำศาสนาอ่านฟาตีฮะ ร่วมสวดดูอาร์ ผู้เข้าร่วมในพิธีต่างยืนสงบนิ่งเพื่อไว้อาลัยแก่ผู้วายชนม์

จากนั้น พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ ได้มอบธงชาติไทย และเงินช่วยเหลือแก่ทายาทและครอบครัว “ครูสุวิทย์" และ “ครูโดม” เพื่อเป็นการประกาศเกียรติคุณและรำลึกถึงผู้วายชนม์ที่ได้สร้างคุณประโยชน์ต่อประเทศชาติจนวาระสุดท้ายของชีวิต

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติชื่นชมพยาบาลตำรวจสาว ช่วยชายสูงวัยหมดสติสถานีรถไฟใต้ดินกินซ่า ขณะเที่ยวประเทศญี่ปุ่น ยกย่องเป็นแบบอย่างที่ดี 

(22 ม.ค. 68) พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ได้รับทราบถึงกรณี ว่าที่ ร.ต.ท.หญิง สุนารี เขียวสลับ พยาบาล (สบ 1) กลุ่มงานศูนย์ส่งกลับและรถพยาบาล กลุ่มงานพยาบาล โรงพยาบาลตำรวจ ช่วยเหลือชายชาวญี่ปุ่นหมดสติในสถานีรถไฟใต้ดินกินซ่า จนปลอดภัย ขณะเดินทางท่องเที่ยวที่ประเทศญี่ปุ่น จนเป็นที่ชื่นชมของผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ และโลกโซเชียลเป็นอย่างมาก และล่าสุดสภาการพยาบาลได้โพสต์ชื่นชม ว่าที่ ร.ต.ท.หญิง สุนารีฯ ในการทำความดีด้วยหัวใจ ช่วยเหลือผู้อื่นโดยทันที ด้วยจิตอาสา ถือเป็นแบบอย่างของการใช้ความรู้ความสามารถในวิชาชีพพยาบาลให้เป็นประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์ สร้างความสุขให้สังคม

เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2567 เวลาประมาณ 12.00 น. ว่าที่ ร.ต.ท.หญิง สุนารี เขียวสลับ พยาบาล (สบ 1) กลุ่มงานศูนย์ส่งกลับและรถพยาบาล กลุ่มงานพยาบาล โรงพยาบาลตำรวจ ได้ให้การช่วยเหลือผู้สูงอายุเพศชาย หมดสติล้มลงกับพื้น บริเวณสถานีรถไฟใต้ดินสายกินซ่า สถานีอาซากูซะ เมืองโตเกียว ขณะเดินทางท่องเที่ยวที่ประเทศญี่ปุ่น โดยใช้ทักษะทางวิชาชีพในการประเมินอาการ ระดับความรู้สึกตัวและสัญญาณชีพ ชายสูงอายุไม่รู้สึกตัว คลำชีพจรไม่ได้ จึงทำการช่วยฟื้นคืนชีพ (CPR) และแจ้งขอเครื่อง AED จากเจ้าหน้าที่ประจำสถานีรถไฟใต้ดิน เมื่อเครื่อง AED มาถึง ได้หยุด CPR และติดแผ่น Paddle AED เตรียมใช้เครื่อง AED ชายสูงอายุได้กลับมามีชีพจร จึงไม่ได้ทำการ shock ไฟฟ้าหัวใจ ต่อมาเจ้าหน้าที่กู้ชีพมาถึงที่เกิดเหตุ และนำส่งโรงพยาบาลเพื่อทำการรักษาต่อไป

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ขอชื่นชม ว่าที่ ร.ต.ท.หญิง สุนารีฯ ที่ใช้จิตวิญณาณความเป็นพยาบาลวิชาชีพ และจิตวิญญาณของการเป็นข้าราชการตำรวจ ไม่นิ่งดูดายในการช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มไม่ว่าชนชาติใด สถานที่ใด แม้ไม่อยู่ในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ก็ตาม สำนักงานตำรวจแห่งชาติขอยกย่องการปฏิบัติ ซึ่งถือเป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับข้าราชการตำรวจและประชาชนต่อไป

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติร่วมงานวันคล้ายวันสถาปนาโรงเรียนเตรียมทหารฯ ครบรอบปีที่ 67 และรับรางวัลงานเกียรติยศจักรดาว ยกย่องเชิดชูศิษย์เก่าเตรียมทหารดีเด่น

(27 ม.ค. 68) เวลา 09.00 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ร่วมงานวันคล้ายวันสถาปนาโรงเรียนเตรียมทหาร สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ ครบรอบ 67 ปี และรับมอบรางวัลเกียรติยศจักรดาวประจำปี 2568 ที่โรงเรียนเตรียมทหาร อำเภอบ้านนา จังหวัดนครนายก โดย พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม นำศิษย์เก่าโรงเรียนเตรียมทหารร่วมกิจกรรม โดยมีผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการเหล่าทัพ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และผู้แทนศิษย์เก่าโรงเรียนเตรียมทหาร เข้าร่วมงานเพื่อร่วมแสดงมุทิตาจิตแด่อดีตผู้บังคับบัญชาและครูอาจารย์ 

นอกจากนี้ มีพิธีมอบรางวัลเกียรติยศจักรดาว ประจำปี 2568 แก่ศิษย์เก่าเตรียมทหารดีเด่น เพื่อเชิดชูและยกย่องศิษย์เก่าเตรียมทหารที่มีความรู้ความสามารถ ปฏิบัติงานด้วยความซื่อสัตย์ ทำคุณประโยชน์ต่อสังคมให้เป็นที่ประจักษ์ และสร้างชื่อเสียงให้แก่สถาบัน จำนวน 7 ท่าน ได้แก่
1. พล.ร.อ.จิรพล ว่องวิทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ นักเรียนเตรียมทหาร รุ่นที่ 23 รับรางวัลเกียรติยศจักรดาว สาขาบริหารการปกครองและเสริมสร้างความมั่นคงแห่งชาติ
2. พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ นักเรียนเตรียมทหาร รุ่นที่ 24 รับรางวัลเกียรติยศจักรดาว สาขาบริหารการปกครองและเสริมสร้างความมั่นคงแห่งชาติ
3. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ นักเรียนเตรียมทหาร รุ่นที่ 25 รับรางวัลเกียรติยศจักรดาว สาขาบริหารการปกครองและเสริมสร้างความมั่นคงแห่งชาติ
4. พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก นักเรียนเตรียมทหาร รุ่นที่ 26 สาขาบริหารการปกครองและเสริมสร้างความมั่นคงแห่งชาติ
5. พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ นักเรียนเตรียมทหาร รุ่นที่ 27 รับรางวัลเกียรติยศจักรดาว สาขาบริหารการปกครองและเสริมสร้างความมั่นคงแห่งชาติ
6. พล.ต.ณัฏฐ์ ศรีอินทร์ รองแม่ทัพภาคที่ 2 นักเรียนเตรียมทหาร รุ่นที่ 27 รับรางวัลเกียรติยศจักรดาว สาขาการทหาร
7. น.อ.ภาณุพงศ ขุมสิน ผู้อำนวยการกองวิจัยและพัฒนา สำนักงานวิจัยและและพัฒนาทางทหารกองทัพเรือ นักเรียนเตรียมทหาร รุ่นที่ 31 รับรางวัลเกียรติยศจักรดาว สาขาการวิจัย

ทั้งนี้ การจัดงานสถาปนาโรงเรียนเตรียมทหารฯ และมอบรางวัลเกียรติยศจักรดาว เป็นพิธีที่จัดต่อเนื่องทุกปี เพื่อเสริมสร้างความรักความสามัคคีระหว่างศิษย์เก่าเตรียมทหารทุกรุ่น ตามเจตนารมณ์ของสถาบันในการผลิตทหาร-ตำรวจ ให้พร้อมเป็นกำลังสำคัญของกองทัพ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติแสดงความเสียใจกับการสูญเสียตำรวจน้ำดี “ส.ต.อ.เจริญพรฯ” ตำรวจ สภ.เมืองสุราษฎร์ธานี ช่วยคนขับรถจักรยานยนต์โซ่ขาด ถูกรถพุ่งชนจนเสียชีวิต 

(29 ม.ค. 68) พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้สูญเสียตำรวจน้ำดีอีก 1 ราย กรณี ส.ต.อ.เจริญพร เนียมนิยม อายุ 35 ปี ผู้บังคับหมู่ งานป้องกันและปราบปราม สภ.เมืองสุราษฎร์ธานี ปฏิบัติหน้าที่ตำรวจสายตรวจหน่วยบริการประชาชนบ้านบางใหญ่ ซึ่งถูกรถกระบะพุ่งชนท้ายระหว่างช่วยเหลือคนขับรถจักรยานยนต์โซ่ขาด ทำให้ได้รับบาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิตในเวลาต่อมาที่โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี เมื่อคืนวันที่ 27 มกราคม ที่ผ่านมา 

เหตุดังกล่าวเกิดเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2568 เวลาประมาณ 18.10 น. ส.ต.อ.เจริญพร เนียมนิยม ผบ.หมู่ (ป.) สภ.เมืองสุราษฎร์ธานี ได้ขับขี่รถจักรยานยนต์ออกตรวจพื้นที่รับผิดชอบ และได้เข้าช่วยเหลือรถจักรยานยนต์ของผู้อื่นซึ่งเกิดโซ่รถหลุดระหว่างทาง ด้วยการพาไปซ่อมบริเวณที่พักสายตรวจบางใหญ่ โดย ส.ต.อ.เจริญพรฯ ใช้เท้ายันรถจักรยานยนต์คันที่โซ่ชำรุดทางด้านหลัง โดยให้เจ้าของรถนั่งประคองรถของตนเองไป เมื่อไปถึงบริเวณ ถ.เลี่ยงเมือง ตรงข้ามสถานีบริการน้ำมันเชลล์ ต.มะขามเตี้ย อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานี ได้ถูกรถยนต์กระบะคู่กรณีแล่นเข้ามาเฉี่ยวชนทางด้านหลัง เป็นเหตุให้ ส.ต.อ.เจริญพรฯ เสียชีวิตในเวลา 

นอกจากนี้ เนื่องจาก ส.ต.อ.เจริญพรฯ ผู้เสียชีวิต ได้เคยแจ้งความประสงค์บริจาคอวัยวะกับสภากาชาดไทย ล่าสุดภรรยาของ ส.ต.อ.เจริญพรฯ จึงได้ติดต่อศูนย์รับบริจาคอวัยวะสภากาชาดไทย โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี และศูนย์ดวงตาสภากาชาดไทย ในการบริจาคอวัยวะ ซึ่งคณะแพทย์โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานีได้ผ่าตัดอวัยวะสำคัญของ ส.ต.อ.เจริญพรฯ เพื่อนำไปปลูกถ่ายให้กับผู้ป่วย 5 คน ต่อไปแล้ว

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติรับทราบกรณีดังกล่าว ได้แสดงความเสียใจต่อครอบครัวของ ส.ต.อ.เจริญพรฯ ผู้เสียชีวิต พร้อมยกย่อง ส.ต.อ.เจริญพรฯ ปฏิบัติหน้าที่สมกับความเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ช่วยเหลือประชาชนจนวินาทีสุดท้ายของชีวิต นับเป็นอีกหนึ่งความสูญเสียครั้งสำคัญของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พร้อมชื่นชมภรรยาของ ส.ต.อ.เจริญพรฯ ที่ติดต่อบริจาคอวัยวะตามเจตจำนงของผู้เสียชีวิต ทั้งนี้ ได้สั่งการให้ผู้บังคับบัญชาดูแลสิทธิประโยชน์ที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เบื้องต้นครอบครัวจะได้รับเงินช่วยเหลือประมาณ 1,150,000 บาท เลื่อนเงินเดือนไม่เกิน 3 ขั้น และเสนอเลื่อนยศเป็น ร.ต.ต.

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ สรุปผลการปฏิบัติ 7 มาตรการเข้มข้น หลังขีดเส้นตาย 7 วัน  ปฏิบัติการเชิงรุกตั้งแต่ก่อนเข้าประเทศ เอ็กซเรย์ทุกพื้นที่ สกัดกั้นชายแดน ปรับแผนรองรับ  กวาดล้างคอลเซ็นเตอร์และบังคับใช้กฎหมายเด็ดขาดทุกราย

(3 ก.พ. 68) พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ  แถลงผลการปฏิบัติ 7 มาตรการเข้มข้นในการแก้ไขปัญหาคนต่างด้าวถูกหลอกลวง นับตั้งแต่วันที่ 20 มกราคม 2568 ได้ประชุมเพื่อแก้ไขปัญหาคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย และคนต่างด้าวถูกหลอกลวง หรือประกอบธุรกิจผิดกฎหมาย และอาชญากรรมข้ามชาติ และขีดเส้นตาย 7 วันให้ทุกหน่วยดำเนินการ โดยมีกรณีพื้นที่ ภ.6 มีคำสั่งให้ตรวจสอบข้อเท็จจริง (สภ.แม่สอด สภ.แม่ระมาด สภ.พบพระ) และออกคำสั่งให้ไปช่วยราชการ ศปก.ภ.6 ทันที โดยขาดจาก ต้นสังกัดเดิม  

ผบ.ตร. กล่าวว่า ได้มีหนังสือสั่งการกำหนด 7 มาตรการเข้มข้น ให้ปฏิบัติอย่างชัดเจน  โดยมีผลการปฏิบัติ ห้วงระหว่าง วันที่ 20-31 มกราคม 2568 ดังนี้ 
1.มาตรการก่อนคนต่างด้าวเดินทางเข้าประเทศไทย : การประสานและสืบสวนหาข่าวร่วมกับหน่วยงานด้านการข่าว สมาชิก INTERPOL และประสานงานช่องทางกงสุล (ฝ่ายตำรวจ/ทูตฝ่ายตำรวจ) เชื่อมโยงข้อมูลคนต่างด้าวไปยังหน่วยตำรวจพื้นที่และจุดตรวจ และประสานงานด้านการสืบสวนหาข่าวสืบสวนจับกุมคนต่างด้าวที่กระทำความผิด

2. มาตรการ ณ ท่าอากาศยาน และด่านตรวจคนเข้าเมือง(ชายแดน) : ตรวจสอบและบันทึกข้อมูลบุคคลเฝ้าระวัง ปฏิเสธการเข้าเมือง สืบสวนในพื้นที่ท่าอากาศยาน และตรวจคัดกรองคนต่างด้าวชายแดน ตรวจสอบ/จับกุมยานพาหนะบริเวณท่าอากาศยาน โดยประสานกับการท่าอากาศยาน ศุลกากร ตำรวจท่องเที่ยวและตรวจคนเข้าเมือง

3. มาตรการตั้งจุดตรวจเส้นทางการเดินทางจากท่าอากาศยาน/ด่านตรวจคนเข้าเมืองไปยังพื้นที่เฝ้าระวัง : ตั้งจุดตรวจความมั่นคง จุดตรวจ จุดสกัด จุดกวดขันวินัยจราจร โดยใช้รูปแบบใยแมงมุมและเหลื่อมเวลาการปฏิบัติ ประชาสัมพันธ์คนต่างด้าวเป้าหมายเพื่อสร้างความเข้าใจและ ไม่ประสงค์เดินทางไปพื้นที่เสี่ยงต่อไป

4. มาตรการตรวจสอบที่พัก พื้นที่ท่องเที่ยว สกัดกั้นพื้นที่ชายแดน : ตรวจสอบที่พัก ช่องทางเข้า-ออกชายแดน ประชาสัมพันธ์พื้นที่ท่องเที่ยว ตลอดจนสกัดกั้นลาดตระเวน ช่องทางธรรมชาติ ท่าข้ามต่าง ๆ 

5. มาตรการเชิงรุกในการตรวจสอบเส้นทางและจุดพักคอย : ตรวจสอบปั๊มน้ำมัน จุดพักรถ สถานีขนส่ง สถานที่ที่พักคอย พักค้างแรมชั่วคราว

6.มาตรการเข้มข้นในพื้นที่ชายแดน  ตรวจสอบพื้นที่เสี่ยง/เฝ้าระวังที่จะข้ามไปชายแดน :ตรวจสอบที่พักในแนวชายแดน สืบสวนหาข่าว (IPB) ตรวจสอบป้ายทะเบียนรถและใบหน้าบุคคล ประสานงานและบูรณาการตรวจร่วมหน่วยความมั่นคง ลาดตระเวน ตรวจร่วมบริเวณชายแดน  ท่าข้าม และตรวจสอบยานพาหนะข้ามแดน 

7.มาตรการประสานงาน ให้ความช่วยเหลือ และสืบสวนขยายผล: ประสานงานให้ความช่วยเหลือคนต่างด้าวจากประเทศต้นทางและได้ประชุมหารือความร่วมมือระหว่างประเทศปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติและอาชญากรรมออนไลน์ โดยมีเอกอัครราชทูตประเทศ 16 ประเทศ UNODC และกระทรวงความมั่งคงสาธารณะจีน ในความร่วมในการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ทุกมิติ

 สรุปผลการตรวจสอบและประชาสัมพันธ์ คนต่างด้าว 7,076 ราย จับกุมคนต่างด้าวผิดกฎหมาย 524 ราย ปฏิเสธการเข้าเมือง 92 ราย เพิกถอนการอนุญาต 11 ราย จับกุมยานพาหนะ(เสี่ยง) 72 คัน ตั้งจุดตรวจ จำนวน 2,218 จุด ตรวจสอบยาพาหนะ 286,886 (ในเส้นทาง 268,429 คัน และพาหนะข้ามแดน 18,457 คัน) ตรวจสอบป้ายทะเบียนรถและใบหน้าบุคคล 20,665 ข้อมูล ตรวจสอบสถานที่พัก สถานีขนส่ง จุดพัก ช่องทางธรรมชาติ ท่าข้ามต่าง ๆ กว่า 2,204 แห่ง จำนวน 3,379 ครั้ง

ทั้งนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พบว่าผู้กระทำความผิดมีการเปลี่ยนเส้นทางและพยายามจะขนย้ายอุปกรณ์ เปลี่ยนสถานที่ในการกระทำความผิด จะได้วิเคราะห์ข้อมูลและปรับแผนการปฏิบัติ ตรวจสอบและจับกุมดำเนินการตามกฎหมายโดยเด็ดขาดทุกราย หากพบเจ้าหน้าที่ปล่อยปะละเลย หรือเข้าไปยุ่งเกี่ยว พัวพัน ประพฤติมิชอบ จะดำเนินการโดยทันที

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติพอใจ 7 มาตรการเข้ม สั่งรุกปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ย้ำเดินหน้าไม่แผ่ว ไม่ให้พื้นที่แก๊งอาชญากรรม

(8 ก.พ.67) พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยความคืบหน้าปฏิบัติการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ว่า หลังจากที่ออกนโยบาย 7 มาตรการเข้มข้น นับตั้งแต่วันที่ 20 มกราคม 2568 และขีดเส้นตาย 7 วันให้ทุกหน่วยดำเนินการ พบว่าผลการดำเนินงานตาม 7 มาตรการเข้มข้น ทั้งด้านการปราบปราม การป้องกัน การให้ความช่วยเหลือ เห็นผลการปฏิบัติเป็นที่น่าพอใจ จึงสั่งการให้ทุกหน่วยปฏิบัติที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งศูนย์ต่อต้านการค้ามนุษย์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศตคม.ตร.) และศูนย์ป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร.) ซึ่งมี พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ เป็นผู้อำนวยการศูนย์ เดินหน้าขับเคลื่อนการปฏิบัติต่อเนื่องอย่างเต็มกำลัง เพื่อสกัดกั้นและปราบปรามอาชญากรรมเหล่านี้ให้เห็นผลเป็นรูปธรรมต่อไป 

ในส่วนของพื้นที่เสี่ยงที่เฝ้าระวังตามแนวชายแดน โดยเฉพาะ อ.แม่สอด จ.ตาก เจ้าหน้าที่เข้มงวดในการคัดกรองผู้ที่เดินทางเข้ามาในพื้นที่ โดยเฉพาะผู้ที่จะข้ามแดนไปยังฝั่งเมียวดี ประเทศเมียนมา ทั้งทางด่านตรวจ ท่าข้าม และช่องทางธรรมชาติ และยังมีมาตรการในการป้องกันการย้ายฐานที่ตั้งของแก๊งคอลเซ็นเตอร์จากเมืองเมียวดี ประเทศเมียนมา ไปยังพื้นที่อื่นๆ โดยเฉพาะฝั่งชายแดนประเทศกัมพูชา ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติร่วมกับกองทัพบก และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ปฏิบัติการร่วมกันอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ประสานความร่วมมือในการดำเนินการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในทุกมิติ ร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ทั้งภายในประเทศ และระดับนานาชาติ อาทิ INTERPOL , สำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) , สถานเอกอัครราชทูตนานาประเทศ เป็นต้น เพื่อบูรณาการเดินหน้าในการปราบปรามอย่างไม่ลดละ 

นอกจากนี้ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ยืนยันหนักแน่นว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะลุยต่อไม่แผ่วในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติแก๊งคอลเซ็นเตอร์ให้หมดไป มั่นใจการดำเนินมาตรการเชิงรุกอย่างต่อเนื่องจะสร้างผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม ไม่มีพื้นที่ให้มิจฉาชีพหลอกลวงประชาชนได้อีก ย้ำ “เราทำจริง เอาจริง ประชาชนต้องไม่ตกเป็นเหยื่อของอาชญากรเหล่านี้อีกต่อไป” 

มั่นใจว่าด้วยความตั้งใจจริงในการแก้ไขปัญหาในทุกภาคส่วน มาตรการต่างๆ จะเห็นผลเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติสั่งด่วนตำรวจทุกพื้นที่ออกตรวจตรา ช่วยเหลือ อพยพประชาชนหรือผู้ประสบภัยไปพื้นที่ปลอดภัย กรณีเกิดเหตุแผ่นดินไหวรับรู้ได้ทั่วประเทศ

(28 มี.ค.68) พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ สั่งการด่วนตำรวจทุกพื้นที่ ให้ดูแลช่วยเหลือพี่น้องประชาชน หลังจากเวลาประมาณ 13.30 น. เกิดแผ่นดินไหว จุดศูนย์กลางอยู่บริเวณประเทศเมียนมา ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของ อ.ปางมะผ้า จ.แม่ฮ่องสอน สามารถรับความรู้สึกสั่นไหวบริเวณกรุงเทพมหานคร ปริมณฑล ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคใต้ โดยในกรุงเทพมหานคร เกิดเหตุอาคารทรุด มีผู้ประสบภัยจำนวนมาก

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้กำชับให้ตำรวจทุกพื้นที่ติดตามความเคลื่อนไหวและข่าวสารจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และให้ออกตรวจตรา และให้ความช่วยเหลือ อพยพประชาชนออกนอกอาคารหรือตึกสูงไปยังพื้นที่ปลอดภัย กรณีที่พื้นที่ใดมีผลกระทบหรือมีเหตุตึกอาคารทรุดหรือไม่ปลอดภัย ให้เร่งเข้าช่วยเหลือผู้ประสบภัยและนำไปยังพื้นที่พยาบาลหรือพื้นที่ปลอดภัย พร้อมจัดเตรียมบริหารจัดการเหตุในพื้นที่ อำนวยความสะดวกด้านการจราจร เพื่อนำส่งการสนับสนุนด้านต่าง ๆ เน้นการติดต่อสื่อสารสั่งการในพื้นที่ พร้อมสั่งการให้โรงพยาบาลตำรวจจัดบุคลากรทางการแพทย์เตรียมรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่จะต้องให้การสนับสนุนช่วยเหลือพี่น้องประชาชน

ผบ.ตร.สั่งย้ำทุกหน่วยคงเข้มเร่งช่วยเหลือประชาชนเหตุแผ่นดินไหวต่อเนื่อง ระดมตำรวจดูแลมิติจราจร งานอาชญากรรมป้องกันมิจฉาชีพซ้ำเติมประชาชนทุกรูปแบบ พร้อมส่งชุดปฏิบัติการพิเศษร่วมค้นหาผู้รอดชีวิต เปิดหน่วยนิติเวช ตรวจDNA เปรียบเทียบ 

(30 มี.ค. 568) พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยถึงความคืบหน้ามาตรการดูแลพี่น้องประชาชนหลังเหตุภัยพิบัติแผ่นดินไหว ว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้สั่งการทุกหน่วยยังคงความเข้มในการดำเนินการบูรณาการร่วมหน่วยงานเกี่ยวข้อง ในการช่วยเหลือ อำนวยความสะดวกการจราจร ตลอดจนการดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน หลังเหตุภัยพิบัติแผ่นดินไหวที่ผ่านมา โดยให้ตั้งศูนย์ปฏิบัติการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปก.ตร.) และศูนย์ปฏิบัติการส่วนหน้า (ศปก.สน.) ของกองบัญชาการตำรวจนครบาล เพื่อบริหารจัดการร่วมกับหน่วยต่างๆ  ดังนี้

1) การช่วยค้นหาช่วยเหลือผู้ประสบภัยเหตุตึกถล่ม และการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล : ได้สั่งการให้หน่วยปฏิบัติการพิเศษ ส่งกำลังพลชุดปฏิบัติการเข้าร่วมช่วยเหลือ ทั้งในส่วนของกองบัญชาการตำรวจนครบาล , กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง , กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน , ตำรวจภูธร รวมทั้งมีสุนัขตำรวจ และโดรนตรวจจับความร้อน ร่วมหน่วยเกี่ยวข้องสำรวจช่วยเหลือผู้ที่ติดอยู่ในภายในตึก ซึ่งขณะนี้ยังร่วมทำงานเข้มข้นต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังสั่งการให้สถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ ทำการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล พร้อมขอฝากประชาสัมพันธ์ญาติผู้ได้รับผลกระทบสูญหายจากเหตุอาคารถล่มเนื่องจากแผ่นดินไหว ให้มาตรวจเก็บ DNA เพื่อตรวจเปรียบเทียบได้ที่สถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ  

2) การดูแลอำนวยการจราจร : ได้สั่งระดมตำรวจจราจรทุกพื้นที่ออกให้การจราจรดูแลพี่น้องประชาชน มีกองบังคับการตำรวจจราจรเป็นหน่วยงานในการบริหารจัดการจราจร  มีการจัดกำลังเป็นชุดปฏิบัติรถนำรถพยาบาล ขนย้ายผู้ป่วย ขนย้ายเครื่องมือ กำลังพล เพื่อให้สามารถช่วยเหลือเหตุได้อย่างรวดเร็วทันต่อสถานการณ์ ขณะนี้ภาพรวมการจราจรเริ่มสู่สถานการณ์ปกติ เหลือเพียงจุดด่วนดินแดงที่ยังปิดให้บริการ ซึ่งได้ประสานงานกับเอกชน เพื่อให้สามารถเปิดการจราจรให้เร็วที่สุดและต้องปลอดภัยที่สุดด้วย 

3) การดูแลความปลอดภัย : ได้สั่งการให้ทุกสถานีตำรวจนครบาลที่มีการเปิดสวนสาธารณะ หรือสถานที่อื่นๆ ให้เป็นที่พักชั่วคราวของประชาชน ต้องจัดสายตรวจดูแลความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง รวมทั้งการเพิ่มความเข้มป้องกันมิจฉาชีพที่จะฉวยโอกาสซ้ำเติมพี่น้องประชาชน โดยจะต้องเพิ่มวงรอบตรวจตรามากขึ้น รวมทั้งการปฏิบัติการทางสื่อโซเชียล ออนไลน์ โดยมอบหมายให้ตำรวจไซเบอร์เฝ้าระวังการส่ง SMS หรือกลลวงต่างๆ ที่จะไปหลอกหลวงประชาชน หากพบให้รีบดำเนินการจับกุม มิให้เป็นเยี่ยงอย่าง 

นอกจากนี้ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ผบ.ตร.ได้เน้นย้ำกับกำลังพลทุกภาคส่วน “ทุกวินาทีมีค่า” ตำรวจจะต้องทำงานอย่างหนักและต่อเนื่องในห้วงนี้ ร่วมกับหน่วยงานเกี่ยวข้อง เร่งสนับสนุน ช่วยเหลือค้นหาผู้ประสบภัย รักษาชีวิต จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย รวมทั้งการปกป้องรักษาความปลอดภัยให้กับพี่น้องประชาชน การดูแลอำนวยความสะดวกการจราจรอย่างเต็มกำลัง รวมทั้งได้สั่งการให้ผู้บังคับบัญชาทุกระดับชั้น ลงไปตรวจสอบดูแลอาคาร ที่พัก ความปลอดภัยของข้าราชการตำรวจ ดูแลสวัสดิการความเป็นอยู่ของผู้ใต้บังคับบัญชา และช่วยเหลือทุกด้าน

ทั้งนี้ หากพี่น้องประชาชนต้องการความเหลือสามารถติดต่อที่หมายเลข 191 หรือ 1599 หรือติดต่อสอบถามการจราจรที่สายด่วนกองบังคับการตำรวจจราจรกลาง 1197 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top