Wednesday, 15 May 2024
ปิยบุตร

‘พิธา’ ยัน!! เคลียร์ใจ ‘ปิยบุตร’ ทำงานร่วมกันได้ ปัด!! กุเรื่องแกล้งเกาเหลา สร้างกระแสก่อนเลือกตั้ง

(23 ก.พ. 66) ที่รัฐสภา นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ให้สัมภาษณ์ถึงสาเหตุการเกิดวิวาทะกับนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้าว่า สั้นๆ คือการถอยเพื่อที่จะก้าวกระโดด และมีเรื่องที่ไม่เข้าใจกัน แต่เมื่อได้ปรับความเข้าใจกันแล้วก็สามารถทำให้ทำงานร่วมกันต่อไปได้ มั่นใจว่าเวลาที่เหลือสามารถสู้ศึกการเลือกตั้งได้อย่างเต็มที่ และหวังว่าเราสามารถทำงานไปสู่เป้าหมายเดียวกันได้ แน่นอนว่าในเรื่องของการเมืองย่อมมีอะไรที่มองไม่ตรงกันบ้าง แต่ในที่สุดเราก็สามารถปรับความเข้าใจกันได้

เมื่อถามว่า ข้อความที่นายปิยบุตรโพสต์ถึงนายพิธา ค่อนข้างที่จะรุนแรง ได้มีการชี้แจงให้นายปิยบุตรฟังว่าอย่างไรบ้าง นายพิธา กล่าวว่า เป็นความเข้าใจผิด ที่เมื่อได้พูดคุยกันแล้วเขาก็เข้าใจ สิ่งที่ตนโพสต์นายปิยบุตรก็เข้าใจ ตอนนี้ได้ปรับความเข้าใจกันแล้ว ที่เหลือก็ไม่มีอะไรที่ค้างคาใจกัน และย้ำว่าสามารถที่จะทำงานต่อไปได้ ไม่มีปัญหาอะไร

เมื่อถามว่า เรื่องสำคัญเป็นเรื่องความคาดหวังของนายปิยบุตรที่อาจจะไม่สัมพันธ์กับสิ่งที่พรรค ก.ก. เป็นอยู่ตอนนี้ถ้าเทียบกับสมัยเป็นพรรคอนาคตใหม่ นายพิธา กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของนายปิยบุตรอย่างเดียว เมื่อพรรคอนาคตใหม่ถูกยุบไป คณะกรรมการบริหารพรรคก็ถูกตัดสิทธิ์ไป จึงทำให้ไม่สามารถทำในสิ่งที่อยากเน้นได้ และกฎหมายก็ห้ามไม่ให้มีการเข้ามาครอบงำพรรค ซึ่งเรื่องที่เกิดขึ้นแม้จะไม่มีความเข้าใจกันบ้าง แต่เราก็ได้ปรับความเข้าใจกัน ซึ่งนี่คือสิ่งที่ทำให้เราได้เรียนรู้และเติบโตไปด้วยกัน

เมื่อถามว่า กังวลหรือไม่ว่าจะมีผลกระทบกับสนามเลือกตั้ง นายพิธา กล่าวว่า เป็นการถอยที่ทำให้เราก้าวกระโดดต่อไป ทั้งทีมงานพรรคที่ได้เห็นตนและนายปิยบุตร ปรับความเข้าใจกันแล้ว ความฮึกเหิมเมื่อคืนนี้ (22 ก.พ.) ก็เทียบเท่ากับว่าสปิริตของพรรคอนาคตใหม่กลับคืนมา ฉะนั้น แม้อาจจะมีกรณีที่เหมือนจะมีการขัดขากันบ้าง แต่ยืนยันว่าเราไม่มีการขัดขากัน แต่เป็นการถอยหลังกันคนละก้าว และเวลาที่เหลืออยู่ตอนนี้ยันทันที่จะเรียกความเชื่อมั่นใจกลับคืนมา ขอบคุณทุกท่านที่เป็นตัวเชื่อมให้ความเป็นปึกแผ่นของพรรค ก.ก. กลับคืนมา และทำให้เราสองคนได้พูดคุยกัน ซึ่งตัวเชื่อมที่สำคัญคือประชาชน และสมาชิกพรรคที่บอกว่าไม่อยากเห็นความขัดแย้งนี้ ปรับความเข้าใจกันเถอะ มั่นใจว่าเขาก็คงบอกนายปิยบุตรเช่นกัน ฉะนั้น ต้องขอขอบคุณทุกคน

เมื่อถามย้ำว่า ในส่วนนี้จะเป็นพลังในการสู้ศึกเลือกตั้งได้อย่างไรบ้าง นายพิธา กล่าวเพียงสั้นๆว่า “จากสิ่งที่เกิดขึ้นยืนยันว่าตอนนี้สปิริตของพรรคอนาคตใหม่กลับคืนมาครับ ทุกสิ่งทุกอย่างที่สะสมเมื่อปะทุออกมา และได้ทำความเข้าใจกัน ได้นึกถึงว่าเรามาเป็นนักการเมือง และตั้งพรรคขึ้นมาทำไม ก็ทำให้เรากลับมามีพลังมากขึ้น และเราจะใช้พลังนี้ไปจนถึงวันเลือกตั้งให้ได้”

เมื่อถามต่อว่า ท้อหรือไม่เพราะคนใกล้ชิดมองตัวนายพิธาในด้านลบ นายพิธา กล่าวว่า ไม่มีเหนื่อย ไม่มีท้อ เราตั้งใจที่จะไปสู่เป้าหมายเดียวกันให้ได้ และเราก็ลงพื้นที่อย่างหนัก รวมถึงได้การตอบรับจากการลงพื้นที่อย่างดี ซึ่งหากเราทำงานอย่างมีสมาธิที่สุด ในช่วงโค้งสุดท้าย ก็จะเป็นประโยชน์ที่สุดกับการทำงานพรรค ทั้งนี้ สิ่งที่แตกต่างไปจากอดีตคือการทำงานที่เข้มข้นขึ้น ก้าวไกลได้มากขึ้น มีสมาธิมากขึ้น แม้จะมีความคิดเห็นไม่ตรงกันอีกในอนาคต เราก็จะได้พูดคุยกันอย่างฉันท์มิตร โดยที่ไม่ต้องผ่านสื่อหรือโซเชียลมีเดีย และนายปิยบุตรไม่ได้มาครอบงำตน แต่เมื่อมีความไม่เข้าใจตรงกัน ก็จะพูดคุยกันในฐานะเพื่อนร่วมงานเก่า

เมื่อถามถึงประเด็นที่เข้าใจไม่ตรงกันคือประเด็นอะไร นายพิธา กล่าวว่า เป็นเรื่องของการทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ มารวมกัน เช่นการลงพื้นที่ต่าง ๆ ไม่ได้มีอะไรนอกเหนือไปจากนั้น

เมื่อถามว่า ความขัดแย้งครั้งนี้เป็นการเรียกเรตติ้งให้พรรคหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า “เป็นไปไม่ได้หรอกครับ พรรคเรามีวุฒิภาวะพอ ในการที่จะหาเสียง ในการทำงาน บางครั้งเมื่อมีความไม่เข้าใจกัน และโอกาสในการที่จะปรับความเข้าใจกันน้อย มีการสื่อสารไปทางโซเชียล ตรงนี้ก็จะเป็นสิ่งที่ยืนยันกับพี่น้องประชาชน ว่าจะไม่เกิดขึ้นอีก และคนที่อยู่ในเหตุการณ์ก็จะมีสมาธิในการทำงานการเมืองต่อไป ไม่มีปัญหาอะไร ”

เมื่อถามว่า หลังจากนี้จะได้เห็นนายปิยบุตรและนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ร่วมลงพื้นที่ด้วยหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า คงต้องดู เพราะตามกฎหมายสามารถเป็นผู้ช่วยหาเสียงได้ แต่ที่แน่ ๆ ทั้งสองพร้อมสนับสนุนพรรค ก.ก. ตามที่กฎหมายกำหนดได้ ถามต่อว่า หากเป็นเช่นนี้จะหลีกเลี่ยงข้อกล่าวหาว่าครอบงำพรรคได้อย่างไร นายพิธา กล่าวว่า เราสามารถแจ้งชื่อกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้เป็นผู้ช่วยหาเสียงได้ เหมือนตอนที่เลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. ที่นายธนาธร ขึ้นเวทีปราศรัยให้นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร อดีตผู้สมัครผู้ว่าฯกทม.

เมื่อถามว่า บทบาทและอิทธิพลของแกนนำพรรคอนาคตใหม่และพรรคก.ก. มีมากแค่ไหน นายพิธา กล่าวว่า เป็นเรื่องของอุดมการณ์และแนวคิด ที่แบ่งปันกันมาตั้งแต่ร่วมตั้งอนาคตใหม่ แต่เรื่องของการบริหารและการคัดเลือกผู้สมัครส.ส. เป็นเรื่องของคณะกรรมการบริหารพรรค ทั้งนี้ เรื่องของการวิพากษ์วิจารณ์เป็นเรื่องปกติ ซึ่งเราเจอมาตลอด 3 ปี และการเป็นบุคคลสาธารณะคงจะหลีกเลี่ยงเรื่องแบบนี้ไม่ได้

ขณะเดียวกันที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ให้สัมภาษณ์ในกรณีเดียวกันว่า เกิดจากความไม่เข้าใจกัน และความเห็นที่แตกต่างกันในการทำงานหลายเรื่อง เพราะหลังจากที่พรรคอนาคตใหม่ถูกยุบนายปิยบุตร ก็ไม่ได้เข้าไปร่วมขับเคลื่อนพรรคก้าวไกล ไม่ได้ทำงานในสภา เกิดระยะห่าง ทำให้ความเห็นไม่ตรงกัน จึงเป็นธรรมดาที่จะเกิดความไม่เข้าใจกัน และความขัดแย้งตามมา แต่มองว่าเป็นเรื่องดี เพราะทั้งคู่ก็จะได้เรียนรู้และเติบโตกับสถานการณ์ ซึ่งทั้งคู่ก็มีวุฒิภาวะเพียงพอ ที่จะปรับความเข้าใจกันและถอยกันคนละก้าว และการได้มานั่งคุยกัน และเห็นผลประโยชน์ของพรรคมากกว่าอัตรา ก็จะทำให้ทุกฝ่ายเข้าใจ ทำให้ผู้สนับสนุน คนที่เชียร์พรรค ซึ่งเราก็ดีใจที่ทั้ง 2 ท่านซึ่งเป็นบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถ มีความสำคัญต่อการผลักดันประชาธิปไตยในประเทศนี้ กลับมาจากมือทำงานร่วมกันเดินหน้าก้าวไปอย่างมีพลัง อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้ นายปิยบุตร จะเดินทางไปพบภรรยาที่ต่างประเทศ ถึงไม่แน่ใจว่าจะกลับมาเป็นผู้ช่วยหาเสียงให้กับพรรคก้าวไกลทันหรือไม่

เมื่อถามถึงความไม่เข้าใจกันระหว่างทั้ง 2 คนเป็นเรื่องอะไร นายธนาธร กล่าวว่า ขอให้ไปสอบถามนายปิยบุตรและนายพิธาเอง ส่วนตัวคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องของมิติการทำงาน ความคิดความอ่านของสถานการณ์​บ้านเมืองที่ไม่เข้าใจกัน

เมื่อถามว่าที่ทั้ง 2 คนดีกันได้เพราะ นายธนาธร เข้าไปเคลียร์ใจ นายธนาธรยิ้มและยักคิ้ว พร้อมกล่าวว่า ไม่ใช่ ตนไปร้องเพลง

‘พิธา’ ควง ‘ธนาธร-ปิยบุตร-ช่อ’ เยือนอีสาน 3-4 มี.ค. ชู ‘อนาคตใหม่ก้าวไกล เพื่อประเทศไทยไม่เหมือนเดิม’

(1 มี.ค. 66) นายรังสิมันต์ โรม โฆษกพรรคก้าวไกล เผย วันที่ 3-4 มีนาคมนี้ พรรคก้าวไกลยกทัพบุกพื้นที่อีสาน 2 จังหวัด คือ ขอนแก่น และร้อยเอ็ด นำโดย นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค และมีไฮไลต์สำคัญ คือ กรรมการบริหารพรรคก้าวไกลมีมติ เปิดตัว 3 ขุนพลแกนนำอนาคตใหม่ เป็นผู้ช่วยหาเสียงพร้อมเดินสายทั่วประเทศสู้ศึกเลือกตั้งใหญ่ โดยประเดิมที่แรก เวทีปราศรัยจังหวัดขอนแก่น โดยมี นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ, นายปิยบุตร แสงกนกกุล, น.ส.พรรณิการ์ วานิช ขึ้นเวทีปราศรัยด้วยเป็นครั้งแรก ถือได้ว่าเป็นการเข้าสู่บรรยากาศโค้งสุดท้ายของการหาเสียงเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ

ปิยบุตร’ ชง เสนอรื้อคดี ‘ทักษิณ’ ใหม่ทั้งหมด ชี้ โทษไม่เป็นธรรม หากต้องติดคุกด้วยผลพวงรัฐประหาร

(25 มี.ค. 66) จากกรณีที่ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ผ่านสำนักข่าวเกียวโด สื่อดังจากญี่ปุ่น ว่าเขาพร้อมที่จะรับโทษจำคุกในไทยแลกกับการที่จะได้ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่กับครอบครัว โดยกำลังพิจารณาช่วงเวลาที่เหมาะสมกลับประเทศไทย ไม่ว่าผลการเลือกตั้งทั่วไปที่จะมีขึ้นในวันที่ 14 พฤษภาคมนี้ จะออกมาอย่างไรก็ตาม

ล่าสุด นายปิยบุตร แสงกนกกุล อดีตเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ได้เผยแพร่ข้อเขียนผ่านเฟซบุ๊ก แสดงความคิดเห็นกรณีดังกล่าว โดยระบุว่า…

เรื่อง [กรณีคุณทักษิณ : ไม่ติดคุก ไม่นิรโทษ ต้องลบล้างผลพวงรัฐประหาร ดำเนินคดีใหม่อย่างเป็นธรรม]

สำนักข่าวจากประเทศญี่ปุ่น รายงานข่าว เมื่อวันที่ 24 มีนาคม ความว่า คุณทักษิณ ชินวัตร พร้อมกลับมาติดคุก และไม่ต้องการให้พรรคเพื่อไทยผลักดันกฎหมายนิรโทษกรรมให้แก่ตนเอง

ประเด็นปัญหา ‘กลับบ้าน’ ของคุณทักษิณอยู่ในสังคมไทยมาเกือบสองทศวรรษ เมื่อไรที่มีการเลือกตั้ง เมื่อไรได้รัฐบาลใหม่จากขั้วเพื่อไทย ก็จะมีผู้หยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมาเสมอ

หากใครได้ติดตามการแสดงความเห็นของผมตั้งแต่ปี 2548/49 คงจำได้ว่า ผมไม่เห็นด้วยกับการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่เรียกร้อง งนายกพระราชทาน มาตรา 7’ ไม่เห็นด้วยกับรัฐประหาร 19 กันยายน 2549

ผมและเพื่อนอาจารย์คณะนิติศาสตร์ มธ. รวม 5 คน ในเวลานั้นได้ออกแถลงการณ์ ไม่เห็นด้วยกับรัฐประหาร 19 กันยายน 2549

ในเวลาต่อมา พวกเรายังได้แถลงการณ์แสดงความไม่เห็นด้วยและวิจารณ์การดำเนินคดีคุณทักษิณในหลายกรณี รวมทั้งคำพิพากษากรณียึดทรัพย์ด้วย

หลังเหตุการณ์การสลายการชุมนุมปี 53 พวกเราได้รวมตัวก่อตั้ง ‘คณะนิติราษฎร์’

18 กันยายน 2554 คณะนิติราษฎร์ เสนอข้อเสนอ ‘ลบล้างผลพวงรัฐประหาร 19 กันยายน 2549’ ดังนี้

หนึ่ง ให้รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 และการกระทำของ คปค. ตั้งแต่ 19 กันยายน 2549 ถึง 30 กันยายน 2549 เป็นโมฆะ

สอง ให้รัฐธรรมนูญ 49 มาตรา 36 (ซึ่งรับรองให้การกระทำทั้งหลายของคณะรัฐประหารชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมาย) ตกเป็นโมฆะ ทำให้การกระทำทั้งหลายของคณะรัฐประหารถูกโต้แย้งได้ว่าขัดรัฐธรรมนูญและกฎหมาย

สาม ให้รัฐธรรมนูญ 49 มาตรา 37 (ซึ่งนิรโทษกรรมคณะรัฐประหาร) ตกเป็นโมฆะ ทำให้ การนิรโทษกรรมรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เป็นโมฆะ สิ้นผลไป เหมือนไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

เมื่อไม่มีการนิรโทษกรรมการรัฐประหาร ทำให้การรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ยังคงมีความผิดฐานกบฏในราชอาณาจักร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 113 เจ้าหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรมย่อมสามารถดำเนินคดีเอาคณะรัฐประหารมาลงโทษได้

สี่ ให้คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ คำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่เป็นผลต่อเนื่องจากรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ตกเป็นโมฆะ

ห้า ให้เรื่องที่อยู่ในกระบวนพิจารณา ที่เกิดจากการริเริ่มของ คตส. ยุติลง

ข้อเสนอทั้งหมดนี้ ต้องทำโดยผ่านการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ หากข้อเสนอเหล่านี้สำเร็จ ผลที่ตามมา คือ ดำเนินคณะรัฐประหารได้ทันที

ส่วนคดีความของคุณทักษิณและนักการเมืองอีกหลายคน ที่สืบเนื่องจากรัฐประหาร 49 ก็ไม่ได้นิรโทษหรืออภัยโทษแต่อย่างใด เพียงแต่ลบล้างคำพิพากษาเหล่านั้นทิ้ง และสามารถดำเนินคดีต่อไปตามกระบวนการปกติ เพื่อให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ถูกกล่าวหาและจำเลย

'ปิยบุตร' ลุยหาเสียงขอโอกาสพี่น้องชาวบึงกาฬ กา ‘ก้าวไกล’ ลั่น!! มีจุดยืนชัดเจน อภิปรายในสภาได้เต็มที่ไม่เกรงใจใคร

วันนี้ (8 เมษายน 2566) ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้าและผู้ช่วยหาเสียงพรรคก้าวไกล เดินหน้าหาเสียงให้แก่ผู้สมัครสมาชิกผู้แทนราษฎรจังหวัดบึงกาฬ เขต 2 (สำรวย ศรีทิน) และเขต 3 (ณัฐพงษ์ ป้องปิ่น) โดยมีประชาชนให้ความสนใจจำนวนมาก

ปิยบุตร เริ่มด้วยการเสนอนโยบายของพรรคก้าวไกลที่จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยเฉพาะพี่น้องชาวอีสานและบึงกาฬ เช่น การแก้ไขรัฐธรรมนูญ, การปลดหนี้ ธ.ก.ส. เกษตรกรสูงวัย, การเปลี่ยนที่ดิน ส.ป.ก ให้เป็นโฉนด, การยกเลิกบังคับเกณฑ์ทหาร และการปฏิรูปตำรวจ

"นโยบายแต่ละตัวที่พรรคก้าวไกลประกาศ เป็นนโยบายที่เล็งเห็นผลประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ก่อนทั้งสิ้น"

ปิยบุตรกล่าวว่า ที่ผ่านมาพรรคก้าวไกลได้พิสูจน์แล้วว่า แม้ก้าวไกลจะเป็นพรรคฝ่ายค้าน แต่ก็สามารถทำงานแก้ไขปัญหาให้พี่น้องประชาชนได้อย่างแท้จริง แต่กระนั้นก็แก้ไขได้อย่างจำกัดเพราะยังมีอำนาจไม่มากพอ เช่นนี้หากได้เป็นรัฐบาลในการเลือกตั้งที่จะถึง พรรคก้าวไกลก็จะสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างเป็นระบบเต็มเม็ดเต็มหน่วยมากขึ้น

ทั้งนี้ ปิยบุตรชี้ว่า ทุกพรรคการเมืองต่างก็แข่งกันนำเสนอนโยบายที่ต่างฝ่ายต่างคิดว่าดี แต่ถึงอย่างนั้น หากการเมืองยังไม่ดี นโยบายที่ดีทั้งหมดนั้นก็จะเกิดขึ้นไม่ได้ หรือเกิดขึ้นได้แต่ก็ไม่ยั่งยืน เพราะนโยบายจะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยการเมืองดี

"ที่ผ่านมาพี่น้องเลือกพรรคการเมือง แล้วทหารออกมายึดอำนาจ ยึดเสร็จแล้วก็เลือกตั้งใหม่ เลือกตั้งเสร็จก็โดนยึดใหม่ วนเวียนแบบนี้มาเรื่อยๆ นโยบายแก้ปัญหาปากท้องอย่างเดียวจึงไม่เพียงพอ มันต้องแก้โครงสร้างให้การเมืองดี เป็นประชาธิปไตย ให้ทหารเป็นทหารอาชีพ ไม่ใช่ตั้งตัวเป็นใหญ่อย่างที่ผ่านมา โดยพรรคก้าวไกลเป็นพรรคเดียวที่ประกาศชัดเจนว่า ถ้ามีการรัฐประหารเมื่อไหร่ จะมีการดำเนินการทางกฎหมายกับคนที่ออกมายึดอำนาจทันที เพื่อไม่ให้การรัฐประหารและการนิรโทษกรรมความผิดของตัวเองทำได้ง่ายๆ อีกต่อไป"

ต่อประเด็นคำถามว่า หากมีการรัฐประหารเกิดขึ้นอีกในอนาคต ส.ส. ก้าวไกล จะทำอย่างไร ปิยบุตรกล่าวว่า ผู้แทนจากพรรคก้าวไกลก็จะเป็นแถวหน้าต่อต้านการรัฐประหาร ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับประชาชน ไม่ใช่ปล่อยให้ประชาชนสู้อย่างโดดเดี่ยวอย่างที่เป็นมา

ปิยบุตร ยังย้ำถึงความโดดเด่นของผู้แทนจากก้าวไกลว่า จะทำหน้าที่เป็นปากเป็นเสียงไปอภิปรายในสภาให้ประชาชนอย่างแข็งขัน ไม่ใช่พอได้ตำแหน่งแล้ว ไม่เคยพูดในสภาเลยแม้แต่คำเดียวอย่างที่เป็นอยู่ ก่อนจะย้ำข้อแตกต่างระหว่างก้าวไกลกับพรรคการเมืองอื่นๆ

‘ปิยบุตร’ ร่วมปราศรัย จ.หนองบัวลำภู ย้ำ ต้องเร่งแก้รัฐธรรมนูญ ลั่น!! ถ้า ‘ก้าวไกล’ ได้เป็น รบ.พร้อมดันประชามติทั้งประเทศทันที

‘ปิยบุตร’ ช่วยผู้สมัคร ส.ส.หนองบัวลำภูหาเสียง ประชาชนร่วมเวทีอบอุ่นคับคั่ง ปราศรัยย้ำความจำเป็นเร่งแก้รัฐธรรมนูญ เชื่อถ้าเปลี่ยนขั้วอำนาจหลังเลือกตั้งแล้วไม่รีบแก้ เกิดการใช้กลไกตามรัฐธรรมนูญล้มรัฐบาลแน่ ชี้ ถ้าก้าวไกลเป็นรัฐบาล ภายใน 100 วัน พร้อมดันประชามติถามประชาชนอยากได้รัฐธรรมนูญใหม่หรือไม่ทันที

(18 เม.ย.66) นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า และผู้ช่วยหาเสียงของพรรคก้าวไกล ร่วมเวทีปราศรัยของผู้สมัคร ส.ส.พรรคก้าวไกล จังหวัดหนองบัวลำภู ในหลายเขต พร้อมกับ นายอภิชาติ ศิริสุนทร ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ และ นายอรรถพล บัวพัฒน์ หรือ ‘ครูใหญ่’ ผู้ช่วยหาเสียงของพรรคก้าวไกล

โดยเริ่มต้นกิจกรรมช่วงเช้าที่ วัดสุวรรณาราม อำเภอสุวรรณคูหา ช่วยหาเสียงให้กับนายสมเกียรติ เชษฐสุมน ผู้สมัคร ส.ส.พรรคก้าวไกล จังหวัดหนองบัวลำภู เขต 3 (เบอร์ 8) ก่อนที่ช่วงบ่ายจะเดินทางต่อไปยัง วัดศรีชมชื่น อำเภอนาวัง ช่วยหาเสียงให้กับ นายทรงเดช มหาเสนา ผู้สมัคร ส.ส.พรรคก้าวไกล จังหวัดหนองบัวลำภู เขต 2 (เบอร์ 7) ซึ่งในทั้งสองเวที ต่างได้รับความสนใจจากประชาชนในพื้นที่ร่วมการรับฟังและส่งเสียงตอบรับชื่นชอบตลอดการปราศรัย

‘โรม’ ย้ำ!! เก้าอี้ประธานสภาฯ ต้องอยู่ที่ ‘ก้าวไกล’ อ้าง รักษาประเพณี พรรคที่ชนะเลือกตั้งต้องได้นั่ง

(24 พ.ค. 66) ที่พรรคก้าวไกล นายรังสิมันต์ โรม โฆษกพรรคก้าวไกล และว่าที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร พรรคก้าวไกล เสียไปไม่ได้เป็นอันขาดว่า…

อันที่จริงก็เหมือนกับที่นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรค เคยกล่าวเอาไว้ว่า เรื่องของตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นตำแหน่งที่พรรคก้าวไกล อยากรักษาประเพณีที่เคยทำกันมา ซึ่งในอดีตหากไม่นับรวมเมื่อปี 2562 จะพบว่า พรรคการเมืองที่ชนะการเลือกตั้งเป็นลำดับที่ 1 จะขอตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรด้วย เพื่อผลักดันกฎหมายต่างๆ พรรคก้าวไกลยืนยันว่า ตำแหน่งดังกล่าว ทางพรรคก้าวไกลต้องขอเอาไว้เอง

เมื่อถามว่า มีพรรคการเมืองใดมาต่อรองตำแหน่ง ประธานสภาผู้แทนราษฎรแล้วหรือยัง นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ตนยังไม่ทราบ แต่เบื้องต้นพรรคก้าวไกลได้ประกาศมาหลายครั้ง และยืนยันในเรื่องนี้มาโดยตลอด

เมื่อถามว่า ได้พูดคุยกับพรรคเพื่อไทยในประเด็นนี้หรือไม่ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ต้องถามนายชัยธวัช เพราะเป็นผู้ดูแลการเจรจาในพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งจะตอบคำถามได้ดีที่สุด

เมื่อถามว่า นายณัฐวุฒิ บัวประทุม รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นผู้ที่เหมาะสมกับตำแหน่งประธานสภาใช่หรือไม่ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ในรายละเอียดทางพรรคก้าวไกล ยังไม่ได้มีการพูดคุยกันว่าใครเหมาะจะเป็นแคนดิเดตในตำแหน่งประธานสภาฯ ซึ่งคิดว่าพรรคก้าวไกลยังมีเวลาคุยว่าจะมีใครที่มีความเหมาะสม

‘ปิยบุตร’ เปรียบเปรย!! ผู้กำกับบท จับหนังม้วนเก่ามาฉายซ้ำ หลัง กกต.ไร้มาตรฐานในเรื่องระยะเวลาในการพิจารณา ‘พิธา’

(12 ก.ค.66) นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า…

[หนังม้วนเก่ากำลังกลับมาฉายซ้ำ]

เมื่อ 4 ปีที่แล้ว ผมได้แถลงข่าว ชี้ให้เห็นว่า เกิดกรณีไม่มีมาตรฐานในเรื่องระยะเวลาในการพิจารณาของ กกต. 

กรณีลักษณะต้องห้ามของ ดอน ปรมัตถ์วินัย กกต.ใช้เวลา พิจารณาส่งศาลรัฐธรรมนูญ 386 วัน ศาลรัฐธรรมนูญใช้เวลาพิจารณารับคำร้อง 70 วัน และไม่สั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว

กรณีลักษณะต้องห้ามของ 4 รัฐมนตรีสมัยรัฐบาล คสช. กกต.ใช้เวลาพิจารณาส่งศาลรัฐธรรมนูญ 355 วัน ศาลรัฐธรรมนูญใช้เวลาพิจารณารับคำร้อง 75 วัน และไม่สั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว 

แต่กรณีของธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ กกต.ใช้เวลาพิจารณาส่งศาลรัฐธรรมนูญ 51 วัน ศาลรัฐธรรมนูญใช้เวลาพิจารณารับคำร้อง 7 วัน และสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว 

กรณีของธนาธรกลายเป็นสถิติที่ กกต. พิจารณาเรื่องเกี่ยวกับลักษณะต้องห้ามและศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องได้รวดเร็วที่สุดราวกับนั่งรถไฟความเร็วสูง 

มาวันนี้ 4 ปีผ่านไป 

ประชาชนผู้ทรงอำนาจสูงสุดของประเทศใช้อำนาจของตนร่วมกันแสดงเจตจำนงสนับสนุนให้พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรี คะแนนเสียงถล่มทลาย คะแนนเสียงมากกว่าเดิมอย่างมีนัยสำคัญ 

แต่พิธา ก็ยังถูก ‘นิติสงคราม’ กระทำซ้ำ และทำลายสถิติการพิจารณาคำร้องของ กกต. อย่างรวดเร็ว 

หากพิจารณานับจากวันที่เรืองไกร ยื่นคำร้องต่อ กกต.ซ้ำอีกครั้งในวันที่ 20 มิถุนายน ก็เท่ากับว่า กกต.ใช้เวลาพิจารณา 32 วันเท่านั้น!!!

พวกเขา บรรดาผู้กำกับภาพยนตร์ ยังคงตั้งหน้าตั้งตาเอาหนังม้วนเดิมกลับมาเล่นใหม่ หนังม้วนนี้เล่นกันมาเกือบ 20 ปี แล้ว 

เราจะให้มันจบแบบเดิม อย่างนั้นหรือ???

‘ปิยบุตร’ ลั่น!! การเมืองไทยต่อไปไม่ใช่สงคราม ‘สีเสื้อ-ต่อสู้ระหว่างพรรค’ แต่เป็นการต่อสู้ ‘อดีต VS อนาคต’ ที่ปชช.ผู้มีอำนาจสูงสุดร่วมกันกำหนด

(3 ส.ค. 66) นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ภายหลังพรรคเพื่อไทยประกาศฉีก MOU และไม่ร่วมรัฐบาลกับพรรคก้าวไกล โดยระบุว่า

ไม่มีอะไรที่ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล, ชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล และพรรคก้าวไกล ต้องเสียใจ ต้องเสียหน้า ต้องท้อแท้สิ้นหวัง และไม่มีอะไรที่ต้องคลางแคลงสงสัยว่าตนคิดผิด

นายปิยบุตร ระบุด้วยว่า พวกเขาต่างหากที่ต้องเสียใจที่มองสถานการณ์ระยะสั้น พวกเขาต่างหากที่ต้องเสียหน้า ตอบใครไม่ได้แม้กระทั่งตอบใจตนเอง ต้องแก้ปัญหาในสิ่งที่พูดไปแบบ ‘วัวพันหลัก’ พวกเขาต่างหากที่ต้องท้อแท้ สิ้นหวัง ไม่รู้ว่าในอนาคตจะชนะก้าวไกลได้ด้วยวิธีไหน จะยุบ-จะตัดสิทธิอย่างไร ก็ฆ่า ‘ความคิด’ ไม่ตาย

สังคมเปลี่ยน ความคิดจิตใจคนเปลี่ยน นักการเมืองและพรรคการเมืองต้องขยับตาม ถ้าไม่นำมวลชน อย่างน้อยก็ต้องเคียงข้างกับความคิดที่เปลี่ยนแปลงไป หนทางพิสูจน์ม้าและเวลาพิสูจน์คน ใครถอยและใครทน พิสูจน์ได้เมื่อภัยมา ดีเสียอีกที่การเมืองไทยได้ขีดเส้นใหม่ แบ่งใหม่ชัดเจน ต่อไปไม่ใช่สงครามสีเสื้อ ไม่ใช่การต่อสู้ระหว่างพรรค แต่คือการต่อสู้ระหว่างอดีต vs อนาคต อดีตแบบทศวรรษ 2520 ขยับทีละคืบไปสู่ทศวรรษ 40 กับอนาคตแบบใหม่ที่ประชาชนผู้ทรงอำนาจสูงสุดของประเทศร่วมกันกำหนด”

เข็มนาฬิกาเดินหน้า ต่อให้ใครหยุดเข็มนาฬิกาไม่ให้เดิน อย่างไรมันก็จะเดินต่อไป ขอจงยืนตรงอย่างทระนงองอาจ เดินหน้าสู้ต่อภัยทั้งปวง ต่อสู้ตามแนวทางของตน ระลึกถึงแววตา เสียงร้อง อ้อมกอด และน้ำตา ของประชาชนที่ฝากความหวังให้กับพรรคก้าวไกล ตระหนักถึงภาระที่ประชาชนส่งมอบให้พรรคก้าวไกลนับแต่วันที่ 14 พฤษภาคม จนถึงวันนี้ การเมืองไทยได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง สู้จนกว่า…อำนาจสูงสุดจะเป็นของประชาชน

‘ปิยบุตร’ ประกาศวางมือ-งดแสดงความเห็นทางการเมือง พ้อ!! หมดกำลังใจ หลังโดนทัวร์ลงหนักจากทุกฝ่าย

(22 ก.ย. 66) นายปิยบุตร แสงกนกกุล หรือ ‘อาจารย์ป๊อก’ อดีตนักการเมืองสังกัดพรรคอนาคตใหม่ ได้ออกมาไลฟ์เปิดใจและวิพากษ์วิจารณ์คำตัดสินของ ‘ช่อ พรรณิการ์ วานิช’ ที่ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองตลอดชีวิต โดยนายปิยบุตร เผยว่าโดนโจมตีจากทุกฝ่าย ทำให้ตัดสินใจยุติการแสดงความเห็นทางการเมือง เพราะอยากกลับไปคิดถึงเรื่องของตัวเอง และปล่อยให้การเมืองเป็นหน้าที่ตามบทบาทของแต่ละคน

โดยนายปิยบุตร ได้ออกมาไลฟ์สดผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวนานกว่า 1 ชั่วโมง ก่อนจะเผยความในใจว่า ตอนนี้ตนรู้สึกเบื่อ ไม่รู้จะพูดเพื่อสาธารณชนไปทำไม เพราะเมื่อพูดก็โดนทัวร์ลงจากทุกฝ่าย ทั้งฝ่ายความมั่นคง และผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทย ตลอดจนผู้สนับสนุนพรรคก้าวไกล

ทำให้ตนเริ่มคิดว่าอยากจะพักผ่อนสบาย ๆ งดบทบาทในการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองในที่สาธารณะบ้าง ส่วนเรื่องงานเขียน นายปิยบุตรกล่าวว่าอาจหันไปเขียนอย่างอื่นบ้าง เช่น งานหนัง งานเพลง วอลเลย์บอล และฟุตบอล ไม่ต้องพูดเรื่องการเมือง

นอกจากนี้ นายปิยบุตรยังตั้งใจจะนั่งทบทวน เพื่อคิดถึงเรื่องของตัวเองบ้าง เพราะที่ผ่านมาคิดถึงแต่เรื่องสาธารณะมาตลอด เนื่องจากตนเริ่มคิดได้ว่าไม่รู้จะทำไปทำไม เพราะมีแต่คนเกลียดเข้ามาจากทุกทิศทาง จึงจะพยายามไม่พูดถึงสิ่งที่คนฟังแล้วไม่พอใจ

ทั้งนี้ นายปิยบุตรตั้งใจว่าจะกลับไปเขียนตำราหนังสือที่ทำค้างไว้ และหากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ เล็งเห็นว่า ตนมีประโยชน์ให้เชิญไปสอนบรรยายก็ยินดีรับงานเช่นกัน เพราะเสียดายความรู้ที่ร่ำเรียนมา ส่วนเรื่องการเมืองก็ปล่อยให้คนอื่นว่ากันไปตามบทบาทของแต่ละคน

‘ปิยบุตร’ จี้!! ‘สส.หื่น’ ยอมรับผิด ปมคุกคามทางเพศ อย่าปล่อยให้เพื่อนร่วมพรรครับหน้าชี้แจงไม่จบสิ้น

(21 ต.ค.66) นายปิยบุตร แสงกนกกุล อดีตสส.บัญชีรายชื่อ อดีตเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ รีทวีตข้อความบน x หรือทวิตเตอร์ ของ นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ โฆษกพรรคก้าวไกล ที่ชี้แจงเกี่ยวกับกรณีมี สส.พรรคก้าวไกล ถูกกล่าวหาคุกคามทางเพศ โดยระบุว่า เห็นใจพริษฐ์ และรองโฆษก และ สส.หญิงอีกหลายคน ที่ต้องมารับหน้าที่ ‘แบกพรรค’ แบบนี้

“ผมขอให้กำลังใจ สส.ก้าวไกล หลายๆ คนที่ออกมาต่อสู้เรื่องนี้ และพยายามผลักดันให้พรรคสร้างระบบทั้งป้องกันและแก้ไขอย่างยั่งยืน” นายปิยบุตร ระบุ

นายปิยบุตร ระบุต่อว่า สำหรับบุคคลที่ถูกกล่าวหา หากตระหนักว่า ตนเองทำผิดจริงอย่างที่ถูกกล่าวหา ควรออกมาขอโทษผู้เสียหาย ประชาชน เพื่อน สส. และพรรคก้าวไกล มิใช่ปล่อยให้พรรคและคนอื่นๆ ต้องมาชี้แจงไม่รู้จักจบจักสิ้น แสดงความรับผิดชอบ ไม่ต้องหนี ยอมรับผิด ขอโทษ พร้อมเข้าสู่กระบวนการ

“การกระทำเช่นนี้ ไม่ใช่เพื่อปกป้องตนเอง ไม่ใช่เพื่อปกป้องพรรคก้าวไกล แต่นี่คือมาตรฐานความรับผิดชอบ กล้าเผชิญหน้า และพร้อมจะปรับปรุงแก้ไข เพื่อสร้างมาตรฐานให้พรรคก้าวไกลและสังคมไทย เพื่อร่วมกันยุติความรุนแรงทางเพศและการคุกคามทางเพศ” นายปิยบุตร ระบุ


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top