Thursday, 22 May 2025
ทำเฒ่าเรื่องเพื่อน

ปัญหานมโรงเรียน ไย 'มหาดไทย' เงียบ ปล่อย 'ธรรมนัส-ปศุสัตว์' เต้นฝ่ายเดียว

"ขณะนี้ทราบข้อมูลว่า มีบริษัทใหญ่บางแห่งกีดกันไม่ให้มีการส่งนมโรงเรียน หลังการปรับหลักเกณฑ์ใหม่ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบ หากพบเป็นผู้ประกอบการรายใดกระทำผิด จะตัดสิทธิ์โควตานมโรงเรียนทันที พร้อมดำเนินคดีตามกฎหมายกีดกันทางการค้า ส่วนการแก้ปัญหาจัดส่งนมระยะเร่งด่วน สั่งการให้ อสค. ส่งนมไปยังพื้นที่ที่เกิดปัญหา ย้ำว่าวันนี้หรือภายในสัปดาห์นี้ ปัญหาต้องหมด"

นี่คือคำกล่าวของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ค่อนข้างกล่าวด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว หลังทราบว่า เปิดเรียนมาเป็นสัปดาห์ที่สองหลายโรงเรียน เด็กนักเรียนไม่ได้กินนมโรงเรียน ทั้งเชียงใหม่, นครสวรรค์, นครศรีธรรมราช และอีกหลายจังหวัด 

ร.อ.ธรรมนัส พุ่งตรงไปยังองค์การส่งเสริมกิจการโคนม (อสค.) ด้วยการสั่งให้ส่งนมให้กับโรงเรียนภาคในพรุ่งนี้ หรือสัปดาห์หน้า และเหมือนกับรู้ปัญหาบางอย่าง เช่น บริษัทผู้ผลิตนมโรงเรียนเจ้าใหญ่ก่อปัญหา ซึ่งก็เป็นข้อเท็จจริงบางส่วน แต่ไม่ใช่ข้อเท็จจริงทั้งหมด

อคส.แค่เป็นฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการจัดสรรพื้นที่ และการแบ่งโซนจำหน่าย และที่ผ่านมา อคส.ก็ถูกกีดกันไม่ให้รับรู้ข้อมูลบางอย่าง เช่น ปริมาณนมดิบที่แต่ละสหกรณ์ผลิตได้ และทำสัญญาขายให้กับโรงนมที่ไหน เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการจัดสรรการผลิตและพื้นที่จำหน่าย อคส.มารู้ข้อมูล 3 วันสุดท้ายก่อนการประชุม และ 6 วันก่อนเปิดเทอม

ใครผิดใครพลาดไปว่ากันให้ชัด? ทำไมการประชุมเพื่อแบ่งโควตาจึงมีขึ้นเมื่อวันที่ 13 พ.ค.ก่อนเปิดเทอมเพียงสามวัน? ขั้นตอนการปฏิบัติมีปัญหาอะไร? ตรงไหน?

อีกประการหนึ่งนมโรงเรียน จัดซื้อผ่านองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในแต่ละพื้นที่ โรงเรียนมีหน้าที่แค่รับไปแจก

อำนาจการจัดซื้ออยู่ที่ท้องถิ่น เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงพื้นที่การจำหน่ายตามปริมาณน้ำนมดิม บางพื้นที่จึงต้องมีการเปลี่ยนแปลงผู้จำหน่าย

วัวเคยค้าม้าเคยขี่ "เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงผู้จำหน่าย ผู้บริหารท้องถิ่นบางแห่งจึงยังไม่เซ็นสัญญาซื้อนม เด็กจึงอดกินนม ต้องมีมาเจรจาผลประโยชน์กันใหม่"

ประเด็นนี้ ทางกระทรวงเกษตรฯ จะไปบี้ อสค.อย่างเดียวไม่ได้ มหาดไทยต้องเข้ามาเกี่ยวข้อง

"มหาดไทยกำกับดูแลท้องถิ่น ต้องถามไปยังท้องถิ่นว่ามีปัญหาอะไร ทำไมไม่เซ็นสัญญาจัดซื้อนมโรงเรียนกับโรงเรียน จนก่อปัญหาเด็กไม่ได้กินนม" แหล่งข่าวกล่าว

ต้องยอมรับความจริงว่าวงการค้านมโรงเรียนคือ แหล่งผลประโยชน์ใหญ่ของผู้ประกอบการรายใหญ่ ไปกดรายเล็ก ทำนอง 'ปลาใหญ่กินปลาน้อย' และมีผู้ประกอบการโรงนมรายใหญ่เป็นคนกำหนดเกม กดดัน

"งานนี้จะโทษกระทรวงเกษตรฯ, กรมปศุสัตว์ และ อสค.อย่างเดียวไม่ได้ มหาดไทยต้องร่วมรับผิดชอบด้วย ก.เกษตรฯ ก็อย่ามัวแต่ขู่ จัดการให้จริงจังครับ" แหล่งข่าวสำทับ

ทว่า หลังจากรัฐมนตรีเกษตรฯ สั่งการว่านมโรงเรียนต้องจัดการให้เรียบร้อยในสัปดาห์หน้า กรมปศุสัตว์ก็เร่งโทรเช็กไปยังโรงนมอย่างกระตือรือร้น แต่โดนตอกกลับหน้าแตก

"ผมพร้อมส่งนมให้โรงเรียนทุกแห่งในพื้นที่รับผิดชอบ แต่ในเมื่อผู้บริหารท้องถิ่นไม่ยอมเซ็นสัญญา จะจัดส่งได้อย่างไร จะเก็บเงินจากใคร" แหล่งข่าวผู้ประกอบการ กล่าว

เอาเป็นว่า ปัญหานมโรงเรียนอาทิตย์หน้าไม่จบหรอก จนกว่าผลประโยชน์จะลงตัว

ยกย่อง 'ถาวร เสนเนียม' ขรก.การเมืองน้ำดี ผู้ทำคุณประโยชน์ให้กับจังหวัดสงขลา

เมื่อช่วงเช้าวันที่ 26 พ.ค.67 ที่ผ่านมา สมาคมชาวจังหวัดสงขลาได้จัดพิธีบำเพ็ญกุศลแด่ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตประธานองคมนตรี และอดีตนายกรัฐมนตรี ที่วัดบวรนิเวศน์วรวิหาร

ช่วงบ่ายเป็นการจัดประชุมใหญ่สามัญประจำปี และในโอกาสเดียวกันได้ทำพิธีมอบโล่เชิดชูเกียรติให้กับคนดีศรีแผ่นดินสาขาต่างๆ

สำหรับคนดีศรีแผ่นดินสาขาข้าราชการการเมืองผู้ทำคุณประโยชน์ให้จังหวัดสงขลา คือ นายถาวร เสนเนียม อดีต สส.สงขลา อดีตรัฐมนตรีช่วยมหาดไทย / อดีตรัฐมนตรีช่วยคมนาคม

ถาวร เสนเนียม ก่อนจะมาเป็นนักการเมือง ก็เป็นข้าราชการอัยการ ในเวลาเดียวกันก็ทำธุรกิจอีกหลายอย่าง เช่น ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์, ธุรกิจโรงโม่ เป็นต้น แต่ถึงเวลาหนึ่งตัดสินใจลาออกจากราชการ กระโดดเข้าสู่เวทีการเมือง และประสบความสำเร็จในนามพรรคประชาธิปัตย์ จนได้รับความไว้วางใจให้เข้าไปทำหน้าที่ฝ่ายบริหารมาแล้วสองสมัย สองกระทรวง

เมื่อศาลตัดสินให้ต้องโทษจำคุก จากคดี ชุมนุมทางการเมือง 'ถาวร' จึงต้องจำจากพรรคประชาธิปัตย์ด้วยข้อกำหนดของระเบียบพรรค ห้ามคนต้องโทษจำคุก เป็นสมาชิกพรรค

ถาวรก้าวเข้าสู่พรรคไทยภักดี แต่การเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา พรรคไทยภักดีไม่ประสบความสำเร็จในการเลือกตั้ง 'ถาวร' จึงเดินออกมา และเข้าสู่ร่ม 'พรรครวมไทยสร้างชาติ'

อนาคตทางการเมืองของ 'ถาวร' ในวัย 70 กว่า สุขภาพยังแข็งแรง และน่าจับตามองว่าจะก้าวเดินต่อไปอย่างไร

ลุ้น!! 'ชูศักดิ์ ศิรินิล' เข้าป้ายรัฐมนตรีแทน 'พิชิต ชื่นบาน' หลังทุ่มเทให้ค่ายนี้แบบสุดลิ่ม แค่ไม่มีถุงขนมให้ใคร

ไล่เช็กชื่อบุคคลในพรรคเพื่อไทยในเวลานี้คงไม่มีใครเหมาะสมมากไปกว่า รศ.ชูศักดิ์ ศิรินิล รองหัวหน้าพรรคและประธานคณะทำงานด้านกฎหมายพรรคเพื่อไทย ในการเข้าไปนั่งเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แทน พิชิต ชื่นบาน ที่ลาออกไปด้วยเหตุผลถูก 40 สว.ลงชื่อกันให้ตรวจสอบคุณสมบัติ และพิชิต ยอมเป็นม้าให้ขุนกิน

ชูศักดิ์จึงเหมาะสมยิ่งในการเข้ามาดูแลงานด้านกฎหมายให้รัฐบาล เพราะมองซ้ายมองขวาแล้วไม่เห็นใคร

ชูศักดิ์ อดีตอาจารย์รามคำแหง สอนวิชากฎหมาย เคยเป็นคณบดีคณะนิติศาสตร์ และไต่เต้ามาจนได้รับเลือกจากชาวรามคำแหง (อาจารย์ นักศึกษา เจ้าหน้าที่) ให้เป็นอธิการบดี

‘ติงลี่’ คือฉายาที่ได้รับจากชาวรามคำแหง ด้วยรูปร่าง หน้าตา บุคลิคตอนวัยหนุ่มใกล้เคียงกับพระเอกหนังจีน ‘ติงลี่’ ไว้หนวดเหนือริมปาก เป็นอธิการบดีต่อ ‘สุขุม นวลสกุล’

ออกจากรามคำแหงก็มุ่งหน้าสู่สายการเมือง ร่วมในภารกิจผลักดันพรรคไทยรักไทยมีตั้งแต่ยุคต้น ๆ และเป็น 1 ในกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ที่ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองนานถึงสิบปี

ชูศักดิ์ เมื่อพ้นจากการถูกตัดสิทธิ์ ก็ยังร่วมภารกิจกับเพื่อไทยมาโดยตลอด โดยไม่เคยได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีมาก่อนเลย ทั้ง ๆ ที่เสียสละ ทุ่มเทให้กับค่ายนี้มาโดยตลอด ไม่มีการเรียกร้อง เคลื่อนไหว กดดัน แม้จะมีโอกาสก็ตาม

แม้ ‘เศรษฐา ทวีสิน’ ในฐานะนายกรัฐมนตรี ผู้มีอำนาจเต็มจะมองไม่เห็น เพราะเพิ่งเข้ามาทีหลัง แต่เชื่อว่า ‘เจ้าสำนักจันทร์ส่องหล้า’ น่าจะมองเห็นกับผลงานเป็นที่ประจักษ์ ประวัติก็ไม่ด่างพล้อย เพียงแต่ไม่มีถุงขนมให้ใคร

แอบทำกันเงียบๆ เอาป่าสงวนอุทยานทับลาน เข้าโครงการ One Map แน่ใจได้อย่างไร ว่าที่ดินจะตกถึงมือเกษตรกร ไม่ไปอยู่ในมือนายทุน?

จากกรณีที่ นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานสัตว์ป่าและพันธุ์พืช บอกว่ายินดีรับฟังเสียงของประชาชน กรณี มติครม. จะเอาป่าสงวนอุทยานแห่งชาติทับลาน 265,286 ไร่ มาเข้าโครงการ One Map และยกที่ดินเข้าสำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตร (สปก.) นั้น

หากลงในรายละเอียดแล้ว โครงการ One Map มีเป้าหมายให้ทุกส่วนราชการใช้แผนที่เดียวกันในการแก้ปัญหาข้อโต้แย้ง ที่เดิมต่างฝ่ายต่างมีแผนที่ของตัวเอง ซึ่งน่าจะเป็นผลดี แต่ในทางปฏิบัติเมื่อไปยึดสัดส่วน 1:4000 จึงก่อให้เกิดปัญหามีที่ดินเหลือ จึงจะยกให้ สปก.ไปจัดสรรให้เกษตรกรทำกิน 

แต่จะแน่ใจได้อย่างไร ว่าที่ดินจะตกถึงมือเกษตรกร ไม่ไปอยู่ในมือของนายทุน?

ในวงประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์ที่ดินก็ตั้งข้อกังวลเรื่องนี้มาก่อนแล้ว แต่รัฐบาลก็ยังจะเดินหน้าเพิกถอนพื้นที่บางส่วนของอุทยานแห่งชาติทับลาน เอาไปให้แจกจ่ายกัน

ประเด็นข้อสงสัยทำไมต้องยึดสัดส่วน 1:4000 เมื่อรู้ทั้งรู้ว่าจะทำให้สูญเสียพื้นที่ป่าไม้ไป 265,000 ไร่ ซึ่งตามหลักวิชาการ ต้องมีพื้นที่ป่าไม่น้อยกว่า 25% เมื่อหลายปีก่อนพบว่า เรามีพื้นที่ป่าไม่ถึง 18% เวลาผ่านมาหลายปี ไม่รู้ว่าเวลานี้เรามีพื้นที่ป่าเหลืออยู่กี่เปอร์เซ็นต์ 

เราจึงไม่ควรสูญเสียพื้นที่ป่าไปอีกแล้ว ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม มีเพียบจะร่วมกันรณรงค์ไม่บุกรุกพื้นที่ป่า รณรงค์ให้ปลูกป่าเพิ่มขึ้น แต่ผู้ดูแลป่ากลับจะยกพื้นที่ป่าให้เอาไปทำลายกัน เป็นเรื่องที่คนไทยรับไม่ได้ และไม่ต้องอ้างว่า ต้นเรื่องมาจากรัฐบาลก่อน ถ้าไม่เห็นชอบก็ยกเลิกได้ แค่มติ ครม.

น่าแปลกใจว่าเรื่องนี้ ‘แอบทำกันเงียบ ๆ’ มาโผล่เป็นข่าวเมื่อต้องทำประชาพิจารณ์รับฟังความเห็นของประชาชน เสียงค้านจึงอื้ออึงขึ้นพร้อมกันทั้งประเทศ ไม่เห็นด้วยที่รัฐบาลจะเอาพื้นป่าที่ดีที่สุดของชาติ ไปพัฒนาแบบผิด ๆ ป่าทับลานมีพื้นที่รวมกันถึง 1,398,000 ไร่ รัฐบาลจะเอาไปใช้ในชุดแรก 18.59%

ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น มรดกโลกกำลังถูกคุกคามครั้งใหญ่ ประชาชนเริ่มออกมาปกป้องกันแล้ว ถ้าไม่ออกมาอาจจะสายเกินแก้ ผลงาน สปก.ที่นายทุนเอามาทำรีสอร์ท กว่า 400 แห่งยังไม่สามารถรื้อถอนได้ทั้ง ๆที่มีคำสั่งศาลให้รื้อถอนแล้ว นี่คือการสะสมปัญหาใหม่ชัด ๆ

จากความพยายามให้ต่างชาติสามารถเช่าที่ดินไทยได้ถึง 99 ปีและยังจะให้ต่างชาติถือครองคอนโด ได้อีก 75% เรื่องนี้ยังไม่จบ จะมาเอามาทับลานไปพัฒนาอีกแล้วจะพัฒนาอะไรกันนักหนา ขยันผิดปกติไปหรือเปล่า?

ทรัพยากรป่าไม้ของเรา เหลือน้อยเต็มทีแล้ว อย่าให้ใครมาทำลายอีกเลย หาวิธีการแก้ปัญหาด้วยวิธีอื่นเถอะครับ

‘ปลอดประสพ’ กร้าว!! “กินทับลาน มีเรื่องกับผมแน่นอน” ร่วม #Saveทับลาน ค้านจัดสรรเป็นที่ดิน สปก.

“กินทับลาน มีเรื่องกับผมแน่นอน”

นี่เป็นประโยคที่ ‘ดร.ปลอดประสพ สุรัสวดี’ อดีตอธิบดีกรมป่าไม้ ได้เขียนและโพสต์ลงในแพลตฟอร์มเฟซบุ๊ก พร้อมข้อความต่อมาว่า…

“รูปนี้ถ่ายที่อุทยานแห่งชาติทับลานเมื่อ 4-5 ปีที่แล้ว ที่พกปืนเพราะกำลังมีเรื่อง ตอนนี้มีคนจะมาเอาทับลานอีกแล้ว ขอย้ำว่า อธิบดีกรมป่าไม้คนแรกที่ไปจับกุมการบุกรุกทับลานเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้วชื่อปลอดประสพนะครับ ผมจะไม่มีวันเปลี่ยนความคิดแน่นอน สงสัยคราวนี้จะต้องอาสาคุณประวัติศาสตร์ หัวหน้าอุทยานทับลานซึ่งเป็นลูกน้องเก่า ไปช่วยเฝ้าอีกเสียแล้ว”

นี้เป็นการประกาศจุดยืนชัดเจนของคนในพรรคเพื่อไทยไม่เห็นด้วยกับการถอนพื้นที่อุทยานแห่งชาติทับลาน 265,000 ไร่ ไปจัดสรรเป็น สปก.

คงหลับตาเห็นภาพเก่า ๆ ของปลอดประสพ ทั้งดุดัน และจริงจัง และเป็นคนคิดเปลี่ยนเครื่องแบบของข้าราชการกรมป่าไม้ อีกภาพที่จำได้ คือการยืนบนหัวเรือไล่ล่าจระเข้ หลุดจากฟาร์มเลี้ยง

พ้นจากข้าราชการประจำ ปลอดประสพก็กระโดดเข้าสู่เวทีการเมืองในนามพรรคไทยรักไทยในยุคก่อตั้ง ในยุคทักษิณ ชินวัตร เรืองอำนาจ เมื่อไทยรักไทยถูกยุบ ก็แปลงร่างมาเป็นพรรคพลังประชาชน และพรรคเพื่อไทยในปัจจุบัน

แม้นการเพิกถอนพื้นที่ป่าอุทยานแห่งชาติทับลานไม่ได้ริเริ่มขึ้นจากรัฐบาลเพื่อไทย ที่มีเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี แต่รัฐบาลเพื่อไทยก็ไม่ได้คัดค้าน แถมยังเดินหน้าต่อไป นายกฯ เศรษฐาเป็นคนให้สัมภาษณ์เองด้วยซ้ำว่าจะเดินหน้าต่อไปจนกว่าจะสำเร็จ เช่นเดียวกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ 

เป็นการประกาศเดินหน้าท่ามกลางเสียงค้านอื้ออึงทั้งในสื่อกระแสหลัก และในสื่อโซเชียล ที่ติด #saveทับลาน พร้อมรณรงค์ให้ร่วมกันลงชื่อคัดค้านการถอนป่าทับลาน

ไม่ใช่เป็นการคัดค้านเพราะรักและหวงแหนในผืนป่าอย่างเดียว แต่ยังตั้งข้อสังเกตว่า ที่ดินที่นำไปจัดสรรเป็น สปก.นั้น จะตกถึงมือเกษตรกรจริงหรือ หรือจะตกไปอยู่ในมือของนายทุนกันแน่

ขอบคุณคุณปลอดประสพที่รักษาจุดยืนไม่เปลี่ยนแปลง แม้จะเป็นแนวทางของรัฐบาลที่มาจากพรรคเดียวกันก็ตาม

‘ชาวสงขลา’ โอด!! ‘เศรษฐกิจแย่’ กระตุ้น ‘โจรลักแทงปาล์ม’ ระบาดหนัก ‘ผู้ว่าฯ สงขลา’ ไม่นิ่ง!! เรียกถกด่วน หาแนวทางดูแลทุกข์-สุขชาวบ้าน

จากกรณีนักข่าวได้รับการร้องเรียนประเด็นโจรระบาดหนักในพื้นที่คาบสมุทรสทิงพระ จ.สงขลา ลอบลักแทงปาล์ม ลักแม้กระทั่งกล้วย สายไฟ อันเป็นผลมาจากเศรษฐกิจย่ำแย่ ยาเสพติดระบาดหนัก คนไม่มีงานทำ ขาดรายได้

ล่าสุด (11 ก.ค. 67) ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลาเรียกประชุมด่วน ณ ห้องประชุมที่ว่าการอำเภอสทิงพระ เวลา 11.00 น. ทั้งผู้บังคับการจังหวัด ผู้กำกับทุกอำเภอ นายอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ทุกอำเภอ ทุกพื้นที่ บนคาบสมุทรสทิงพระ เพื่อสั่งการแก้ปัญหาเรื่อง ‘โจรลักขโมย’ สร้างปัญหา สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชน อย่างเร่งด่วน

กล่าวสำหรับโจรลักขโมยแทงผลปาล์ม และลักขโมยผลผลิตผลทางการเกษตร ไม่ได้มีเฉพาะคาบสมุทรสทิงพระ แต่เกิดขึ้นเป็นการทั่วไป อย่างนครศรีฯ อ.หัวไทร เชียรใหญ่ ปากพนัง ชะอวด ก็มีโจรชุกชุมจริง ๆ เผลอไม่ได้ โดยจะขโมยแทงสวนปาล์มในเวลากลางคืน โจรจะตระเวนหมายตาไว้ตั้งแต่ช่วงกลางวัน

ในจ.ตรัง จ.สตูล ก็ปรากฏเป็นข่าวให้เห็นบ่อยครั้งถึงโจรขโมยแทงผลปาล์มไปขาย ยิ่งในช่วงปาล์มราคาดี โจรยิ่งชุมนัก

‘เทพไท เสนพงศ์’ อดีต สส.นครศรีฯ พรรคประชาธิปัตย์ เคยเสนอทางแก้ไว้น่าสนใจ จึงขอนำกลับมาเสนออีกครั้ง เผื่อเจ้าหน้าที่จะฉุกคิดขึ้นมาได้

“การแก้ปัญหา ‘การขโมยผลปาล์มน้ำมัน’ ของเกษตรกร ต้องเริ่มต้นที่ลานเทรับซื้อปาล์มสดจากเกษตรกร จะต้องมีความเข้มงวดในการรับซื้อ ‘ปาล์มน้ำมัน’ จากผู้ขายรายย่อยที่นำผลปาล์มน้ำมันจำนวนน้อยมาขาย เช่น ใส่รถมอเตอร์ไซด์พ่วงข้าง ใส่รถเข็น ใส่เข่งจำนวนไม่กี่ทะลาย วิธีการแก้ไข ต้องขึ้นทะเบียนเกษตรกรชาวสวนปาล์ม มี ‘บัตรประจำตัวเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมัน’ มีคิวอาร์โค้ด ชิปบันทึกข้อมูลในบัตร สามารถตรวจสอบข้อมูลได้ทั้งหมด ถ้าผู้ขายปาล์มรายใดไม่มีบัตรเกษตรกร ชาวสวนปาล์ม ก็ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นพวกขโมยปาล์มมาขาย ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจจะต้องประสานงานกับลานเทปาล์ม ที่รับซื้อปาล์มสดจากเกษตรกรอย่างใกล้ชิด”

ส่วนตัว #นายหัวไทร เห็นด้วยว่า ลานเทรับซื้อผลปาล์มควรจะเข้มงวด เคร่งครัดกับผู้ขายรายย่อย แต่บางครั้งเจ้าของลานเทกลับรู้เห็นเป็นใจ ทั้ง ๆ ที่รู้ว่า คนที่เอาผลปาล์มมาขาย ไม่ได้มีสวนปาล์ม แต่ยังรับซื้อ ซึ่งถ้าสืบกันในเชิงลึก อาจจะเข้าข่าย ‘รับซื้อของโจร’

จึงควรหาทางควบคุมลานเท ไม่ให้รีบซื้อผลปาล์มที่ไม่มีที่มาที่ไป เอาง่าย ๆ ว่า ไม่ควรรับซื้อของโจร ซึ่งถ้าเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้มงวด เอาจริงเอาจัง ก็จะมีความผิดทั้งผู้ซื้อ และผู้ขาย

มีเจ้าของสวนรายหนึ่งในอำเภอปากพนังโทรมาแต่เช้า “ทอกขี้นั่งเลยพี่เห้อ” เมื่อเช้าเข้าสวนปาล์มไปเจอโดนโจรแทงปาล์มหมดสวน

“ไม่รู้จะทำอย่างไรดี แจ้งตำรวจก็แล้ว แจ้งกำนัน ผู้ใหญ่บ้านก็แล้ว ไม่ได้ผล จึงต้องแจ้งพี่ให้ช่วยกระทุ้งหน่อย”

ผมเองก็ไม่ได้มีหน้าที่โดยตรง ทำได้ก็แค่แจ้งข่าว บอกข่าวกันไป เผื่อเข้าหูเข้าตาเจ้าหน้าที่บ้าง จะได้เข้าไปจัดการปัญหา

ซึ่งปัญหาใหญ่เกิดจาก ‘เศรษฐกิจที่ย่ำแย่’ คนไม่มีงานทำไม่มีรายได้ ไม่มีอาชีพ และปัญหาการแพร่ระบาดของยาเสพติด ที่ลุกลามไปทุกชุมชน ซึ่งกลุ่มเยาวชนที่ติดยาเสพติดก็ไม่มีอาชีพ จึงออกขโมย เพื่อหารายได้มาซื้อยา

สงขลาตื่นแล้ว แต่จังหวัดอื่น ๆ ไม่รู้ว่า คนดูแลทุกข์สุขของชาวบ้าน ตื่นกันแล้วหรือยัง

ชีวิตการเมือง 'ชลน่าน ศรีแก้ว' สุดท้ายก็ 'เข้าวัด' ปฏิบัติธรรม

'นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว' อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย, อดีตรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข ผู้ที่นำพาพรรคเพื่อไทย ร่วมเจรจาจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคก้าวไกล แต่ไม่สำคัญ สุดท้ายฉีกเอ็มโอยูตามคำสั่งนายใหญ่ 

พรรคเพื่อไทยมาเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลเอง โดยมี 'เศรษฐา ทวีสิน' เป็นนายกรัฐมนตรี ส่วนตัวของ นพ.ชลน่าน เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขอยู่เพียงไม่นาน ก็ถูกปรับออก ให้ สมศักดิ์ เทพสุทิน ไปนั่งแทน

โดย นพ.ชลน่าน ไม่มีตำแหน่งอะไรในรัฐบาลนี้อีกต่อไป ยังเหลือเพียงเป็น สส.ที่ลดบทบาทตัวเองลงไปมาก ไม่เหมือน นพ.ชลน่าน ครั้งเป็นฝ่ายค้าน

สุดท้ายก็ 'เข้าวัด' ปฏิบัติธรรม!!

นี่เป็นบทเรียนครั้งสำคัญของนักการเมือง ที่ถวายตัวรับใช้ เป็นหนังหน้าไฟให้ 'นาย' อย่างจงรักภักดี พร้อมเดินตามรอยนักการเมืองอีกมากรายในค่ายนี้ ที่หลายคนไปนอนอยู่ในคุกบ้าง เพียงแต่โชคยังดีที่ นพ.ชลน่าน ได้ไปนอนวัด ได้เห็นแสงแห่งธรรม

ว่าแล้ว...สังคมไทยก็กำลังเฝ้าติดตามชะตากรรมของ 'เศรษฐา ทวีสิน' ต่อ...ว่าชีวิตการเมืองจะถูกสังหารลงด้วยวิธีการใด

ประชาชนได้อะไร? ตั้งจังหวัดใหม่ 'สว่างแดนดิน' และ 'ทุ่งสง'  ทำไม? ไม่ตั้งเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ 

ในฐานะเป็นคนเกิดอำเภอหัวไทร จ.นครศรีธรรมราช เป็นคนนครศรีฯ โดยกำเนิด ไม่เห็นด้วยกับความพยายามในการแยกจังหวัดนครศรีธรรมราช ออกไปจัดตั้งจังหวัดทุ่งสง

สุธรรม จริตงาม สส.พลังประชารัฐ นครศรีธรรมราช พร้อม สส.พรรคเดียวกัน 20 คน ลงชื่อเสนอให้ญัตติให้สภาตั้งกรรมาธิการขึ้นมาศึกษาแยก อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร และ อ.ทุ่งสง ออกไปจัดตั้งจังหวัดใหม่ เรียกว่าจังหวัดสว่างแดนดิน และจังหวัดทุ่งสง แต่ญัตติยังไม่ได้รับการบรรจุเข้าที่ประชุมสภา เนื่องจากที่ประชุมคณะกรรมการประสานงาน (วิป) เห็นว่า มีเรื่องอื่นที่เร่งด่วนกว่า จึงสลับเอาเรื่องอื่นขึ้นมาพิจารณาก่อนในการประชุมเมื่อวันที่ 18 กรกฏาคมที่ผ่านมา

ในมุมของ #นายหัวไทร ถือว่าเป็นการเสนอกฎหมายที่ล้าหลัง ไม่ก้าวหน้า เพราะเป็นการเปิดให้มีการขยายตัวของราชการส่วนภูมิภาค อันเป็นตัวแทนของรัฐบาลกลางที่แบ่งอำนาจไปตามเมืองต่างๆ สวนกระแสสังคมโลกที่เน้นการกระจายอำนาจ (ท้องถิ่น) เปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการ

เหตุผลของคณะ สส.ผู้เสนอญัตติระบุว่า ด้วยอำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร เป็นอำเภอที่ จัดตั้งมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2406 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ตั้งเมืองภูมิดลสว่าง

เมืองสว่างแดนดิน เป็นเมืองที่ขึ้นกับมืองสกลนคร ต่อมาภายหลังได้เปลี่ยนมาเป็นอำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร

โดยมีสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมมากมาย เช่น พระบรมธาตุเจดีย์ศรีมงคล หลวงปู่คำบ่อ และปราสาทขอม บ้านพันนา เป็นต้น 

ส่วนอำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นอำเภอที่มีความเจริญเป็นอันดับสองของจังหวัดนครศรีธรรมราช รองจากอำเภอเมือง เนื่องจากมีที่ตั้งอยู่ตรงกลางของภาคใต้และเป็นจุดศูนย์กลางคมนาคมทางบกทั้งรถยนต์และรถไฟ อำเภอทุ่งสงมีประวัติความเป็นมายาวนาน 

ปรากฏตามตำนานเมืองนครศรีธรรมราชว่าเคยเป็นแขวง ขึ้นอยู่ในการปกครองของเมืองนครศรีธรรมราชตั้งแต่สมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ เมื่อได้มีการเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองจากมณฑล เป็นจังหวัด เมื่อ พ.ศ. 2440 ได้จัดตั้ง เป็นอำเภอทุ่งสงขึ้นกับจังหวัดนครศรีธรรมราช 

แต่ปัจจุบันพบว่า อ.ทุ่งสงมีปัญหาภูมิประเทศในเรื่องระยะทาง ทำให้การติดต่อระหว่างอำเภอที่ห่างไกลและจังหวัดเป็นไปด้วยความยากลำบาก และใช้ระยะเวลาในการเดินทางมากเกินควร 

ซึ่งมีความสอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2524 ว่าด้วยหลักเกณฑ์การตั้งจังหวัดใหม่ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ที่ต้องพิจารณาลักษณะพิเศษของจังหวัด ผลดีในการให้บริการประชาชน และหลักเกณฑ์อื่นๆ เช่น เหตุผลทางประวัติศาสตร์ การเมือง และวัฒนธรรมของท้องถิ่นและนโยบายของรัฐบาล เป็นตัน 

จากเหตุผลดังกล่าวคณะ สส.พลังประชารัฐ จึงเห็นสมควร แยกอำเภอสว่างแดนดิน ออกจากจังหวัดสกลนคร และ แยกอำเภอทุ่งสง ออกจากจังหวัดนครศรีธรรมราช พร้อมจัดตั้งขึ้นเป็นจังหวัดสว่างแดนดิน และจังหวัดทุ่งสง เพื่อประโยชน์ในการจัดระเบียบการปกครอง การรักษาความมั่นคงและการอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนในพื้นที่ 

อีกทั้งเพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน กระจายความเจริญสู่ภูมิภาค และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนเป็นการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ โดยเป็นศูนย์กลางทางการเงิน การค้า การลงทุน การอุตสาหกรรม การคมนาคม การศึกษา เทคโนโลยีรวมถึงอื่นๆ ได้อย่างยั่งยืนต่อไป 

กล่าวเฉพาะอำเภอทุ่งสง ถ้าแยกไปจัดตั้งเป็นจังหวัด จะมีอะไรเป็นอัตลักษณ์ของความเป็นเมือง ปัจจุบันมีพระบรมธาตุฯ เป็นอัตลักษณ์ที่ชาวนครศรีฯภาคภูมิใจ เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ และกำลังเสนอต่อยูเนสโก เพื่อขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ถามว่าแล้วทุ่งสงมีอะไร มีสถานีรถไฟ มีพ่อท่านคล้ายวาจาสิทธิ์ จะเป็นเมืองที่ขาดอัตลักษณ์

ถามว่าแยกเป็นจังหวัดใหม่ประชาชนได้อะไร? นี่คือธงนำ ประชาชนจะได้งบประมาณจัดตั้งจังหวัดใหม่ 2,000 ล้าน จะได้ศาลากลางหลังใหม่ ได้ผู้ว่าฯ เพิ่มมาอีกคน ได้นายกฯ อบจ. ได้ข้าราชการส่วนภูมิภาคเพิ่มขึ้น แต่ชีวิตความเป็นอยู่ การดำรงชีพของชาวบ้านดีขึ้นไหม และทุ่งสงจะเป็นอีกจังหวัด นอกจากยะลา ที่ไม่ได้อยู่ติดทะเล

การยกเหตุผลว่าห่างไกลจากตัวจังหวัด การคมนาคมยากลำบาก ในสถานการณ์ปัจจุบัน ไม่น่าจะจริง เดี๋ยวนี้ถนนหนทางสะดวกสบาย เกือบทุกบ้านมีรถยนต์ แค่ชั่วโมงเดียวก็ถึงตัวเมืองแล้ว ถ้าเป็นสมัยปี 2529-2530 ที่ 'ถวิล ไพรสณฑ์' เสนอให้จัดตั้งจังหวัดทุ่งสง อ้างเรื่องการคมนาคมเป็นเหตุผลหนึ่ง ยังพอรับฟังได้ แต่ปัจจุบันไม่ใช่

“ยังคิดแยกจังหวัด/ผมว่ามันไม่มีเหตุผลเท่าไหร่ คนเห็นด้วยก็ดราม่าไปเรื่อยโน่นนี่นั่น/เอาเงิน2พันล้านที่จะสร้างศูนย์ราชการใหม่ทำประโยชน์กับคนพื้นที่ก่อนดีมั้ย/เพราะแค่เหตุผลมีศาล มีคุก มีขนส่งใกล้บ้านมันก็มีหมดแล้ว...หลายจังหวัดก็มี นอกจาก 'เหล้าขาว' ที่ต้องซื้อเฉพาะในเขตจังหวัด/ข้าราชการที่ย้ายไปอยู่กิ่งจังหวัดส่วนใหญ่ก็คิดแค่เป็นกระดานหกไปที่อื่นท้างน้าน” ความเห็นจากนิกร จันพรม ชาวไร่ขอนแก่น

แต่ต้องยอมรับความจริงว่า ทุ่งสงมีความเจริญ เป็นรองก็แค่อำเภอเมือง เป็นศูนย์กลางการคมนาคม ศูนย์กลางกระจายสินค้า มีศาลจังหวัด มีสำนักงานอัยการ มีความพร้อมในระดับหนึ่ง

ถ้า สส.หัวก้าวหน้าหน่อย ต้องเสนอให้ทั้งสองอำเภอ ยกฐานะเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ หรือจังหวัดจัดการตนเอง อย่างนี้น่าสนใจกว่า เป็นการกระจายอำนาจให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการเมือง ผ่านการเลือกตั้ง ผู้บริหารเมืองอาจจะเรียกว่า 'นายกเมือง' อย่างพัทยา ก็ได้ หรือ 'นายกนคร' แล้วแต่กฎหมายจะยกฐานะเป็นอะไร หรือจะเรียกว่า 'ผู้ว่าฯ' ก็ได้ แต่มาจากการเลือกตั้ง เหมือนกรุงเทพมหานคร

ถ้าเสนอออกมาในรูปแบบจังหวัดจัดการตนเอง หรือองค์ปกครองท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ ก็จะเป็นกฎหมายที่ก้าวหน้า และสองจังหวัดนี้ก็จะเป็นจังหวัดนำร่องกับการปกครองรูปแบบใหม่

อย่างทุ่งสงอาจจะเรียกชื่อใหม่ว่า 'นครทุ่งสง' อย่างน้อยก็มีร่องรอยของประวัติศาสตร์ว่า เคยขึ้นอยู่กับจังหวัดนครศรีธรรมราช

การเสนอให้มีการจัดตั้งจังหวัดใหม่สะท้อนด้วยว่า พรรคพลังประชารัฐ ไม่มีแนวคิด และไม่จริงจังจริงใจอะไรกับการกระจายอำนาจ แถมยังห่วงอำนาจ ขยายฐานอำนาจออกไปอีก อันเป็นแนวคิด 'อำนาจนิยม'

ไม่ใช่ครั้งแรกในความพยายามแยก อ.ทุ่งสง เพื่อจัดตั้งจังหวัดใหม่ มีรายงานผลการศึกษามากมาย จริงๆไม่ต้องเสนอให้สภาตั้งกรรมาธิการศึกษาให้เสียเวลา เสียงบประมาณ 

ถ้าตั้งใจจริง เสนอ พรบ.จังหวัดทุ่งสง และสว่างแดนดินไปเลย ร่างก็เคยมีให้อ่านกันอยู่แล้ว จะได้เห็นกันว่า สภาเราคิดอะไรกันอยู่ และจะผ่านความเห็นชอบหรือไม่?

แต่ย้ำว่านายหัวไทรชูมือคัดค้านแน่นอน

ย้อนอดีต ‘พรรคประชาชน’ กับ ‘กลุ่ม 10 มกราฯ’ ในพรรคประชาธิปัตย์ คนอกหักทางการเมือง ที่ไม่มีใครเห็นหัว สุดท้ายก็ยุบตัว ในสถานการณ์ที่ร่อแร่

(10 ส.ค.67) เมื่อคณะอดีตพรรคก้าวไกลที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้ยุบพรรค และตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรค 10 ปี ได้อพยพกันไปอยู่พรรคใหม่ “ถิ่นกาขาวชาววิไล และเปลี่ยน ชื่อพรรคมาเป็น 'พรรคประชาชน'

ถามว่าพรรคประชาชนเคยมีตัวตนอยู่จริงไหม คนรุ่น 50-60 ขึ้นไปจะตอบได้ว่า “มี” อันก่อกำเนิดมาจากกลุ่ม 10 มกราฯในพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นกลุ่มอกหักทางการเมือง ถูกถีบส่งออกมา มี 'เฉลิมพันธ์ ศรีวิกรม์-วีระ มุสิกพงศ์' เป็นแกนนำหลัก ออกจากพรรคประชาธิปัตย์ มาตั้งพรรคใหม่ ใช้ชื่อว่า 'พรรคประชาชน' ใช้คำขวัญพรรคว่า 'ของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน'

พรรคประชาชนมีชื่อเดิมว่าพรรครักไทย จดทะเบียนก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2526 ต่อมาในปี พ.ศ. 2530 พรรครักไทยได้เปลี่ยนแปลงชื่อพรรคเป็น พรรคประชาชน

คณะพรรคประชาชนมาเปิดที่ทำการพรรคอยู่ริมคลองประปา ตั้งอยู่ข้ามกระทรวงการคลัง ไม่ไกลจากที่ทำการของพรรคประชาธิปัตย์มากนัก ถ้าเป็นต่างจังหวัดพูดได้ว่า ตะโกนกันได้ยิน

กลุ่ม 10 มกราฯก่อตัวมาจากความขัดแย้งในการฟอร์มทีมจัดตั้งรัฐบาล ในยุคที่ 'พิชัย รัตตกุล' เป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ มีดร.พิจิตต รัตตกุล ลูกชายได้รับการคัดเลือกให้เป็นรัฐมนตรี ในขณะที่สายของ 'เฉลิมพันธ์-วีระ' ถูกมองข้าม แม้กระทั่งในกลุ่มวาดะห์ ก็ไม่มีใครเห็นหัว ไม่มีตำแหน่งใด ๆ

ความขัดแย้งขยายผลมาถึงการเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ของพรรคประชาธิปัตย์ แบ่งเป็นสองทีมลงแข่งขันกันชัดเจน สายของ 'เฉลิมพันธ์-วีระ' พ่ายแพ้ศึกชิงหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค

กลุ่มของ 'เฉลิมพันธ์-วีระ' ถูกเฉดหัวออกมาอย่างไม่มีปรานีปราศรัย ตัดญาติขาดมิตรต่อกัน กลุ่มก้อนการเมืองสายนี้จึงก่อเกิดเป็น 'พรรคประชาชน'

พรรคประชาชนยุคเปลี่ยนผ่านจึงมีหัวหน้าชื่อเฉลิมพันธ์ ศรีวิกรม์ เลขาธิการชื่อวีระ มุสิกพงศ์ คำขวัญ ของพรรคประชาชน คือโดยประชาชน เพื่อประชาชน

สถานการณ์ทางการเมือง ทำให้พรรคประชาชนไปยุบรวมกับพรรคการเมือง อื่นๆอีก 4 พรรค เช่นพรรคกิจประชาคม พรรคก้าวหน้า เป็นต้น ก่อกำเนิดเป็น 'พรรคเอกภาพ' 

แกนนำของพรรคประชาชนในยุคนั้นนอกจากเฉลิมพันธ์ ศรีวิกรม์ เป็นหัวหน้าพรรค และวีระ มุสิกพงศ์ เป็นเลขาธิการพรรค ยังมีแกนนำคนสำคัญ อาทิ เดโช สวนานนท์ ไกรสร ตันติพงศ์ เลิศ หงษ์ภักดี อนันต์ ฉายแสง สุรใจ ศิรินุพงศ์ ถวิล ไพรสณฑ์ พีรพันธุ์ พาลุสุขสัมพันธ์ เลิศนุวัฒน์ กริช กงเพชร กลุ่มวาดะห์ในสามจังหวัดชายแดนใต้

เลือกตั้งครั้งแรก ปี 2532 พรรคประชาชนกวาดที่นั่งในสภามาร่วม 40 ที่นั่งในสถานการณ์ที่พรรคร่อแร่ 'วีระ มุสิกพงศ์' เลขาธิการพรรคติดคุกในช่วงหาเสียงเลือกตั้งคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ถวิล ไพรสณฑ์ ขึ้นมารักษาการเลขาธิการพรรคแทน

มาถึงวันนี้อดีตคนพรรคก้าวไกลตัดสินใจใช้ชื่อ 'พรรคประชาชน' อีกครั้งกับโฉมใหม่ โลโก้เป็นไป คำขวัญเป็นไป จุดยืนทางการเมืองที่ไม่เหมือนกัน มีเป้าหมายชัดเจนว่า เลือกตั้งปี 70 ต้องได้เกินครึ่งของสภา จัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียว

ติดตามกันต่อไปครับว่า พรรคประชาชนอันมีรากเหง้ามาจากพรรคก้าวไกล จะเดินไปบรรลุเป้าหมายหรือไม่ หรือเป็นฝ่ายค้านต่อไป ไม่มีใครร่วมด้วย (ถ้าได้ไม่ถึงครึ่ง)

จับตา!! 'เอกนัฏ-จักรภพ' เข้าคิวเสียบ 'ครม.อุ๊งอิ๊ง' 'เพื่อไทย' โละรมต.สายนิด ตัดหาง 'วงษ์สุวรรณ'

หลังจากมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าแต่งตั้ง แพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีตามผลโหวตในสภาผู้แทนราษฎร โผการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีก็สะพัด มีทั้งคนที่จะหลุดโผ คนเข้ามาใหม่ และคนที่ยังอยู่ รวมถึงบางคนขยับขึ้นไปในอีกระดับหนึ่ง

ฝุ่นคงจะตลบไปอีก 2-3 วัน จนกว่าทุกอย่างจะนิ่ง สะเด็ดน้ำ อย่างในส่วนของพรรคเพื่อไทย ที่ข่าวบางกระแสว่า รัฐมนตรีชุดสุดท้ายใน ครม.เศรษฐา ที่อาจจะไม่ได้กลับมาใน ครม.อุ๊งอิ๊ง ก็มีเช่น สุทิน คลังแสง อดีต รมว.กลาโหม ที่ก่อนหน้านี้ได้ต่อวีซ่า ตอนปรับ ครม.เมื่อเมษายน 2567 ที่ผ่านมา แต่รอบนี้อาจจะหลุด

พิชัย ชุณหวชิร อดีตรองนายกฯ และ รัฐมนตรีการคลัง ที่เป็นสายยิ่งลักษณ์ ชินวัตร-เศรษฐา เพราะพิชัยเคยไปเป็นพยานขึ้นเบิกความที่ศาลฎีกาฯ ช่วยยิ่งลักษณ์ในคดีจำนำข้าว จึงต้องมีการตอบแทนกัน แต่ตอนนี้วีซ่าขาดแล้ว โดยลือกันว่า จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ จะพาชั้นจาก รัฐมนตรีช่วยคลัง ขึ้นเป็น รัฐมนตรีว่าการคลัง รวมถึง จักรพงษ์ แสงมณี อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ก็มีชื่อว่าไม่ได้กลับมาเป็น รมต.อีกรอบ เป็นต้น  

ส่วนคนที่คาดว่า จะมีชื่อได้ลุ้นในสัดส่วนของพรรคเพื่อไทยมีชื่อ 'จักรภพ เพ็ญแข' รอเสียบเข้ามาในโผ ครม.อุ๊งอิ๊ง 1, ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ สส.กทม.หนึ่งเดียวของพรรคเพื่อไทย ที่ชนะก้าวไกลมาได้ 4 คะแนน ก็อาจได้ลุ้นเป็นรัฐมนตรีดูแล กทม.ของเพื่อไทยในอนาคต และยังมีชื่อ 'สรวงศ์ เทียนทอง' เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ซึ่งหลายเดือนที่ผ่านมา ทำงานสอดประสานกับอุ๊งอิ๊ง หัวหน้าพรรคเพื่อไทยได้เป็นอย่างดี ก็มีข่าวว่า มีสิทธิ์ลุ้นตำแหน่งรัฐมนตรีเช่นกัน

พอเริ่มมีข่าวโยนหินถามทางออกมาโผ เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์กันว่า นักการเมือง-สส.เพื่อไทยสาย 'อุ๊งอิ๊ง' หรือที่เรียกกันในเพื่อไทยว่า 'แก๊งมินต์ช็อก' กำลังจะผงาดยกแผง ใน ครม.อุ๊งอิ๊ง เพราะเดิมที อดีต รมต.สายมินต์ช็อกหลายคนใน ครม.เศรษฐา ก็มีข่าวว่าก็ยังรักษาเก้าอี้ไว้ได้ ใน ครม.อุ๊งอิ๊ง ไม่ว่าจะเป็น จิราพร สินธุไพร อดีต รมต.สำนักนายกฯ, เผ่าภูมิ โรจนสกุล อดีต รัฐมนตรีช่วยคลัง รวมถึง สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีวัฒนธรรม 

เท่ากับว่า นักการเมือง-สส.เพื่อไทยกลุ่มมินต์ช็อก ที่คอยประกบซ้ายประกบขวาอุ๊งอิ๊งหลายคน อาจได้ผงาดใน 'ครม.แพทองธาร 1' ถ้าชื่อผ่านความเห็นชอบจากทักษิณ แต่ก็มีข่าวว่าบางชื่อตามข่าวอาจไม่ผ่าน เพราะวัยวุฒิ-ฝีมือ ยังไม่โดนใจทักษิณ จึงอาจต้องขัดใจลูกสาว กาหัวว่าไม่โอเค

แต่ข่าวที่ทำให้ลุงป้อม-ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพลังประชารัฐหัวฟัดหัวเหวี่ยง คือ 'ไม่เอาวงษ์สุวรรณ' เป้าตรงไปยัง 'พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ' อดีตรองนายกฯ และอดีต รมว.ทรัพยากรธรรมชาติฯ จากพลังประชารัฐ

ทักษิณสุดทนกับ 'ลุงป้อม-พลเอกประวิตร' กับท่าทีหลายอย่าง ที่ไม่สนใจเพื่อไทย ล่าสุดก็ไม่ไปประชุมสภาฯ ร่วมโหวตให้ลูกสาวอุ๊งอิ๊งเป็นนายกฯ เพราะแม้จะติดงานเลี้ยงฉลองนักกีฬาโอลิมปิกฯ แต่ของแบบนี้ทักษิณคงมองว่า ถ้าจะซื้อใจกันจริง ๆ ก็ตีรถแว่บไปสภาฯ โหวตให้ได้ ไม่ใช่ต้องอยู่ร่วมงานเลี้ยงจนไม่ยอมไปโหวตให้ หลังก่อนหน้านี้ ตอนเศรษฐาก็ไม่ไปโหวตให้ และที่ผ่านมาก็โนสนโนแคร์อะไรทั้งสิ้น ขนาดงานเลี้ยงพรรคร่วมรัฐบาลหลายครั้งก็ไม่ไป-ไม่เบรกอดีต สว.กลุ่มบ้านป่าฯ ที่เข้าชื่อถอดถอนเศรษฐา ทำให้มีข่าวว่าทักษิณขอแตกหัก ไม่ให้มีชื่อ พล.ต.อ.พัชวาท ใน ครม.อุ๊งอิ๊ง

ส่วนของพรรครวมไทยสร้างชาติมีข่าวหนาหูว่า 'ปุ้ย-พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล' อาจจะหลุดโผกับผลงานที่ยังไม่น่าประทับใจนัก แต่ที่แน่ ไม่ต้องแช่แป้ง คือ 'ขิง-เอกนัฏ พร้อมพันธุ์' จะได้เข้าร่วม ครม.แน่นอน จากโควตารัฐมนตรีที่ยังว่างอยู่อีก 1 ตำแหน่ง

ส่วนของพรรคภูมิใจไทย ไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรผิดสังเกต น่าจะยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ

สัปดาห์นี้ทุกอย่างน่าจะลงตัวหมด รอให้สะเด็ดน้ำ ส่งรายชื่อให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีตรวจประวัติ ก็นำรายชื่อ ครม.ใหม่ขึ้นทูลเกล้าฯ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top